โครงการมะลิแฟรนไชส์ เปิดตัวธุรกิจ "รถเข็นกาแฟโบราณ"

มะลิสบโอกาสเปิดอาฟต้า ทุ่ม 150 ล้านขยายกำลังผลิตรับการเติบโต 20-30% พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจทั้งรับจ้างผลิตเพิ่ม แตกไลน์ประเภทธุรกิจ ส่ง "มะลิ แฟรนไชส์" กาแฟโบราณรุกหนัก เผยปีหน้าตั้งเป้า 5 พันแห่ง ประกาศแตกไลน์สินค้าใหม่ บุกเครื่องดื่ม 2-3 ตัว ใน 3 ปี ปลื้มปีนี้ยอดขายฟื้นกลับมาที่ 10%
นายสุวิทย์ ผลวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดย 10 เดือนที่ผ่านมาสามารถฟื้นยอดขายที่ลดลงไปในปีที่แล้วจากผลกระทบจากกรณีเมลามีนที่ทำให้ยอดขายตกลงไปถึง 10% กลับมาที่ระดับเดิมได้ ส่งผลให้ปีนี้บริษัทคาดว่าจะปิดยอดขายได้ที่ 10% จากปกติจะเติบโตปีละ 5% คิดเป็นยอดขายกว่า 5,000 ล้านบาท
โดยแผนหลังจากนี้ไป คือ การมุ่งไปที่ตลาดส่งออกมากขึ้น จากที่บริษัทเริ่มรุกหนักตั้งแต่ปลายปี 2551 จากที่คาดการณ์ ว่าเศรษฐกิจในประเทศปีนี้จะถดถอย จึงต้องหาตลาดต่างประเทศทดแทน โดยเฉพาะในแถบอินโดไชน่า ปัจจุบันมีเวียดนามและลาวเป็นตลาดหลัก โดยยอดขายในอินโดไชน่าคิดเป็น 60% ของยอดส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่น ๆ อาทิ ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, แอฟริกา ฯลฯ รวม 30-40 ประเทศ โดยสินค้าที่ส่งออกจะเป็น กลุ่มนมข้นหวาน

ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 20% ของยอดขายรวมซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และ เป้าหมายคือต้องการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 25% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งตลาดยังมีศักยภาพอีกมากโดยเฉพาะปีหน้าที่จะเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟต้า ซึ่งจะเป็นโอกาสในการรุกตลาดในประเทศแถบอาเซียนมากขึ้น
นายสุวิทย์กล่าวว่า กลยุทธ์ของบริษัทจะใช้ความได้เปรียบเรื่องกำลังการผลิต ความพร้อมในด้านต่าง ๆ ที่มีเข้าไปสร้างการเติบโตในตลาดเหล่านี้ ที่ผ่านมาได้ทุ่มงบฯ 100-150 ล้านบาทขยายศักยภาพด้านการผลิตทั้งเครื่องจักร, คลังสินค้า รวมถึงระบบโลจิสติกส์เพื่อทำให้มีความได้เปรียบในแง่ต้นทุนการผลิตมากขึ้น ซึ่งจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 1 ปีหน้า เพื่อรองรับการเติบโตอีก 20-30% จากนี้ไป
ส่วนของธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น เนื่องจากที่ผ่านมากลยุทธ์ของบริษัท คือ การกลับมาโฟกัสสินค้าตัวหลักนั่นคือกลุ่มนมข้นหวานและครีมเทียมข้นหวาน อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มองถึงโอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย
"วิชั่น 3 ปีจากนี้เป็นการเข้าสู่ยุคของการขยายไลน์ธุรกิจ (diversify) ซึ่งเริ่มทำมาต่อเนื่อง อาทิ การเพิ่มสัดส่วนการรับจ้างผลิต การแตกไลน์กลุ่มเครื่องดื่มในอนาคต ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาระบบการจำหน่ายกับสินค้าประเภทนี้ เพราะมีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์นมที่มีอยู่"
ทั้งนี้ การเปิดตัว "น้ำดื่มมะลิ" ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทดลองระบบในช่องทางจำหน่ายที่ขายผ่านเอเย่นต์ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าจะเปิดตัวเครื่องดื่มอีก 2-3 ตัวเพื่อขยายฐานลูกค้า และโอกาสทางการ ตลาดใหม่ ๆ จากปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำตลาดนมข้นหวานและครีมเทียมข้นหวาน ซึ่งมีมูลค่ารวมกันที่ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยมะลิเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 60%
ทั้งนี้ การขยายธุรกิจที่สำคัญของบริษัทตลอดปีหน้า จะมุ่งเพิ่มผู้ลงทุนในโครงการ "มะลิแฟรนไชส์" ถือเป็นครั้งแรกของบริษัทกับการเปิดตัวธุรกิจ "รถเข็นกาแฟโบราณ" เจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการทำธุรกิจโดยเฉพาะ จุดเด่นคือใช้งบฯลงทุนขั้นต่ำเพียง 25,000 บาท ไม่มีค่าแฟรนไชส์ แต่มีเงื่อนไขคือต้องสั่งผลิตภัณฑ์ของมะลิ ซึ่งมีพร้อมทั้งชา, กาแฟ, นมข้นหวาน, ครีมเทียมข้นหวาน โดยตั้งเป้าแฟรนไชส์ถึง 5,000 ร้านค้าในปีหน้า
"เราถนัดในการทำงานกับผู้ประกอบการต่าง ๆ อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาก็ขายสินค้ากับกลุ่มคนเหล่านี้ วันนี้มะลิจึงเป็นค่ายเดียวที่ทำธุรกิจรถเข็นกาแฟได้อย่างสมบูรณ์ แบบด้วยผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมี คือ นมข้นหวาน ถือว่าเหมาะกับธุรกิจชา กาแฟโบราณที่สุด เพราะเน้นไปที่เครื่องดื่มเย็น ซึ่งนมข้นหวานจะเหมาะกับเครื่องดื่มเย็นมากกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ๆ"
สำหรับแนวทางการทำตลาดตลอดปีหน้า นอกจากเรื่องรถเข็นแล้วยังจะมีการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR อย่างเต็มรูปแบบในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า โดยต่อ ปีบริษัทใช้งบฯการตลาดอยู่ที่กว่า 100 ล้านบาท

อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก goo.gl/416XbX