โออิชิลุยร้าน‘คาโซกูเตะ’  
 

โออิชิต่อยอดอาหารญี่ปุ่น คว้าแฟรนไชส์อูด้ง-โซบะจากญี่ปุ่นเปิดสาขาในไทย เล็ง 5 ปี ผุด 20 สาขา ลงทุนไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านอาหารภายใต้ชื่อ คาโซกูเตะ จากประเทศญี่ปุ่น เข้ามาเปิดดำเนินการในประเทศไทย โดยเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทอูด้งและโซบะ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น เพื่อต่อยอดธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือให้ครอบคลุมทุกประเภท

ทั้งนี้ ในปีแรกบริษัทจะเปิดสาขาร้านคาโซกูเตะให้ได้ 5 สาขา ใช้งบลงทุนสาขาละ 10 ล้านบาท รวมลงทุน 50 ล้านบาท จากนั้นวางแผนเปิดสาขาให้ถึง 20 สาขาภายใน 5 ปี คาดใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

“ในเมืองไทยตลาดโซบะและ อูด้งยังไม่มีคู่แข่งที่ชัดเจน อีกทั้งโออิชิมีโรงงานผลิตสินค้ากลุ่มนี้รองรับอยู่แล้ว จึงเป็นการขยายไลน์ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และใช้เครื่องจักรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด” นายตัน กล่าว
 

สำหรับภาพรวมตลาดชาเขียวในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พบว่าเติบโตถึง 28% ซึ่งเติบโตสูงสุดในกลุ่มเครื่องดื่มทุกประเภท ปัจจุบันตลาดชามีมูลค่า 4,800 ล้านบาท โดย โออิชิมีส่วนแบ่งตลาด 64% และในปีนี้โออิชิ กรุ๊ป ตั้งเป้ายอดขายรวม 7,200 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม 55% และร้านอาหาร 45%

ขณะที่ภาพรวมการลงทุนของกลุ่มร้านอาหารในปีนี้ ตั้งงบลงทุนในการขยายสาขาไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท สำหรับทุกแบรนด์ในเครือ ยังไม่รวมงบขยายสาขาร้านอาหารแบรนด์ใหม่ โดยนับจากต้นปีขยายไปแล้วกว่า 10 สาขา

นายตัน กล่าวถึงผลของการจัดแคมเปญ “ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊งกับ โออิชิ ภาค 2” กับสุดยอดดารา 30 คน พบว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยวัดจากยอดขายช่วง 3 เดือนตั้งแต่เดือนมี.ค.-พ.ค. 2552 ที่ผ่านมาที่สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 18% หรือมียอดขายถึง 1,100 ล้านบาท และมีผู้บริโภคส่งฝาเครื่องดื่มโออิชิเข้ามาร่วมสนุกกว่า 30 ล้านฝา ดังนั้นจึงเตรียมจัดแคมเปญนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดแคมเปญ
 

ทั้งนี้ หลังจากแคมเปญสิ้นสุดลงบริษัทจะนำฝาไปขายเพื่อทำการรีไซเคิล และนำรายได้จากการขายประมาณ 1.5 แสนบาท ไปมอบให้แก่โรงเรียนยากจนในชนบทต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น นายตัน กล่าวว่า บริษัทที่มีสภาพคล่องควรเดินหน้าลงทุนเพื่อร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น โดยไม่ปล่อย ให้รัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นฝ่ายเดียว เพราะปัจจุบันวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นบ่อยกว่าอดีต ทุกฝ่ายต้องเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้ภาพรวมอยู่รอดได้
 

 อ้างอิงจาก โพสต์ทูเดย์