6.8K
29 มกราคม 2552

แฟรนไชส์ขนาดเล็กความนิยมพุ่ง เสริมสวย "คน-หมา" ดูแลเด็ก

มะกันตกงานในมะกาปี 2008 รวมทั้งหมด 2.6 ล้านคน (ผมเคยคาดว่ากว่า 3 ล้านคน) ก็โชคดีไปสำหรับผู้ที่ยังมีงานทำอยู่ แต่อย่าลืมปี 2009 ที่เขาว่าจะเป็นปีที่ร้ายที่สุด จะมีการปลดคน ออกเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นระดับใช้แรงงานหรือสมอง มีส่วนเอี่ยวด้วยแน่

เศรษฐกิจตกต่ำเวลานี้เขาว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 64 ปี Thomson Reuters, Times research เผยถึงรายได้ของห้างร้านต่างๆ ในเดือนธันวาคม 2008 มีเพียง 3 ห้างคือ Hot Topic มีรายได้เพิ่ม 4.3%, American Apparel เพิ่มขึ้น 3% และวอล-มาร์ต 1.7% นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นห้างใหญ่ห้างดังขนาดไหนล้มกลิ้งขาดทุนไปตามๆ กัน ตั้งแต่ขาดทุน 1.4% จนถึงมากที่สุด 24% แสดงให้เห็นว่ามะกันไม่มีปัญญาหรือไม่มีเงินจะซื้อของแพงมาใช้กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปี 2009 และจะยืดยาวไปอีกกี่ปี ไม่มีใครยืนยันได้

รายงานของ Shopping Center Group ระบุว่า ครึ่งปีแรกของปี 2009 จะมีห้างร้านทั่วมะกาต้องปิดไม่น้อยกว่า 73,000 แห่ง รายงานไม่เผยว่าจะมีคนงานกี่คนไม่มีงานทำ ผมคิดง่ายๆ ว่าถ้าโดนปลดแห่งละ 10 คนก็ 730,000 คน แต่เป็นไปไม่ได้หรอกที่แต่ละแห่งมีคนงาน 10 คน ถ้าแห่งละเฉลี่ย 100 คน ก็จะเป็น 7,300,000 คน อย่าคิดดีกว่า คิดแล้วเสียว

ยังไม่นับมะกันที่ทำงานให้กับรัฐ แต่ละรัฐแต่ละเมืองทั่วมะกาจะตกงานอีกเท่าไร มะกันจะไม่มีเงินผ่อนบ้านอีกกี่ล้านหลัง รถยนต์ใหม่จะขายได้กี่ล้านคัน จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเงินเดือนให้พวกทหารมะกัน (เพราะรัฐบาลมะกาไม่มีเงินเดือนจ่าย) ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัวๆ จนตัวสั่น

ห้างร้านไม่มีการเปิดเพิ่มขึ้น มีแต่คิดว่าจะประคองตัวต่อไปได้อย่างไรจึงจะไม่ขาดทุน หรือจะหาทางปิดกิจการอย่างไร ปิดแล้วลูกจ้างจะอยู่ได้

เมื่อมะกาที่เป็นประเทศใหญ่ที่สุดมีฐานะมั่นคงที่สุดโดนแบบนี้แล้วทั่วโลกจะมีสภาพอย่างไร จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เวลานี้กำลังอยู่ในสภาพในสถานการณ์อย่างไร ผมดูภาพคนญี่ปุ่นไม่มีงานทำแล้วตกใจ

ไม่นึกเลยว่าญี่ปุ่นจะมีสภาพเช่นนี้ให้เห็น

เวลานี้น้ำมันดิบบาร์เรลละไม่ถึง 40 เหรียญ ถูกขนาดนี้ยังไม่มีใครกล้าหรือหาญที่จะซื้อมากักตุนเอาไว้ ในขณะที่เมื่อกลางปี 2008 ราคาบาร์เรลละ 145 เหรียญ แย่งกันซื้อแย่งกันกักตุน พอเวลานี้เหลือบาร์เรลละ 39 เหรียญหน้ามืดเลย

เศรษฐกิจมัวซัวแบบนี้ ไม่มีใครต้องการใช้เงินเพื่อเปิดธุรกิจขึ้น มีแต่พวกอาหารหรือร้านอาหารที่ไม่ใช่ร้านหรูหรือร้านใหญ่ ถ้าจะเปิดก็ต้องเป็นร้านขนาดกลาง แต่เมื่อเป็นขนาดกลางก็ไม่มีทางจะสู้พวกแฟรนไชส์ที่มีขนาดเดียวกันได้ เพราะเป็นที่รู้จักและนิยมมานาน ปัญหาอยู่ที่ค่าซื้อแฟรนไชส์แพง ต้องลงทุนเป็นล้านเหรียญ ต้องจ่ายผลกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์สูง ไม่เหมาะจะลงทุนในสภาพอย่างนี้

 

ดูแฟรนไชส์ร้าน 7/11 ก็แล้วกัน แม้จะขายดีได้กำไรมากก็เสียเปอร์เซ็นต์ ค่ากำไรให้เจ้าของแฟนไชส์มาก

มะกันจึงหาทางเลี่ยงด้วยการหาซื้อแฟรนไชส์ขนาดกลางหรือเล็ก พยายามหาแฟรนไชส์ใหม่ๆ ที่น่าจะรุ่งกว่า ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ถึงไม่ดีก็ไม่ล้ม โดยตั้งงบฯ ลงทุนซื้อแค่หลักแสน หรือ 100,000-150,000 เหรียญ เป็นแฟรนไชส์ที่ผู้ซื้อทำเองได้ หรือคนในครอบครัวช่วยทำ หรือถ้าต้องมีลูกจ้างก็ 2-5 คน

หรือถ้าไม่มีเงินลงทุนเป็นแสนเหรียญเพื่อซื้อแฟรนไชส์ ก็น่าจะหาทางทำธุรกิจเล็กๆ เป็นร้านเล็กๆ เช่น รับจ้างทาสี ถ้าเคยเป็นลูกจ้างร้านทาสีมาก่อนก็น่าจะมีประสบการณ์พอที่จะเปิดร้านรับจ้างได้เอง โดยไม่ต้องลงทุนมากนัก แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์จะซื้อแฟรนไชส์ก็ได้

น.ส.พ.The Wall Street Journal ได้แนะนำในหน้าบทความเรื่องแฟรนไชส์เมื่อประมาณปลายพฤศจิกายน 2008 ว่า เศรษฐกิจตกต่ำทำให้คนต้องหาทางทำธุรกิจด้วยตนเอง จะจ้างก็จ้างไม่ไหวข้อเสียก็คือถ้าไม่มีลูกจ้าง หรือมีลูกจ้างไม่กี่คน ก็ไม่มีทางรุ่ง การซื้อแฟรนไชส์แม้ต้องเสียเงินแต่ก็คุ้มเพราะมีประสบการณ์ความสำเร็จ ทำให้ผู้ซื้อเชื่อว่าต้องดีและ น่าจะลองเสี่ยงดู
 

ยกตัวอย่าง หลังเหตุการณ์ 9/11 Mr.Terry Ladd ชาวซานฟรานซิสโกเคยเป็นผู้จัดการบริษัทคอมพิวเตอร์เกิดอยากเปลี่ยนงาน จากลูกจ้างมาเป็นนายจ้าง แต่ไม่รู้จะลงทุนอะไรดี เขาสนใจธุรกิจแฟรนไชส์รับจ้างทาสีจึงติดต่อซื้อแฟรนไชส์จาก Philadelphia-based CertaPro Painters (มีลูกแฟรนไชส์ 300 กว่าแห่ง ค่าแฟรนไชส์ไม่เกิน 150,000 เหรียญ) ถึงปี 2008 เขามีลูกจ้าง 47 คน มีรถบริการ 9 คัน และมีรายได้ปีละกว่า 4 ล้านเหรียญ นายแลดด์เผยว่าเขาพอใจอาชีพนี้แม้มีรายได้ปีละ 4 ล้านเหรียญ ข้อดีก็คือเขาเป็นลูกจ้างตัวเขาเอง

ธุรกิจที่ใครๆ ก็น่าจะลงทุนทำได้ หรือฝึกฝนได้ เช่น รับจ้างซ่อมบ้าน งานดูแลสนามหญ้า ท่อประปา สายไฟ งานต่างๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก คนแก่ สัตว์เลี้ยงเช่นหมาหรือแมว ซึ่งจะไปรับจ้างเขา หรือลงทุนซื้อแฟรนไชส์

ร้านตัดผม ตกแต่งผมก็เป็นธุรกิจที่ดี และค่าแฟรนไชส์ไม่แพง (ประมาณ 160,000 เหรียญ) ที่ดีมากๆ ก็คือธุรกิจนี้รับเงินสด และที่ชัวร์ป้าบก็คือทุกคนต้องตัดผม ตกแต่งผม (เปิดกิจการร้านตัดผมในมะกา ต้องเข้าเรียนและอบรมในฐานะเจ้าของร้านเป็นพันชั่วโมง ช่างตัดผมต้องเรียนประมาณ 4,000 ชั่วโมง

ค่าเรียนหลายพันเหรียญ) ค่าบริการตัดผม 12 เหรียญ (เมื่อรวมตกแต่งผมและอื่นๆ จะประมาณ 30-50 เหรียญ) เป็นธุรกิจดีง่าย ช่างตัดผม (ทั้งชายและหญิงจะได้เงินค่าชั่วโมงและค่าทิปดีมาก) ร้านตัดผมในมะกาโดยมากมีเจ้าของเป็นชาวเวียดนาม และมีลูกจ้างร่วมร้อยหรือมากกว่า มีรายได้ปีละประมาณ 2 ล้านเหรียญ

ธุรกิจรับจ้างดูแลเด็กอายุ 2-12 ปี ไปกลับบ้าน-โรงเรียนเป็นทำเงินได้ดีอีกธุรกิจหนึ่ง มีอัตราค่าจ้าง (รวมประกันภัย) อาทิตย์ละ 250 เหรียญ กำลังเฟื่องมากในมะกา ที่แพงเพราะค่าซื้อแฟรนไชส์แพงคือ 3.2-3.7 ล้านเหรียญ (รายละเอียดต้องเปิดอินเทอร์เน็ตดูเอาเองนะครับ)

แฟรนไชส์ที่ดังและฮิตมานาน ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือ แฟรนไชส์อาบน้ำ ตกแต่งขนสัตว์ เช่น หมาและแมว โดยมีรถยนต์ตระเวนให้บริการถึงบ้านในราคาไม่แพง ในรถมีน้ำอุ่นพร้อมอุปกรณ์ทุกอย่างครบ ค่าซื้อแฟรนไชส์ถูกมาก ประมาณ 20,000 เหรียญเอง (ค่ารถต่างหาก)

อีกแฟรนไชส์ที่น่าสนใจคือ การรับจ้างพาหมาไปมอร์นิ่งวอล์กหรืออีเวนิ่งวอล์ก พาหมาไปวิ่งออกกำลังกายชั่วโมงละ 20 เหรียญ หรือดูแลคนสูงอายุ จะทำเองหรือซื้อแฟรนไชส์ก็ได้กำไร หรือได้งานทำในราคาไม่เลวเลย ถ้าไม่ขี้เกียจเกินไปและไม่เลือกงาน













อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ

ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สาขาใหม่ มาแล้ว! ทูลเก..
6,259
PLAY Q by CST bright u..
1,334
มาแล้ว! #งานแฟรนไชส์ ม..
951
อร่อย! เลิศ! รสเด็ด ก๋..
950
สุดปัง! แฟรนไชส์หม่าล่..
798
ลงทุนกับ “ซุปซุป” ร้าน..
770
ข่าวแฟรนไชส์มาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด