อีฟแอนด์บอย ถล่มราคาเครื่องสำอาง
นายหิรัญ ตันมิตร ผู้จัดการร้าน อีฟแอนด์ บอย เปิดเผยว่า หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับการทำตลาดร้านอีฟแอนด์บอย ที่ตลาดต่างจังหวัดมานานกว่า 8 ปี จึงได้ขยายสาขามายังตลาดในกรุงเทพฯ โดย 3 สาขาแรกจะอยู่ที่จังหวัด มหาสารคาม 1 สาขา และขอนแก่น 2 สาขา
สำหรับสาขาที่ 4 จะอยู่ที่สยามสแควร์ และถือเป็นสาขาแรกในกรุงเทพฯ โดยแต่ละสาขาจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 15-20 ล้านบาท และเป็นการลงทุนของเราเองทั้งหมด ไม่ได้มีการขายแฟรนไชส์ และที่เลือกมาเปิดร้านแบบสเปเชียลตี้สโตร์ เนื่องจากมองว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันจะนิยมเลือกซื้อสินค้าด้วยตนเอง ในลักษณะของเซลฟ์-ซีเล็คทีฟ มากขึ้น
ทั้งนี้ มีแผนจะขยายสาขาประมาณ 1-2 สาขาต่อปี โดยคาดว่าจะขยายสาขาประมาณ 25 สาขาภายใน 10 ปี แต่ทั้งนี้หลักๆ จะอยู่ในกรุงเทพฯ ประมาณ 20 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วน กรุงเทพฯ 80% และต่างจังหวัด 20% ส่วนพื้น ที่จะไม่ต่ำกว่า 300 ตารางเมตร และหลักๆ จะเน้นการขยายสาขาในรูปแบบสแตนด์อะโลนมากกว่า
สินค้าภายในร้านของเรา จะมีกว่า 10,000 เอสเคยู 300 กว่าแบรนด์ แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มน้ำหอม
- กลุ่มสกินแคร์
- กลุ่มโฮมแคร์
- กลุ่มแฮร์แคร์
- กลุ่มเมกอัพ
- กลุ่มเมนแคร์
โดยสินค้าของเราจะค่อนข้างแตกต่าง จากคู่แข่ง ตรงที่จะไม่มียาและอาหารเสริม จำหน่าย ขณะที่คู่แข่งจะไม่มีสินค้าเคาน์เตอร์แบรนด์จำหน่าย หรือถ้ามีก็จะขายราคาเต็ม ไม่ได้เล่นเรื่องราคา
“คอนเซปต์ของร้านเรา จะเป็นลักชัวรี่ คอสเมติก และเป็นมัลติแบรนด์ ขณะที่คู่แข่งจะเน้นความเป็นดรักสโตร์มากกว่า โดยเราจะนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายหลากหลายแบรนด์ ตั้งแต่สินค้าที่หาซื้อได้ทั่วไป และเป็นสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเฉพาะ ร้านของเราเท่านั้น”
เนื่องจากปัจจุบันไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันที่ชื่นชอบการช็อปปิ้ง จะต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง และความหลากหลายในการจับจ่ายสินค้า ซึ่งจะต้องตอบโจทย์ทุกอย่างได้หมดภายในที่เดียว
โดยเราจะจัดเรียงสินค้าแบบเซลฟ์-ซีเล็คทีฟ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกหยิบสินค้าได้ตามใจชอบ ที่สำคัญกลยุทธ์การทำตลาด จะเน้นแบบ เชิงรุก โดยเฉพาะทางด้านราคา ด้วยการตั้งราคาจำหน่ายสินค้าถูกกว่าในห้างประมาณ 30% เพื่อให้สามารถแข่งขันกับที่อื่นได้ สำหรับสินค้าภายในร้านจะเป็นแบรนด์ต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 95% และแบรนด์ไทย 5%
สำหรับกลุ่มลูกค้าของร้าน หลักๆ ยังคงเป็นกลุ่มผู้หญิง คิดเป็นสัดส่วน 90% และกลุ่มผู้ชาย 10% ทั้งนี้ ทางร้านจะให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพสินค้า และราคาเป็นหลัก โดยสินค้าทุกประเภทที่นำมาจัดจำหน่ายภายในร้าน เป็นสินค้าที่ได้รับการรับรองและนำเข้ามาอย่างถูกต้อง สินค้ามีคุณภาพและการันตีเรื่องราคา
จุดเด่นอีกอย่างของร้านก็คือ การให้บริการที่ไม่เจาะจงแบรนด์ ทำให้พนักงานสามารถแนะนำสินค้าได้หลากหลาย และตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงความต้องการมากที่สุด เพื่อสร้างการจดจำกับลูกค้ามากขึ้น
“แต่ละปีจะใช้งบการตลาดราว 5 ล้านบาท เน้นการใช้สื่อผ่านแม็กกาซีนเป็นหลัก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ปีหน้าเตรียมจะเปิดช็อปปิ้งออนไลน์
www.eveandboy.net ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา” อย่างไรก็ตาม
ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ประมาณ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มียอดขาย 300 ล้านบาท โดยยอดซื้อเฉลี่ยต่อบิลจะอยู่ที่ 800-1,000 บาท
อ้างอิงจาก สยามธุรกิจ