พาณิชย์ จับมือ บสย. เผยเคล็ดลับขอสินเชื่อให้สำเร็จ แนะเอสเอ็มอีใช้หลักประกันทางธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุน
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เผยเคล็ดลับการเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินให้ประสบความสำเร็จ โดยจัดสัมมนา ‘การเข้าถึงสินเชื่อ SME ด้วยหลักประกันทางธุรกิจ’ หวังสนับสนุนเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายด้วยหลักประกันทางธุรกิจ สอดรับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการด้วยการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ/เอกชน และใช้สาระสำคัญของกฎหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “รัฐบาลมีนโยบายในการเพิ่มประสิทธิภาพแก่ผู้ประกอบการไทยทุกระดับให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีมากถึงร้อยละ 97 ของจำนวนผู้ประกอบการทั้งประเทศ โดยกำหนดให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ/เอกชนให้มากที่สุด รวมถึง ใช้สาระสำคัญของกฎหมายที่แต่ละหน่วยงานกำกับดูแลอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม
ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการจ้างงาน และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง”
“ปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีความเข้มแข็ง คือ ‘การเข้าถึงแหล่งเงินทุน’ ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น เพราะหมายถึง ‘โอกาส’ ที่จะนำเงินทุนนั้นไปต่อยอดธุรกิจให้เติบโต เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ นำไปสู่การกระจายความมั่งคั่งและลดความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการมีข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมทั้งของผู้ประกอบการและกิจการ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน”
รมช.พณ.กล่าวเพิ่มเติมว่า “ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยใช้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้บรรลุวัตถุประสงค์ ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ร่วมกับ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย. จัดสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หัวข้อ ‘การเข้าถึงสินเชื่อ SME ด้วยหลักประกันทางธุรกิจ’ ในวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2563) ห้องม่วงมงคล กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ได้แก่
กิจการ สิทธิเรียกร้อง สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์สำหรับธุรกิจที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ทรัพย์สินทางปัญญา และไม้ยืนต้นที่มีค่า รวมถึง เทคนิคและเคล็ดลับการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินให้ประสบความสำเร็จ เช่น การเตรียมความพร้อมและเตรียมเอกสารอย่างไรในการยื่นขอสินเชื่อ การจัดทำเอกสารประกอบการขอสินเชื่อ ฯลฯ โดยในงานสัมมนาฯ จะมีการทำเวิร์คช็อปเพื่อให้ผู้เข้าสัมมนาได้ทดลองลงมือปฏิบัติจริงซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บสย.ยังมีการออกบูธให้คำปรึกษาปัญหาด้านการเงินและการทำธุรกิจแก่ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสัมมนาฯ โดยเฉพาะอีกด้วย”
“ทั้งนี้ ‘เงินทุน’ นับเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ สำหรับการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการทุกกลุ่มทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นเรื่องยาก ดังนั้น การเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีการเตรียมตัว/เตรียมเอกสารให้พร้อม มีแผนธุรกิจและแผนการเงินที่ชัดเจน รวมถึง การสร้างวินัยทางการเงินที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน เพื่อให้ผู้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อเกิดความน่าเชื่อถือ เกิดความมั่นใจ และเห็นถึงความจริงจังในการดำเนินธุรกิจของผู้กู้” รมช.พณ. กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร 0 2547 4944 สายด่วน 1570 www.dbd.go.th
ข้อมูล ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 พบว่า การจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจมีจำนวนทั้งสิ้น 560,495 คำขอ และมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน คิดเป็นจำนวนเงิน 8,768,869 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภททรัพย์สิน ตามลำดับ ดังนี้
- สิทธิเรียกร้อง เช่น บัญชีเงินฝากธนาคาร สิทธิการเช่า ลูกหนี้การค้า จำนวน 6,674,994 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 76.12
- สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น สินค้าคงคลัง/วัตถุดิบ เครื่องจักร/เครื่องยนต์ จำนวน 2,090,617 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.84
- ทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า จำนวน 1,985 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.02
- กิจการ จำนวน 744 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.01
- อสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ จำนวน 397 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.01 และ
- ไม้ยืนต้น เช่น ยาง ยางนา สัก ฯลฯ จำนวน 132 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.002
อ้างอิงจาก : MGROnline.com