ธุรกิจร้านกาแฟโตไม่หยุด แบรนด์ไทย-เทศ ดาหน้าแย่งมาร์เก็ตแชร์ 2 หมื่นล้าน “ดิโอโร่” กาแฟพันธุ์ไทย งัดกลยุทธ์ “โค-อินเวสต์” แบ่งเปอร์เซ็นจากรายได้ ควบคู่ ขายแฟรนไชส์ เร่งขยายสาขาย้ำเข้มคุณภาพ-บริการ เสริมการลงทุนเอง เผยนักลงทุนสนใจเพียบ-สกรีนหนัก ต้องอบรม-สอบตามหลักสูตร เผยเตรียมทยอยเปิดเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 10 ราย พร้อมพัฒนาระบบซีอาร์เอ็ม-สร้างบิ๊กดาต้า ช่วยทำการตลาดเชิงรุก

 

นางสาวภคมน สมบูรณ์เวชชการ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท โกลเด้น ครีม จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟ “ดิโอโร่” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันตลาดกาแฟสดที่มีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ยังเป็นตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หากสังเกตจะพบว่าที่ผ่านมามี

 

ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งที่เป็นแบรนด์ไทยและแบรนด์ดังจากต่างประเทศได้ทยอยลงทุนเพื่อเปิดสาขาเพิ่มขึ้นเป็นระยะ ๆ และเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง ส่วนหนึ่งมีปัจจัยจากการที่กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ปัจจุบันอัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงนัก ประกอบกับปัจจุบัน คนรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นที่เริ่มหันมาดื่มกาแฟมากขึ้น จากก่อนหน้านี้คนที่ดื่มกาแฟส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่หรือกลุ่มคนวัยทำงาน ตลาดจึงมีโอกาสที่จะเติบโต

 

 

นางสาวภคมนกล่าวต่อว่า เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด ที่ผ่านมาบริษัทมีแนวทางการปรับตัวและพัฒนาแบรนด์ร้านกาแฟดิโอโร่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับแผนการดำเนินงานจากนี้ไป หลัก ๆ จะยังคงเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ด้วยโมเดลที่หลากหลาย ทั้งการลงทุนเองของบริษัทเพื่อเปิดสาขา การลงทุนร่วมกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของพื้นที่ หรือ coinvest โดยอาจจะเป็นเจ้าของอาคาร โชว์รูม ที่สนใจและต้องการจะลงทุนเปิดร้านกาแฟ และการขายแฟรนไชส์สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนและมีกิจการเป็นของตัวเอง

 

สำหรับโมเดลแฟรนไชส์ เริ่มต้นค่าแฟรนไชส์ 350,000 บาท โดยดิโอโร่จะเป็นผู้สนับสนุนเรื่องวัตถุดิบ การอบรม และการทำตลาด สัญญามีระยะเวลา 5 ปี ตอนนี้มีผู้ที่สนใจติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก และบริษัทได้คัดเลือกและอยู่ระหว่างการอบรมและเตรียมจะเปิดร้านประมาณ 10 ราย จากที่ส่งใบสมัครเข้ามามา 600-700 ราย ทั้งมีพื้นที่ และไม่มีพื้นที่ ซึ่งบริษัทจะให้สิทธิคนที่มีพื้นที่ก่อน โดยเลือกใช้วิธีแมชิ่งพื้นที่จะต้องคัดกรองอย่างละเอียด เนื่องจากแฟรนไชส์ก็เหมือนเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน และจะต้องเติบโตไปด้วยกันในระยะยาว

 

“โมเดลร้านแฟรนไชส์นี้ เราเพิ่งนำกลับมาใช้ใหม่อีกครั้งเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากที่ยกเลิกไปเมื่อสัก 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยแฟรนไชซีทุกรายจะต้องมีการอบรม มีการเทรนนิ่ง และสอบ ครบตามหลักสูตรที่บริษัทวางไว้ เพื่อให้คุณภาพของสินค้าและบริการแต่ละร้านให้มีมาตรฐานเดียวกัน ส่วนพนักงานก็จะต้องมีการเรียน ต้องอบรม และสอบ เพื่ออัพสกิลตามหลักสูตรที่วางไว้เช่นกัน”

 

ขณะที่การลงทุนแบบ coinvest ที่ร่วมบริษัทร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่เป็นเจ้าของที่ บริษัทจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ โดยที่พาร์ตเนอร์ที่เป็นเจ้าของพื้นที่จะเป็นผู้ลงทุนในเรื่องของพื้นที่หรือสถานที่ ขณะที่ดิโอโร่จะเป็นผู้ลงทุนในเรื่องของอุปกรณ์ ดูแลบริหารจัดการร้าน และแบ่งรายได้ตามเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย และภายในร้านนอกจากกาแฟ-เบเกอรี่แล้วยังมีเมนูอาหารที่หลากหลาย และมีที่นั่งรับประทานด้วย ปัจจุบันเปิดไป 3 สาขา ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากและมีแผนจะเปิดเพิ่มต่อเนื่อง

 

พร้อมผนึกแฟรนไชส์บุก ตจว.
 

นางสาวภคมนย้ำว่า อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก ปีนี้บริษัทจะเน้นการระวังตัวลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของทำเลและพื้นที่จะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ

 

ปีนี้เดิมตั้งเป้าจะลงทุนเปิดสาขาเพิ่มอีกประมาณ 20 สาขา แต่คาดว่าน่าจะจบที่ 10 สาขา โดยเปิดไปแล้ว 3 สาขา เหลือ 7 สาขา อาทิ สาขาในกูร์เมต์ มาร์เก็ต ดีไซน์วิลเลจ ซึ่งเป็นแห่งแรกที่เข้าไปเปิดในซูเปอร์มาร์เก็ต ที่เป็นสแตนด์อะโลน เป็นร้านไซซ์เล็ก 6 ตร.ม. นอกจากนี้ก็จะเป็นการเปิดในสถานีบริการปั๊มน้ำมันที่เป็นพาร์ตเนอร์ยังเหนียวแน่น ส่วนไดรฟ์ทรูตอนนี้มี 2 สาขา คือ สุขาภิบาล 5 เป็นสแตนด์อะโลน และเทพรักษ์ ปั๊มน้ำมัน และกำลังจะเปิดอีก 1 สาขา

 

ปัจจุบันดิโอโร่มีสาขารวมประมาณ 114 สาขา เป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 103 สาขา และสาขาของแฟรนไชส์ 11 สาขา ล่าสุด บริษัทได้ลงทุนและเตรียมเปิดเพิ่มอีก 1 สาขา ซึ่งที่ผ่านมาสาขาของดิโอโร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ และมุมเมือง

 

“เราไม่จำกัดเฉพาะในกรุงเทพฯ ถ้าแฟรนไชส์อยู่ต่างจังหวัดก็สามารถไปเปิดได้ เพราะคนในพื้นที่จะรู้พฤติกรรมผู้บริโภคได้กว่าเราจึงอยากเปิดโอกาสให้แฟรนไชซีทำมากกว่า” นางสาวภคมนกล่าว

 

อัพเกรด CRM เพิ่มฐานลูกค้า
 

นางสาววรรณินา สมบูรณ์เวชชการ ผู้อำนวยการตลาด บริษัท โกลเด้น ครีม กล่าวเสริมว่า “ช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ร้านกาแฟดิโอโร่ถือว่าโชคดี ที่ไม่มีสาขาเปิดอยู่ในศูนย์การค้า หรือห้างสรรพสินค้า จึงไม่ต้องปิดให้บริการ โดยสาขาหลัก ๆ จะเปิดอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน ออฟฟิศ และส่วนใหญ่จะเปิดอยู่ในแหล่งชุมชนและพื้นที่ที่มีการสัญจรไปมาหนาแน่น ส่วนสาขาที่ต้องปิดไป มีเฉพาะสาขาในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ประกอบกับก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการวางระบบ และจับมือกับพาร์ตเนอร์ ไลน์แมน แกร็บ เก็ท อยู่ก่อนแล้ว ก็ทำให้ยอดขายในส่วนของดีลิเวอรี่เติบโตขึ้นมากกว่า 30-40%”

 

“นอกจากนี้ กาแฟ เบเกอรี่ ที่เป็นสินค้าหลักแล้ว ในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด บริษัทได้เร่งปรับตัวด้วยการเพิ่มไลน์โปรดักต์ ด้วยเครื่องดื่ม กาแฟ โกโก้ และช็อกโกแลต ขวดจัมโบ้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากภาครัฐประกาศคลายล็อก ช่องทางดีลิเวอรี่ยังได้รับความนิยม แต่ยอดอาจจะลดลงไปบ้าง เนื่องจากลูกค้าเริ่มกลับมาสั่งซื้อที่ร้านมากขึ้น ปัจจุบันลูกค้ากลับมาใช้บริการประมาณ 70-80%”

 

นางสาววรรณินากล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนพัฒนาระบบซีอาร์เอ็ม (CRM) เพื่อเข้ามาช่วยสร้างความจงรักภักดีที่มีต่อแบรนด์ เน้นให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าง่ายขึ้น พร้อมทั้งการนำบิ๊กดาต้า (big data) ที่บริษัทได้เริ่มเก็บข้อมูลมากว่า 3 ปี มาศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมความต้องการของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการ และปีนี้ได้นำข้อมูลจากบิ๊กดาต้ามาทำกิจกรรมทางการตลาดมากขึ้น ทั้งในแง่ของโปรดักต์ เครื่องดื่ม เบเกอรี่ โปรโมชั่นที่จะมีออกมาเป็นระยะ ๆ รวมไปถึงของพรีเมี่ยม ของรางวัลต่าง ๆ

 

อย่างไรก็ตาม ปีนี้ฐานข้อมูลเดต้า เราแน่นมาก และช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้าในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น ติดต่อส่วนตัว โทรศัพท์ e-Mail เป็นต้น ซึ่งเร็ว ๆ นี้จะอัพเดตระบบ CRM เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น


ที่มา : https://bit.ly/3l8HZhY