บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    ความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ
364
2 นาที
15 มกราคม 2568
ตั้งราคา ปลาหมึกแถวบน รวยตลอดชีวิต!
 

เคยเห็นบางคนเปิดร้านแล้วขายดีมาก ในทางกลับกันอีกร้านใกล้กันทำไมขายไม่ดี? ความแตกต่างของเรื่องนี้อยู่ที่อะไร
 
คุณภาพสินค้า? หรือว่าเป็นเรื่องของการตลาดและราคา?
 
ก็ไม่ปฏิเสธว่าทั้ง 3 คำตอบที่ว่ามาก็ล้วนแต่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า แต่บางทีเรื่องเล็กน้อยที่เรามองข้ามหรือคิดว่าไม่จำเป็นบางทีก็มีผลต่อการสร้างยอดขายได้เช่นกัน
 
ถ้าเราเคยไปตลาดเห็นพ่อค้าขายปลาหมึกบด สังเกตไหมว่าเขาจะแขวนปลาหมึกแห้งไว้บนราวที่มีทั้งแถวบน แถวกลาง และแถวล่าง เราอาจจะคิดว่ามันก็แค่การจัดเรียงสินค้าให้สวยงาม แต่ถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนเรื่องนี้ไปสัมพันธ์กับกลยุทธ์ระดับโลกที่แม้แต่แบรนด์ใหญ่ก็นำมาใช้ เป็นกิมมิคเล็กๆที่ง่ายๆแต่ได้ผลกับการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “สามารถเลือกได้อย่างชาญฉลาด”
 
 
ทีนี้ก็ลองมาดูว่าปลาหมึก 3 แถวความหมายที่ซ่อนอยู่ในแต่ละแถวคืออะไรบ้าง
  • ลูกค้ากลุ่มประหยัด (Economy Customers) เปรียบคือปลาหมึกแถวล่าง
ลูกค้ากลุ่มนี้มองหา ‘ราคาถูก’ เป็นเหตุให้เลือกปลาหมึกแถวล่างถึงแม้คุณภาพของสินค้าจะเล็กก็ตาม 
  • ลูกค้ากลุ่มคุ้มค่า (Value Seekers) เปรียบคือปลาหมึกแถวกลาง
ลูกค้าจะมองหา คือ ‘ความคุ้มค่า’ เป็นหลัก มองหาสินค้าที่ราคาสมเหตุสมผล ถึงจะไม่ใช่สินค้าที่ดีที่สุด ที่สำคัญลูกค้าในกลุ่มนี้มีเยอะมาก
  • ลูกค้ากลุ่มพรีเมียม (Premium Customers) เปรียบคือปลาหมึกแถวบน
สิ่งที่คนกลุ่มนี้มองหา คือ “สินค้าที่ดีที่สุดเท่านั้น” แม้ต้องจ่ายแพงกว่าก็ยอม ลูกค้ากลุ่มนี้อาจมีจำนวนไม่มากแต่ก็มีและที่ความภักดีต่อแบรนด์สูง
 

เมื่อนำเอาเรื่องปลาหมึกในแต่ละแถวมาเป็นตัวตั้งและมองไปที่ธุรกิจต่างๆ ก็เห็นว่าบรรดาร้านสะดวกซื้อในเมืองไทยก็ได้นำกลยุทธ์แบบนี้มาปรับใช้ ในฐานะที่เราเป็นลูกค้าอาจจะไม่ทันได้รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าแม้แต่การจัดเรียงสินค้าในร้านสะดวกซื้อก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องของปลาหมึกเช่นกัน
 
ถ้าเทียบเคียงให้เป็นทฤษฏีเรื่องนี้ก็ใกล้มากกับกฎของ Pareto หรือ กฎ 80/20 ที่ร้านสะดวกซื้อได้นำมาต่อยอดเป็น หลักการ ABC Analysis เพื่อใช้ในการจัดกลุ่มสินค้าซึ่งหลักการทำงานของ ABC Analysis เริ่มจากการแบ่งกลุ่มสินค้าเป็น 3 กลุ่ม คือ
  1. Item A สินค้าขายดี มีประมาณ 20% ของรายการสินค้าทั้งหมด
  2. Item B สินค้าขายได้ปานกลาง มีประมาณ 30% ของรายการสินค้าทั้งหมด
  3. Item C สินค้าขายไม่ดี มีประมาณ 50% ของรายการสินค้าทั้งหมด

หลังจากแบ่งสินค้าออกเป็น 3 กลุ่มแล้ว พนักงานก็จะนำสินค้าแต่ละกลุ่ม ไปเรียงบนชั้นวางสินค้า จากบนลงล่าง
  • สินค้า Item A ที่เป็นสินค้าขายดี จะวางบนชั้นวางสินค้าทั้งหมด 3 แถว
  • สินค้า Item B ที่ขายได้ปานกลาง จะวางบนชั้นวางสินค้าทั้งหมด 2 แถว
  • สินค้า Item C สินค้าที่ขายไม่ดี จะวางบนชั้นวางสินค้าประมาณ 1 แถว
จากนั้นจะมีการวิเคราะห์จากข้อมูลที่มี เพื่อหาเทรนด์สินค้าใหม่ หรือ New Product เข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม
 

เมื่อเป็นแบบนี้ สินค้า Item C ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายไม่ดี สุดท้ายก็จะถูกเอาออกไปจากชั้นวาง และ จะนำสินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาวางขายแทน เมื่อมีระบบสินค้าหมุนเวียนแบบนี้ ก็จะทำให้ มีสินค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และมีข้อดีที่น่าสนใจในด้านอื่นๆ อีกเช่น สามารถควบคุมปริมาณสินค้าในคลัง ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และใช้พื้นที่ในการจัดเก็บคลังสินค้า ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 
การจัดเรียงสินค้าแบบ ‘ปลาหมึกแถวบน’ จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่การโชว์สินค้าเท่านั้น แต่มันคือ จิตวิทยาการตั้งราคา ที่ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของลูกค้า หากเราสามารถจัดลำดับสินค้าด้วยแนวคิดนี้ จะกระตุ้นให้ลูกค้าเลือกตัวเลือกที่ต้องการได้โดยไม่ต้องลดราคาอีกด้วย และไม่ใช่แค่ร้านสะดวกซื้อหรือค้าปลีกเท่านั้นที่ใช้ได้ บรรดาร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรม ก็ประยุกต์เอาเรื่องนี้ไปใช้ได้เช่นกัน

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
Anchor text คืออะไร สำคัญยังไงกับการทำ SEO
493
Trung Nguyen Legend กาแฟท้องถิ่นเวียดนาม ชนะสตาร..
347
เจ้าของ สุคิยะ บริษัทเชนร้านอาหาร ใหญ่สุดในญี่ปุ..
347
Joe Wings ไก่ทอดไทย น้องใหม่โอ้กะจู๋ ลุยตลาด 3 ห..
344
กลยุทธ์ "ชาสามม้า" ตำนานน้ำชา 88 ปี ที่หลายคนเคย..
335
หลังบ้านของธุรกิจร้านอาหารที่โตไว มีอะไรซ่อนอยู่!
328
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด