บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การตลาด บริหารธุรกิจ    การขาย
452
2 นาที
27 ธันวาคม 2567
ขายดีกว่าคู่แข่ง! ด้วยกลยุทธ์ Customer Retention Rate
 

การจะทำให้ธุรกิจสามารถเติบโต ไม่ใช่แค่การหาลูกค้าใหม่ แต่ยังต้องรักษาลูกค้าเก่าเอาไว้ด้วย เพราะหากเรามุ่งทำการตลาดแต่กับลูกค้าใหม่ ๆ เพียงอย่างเดียว แล้วสุดท้ายก็ไม่สามารถทำให้เขากลับมาซื้อสินค้าหรือบริการของเราซ้ำอีกครั้งได้ กลุ่มคนเหล่านั้นก็ต้องหายจากธุรกิจของเราไปซึ่งอาจทำให้เราต้องเหนื่อยหาลูกค้าใหม่ ๆ อยู่เสมอ ยิ่งอัตรากลับมาซื้อซ้ำ หรือ “Retention Rate” มีน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลเสียต่อธุรกิจมากตามไปด้วย
 
 
สิ่งที่จำเป็นมากเพื่อให้ขายดีกว่าคู่แข่งคือ การรักษาฐานลูกค้าเดิม (Customer Retention) ไว้ไม่ให้เปลี่ยนใจไปใช้บริการคู่แข่ง ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการสร้าง Brand loyalty หรือ ความภักดีต่อแบรนด์ และการการันตีว่าสินค้าและบริการของแบรนด์จะคงคุณค่าได้ตลอดไป อย่างไรก็ดี มีวิธีเช็กอย่างแน่นอนในทุก ๆ ไตรมาสว่าแบรนด์สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ได้มากแค่ไหน ด้วยสูตร 
 
Customer Retention Rate (CRR) = [(จำนวนลูกค้าสุทธิ ณ วันสิ้นสุดไตรมาส – จำนวนลูกค้าใหม่ที่หาได้ในไตรมาสนั้น ๆ) / จำนวนลูกค้าเก่าที่มีอยู่แล้ว]*100
 
ยกตัวอย่างเช่น เริ่มต้นไตรมาสที่ 1 ของปีธุรกิจมีลูกค้าเก่า 1,000 คน และเมื่อสิ้นสุดไตรมาส นับจำนวนลูกค้าสุทธิได้ 1,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีลูกค้าใหม่จำนวน 50 คน เมื่อนำมาคำนวณตามสูตร จะได้ 
 
Customer Retention Rate = [(1,000 – 50) / 1,000]*100 = 95%
 
โดยมีผลสำรวจระบุว่า การทำตลาดเพื่อหาลูกค้าใหม่นั้นใช้งบประมาณ “มากกว่า” การทำตลาดเพื่อรักษาลูกค้าเดิมมากถึง 25 เท่า และถ้าธุรกิจใดก็ตามสามารถคงอัตราลูกค้าเก่าไว้ได้แค่ 5% ก็จะมีโอกาสเพิ่มกำไรได้มากขึ้นถึง 25% เหตุผลที่มองว่าลูกค้าเก่ามีผลต่อการสร้างรายได้คือ
 

 
ลดต้นทุนในการโปรโมทแบรนด์
 
ลูกค้าเก่าที่คุ้นเคยกับสินค้าเป็นอย่างดี มีแนวโน้มที่จะสนใจสินค้าเรามากกว่าลูกค้าใหม่ ขอแค่สร้างแรงจูงใจให้ “ซื้อซ้ำ” ได้ จะแตกต่างกับลูกค้าใหม่ที่จะต้องทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างการรับรู้ตั้งแต่เริ่มต้น
 
สามารถเพิ่ม Brand Loyalty ได้
 
ดูจากธุรกิจดังๆที่จะให้บริการฐานลูกค้าเก่าเป็นอย่างดี ลูกค้าเก่าก็จะรู้สึกพึงพอใจที่แบรนด์ไม่เคยทอดทิ้ง และภักดีต่อ
แบรนด์มากขึ้นเรื่อยๆ
 
สามารถเพิ่ม Customer Lifetime Value
 

หมายถึงรายได้ที่ลูกค้าหนึ่งคนสร้างให้กับธุรกิจตลอดช่วงเวลาที่เขาเป็นลูกค้า ยิ่ง Customer Lifetime Value มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าแบรนด์มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ามากเท่านั้น
 
ซึ่ง Customer Retention Rate สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชัน การจัดแคมเปญสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่เป็นสมาชิกหรือที่เคยซื้อสินค้าไปแล้วเท่านั้น เป็นต้น เช่นเดียวกับธุรกิจสตาร์ตอัพหลายแห่งที่มีการเติบโตมาก ๆ จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก ที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่าพันล้านเหรียญ USD เช่น Facebook, Airbnb, Netflix, Spotify ฯลฯ ก็มักจะโฟกัสที่ Retention Rate เป็นหลัก เพื่อทำให้ผู้คนกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำ จนธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
 
 
หรือหากไปดูในกลุ่มของธุรกิจแฟรนไชส์หลายแบรนด์ก็เน้นการรักษาลูกค้าเก่าเพื่อให้เกิด Customer Retention Rate มากขึ้น ยกตัวอย่าง Starbuck ที่ออกแบบระบบ Starbuck Rewards Card ที่สามารถเติมเงินได้ง่ายไม่กำหนดขั้นต่ำในการเติม

อีกทั้งยังทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อและใช้บริการซ้ำเพื่อรับสิทธิประโยชน์มากมายเช่น สมาชิก Gold Level รับเครื่องดื่มฟรีเมื่อสะสมดาวครบ 120 ดวง เป็นต้น หรือที่เห็นภาพชัดเจนที่สุดก็คือ 7-Eleven ที่มีระบบ All Member ให้ลูกค้าเก่าได้รับแต้มสะสมและนำแต้มดังกล่าวมาใช้เป็นส่วนลดหรือชิงรางวัลใหญ่ต่างๆ ได้
 
กลยุทธ์ Customer Retention Rate สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มใหม่อาจจะยังไม่เหมาะกับการนำมาใช้ จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักมากขึ้น เมื่อเติบโตถึงระดับหนึ่งจึงควรใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มรายได้และทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตขยายสาขาได้มากขึ้นเรื่อยๆ 

ติดตามได้ที่ Add LINE id: @thaifranchise
 
 
 
 
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
619
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
531
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
486
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
454
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
434
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
428
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด