ผู้ซื้อแฟรนไชส์หรือแฟรนไชส์ซี นอกจากจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ (Franchise Fee) ให้กับเจ้าของแฟรนไชส์หรือแฟรนไชส์ซอร์แล้ว ยังมีค่าสิทธิ (Royalty Fee) หรือค่าตอบแทนต่อเนื่อง ที่จะต้องจ่ายเป็นรายเดือนให้กับแฟรนไชส์ซอร์อีกด้วย ซึ่งผู้ซื้อแฟรนไชส์หลายคนอาจมีคำถามว่า ถ้าแฟรนไชส์ซีไม่จ่ายค่าสิทธิรายเดือนจะได้หรือไม่ 
 

วันนี้ www.ThaiFranchiseCenter.com มีข้อมูลมานำเสนอให้ทราบ
 

Royalty Fee คืออะไร 
 

ค่าสิทธิ (Royalty Fee) หรือค่าตอบแทนต่อเนื่องที่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี ส่วนมากจะเรีบกเก็บจากแฟรนไชส์ซีเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายต่อเดือน ประมาณ 3%, 5% หรือ 10% ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นเงินกินเปล่าที่ของแฟรนไชส์ซอร์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่เป็นเงินที่แฟรนไชส์ซอร์จะนำไปต่อยอดและพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ทั้งระบบ หรือเรียกง่ายๆ คือ ช่วยเหลือและสนับสนุนแฟรนไชส์ซีด้านต่างๆ เพื่อผลประโยชน์จะได้กลับมาสู่แฟรนไชส์ซี เช่น ยอดขาย และผลกำไร 
 

นอกจากค่า Royalty Fee ที่แฟรนไชส์ซีจะต้องจ่ายเป็นรายเดือนให้แฟรนไชส์ซอร์แล้ว ยังมีค่า Marketing Fee ที่จะต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์เป็นรายเดือนอีกด้วย เพราะเงินส่วนนี้แฟรนไชส์ซอร์จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการด้านการตลาด ทั้งการประชาสัมพันธ์และกิจกรรมส่งเสริมการขาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยสร้างยอดขายให้แฟรนไชส์ซีอยู่ได้ 

 

ถ้าถามว่าค่า Royalty Fee และ Marketing Fee แฟรนไชส์ซีไม่ต้องจ่ายได้หรือไม่? คำตอบก็คือ "ได้" และ "ไม่ได้" ถ้าแฟรนไชส์ซีไม่อยากจ่ายค่า Royalty Fee และ Marketing Fee ก็ต้องเลือกซื้อแฟรนไชส์แบบสร้างอาชีพ หรือ Product Franchise จ่ายเงินค่า Franchise Fee ครั้งเดียว แต่ต้องซื้อวัตถุดิบบางส่วนจากแฟรนไชส์ซอร์เพื่อความเป็นมาตรฐาน
 

ส่วนแฟรนไชส์ซีที่ซื้อแฟรนไชส์แบบ Business Format Franchise แฟรนไชส์ที่มีระบบการจัดการที่เป็นมาตรฐาน เป็นแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ ร้านขนาดใหญ่ ใช้เงินลงทุนสูงๆ หลักแสน หลักล้านบาท เช่น กาแฟพันธุ์ไทย เชสเตอร์ ออฟฟิศเมท 
 

 

นักเขียน

คุณมนตรี ศรีวงษ์ (อ๊อฟ)