บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์    ความรู้ทั่วไประบบแฟรนไชส์
4.5K
6 นาที
20 มีนาคม 2562
เจาะลึก! การเขียนแผนธุรกิจเพื่อกู้แบงค์ของแฟรนไชส์ซี่


เนื่องจากแฟรนไชส์ซีส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจขนาดเล็กและกลาง จึงขอแนะนำให้เขียนแผนธุรกิจเพื่อใช้กู้เงินต่อสถาบันการเงิน โดยรูปแบบข้อแนะนำของธนาคารเอสเอ็มอี ควรมีรูปแบบในการเขียนดังต่อไปนี้

1.บทสรุปผู้บริหาร
  • ความเป็นมาและสถานะของกิจการในปัจจุบัน
    • ชื่อและที่ตั้งกิจการ / ชื่อผู้บริหารที่สำคัญ / ประเภทสินค้าที่ขาย / ยี่ห้อสินค้า (ถ้ามี)
    • กลุ่มลูกค้าหลัก / ส่วนแบ่งตลาด / คู่แข่งที่สำคัญความสามารถในการแข่งขันของกิจการ
    • ฐานะของกิจการ (เงินทุน-เงินกู้) และผลประกอบการในปัจจุบัน
       
  • โอกาสทางธุรกิจ และแนวคิดในการจัดทำโครงการ
    • ความเป็นมาของโครงการ / วัตถุประสงค์ของโครงการ (เพื่อขยายสาขา / เพื่อจัดตั้งกิจการใหม่ / เพื่อปรับปรุงกิจการ)
    • การลงทุนในโครงการ และแหล่งที่มาของเงินทุน
       
  • วัตถุประสงค์ของการจัดทำแผนธุรกิจ (เพื่อขอสินเชื่อ, หาผู้ร่วมลงทุน หรือปรับปรุงกิจการ เป็นต้น )
  • กลยุทธ์ในการบริหารโครงการ
    • ด้านการจัดการ / การจัดซื้อสินค้าและการบริหารสินค้าคงคลัง / การตลาด และการเงิน
       
  • ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการ
    • ระยะเวลาคืนทุน (Pay -back Period)
    • จุดคุ้มทุน (Break-even Point)
    • มูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุน (NPV)
    • อัตราผลตอบแทนของการลงทุน (IRR) 
2.ความเป็นมาของโครงการ
  • ประวัติ และความเป็นมาของกิจการ
    • แนวความคิดในการก่อตั้งกิจการ
    • ผู้ก่อตั้งกิจการ
    • ปีที่ก่อตั้ง
    • ทุนจดทะเบียน / ทุนที่ชำระแล้ว
    • การเติบโตของกิจการ (ได้แก่ การเพิ่มทุน การลงทุนขยายกิจการ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ฯลฯ)
    • ความสำเร็จครั้งสำคัญของกิจการ (ถ้ามี)
       
  • รายชื่อหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น และสัดส่วนหุ้นที่ถือครอง
  • ประวัติของหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้น
  • สรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา (ย้อนหลัง 3 ปี)
  • กรณีที่เป็นโครงการใหม่ ให้ระบุชัดเจนว่าจะเริ่มดำเนินงานเมื่อใด (จัดทำเป็นตารางแสดงขั้นตอนและระยะเวลาในการจัดตั้งจนถึงวันเริ่มดำเนินงาน) 
3.การวิเคราะห์อุตสาหกรรม
  • ภาพรวมของอุตสาหกรรม 
  • แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม 
  • มาตรฐานในการประกอบการในอุตสาหกรรม (เช่น ต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO, QS, GMP, H A CCP ฯลฯ) ตลอดจน Benchmark อื่น ๆ ที่สำคัญในอุตสาหกรรม 
  • นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ (ถ้ามี) 
4.การวิเคราะห์สถานการณ์ (SWOT Analysis)


ภาพจาก goo.gl/images/xqgW4z
  • จุดแข็งของกิจการ :
    ปัจจัยภายในที่ทำให้กิจการมีความได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งหลัก / คู่แข่งรอง
     
  • จุดอ่อนของกิจการ :
    ปัจจัยภายในที่ทำให้กิจการมีความเสียเปรียบในการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งหลัก / คู่แข่งรอง
     
  • โอกาสของธุรกิจ :
    ปัจจัยภายนอกที่จะเสริมให้กิจการเติบโตต่อไปในอนาคต
     
  • อุปสรรคของธุรกิจ :
    ปัจจัยภายนอกที่จะทำให้กิจการไม่รุ่งเรือง หรือเติบโตช้า 
5.วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมาย (Vision, Mission & Goals)
  • วิสัยทัศน์ ( Vision )
    คือ ภาพของกิจการที่ต้องการจะเป็นในอนาคต โดยมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงในปัจจุบัน
     
  • พันธกิจ ( Mission )
    คือ งานที่ต้องทำเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของกิจการ
     
  • เป้าหมาย ( Goal )
    คือ การกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการจากพันธกิจของกิจการ โดยกำหนดเป็นข้อ ๆ แบ่งเป็นเป้าหมายระยะสั้น (1 ปี) ระยะปานกลาง (3-5 ปี) และระยะยาว (5 ปีขึ้นไป) ทั้งนี้เป้าหมายในแต่ละระยะเวลาควรสอดคล้องกัน สามารถวัดผลได้ และระบุเวลาที่แล้วเสร็จอย่างชัดเจน 
6. แผนเชิงกลยุทธ์
  • กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Level Strategy) คือสิ่งที่บอกถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของกิจการ ได้แก่
    • มุ่งเน้นการเติบโต (Growth Strategy) เป็นการขยายธุรกิจไปในทิศทางต่าง ๆ เช่น

      - ลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกื้อหนุนธุรกิจเดิม โดยเป็นธุรกิจที่อยู่ต้นทางหรือ ปลายทางของธุรกิจเดิม ( Forward – Backward Integration )
      - ลงทุนในธุรกิจใหม่ที่แตกต่างไปจากธุรกิจเดิมโดยสิ้นเชิง ( Conglomerate Diversification) เพื่อกระจายความเสี่ยงของการลงทุน
      - จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ( A lliance Strategy ) เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้ธุรกิจเดิมโดยไม่ต้องลงทุนเอง
       
    • กลยุทธ์คงตัว (Stability Strategy) ไม่มีการลงทุนใด ๆ ในช่วงนี้ แต่มุ่งเน้นในธุรกิจเดิมให้เข้มแข็ง
    • การลดขนาดกิจการ ( Retrenchment Strategy )

      - ขายทิ้งกิจการบางส่วน (ที่ไม่ทำกำไร หรือขาดทุน)
      - ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ( Restructure)
       
  • กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Level Strategy) คือ การดึงจุดเด่นขององค์กรขึ้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์และ ส่งเสริมกลยุทธ์ระดับองค์กร
    • เป็นผู้นำด้านต้นทุน (ที่ต่ำกว่าคู่แข่งขัน) ( Cost Leadership Strategy) ทำให้สามารถจำหน่าย สินค้าได้ในราคาถูกกว่าคู่แข่ง 
    • เน้นความแตกต่างของสินค้า ( Differentiation Strategy) สามารถสร้าง Value A dded ใหม่ๆ ให้กับสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ของผู้บริโภค 
    • มุ่งเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ( Focus Strategy) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ทำให้กิจการสามารถตั้งราคาสินค้าได้สูงขึ้น
       
  • กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการ (Functional Level Strategies) ในด้านต่างๆ ได้แก่ 
    • การบริหารจัดการ เป็นการสร้างระบบการบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุตามกลยุทธ์ระดับธุรกิจ 
    • การตลาด เป็นการกำหนดแผนงานด้านการตลาดเพื่อให้บรรลุตามกลยุทธ์ระดับธุรกิจ 
    • การจัดซื้อสินค้า เป็นการกำหนดแผนงานด้านการจัดซื้อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับธุรกิจ 
    • การเงิน เป็นการกำหนดแผนงานด้านการเงินให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระดับธุรกิจ 
7. แผนการบริหารจัดการ 


ภาพจาก goo.gl/images/LZhG8a

ก่อนและหลังการดำเนินการตามโครงการใหม่
  • รูปแบบธุรกิจ (กิจการเจ้าของคนเดียว ,ห้างหุ้นส่วน ,บริษัทจำกัด ฯลฯ)
  • โครงสร้างองค์กร และผังบริหาร
  • ทีมผู้บริหารและหลักการบริหารงาน
    • รายชื่อคณะกรรมการ และกรรมการบริหาร
    • ลักษณะการบริหารงาน (เช่นการรวมอำนาจ หรือกระจายอำนาจ เป็นต้น)
กรณีการจัดตั้งกิจการใหม่ ให้แสดงความสัมพันธ์ของการบริหารงานระหว่างกิจการเดิมและ กิจการใหม่ให้ชัดเจน
แผนด้านบุคลากร
  • กำลังคนในปัจจุบัน อัตราการหมุนเวียนของพนักงาน และแผนด้านกำลังคน (การสรรหา และ จัดเตรียมบุคลากร)
  • แผนพัฒนาบุคลากร
  • ผู้สอบบัญชี และที่ปรึกษากฎหมาย (ถ้ามี)
  • พันธมิตรทางธุรกิจ และการให้ความช่วยเหลือ (ถ้ามี)
  • สรุปจุดเด่น ปัญหา และเป้าหมายทางการจัดการ บริหารงานโครงการ
    • สรุปจุดเด่นด้านการจัดการ บริหารงานโครงการ
    • สรุปปัญหาที่สำคัญด้านการจัดการ บริหารงานโครงการ
    • เป้าหมายทางการจัดการที่ต้องการตามแผนกลยุทธ์
    • งบประมาณที่ต้องใช้ด้านการจัดการ 
8. แผนการตลาด


ก่อนและหลังการดำเนินการตามโครงการใหม่
  • ภาพรวมของตลาด
    1. สภาวะทั่วไปของตลาด อธิบายย้อนหลัง 3 ปี และคาดการณ์ล่วงหน้า 3 ปี (ระบุที่มาของสมมติฐาน)      
    2. ขนาด หรือมูลค่าการซื้อขายของตลาด (ระบุที่มาของตัวเลขหรือสมมติฐาน และข้อจำกัดในการประมาณการด้วย)
    3. ปริมาณความต้องการของตลาด / จำนวนผู้ซื้อในตลาด
    4. ปริมาณการค้าเพื่อตอบสนองตลาด / จำนวนผู้ค้าในตลาด
       
  • ผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่าย
    1. ลักษณะและจุดเด่นผลิตภัณฑ์
    2. การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (ภาพที่ต้องการให้เป็นในสายตาของผู้บริโภค)
    3. ภาพตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ / สถานที่จัดจำหน่าย
    4. พื้นที่จำหน่าย และตลาดเป้าหมาย (ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นตลาดระดับท้องถิ่น หรือตลาดระดับประเทศ)
    5. ยอดขาย และส่วนแบ่งตลาด
       
  • กลุ่มลูกค้า
    1. ลูกค้าเป้าหมายคือใคร
    2. ลูกค้ารายใหญ่ของกิจการ 5 อันดับแรก แจก แจง ยอดขายสำหรับลูกค้าแต่ละราย และความสัมพันธ์กับลูกค้ารายพิเศษ (ถ้ามี)
    3. กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคตของโครงการคือใคร (สามารถขยายฐานลูกค้าได้หรือไม่)
       
  • การแข่งขัน และคู่แข่ง
    1. สภาพการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน
    2. คู่แข่งหลัก / คู่แข่งรองของกิจการ
    3. เปรียบเทียบยอดขาย หรือส่วนแบ่งตลาดของกิจการกับคู่แข่งหลัก
    4. เปรียบเทียบจุดแข็ง-จุดอ่อนระหว่างผลิตภัณฑ์ของกิจการกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง
    5. ลูกค้ากลุ่มเดิมมีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งหรือไม่
    6. แนวโน้มการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่
       
  • กลยุทธ์ทางการตลาด
    1. กลยุทธ์ด้านสินค้า / บริการ
    2. กลยุทธ์ด้านราคา
    3. กลยุทธ์ด้านการจัดจำหน่าย
    4. กลยุทธ์ด้านส่งเสริมการตลาดและการขาย
       
  • สรุปจุดเด่น ปัญหา และเป้าหมายทางการตลาด
    1. สรุปจุดเด่นด้านการตลาด
    2. สรุปปัญหาที่สำคัญด้านการตลาด
    3. ยอดขาย / ส่วนแบ่งตลาด และเป้าหมายทางการตลาดอื่นๆ ที่ต้องการตามแผนกลยุทธ์
    4. งบประมาณที่ต้องใช้ด้านการตลาด 
9.  การวิเคราะห์ด้านเทคนิค หรือกระบวนการซื้อมา-ขายไปของกิจการ


ก่อนและหลังการดำเนินการตามโครงการใหม่
  • กระบวนการจัดซื้อสินค้าของกิจการ และกระบวนการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้า ( แสดงในรูป Flow Chart)
  • ทำเลที่ตั้ง และแผนผังสถานที่ตั้งร้านค้า และคลังสินค้า (ถ้ามี)
    1. แผนที่ร้านค้า / คลังสินค้า (ถ้ามี)
    2. แผนผังภายในร้านค้า / คลังสินค้า (ถ้ามี)
    3. จำนวนพื้นที่ใช้สอย
    4. การได้มาซึ่งพื้นที่ (ซื้อหรือเช่า ระบุรายละเอียดการชำระเงิน ในกรณีที่เป็นการเช่าให้ระบุปีที่สัญญาเช่าหมดอายุ)
       
  • สินทรัพย์ที่ใช้ในการซื้อ-ขายสินค้า
    1. รายการเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่สำคัญ (หากยังอยู่ระหว่างการชำระเงิน ให้ระบุรายละเอียด เงื่อนไขการชำระเงิน)
    2. อายุการใช้งาน
    3. การซ่อมแซม/บำรุง รัก ษาเครื่องจักรและอุปกรณ์
       
  • ต้นทุนสินค้าที่ขาย
    1. สินค้าสำคัญและซัพพลายเออร์หลักที่กิจการติดต่อด้วย
    2. สัดส่วนต้นทุนของกิจการ (ต้นทุนสินค้าที่ขาย และต้นทุนค่าบริหาร)
    3. พยากรณ์ยอดซื้อสินค้า
       
  • การบริหารสินค้าคงคลัง และนโยบายสินค้าคงคลัง
  • การควบคุมคุณภาพการจัดซื้อสินค้า
  • สรุปจุดเด่น ปัญหา และเป้าหมายทางการซื้อ-ขายสินค้า
    1. สรุปจุดเด่นด้านการซื้อ-ขายสินค้า
    2. สรุปปัญหาที่สำคัญด้านการซื้อ-ขายสินค้า
    3. เป้าหมายทางการซื้อ-ขายสินค้าที่ต้องการตามแผนกลยุทธ์
    4. งบประมาณที่ต้องใช้ด้านการจัดซื้อสินค้า / คลังสินค้า 
10. แผนการเงิน 


ภาพจาก goo.gl/images/vQu54W

  • การลงทุนในกิจการ ( ก่อน การดำเนินงานตามโครงการ)
  • รายละเอียดเงินกู้ยืม (ถ้ามี)
    • ประเภทและวงเงินกู้
    • วัตถุประสงค์ของเงินกู้
    • อัตราดอกเบี้ย
    • การชำระคืนเงินต้น
    • ระยะเวลาปลอดหนี้
    • หลักประกันเงินกู้
       
  • การลงทุนในโครงการใหม่
  • แหล่งเงินที่ประสงค์จะขอกู้
  • รายละเอียดเงินกู้ยืม (ถ้ามี)
    • ประเภทและวงเงินกู้
    • วัตถุประสงค์ของเงินกู้
    • อัตราดอกเบี้ย
    • การชำระคืนเงินต้น
    • ระยะเวลาปลอดหนี้
    • หลักประกันเงินกู้
       
  • ประมาณการทางการเงินของกิจการในอนาคต 3-5 ปี
  • สมมติฐานทางการบัญชีและการเงิน
    • อัตราการเพิ่ม/ลดของยอดขาย ต้นทุนสินค้าที่ขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารใน แต่ละปี
    • อัตราดอกเ บี ้ยจ่าย ประมาณจากอัตราดอกเ บี ้ยจ่ายของวงเงินกู้เดิม และวงเงินกู้ใหม่ที่คาดว่าจะกู้เพิ่ม
    • สัดส่วนการขายเงินสด : ขายเงินเชื่อ
    • ระยะเวลาในการให้เครดิตแก่ลูกค้า
    • นโยบายการให้ส่วนลดการค้า และส่วนลดเงินสด (ถ้ามี)
    • ระยะเวลาที่ได้รับเครดิตจากเจ้าหนี้การค้า
    • ระยะเวลาในการเก็บ รัก ษาสินค้าคงคลัง
    • วิธีการตัดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ถาวรแต่ละประเภท
    • อัตราภาษีเงินได้
  • ประมาณการงบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดย
    • ประมาณการปีที่ 1 เป็นรายเดือน
    • ประมาณการปีที่ 2 และ 3 เป็นรายไตรมาส
    • ประมาณการหลังปีที่ 3 เป็นรายปี (ถ้ามี)
       
  • การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
     
  • อัตราส่วนวัดสภาพคล่อง หรือความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น (Liquidity Ratio)
    • อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio)
    • อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว (Quick Ratio)
       
  • อัตราส่วนวัดความสามารถในการทำกำไร (Profitability Ratio)
    • อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin Ratio )
    • อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit Margin Ratio)
    • กำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net Profit Margin)
    • อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์รวม (Return on Asset - ROA)
    • อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity - ROE)
       
  • อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพการจัดการเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital Management Ratio)
    • อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (Total Assets Turnover Ratio)
    • ระยะเวลาในการจัดเก็บหนี้ (Average Collection Period - Day)
    • ระยะเวลาในการชำระหนี้เจ้าหนี้การค้า (Account Payable Turnover - Day)
    • ระยะเวลาการเก็บสินค้าคงคลัง (Inventory Turnover - Day)
       
  • อัตราส่วนวัดความสามารถในการชำระหนี้ และความสามารถในการก่อหนี้เพิ่ม
    • อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม (Debt Ratio)
    • อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio)
    • อัตราส่วนแสดงความสามารถในการชำระดอกเบี้ยจ่าย (Interest Coverage Ratio)
       
  • วิเคราะห์การเติบโตของกิจการและแนวโน้มการเติบโต (Trend Analysis) 
 
  • วิเคราะห์อัตราผลตอบแทนของการลงทุน
    • ระยะเวลาคืนทุน (Pay-back Period)
    • จุดคุ้มทุน (Brake-even Point)
    • มูลค่าปัจจุบันสุทธิของการลงทุน (Net Present Value : NPV)
    • อัตราผลตอบแทนของโครงการ (Internal Rate of Return : IRR)
       
  • สรุปจุดเด่น ปัญหา และเป้าหมายทางการเงิน
    • สรุปจุดเด่นด้านการเงิน
    • สรุปปัญหาที่สำคัญด้านการเงิน
    • เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการตามแผนกลยุทธ์
11. การวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการ
  • ปัจจัยที่จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ และไม่ประสบความสำเร็จ
  • ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ผลกระทบต่อโครงการ และแผนรองรับ (แนวทางการแก้ไข)
  • การประเมินสถานการณ์จำลอง ( Sensitivity A nalysis)
    • กรณีที่ดีกว่าปกติ ( Best Case ) เช่น ยอดขายเพิ่ม 10%
    • กรณีปกติ ( Base Case ) ยอดประมาณการปัจจุบัน
    • กรณีที่ต่ำกว่าปกติ ( Worst Case ) เช่น ยอดขายลด 10% 
12. แผนการปรับปรุงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบการ

ดังเช่น
  • การปรับปรุงระบบบัญชี / ระบบบัญชีสินค้าคงคลัง / การขนส่ง / การจัดเก็บ / ระบบการผลิต / การตลาด
  • การขอรับรองระบบมาตรฐาน เช่น ISO, GMP, H A CCP และอื่นๆ ที่จำเป็น 
13. ภาคผนวก

แหล่งที่มาของข้อมูล และสำเนาเอกสารต่างๆ พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องโดยผู้มีอำนาจลงนามและประทับตรา (ถ้ามี)

14.งบการเงิน

แต่โดยสรุปแล้ว หัวข้อที่ใช้ในการเขียนโครงการขอกู้เงิน อย่างน้อยที่สุดแล้วต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ
  1. หนังสือเสนอขอกู้เงินกับสถาบันการเงิน
  2. บทสรุปผู้บริหาร
    เป็นการสรุปจากแผนต่างๆ ทั้งด้านการตลาด การจัดการ การผลิต และการเงิน เพื่อให้ทราบถึงพันธกิจขององค์กร วัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร พร้อมทั้งแผนที่จะไปสู่เป้าหมายอย่างย่อๆ
  3. ภาพรวมของกิจการ
    • ประวัติความเป็นมาของกิจการกล่าวถึงแนวคิดและความเป็นมาของกิจการว่าเกิดได้อย่างไร อะไรคือเป้าหมาย
    • สถานที่ตั้ง เป็นที่ตั้งของกิจการ หรือโรงงาน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อได้สะดวก
    • ผู้ถือหุ้นและผู้บริหาร/ประสบการผู้บริหาร มีใครบ้างเป็นผู้ร่วมทุน จำนวนเงินลงทุน
       
  4. วัตถุประสงค์ที่จะขอสินเชื่อ
    • วงเงินสินเชื่อที่ต้องการ โดยแยกเป็นประเภทของสินเชื่อ เช่น เงินกู้ เงินทุนหมุนเวียน (O/D)
    • จะนำสินเชื่อที่ขอครั้งนี้ไปทำอะไร
    • เงื่อนไขที่ต้องการมีอะไรบ้าง เช่น ระยะเวลาการชำระคืน อัตราดอกเบี้ย
    • หลักประกันที่เสนอ รายละเอียดหลักประกัน มูลค่าหลักประกัน
       
  5. ลักษณะและโครงสร้างธุรกิจ
    • สินค้าและบริการมีอะไรบ้าง
    • การตลาด การจัดจำหน่ายในประเทศ ต่างจังหวัดหรือกรุงเทพฯ เป็นสัดส่วนเท่าใด ระยะเวลาการให้เครดิตกี่วัน
    • ตลาดเป้าหมายที่ต้องการขยายเพิ่มขึ้น กลุ่มลูกค้า ขนาดของตลาด กลยุทธ์และแผนการตลาด
    • การวิเคราะห์อุตสาหกรรม, คู่แข่ง
       
  6. ลักษณะของโรงงานและแผนการผลิต
  7. ข้อมูลทางการเงิน
  8. รายละเอียดการใช้บัญชีต่างๆ
  9. ภาคผนวก เช่น ข้อมูลลูกค้า, การวิเคราะห์คู่แข่ง ระบุคู่แข่งขันรายใหญ่ 3 ราย
หลักการพิจารณาปล่อยกู้


ภาพจาก goo.gl/images/G6wbEn

สิ่งที่ผู้กู้เงินทุกรายกังวลก็คือ จะได้รับการอนุมัติเงินกู้ตามวงเงินที่ขอไปหรือไม่ และทุกคงก็คงอยากรู้ว่า แล้วทางฝ่ายผู้ให้กู้ใช้กฏเกณฑ์หรือหลักการอะไรมาพิจารณาโครงการของผู้ขอกู้ หนังสือจะขอให้ข้อมูลเพียงคร่าวๆ เพื่อให้ผู้ที่สนใจลงทุนขอซื้อแฟรนไชส์ทราบอย่างง่ายๆ ดังนี้

ธนาคารปล่อยกู้อย่างไร
  • หลัก  3 Ps
    1. วัตถุประสงค์การกู้  (Purpose)
    2. การชำระหนี้  (Payment)
    3. การป้องกันความเสี่ยง  (Protection)
       
  • หลัก  5 Cs
    1. ลักษณะของผู้กู้  (Character)
    2. เงินทุนของผู้กู้  (Capital)
    3. ความสามารถในการชำระหนี้  (Capacity)
    4. มูลค่าหลักประกัน  (Collateral)
    5. เงื่อนไขอื่น  (Conditions)
ในทางปฏิบัติแล้ว  สถาบันการเงินนอกจากจะพิจารณาตามหลักคิดนี้แล้ว  ยังพิจารณาความถูกต้องและความเป็นได้ในแผนธุรกิจที่เสนอมาเพื่อขอกู้ด้วย  หนึ่งในเอกสารที่มักจะนำไปพิจารณาคืองบการเงินและงบกระแสเงินสดล่วงหน้า ซี่งผู้ให้กู้จะสามารถใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ  มาคำนวณหาความเป็นไปได้ในด้านต่างๆ

การวิเคราะห์ความเป็นไปได้


ผู้ให้กู้นอกจากจะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของเชิงธุรกิจแล้ว ยังมักจะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการเงินด้วย ซึ่งจะขอยกตัวอย่างมาเพื่อให้พอทราบ เนื่องจากมีตำราอื่นอีกมากมายที่กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้  ตัวอย่างการวิเคราะห์ เช่น
  • เครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนโครงการ
    1. ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period)
    2. มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value : NPV)
    3. อัตราผลตอบแทนลดค่า (Internal Rate of Return : IRR)
    4. ดัชนีการทำกำไร (Profitability Index : PI)
       
  • การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด เพื่อตรวจสอบดูว่าจะเกิดปัญหาติดขัดสภาพคล่องในระหว่างดำเนินธุรกิจหรือไม่
ในปัจจุบัน เครื่องมือวิเคราะห์ทางการเงินเหล่านี้ สถาบันทางการเงินมักจะมีโปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ ช่วยให้ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น แต่ในฐานะผู้กู้เงินที่มักจะไม่ชำนาญการวิเคราะห์ทางการเงิน อย่างน้อยก็ควรจะพอมีความรู้ความเข้าใจว่าเครื่องมือเหล่านี้คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร

ในทางปฏิบัติจริง ต้องยอมรับว่าสถาบันการเงินนอกจากจะพิจารณาแผนหรือโครงการของผู้ขอกู้ตามหลักการพิจารณาที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ความจริงของสังคมไทยก็คือ ผู้ที่มีฐานะการเงินดีอยู่แล้ว ผู้ที่มีตำแหน่งทางสังคม หรือแม้กระทั่งผู้ที่มีหลักทรัพย์ที่สามารถนำมาค้ำประกันได้ ก็จะมีโอกาสได้รับการพิจารณาอนุมัติง่ายกว่า


ดังนั้น ผู้ที่คิดจะลงทุนทำธุรกิจแฟรนไชส์ขนาดเล็ก หากจะใช้บริการสถาบันการเงินของรัฐในช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายและงบสนับสนุน ก็อาจจะง่ายกว่าขอกู้จากสถาบันการเงินทั่วไป หรือหากติดขัดก็ยังอาจจะขอใช้คำแนะนำจากศูนย์ประสานและบริการ SMEs ซึ่งเป็นหน่วยงานภายในสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพราะหน่วยงานนี้จะมีหน้าที่ให้บริการคำปรึกษาและแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน และการวางแผนธุรกิจ ในการบริหารจัดการด้านการเงิน การกำหนดกลยุทธในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในการขอคำปรึกษา
 
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.
846
ลงทุนตามเทรนด์ฮิต! 7 แฟรนไชส์ไอเดียเงินล้าน ปี ..
591
ตั้งแถวใหม่ 10 แฟรนไชส์ น่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 68
510
แฟรนไชส์ชาจีน Good Me 古茗 ดังจนถูกก๊อป 600 สาขา
481
“ปิ้งย่าง” ธุรกิจหมื่นล้าน! มีแฟรนไชส์ไหน น่าลง..
472
Shake Shack จากรถเข็นขายฮอทดอกในนิวยอร์ก สู่แฟรน..
447
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด