เป็นผลมาจากการทุ่มงบฯสร้างแบรนด์ เอส.บี.ผ่านสื่อทีวีเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2541 สวนกระแสผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่หยุดการทำกิจกรรมการตลาด เนื่องจากธุรกิจอสังหาฯขณะนั้นอยู่ในภาวะซบเซา
"คงต้องบอกว่า ตอนนั้นทุกคนสต็อป แต่เราสตาร์ต ขณะเดียวกัน เอส.บี.ก็เซ้ง (เช่าพื้นที่ระยะยาว) โชว์รูมบนห้างต่อจากเจ้าของเดิมที่ยกเลิกสัญญาเพื่อขยายช่องทาง จำหน่าย เพราะ เอส.บี.โตมาจากการขายในห้าง"
การขยายพื้นที่โชว์รูมบนห้างสรรพสินค้าในขณะนั้น ยังเป็นการรองรับแผนการขยายไลน์เฟอร์นิเจอร์กลุ่มใหม่ๆ จากเดิม เอส.บี.จะเน้นเฟอร์นิเจอร์กลุ่มห้องนอนเป็นหลัก ในปี 2541 บริษัทได้เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์ภายใต้แบรนด์ Koncept จับกลุ่มลูกค้าระดับบี ระดับราคา 2-4 หมื่นบาท เพื่อรองรับลูกค้าที่มีกำลังซื้อลดลงในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เนื่องจากนโยบายของ เอส.บี.ไม่ต้องการลดคุณภาพสินค้าลง และตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่ผ่านมา แบรนด์ Koncept ก็ได้รับการตอบรับที่ดี มีวอลุ่ม (จำนวน) การขายใกล้เคียงกับแบรนด์ เอส.บี.
ต่อมาในปี 2544 บริษัทได้แตกไลน์สินค้าสู่กลุ่มเฟอร์นิเจอร์บิลต์-อิน สไตล์อิตาเลียน ภายใต้ แบรนด์ Zelection จับกลุ่มลูกค้าระดับเอ ราคาเริ่มต้นที่ 2-3 หมื่นบาท เนื่องจากมองเห็นช่องว่างการตลาด 3 อย่างของเฟอร์นิเจอร์บิลต์-อินในขณะนั้นคือ
1.ใช้เวลาในการติดตั้งนาน 2.เมื่อติดตั้งแล้ว ไม่ตรงตามแบบที่ดีไซน์ไว้ในตอนแรก และ 3.ราคาแพง Zelection จึงเป็นเฟอร์นิเจอร์บิลต์-อิน ที่มีส่วนผสมระหว่างเฟอร์นิเจอร์น็อกดาวน์กับเฟอร์นิเจอร์สำเร็ จรูป ใช้เวลาผลิตเพียง 4 วัน และติดตั้งเพียง 4 ชั่วโมง จากเดิมจะใช้เวลาเฉพาะการติดตั้งประมาณ 3 สัปดาห์
ในปี 2545 บริษัทยังได้แตกไลน์สู่เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวภายใต้แบรนด์ Cucine ซึ่งเป็นจังหวะที่ธุรกิจอสังหาฯเริ่มฟื้นตัว และหันมานิยมแถมเฟอร์นิเจอร์ครัวในโครงการจัดสรรกันมากขึ้น ส่งผลให้ชุดครัวเติบโตอย่างรวดเร็ว มีลูกค้าหลายโครงการ เช่น โครงการจัดสรรของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ โครงการเดอะคริส รัชดา ของกฤษดานคร ฯลฯ
และในปี 2546 ก็ได้เปิดตัวแบรนด์ Fabrio เป็นเฟอร์นิเจอร์โซฟาและของตกแต่งที่ทำจากผ้า เช่น หมอน ผ้าม่าน รองรับเทรนด์ของลูกค้าที่ต้องการของตกแต่งที่มีแบบ-ลวดลายในทิศ ทางเดียวกัน โดยจุดเด่นคือโซฟาผ้าที่สามารถถอดมาทำความสะอาดได้ทุกชิ้น และล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เอส.บี.ก็ได้เปิดตัวนวัตกรรม E1 มาตรฐานเฟอร์นิเจอร์ปลอดสารพิษ