52K
29 ธันวาคม 2552

ปอกเปลือย5 ธุรกิจยอดฮิต ปีเสือยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่
 

 

        ย้อนกลับไปราว 4-5 ปีที่ผ่านมา หากจะระบุถึงธุรกิจยอดฮิตที่เกิดขึ้นราวดอกเห็ด มีผู้ประกอบการทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่า แห่กันลงทุนเปิดใหม่จำนวนมาก ต้องมีธุรกิจใน 5 สาขานี้แน่นอน ได้แก่ ร้านกาแฟ สปา ร้านอาหารญี่ปุ่น ตู้หยอดเหรียญ และธุรกิจการศึกษา
       
       มาถึงปัจจุบัน ธุรกิจดังกล่าวแนวโน้มความนิยมยังบูมอยู่หรือไม่ ผู้ประกอบการตัวจริงที่ล้วนประสบความสำเร็จในแต่ละสาขาของตัวเองได้มาบอกเล่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงอย่างตรงไปตรงมา รวมถึง ฟันธงทิศทางและกระแสในปี พ.ศ.2553 ว่า ทั้ง 5 ธุรกิจ ยังน่าสนใจลงทุนอยู่อีกหรือไม่ และสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่อยากโดดเข้าสู่วงการความเตรียมพร้อมอย่างไร
       

 

ดื่มกาแฟไลฟ์สไตล์ใหม่คนไทย โอกาสรวยยังมี… แต่อย่าโลภมาก
       
       ปุญชรัศมิ์ รัตนวรเสฏฐ์ เจ้าของธุรกิจร้านกาแฟ “The Coffee Maker” ยอมรับว่า รอบปีที่ผ่านมา ร้านกาแฟเกิดใหม่จำนวนมาก ทั้งขนาดใหญ่ กลาง เล็ก และจิ๋ว แทบทุกรายจะคิดคล้ายๆ กันว่า ธุรกิจนี้ทำง่ายและกำไรดี แต่ปัญหาที่ตามมา คือ หลายรายทำโดยขาดความรู้จริง อีกทั้ง เกิดมากจนตั้งในทำเลซ้ำซ้อนกัน แย่งลูกค้ากันเอง ส่งผลร้านกาแฟเกิดใหม่อัตราล้มเหลวสูงมาก

       อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวยังมั่นใจว่า ธุรกิจร้านกาแฟในปี2553 จะยังมีโอกาสประสบความสำเร็จระดับสูงเช่นเดิม เนื่องจากทุกวันนี้ การดื่มกาแฟกลายเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ของคนไทยไปแล้ว ผลสำรวจชี้ชัดว่า ปริมาณการดื่มกาแฟของคนไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี แต่ประเด็นที่อยากฝากหน้าใหม่ คือ พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะเลือกคุณภาพดีในราคาสมเหตุสมผล
      
       “ทุกวันนี้ คนไทยรู้แล้วว่า กาแฟที่มีคุณภาพดีเป็นอย่างไร ถ้าไปตั้งราคาเกินจริงอาศัยแค่ขายชื่อแบรนด์ ลูกค้าจะไม่ตอบรับมากนัก เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคจะมาอยู่ที่กินกาแฟที่ถูกลง แต่คุณภาพพอใช้ได้ สำหรับหน้าใหม่ สิ่งสำคัญต้องมีทำเลดี เรียนรู้การทำธุรกิจร้านกาแฟอย่างลึกซึ้ง และขายในราคาเหมาะสม ” ปุญชรัศมิ์ อธิบาย
 

 

       ด้านกิจจา วงศ์วารี ผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจ “94 Coffee” มองไปในแนวทางเดียวกัน คือ กระแสนิยมดื่มกาแฟของคนไทยจะเพิ่มขึ้นไปอีก แม้ว่า จะมีรายใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นล้นตลาด ส่วนคนที่อยากลงทุนธุรกิจนี้ ต้องท่องไว้ว่า ผู้บริโภคจะหันมาเลือกความคุ้มค่ามากกว่าชื่อแบรนด์ ดังนั้น หน้าใหม่ควรพิจารณาเรื่องต้นทุนการผลิตให้เหมาะสม เพื่อที่จะสามารถขายกาแฟในราคาที่ลูกค้ายอมรับได้
      
       “ผมเชื่อว่า ปีหน้าโดยรวมจะเติบโตได้ดี เทรนด์ลงทุนจะมีทุกรูปแบบ ตั้งแต่ร้านใหญ่ถึงรถเข็น โดยลูกค้าจะเลือกที่ความคุ้มค่ามากขึ้น ผู้ที่จะลงทุนใหม่ต้องพิจารณาต้นทุนด้วยว่า ถ้าลงทุนสูง ขายต่อหน่วยแพง จะตอบความต้องการของลูกค้าตัวเองได้หรือไม่ เพราะธุรกิจร้านกาแฟ หัวใจสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ คือ มีลูกค้าขาประจำ ถ้าทำให้ผู้ที่ต้องเดินผ่านหน้าร้านเป็นประจำ มาเป็นลูกค้าขาประจำได้ ร้านก็จะอยู่ได้” กิจจา ระบุ
      
       นอกจากนั้น ฝากข้อคิดว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ร้านกาแฟที่ประสบความสำเร็จ มีปัจจัยหลัก 2 ข้อ คือ ทำเลเหมาะสมบวกการเอาใจใส่ของเจ้าของร้าน ที่ควรลงมือบริหารร้านเอง ทั้งคุ้มต้นทุน พนักงาน รสชาติ และบริการ ฯลฯ

  

 ปี 53 ธุรกิจตู้หยอดเหรียญกู้ศรัทธา ผู้ลงทุนคัดกรองเหลือเฉพาะตัวจริง
       
       จิรภัทร สำเภาจันทร์ เจ้าของกิจการตู้น้ำหลอดเหรียญ “วินเซ็นท์ วอเตอร์” เล่าว่า ในรอบปีที่ผ่านมา ธุรกิจหยอดเหรียญโดยรวมเกิดปัญหา ที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ไม่ได้มาตรฐานเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยอาศัยกลยุทธ์ขายเครื่องราคาต่ำ แต่เมื่อผู้ลงทุนซื้อเครื่องไปแล้ว กลับไม่ได้รับบริการหลังการขายที่ดีพอ และไม่ได้ผลกำไรตามคำอวดอ้าง กลายเป็นปัญหาว่า ผู้ลงทุนเกิดภาพลบกับธุรกิจหยอดเหรียญ และหวาดกลัวในการลงทุน

        แต่ปี 2553 เชื่อว่า ผู้ประกอบการที่ไม่ได้คุณภาพจะทยอยปิดลงตัวเอง เหลือแต่ผู้ประกอบการตัวจริง เนื่องจากผู้ลงทุนจะมีการตรวจสอบข้อมูลอย่างถ้วนถี่ยิ่งขึ้น บริษัทที่ไม่ได้มาตรฐานจะไม่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนอีกต่อไป ในที่สุดต้องปิดตัวไปเอง
 

       “ธุรกิจตู้หยอดเหรียญยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้ลงทุน เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ย อีกทั้ง ตลาดตู้หยอดเหรียญจะมีช่องทางตลาดกว้างขึ้น จากแค่กระจุยในเมือง กระจายไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย” จิรภัทร เผย
 

        ด้านณัฐพล ประดิษฐ์ผลเลิศ เจ้าของธุรกิจตู้น้ำหยอดเหรียญ “วอเตอร์เน็ต” ชี้ว่า ปี2553 ธุรกิจตู้หยอดเหรียญจะกลับมาเติบโตสูงอีกครั้ง จากปัจจัยเศรษฐกิจฟื้นตัว และบริการผ่านตู้หยอดเหรียญต่างๆ จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น ที่สำคัญ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้คุณภาพ จะเริ่มเกิดปัญหาต่างๆ นานา จนไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ในที่สุด จะเหลือแต่มืออาชีพที่เชี่ยวชาญในธุรกิจนี้จริงๆ
      
       ส่วนตู้หยอดเหรียญที่คาดว่าจะมาแรงยังเป็นประเภทเดิมๆ ได้แก่ ตู้หยอดน้ำ ตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ และเครื่องซักผ้า และสำหรับผู้สนใจจะลงทุนธุรกิจนี้ ขอให้เลือกบริษัทที่มีบริการหลังการขายที่ดี น่าเชื่อถือ และอยากให้มองผลตอบแทนในระยะยาว มากกว่าหวังผลกำไรแบบเร่งด่วน
 

        “ผมมองว่าปีหน้า (2553) ยังเป็นโอกาส ซึ่งการลงทุนต้องคิดถึงความยั่งยืน อย่าไปหลงเชื่อ บริษัทที่ขายตู้แล้วบอกว่าจะคืนทุนใน 3-6 เดือน ในความเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้ อย่าให้ความโลภมาบังตา ขอให้พิจารณาดูบริษัทที่เป็นมืออาชีพ มีประวัติน่าเชื่อถือ มีรับประกัน และบริการหลังจากที่ดี ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่า” ณัฐพล กล่าว 

 

 เทรนด์อาหารญี่ปุ่นเริ่มแผ่ว เปิดใหม่เพียบ-ลูกค้าเท่าเดิม
       
       มาถึงธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ปริชาติ อัศวเศรณี เจ้าของร้าน “ชิบูย่า” ฉายภาพว่า ในรอบปีที่ผ่านมา กระแสอาหารญี่ปุ่นเติบโตช้าลง ขณะเดียวกันยังเกิดผู้ประกอบการรายใหม่ขึ้นจำนวนมาก ซึ่งส่วนมากเน้นเมนูแปลกๆ เฉพาะเจาะจงไม่ได้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบครบวงจร ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่นิยมอาหารญี่ปุ่นยังเป็นกลุ่มเดิมๆ ไม่มีกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นมากนัก
 

 

        ทั้งนี้ จากกระแสนิยมที่เริ่มเบาลง และผู้บริโภคมีจำนวนเท่าเดิม แต่มีทางเลือกที่มากขึ้น ประกอบกับการบริหารจัดการของร้านขนาดกลางและเล็กที่นับวันจะห่างชั้นกับร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร้านที่ไม่มีศักยภาพจริงๆ มีอัตราปิดตัวเองสูงมาก
      
       ส่วนผู้ที่สนใจจะมาทำธุรกิจนี้ แนะนำว่า ควรจะต้องคำนวณต้นทุนให้รอบคอบอย่างดีที่สุด และต้องหาจุดเด่น หรือจุดต่างที่โดนใจลูกค้าจริงๆ ไม่เช่นนั้น โอกาสประสบความสำเร็จอยู่ในขั้นเหนื่อยหนัก

       ขณะที่ โยชิโอะ วาตานูกิ เจ้าของร้านญี่ปุ่นเจ้าดัง ย่านสี่พระยา อย่างร้าน “ฮานาย่า” เผยว่า ยอดขายของร้านอาหารญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะลดลงประมาณ 20-30% ตามสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว คนกินอาหารนอกบ้านน้อยครั้งลง ประกอบกับชาวญี่ปุ่นที่มาทำงานในเมืองไทย ซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญของร้านอาหารญี่ปุ่น ทยอยกลับบ้านเกิดจำนวนมาก เพราะบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนหลายแห่งปิดตัว หรือย้ายฐาน จากพิษเศรษฐกิจและการเมืองของไทย
      
       ส่วนกรณีกระแสอาหารเกาหลีจะมาแรง ในมุมมองของเขา คิดว่าไม่มีส่วนให้กระแสอาหารญี่ปุ่นลดลงไป เพราะเป็นลูกค้าคนละกลุ่มกันอย่างชัดเจน
      
       ข้อแนะนำแก่หน้าใหม่ที่คิดอยากเปิดร้าน ขอให้คำนึงถึงทำเลเป็นสำคัญ ควรเป็นพื้นที่ใหม่ที่ยังไม่มีคู่แข่งมากนัก เพราะหากจะไปอยู่ย่านถนนวิทยุ และสุขุมวิท โอกาสเหลือไม่มากแล้ว เพราะมีร้านมากอยู่แล้ว และลูกค้าใหม่ๆ แทบไม่มี นอกจากนั้น เน้นบริการอาหารในคุณภาพและปริมาณที่ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
      
ธุรกิจการศึกษาเรื่อยๆมาเรียงๆ ผู้ปกครองยอมทุ่มเน้นคุณภาพ
       
       แม้ว่าปี 2552 ที่ผ่านไป จะเป็นปีที่เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่สำหรับธุรกิจการศึกษาแล้ว กลับสวนกระแสเติบโตอย่างต่อเนื่อง อาทิตย์ คงนคร เจ้าของ “สมาร์ท อิงลิช” ให้ความเห็นว่า ธุรกิจการศึกษาเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ผูกติดกับกระแสเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้ปกครองมองว่า การศึกษาเป็นการลงทุนระยะยาว แม้ว่า สภาพการเงินอาจไม่คล่องตัว แต่ยังยินดีจะจ่ายเพื่ออนาคตของลูกหลาน
      
       ทั้งนี้ ด้านการแข่งขัน มีธุรกิจการศึกษาจากต่างแดนเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยอย่างมาก ทั้งจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งแต่ละแห่งจะชูจุดเด่นแตกต่างกันไป ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันที่รุนแรงนัก อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีตัวเลือกมาก การตัดสินใจของผู้ปกครองที่ส่งลูกหลานเข้าเรียนกับสถาบันใดนั้น จะพิจารณาดูจากคุณภาพและประโยชน์ที่ได้รับจริงๆ
      
       ส่วนคาดการณ์กระแสธุรกิจการศึกษาในปี 2553 จะเดินในทิศทางเดิม กล่าวคือ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่จะเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ผู้ลงทุนต้องยอมรับที่จะใช้เวลาคืนทุนนาน กว่า 2-3 ปี

 

        สอดคล้องกับความคิดเห็นของ อุบล สุทธนะ เจ้าของธุรกิจ D Eng Club มองว่า ผู้ปกครองจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกหลาน พิจารณาคุณภาพก่อนค่าบริการ สิ่งที่บ่งชี้ว่า คนลงทุนธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ คือ สามารถจะตอบความคาดหวังของผู้ปกครองได้มากน้อยเพียงใด
      
       ทั้งนี้ ผู้มาทำธุรกิจการศึกษา ต้องมีวิสัยทัศน์ว่า ธุรกิจนี้ไม่ได้ต้องการกำไรสูงสุดเป็นอันดับแรก แต่อยากให้สังคมพัฒนาขึ้นด้วยการศึกษา ส่วนกำไรเชิงธุรกิจเป็นผลพลอยได้ที่ติดตามมาเอง

ธุรกิจสปาอาการน่าห่วง เปิดจนล้นมาตรฐานร่วง

       สำหรับธุรกิจที่เคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง เมื่อไม่กี่ปีก่อน อย่างร้านสปา สถานการณ์ปัจจุบันกำลังน่าห่วง โดยเฉพาะร้านสปาขนาดเล็ก เปิดตามตึกแถว นับวันจะทยอยปิดตัวลง นิตยา สิทธิปัญญาพิทักษ์ ผู้บริหาร “แคทเธอรีน สปา” ระบุสาเหตุมาจากพื้นฐานธุรกิจนี้จะผูกติดกับสภาพเศรษฐกิจอย่างสูง เนื่องจากเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ผู้ใช้บริการก็ลดลงไปด้วย
      
       นอกจากนั้น จากกระแสบูมอย่างสูงช่วง 4-5 ที่ผ่านมา จึงมีร้านเปิดใหม่จำนวนมาก จนล้นความต้องการของตลาด และบริการของบุคลากรในร้านเกิดใหม่จะไม่ได้มาตรฐาน ขาดการอบรมอย่างถูกต้อง ส่วนใหญ่จะฝึกและสอนกันเองภายใน ทำให้แขกที่มาใช้บริการไม่ติดใจ กลายเป็นภาพลบกับมาตรฐานร้านสปาโดยรวม
      
       “ทุกวันนี้ ร้านสปาต้องแข่งกับตัวเองให้อยู่รอด มากกว่าจะไปแข่งกับรายอื่นๆ ถ้าเปรียบตอนที่สปาโตสุดขีด เป็น 100% ปัจจุบัน ตลาดสปาเหลือแค่ 20-30% ส่วนผู้ที่อยากมาลงทุนธุรกิจนี้ แนะนำว่า ต้องมีทำเลดีจริงๆ และมีความรู้ในธุรกิจนี้อย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งพัฒนามาตรฐานของพนักงาน มาตรฐานผลิตภัณฑ์ สถานที่ และพยายามหาสิ่งแปลกใจเพิ่มเติมให้ตรงกับลูกค้าเป้าหมายอย่างแท้จริง” นิตยา กล่าว

 
 

       ด้านปิยาภรณ์ ภู่สุภารุสรณ์ เจ้าของ “สิริกิริยา สปา” เล่าว่า สปาไทยในปี 2552 ค่อนข้างซบเซา โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด สืบเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว สำหรับลูกค้าชาวไทย การตอบรับลดน้อยลงไปบ้าง แต่ยังพอช่วยให้ประคองดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพราะคนไทยยังดูแลสุขภาพและความงามอยู่ อย่างไรก็ดี คาดว่าในปี 2553 แนวธุรกิจสปาไทยจะกลับมาเติบโต ตามสภาพเศรษฐกิจที่น่าจะฟื้น

       ส่วนการเติบโตของธุรกิจสปาในต่างประเทศ ถือว่าได้รับผลกระทบกับสภาวะทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก จากเคยเติบโตถึงขีดสุดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันตลาดเริ่มอิ่มตัว แต่ผู้ประกอบการธุรกิจสปาไทยที่คิดจะลงทุนในต่างประเทศ น่าจะลองไปที่ตลาดจีน และอินเดีย ที่ถือเป็นตลาดใหม่ โดยผู้ประกอบการควรที่จะให้ความสำคัญในเรื่องบุคลากร เนื่องจากปัจจุบันการหาบุคลากรที่มีศักยภาพเป็นเรื่องที่ยาก และเป็นสิ่งสำคัญในอันดับต้นๆ ของธุรกิจสปา 
 
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
มูฟ อีวี เอกซ์ แฟรนไชส..
1,464
ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ทรา..
995
สาขาใหม่มาแล้ว! #แฟรนไ..
612
แฟรนไชส์สะดวกล้างมาแรง..
593
“โมโม่เชค” แฟรนไชส์ชาน..
550
อยากรวยเชิญทางนี้! ธงไ..
525
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด