2.4K
12 กันยายน 2561
ไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม BNI โลก ตอกย้ำระบบตัวช่วยเอสเอ็มอีเชื่อมตลาดโลก
 
 
 (นายกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ ประธานผู้อำนวยการ BNI ประเทศไทย)
 
'บีเอ็นไอ ประเทศไทย' ตัวช่วยธุรกิจ SME เพิ่มยอดขายผ่านระบบเครือข่ายแนะนำโอกาสธุรกิจ เตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม BNI โลกเดือน พ.ย.นี้ ระดมนักธุรกิจ 75 ประเทศทั่วโลกถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ล่าสุดนักธุรกิจลงทะเบียนตอบรับแล้วกว่า 2,200 คน พร้อมออกบูทโชว์แกร่งจากเจ้าของธุรกิจนานาชาติ คาดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจกว่า 3 พันล้านบาท 
 
นายกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ ประธานผู้อำนวยการ BNI ประเทศไทย เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญต่อภาคธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและธุรกิจของประเทศ โดยหน่วยงานภาครัฐระดมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ขณะที่ภาคเอกชนถือว่าบีเอ็นไอเป็นธุรกิจหนึ่งที่เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน SMEs ภายใต้รูปแบบการตลาดแบบบอกต่อหรือระบบการแนะนำโอกาสธุรกิจ (Referral Marketing) ที่เกิดขึ้นในไทยมานานกว่า 12 ปี

โดยเป็นระบบที่ลงลึกในรายละเอียดในการช่วยเหลือเอสเอ็มอีมาตรฐานจากต่างประเทศซึ่งเป็นระบบที่ทั่วโลกยอมรับนำไปปฏิบัติได้ผลจริง ก่อเกิดรายได้จากการซื้อขายสินค้าระหว่างกันก่อเกิดเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ชัดเจนเศรษฐกิจและวัดผลได้ ปัจจุบันบีเอ็นไอเป็นองค์กรระดับโลก มีสาขากว่า 75 ประเทศทั่วโลก มีกลุ่มประชุมกว่า 7,800 กลุ่ม จำนวนสมาชิก 290,000 คนทั่วโลก และได้มีการมอบโอกาสทางธุรกิจแก่กันถึง 13,000,000 โอกาส คิดเป็นมูลค่าทางธุรกิจถึงกว่า 4,550 ล้านบาท 
 
ทั้งนี้ ล่าสุดได้เตรียมจัดประชุมใหญ่ประจำปี โดยได้เลือกประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมภายใต้งานที่ชื่อว่า BNI Global Convention 2018 จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 7-10 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอด เซ็นทรัลเวิลด์ มีนักธุรกิจจาก 75 ประเทศทั่วโลกลงทะเบียนแล้วกว่า 2,200 ราย

โดยในวันแรกเป็นการให้ความรู้และเปิดกว้างให้ผู้สนใจเข้าร่วมงาน ส่วนภาคบ่ายเป็นการจับคู่ธุรกิจและให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ส่วนอีก 2 วันจะเป็นการประชุมสมาชิกที่ลงทะเบียน เป็นการพบปะกันระหว่างนักธุรกิจไทยกับต่างชาติเพื่อแลกเปลี่ยนโอกาสทางธุรกิจซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการออกบูทของผู้ประกอบการประมาณ 100 บูท ซึ่งสัดส่วนบูทของสินค้าไทยมีประมาณ 30% นอกนั้นเป็นบูทจากนานาประเทศมาโชว์ศักยภาพผลิตภัณฑ์
 
สำหรับระบบการทำงานของบีเอ็นไอ คือการให้ผู้ประกอบการในหลากหลายธุรกิจได้มารวมตัวกันเพื่อช่วยสร้างธุรกิจซึ่งกันและกันภายในกลุ่มผ่านรูปแบบการตลาดแบบบอกต่อหรือระบบการแนะนำโอกาสธุรกิจ (Referral Marketing) โดยสมาชิกแต่ละรายซึ่งประกอบธุรกิจแตกต่างกันมารวมกลุ่มกันเพียง 1 สมาชิกต่อ 1 อาชีพ หรือธุรกิจต่อ 1 กลุ่มเท่านั้น
 
ในทุกๆ สัปดาห์สมาชิกของกลุ่มประชุมซึ่งมีอาชีพต้องไม่ซ้ำกันจะเข้าร่วมประชุมของกลุ่มตามโครงสร้างการประชุมที่กำหนดไว้ โดยสมาชิกแต่ละคนจะสื่อสารให้เพื่อนสมาชิกทราบว่าสินค้าหรือบริการของตนคืออะไรและกำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจแบบใด และร้องขอให้เพื่อนในกลุ่มช่วยกันมองหาโอกาสทางธุรกิจหรือคอนเนกชันที่ต้องการ โดยตลอดสัปดาห์นั้นสมาชิกจะช่วยกันมองหาโอกาสธุรกิจให้แก่กันและกัน โดยตรวจสอบก่อนว่าลูกค้ามีความสนใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของเพื่อนสมาชิกในกลุ่มของเราหรือไม่
 
หากมีความต้องการจะขออนุญาตให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มติดต่อผู้มุ่งหวังต่อไป โดยในการประชุมแต่ละสัปดาห์สมาชิกจะมอบโอกาสธุรกิจให้กับเพื่อนระหว่างการประชุมและให้ข้อมูลเพิ่มเติมของลูกค้า มุ่งหวังเพื่อช่วยให้สมาชิกสามารถเตรียมการนำเสนอสินค้าหรือบริการได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า มุ่งหวังเพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และเมื่อได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์แล้วสมาชิกจะนัดพบกับลูกค้ามุ่งหวังซึ่งพร้อมจะพิจารณาการนำเสนอสินค้าอยู่แล้ว ดังนั้นโอกาสในการปิดการขายซึ่งมาจากการแนะนำหรือการบอกต่อย่อมจะง่ายขึ้น
 
นอกจากนี้ สมาชิกยังสามารถเชื่อมโยงกับเพื่อนสมาชิกอื่นๆ ทั่วโลกผ่านระบบ BNI Connect Global เพื่อโอกาสในการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศอีกด้วยด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบนมือถือ ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ก็สามารถติดต่อคู่ค้าได้โดยตรง และยังเลือกประเภทธุรกิจที่ต้องการได้โดยราคาค่าสมาชิกแรกเข้า 5,000 บาท จ่ายค่ารายปี 15,000 บาท

โดยคุณสมบัติของสมาชิกต้องเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี เป็นผู้ที่ชอบการเรียนรู้ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น คิดบวก ผู้ที่ต้องการการเติบโตในธุรกิจ และเป็นผู้ที่มีคอนเนกชันรู้จักผู้ประกอบการประมาณ 100-200 รายเพื่อสามารถนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันได้ นอกจากนี้ต้องสามารถเข้าประชุม 1 ครั้ง/สัปดาห์ได้
 
“ระบบการบริหารจัดการดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาภายใต้วิสัยทัศน์ของ Dr. Ivan Minsner ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในการสร้างยอดขายโดยการใช้คอนเนกชันของผู้ประกอบการเองในการขยายตลาดและหาลูกค้าใหม่ โดยสมาชิกจะมอบโอกาสทางธุรกิจแก่กันโดยการบอกต่อหรือแนะนำลูกค้าให้แก่กัน” นายกลกิตติ์กล่าว
 
สำหรับบีเอ็นไอ (ประเทศไทย) ก่อตั้งขึ้นในปี 2549 ปัจจุบันมีกลุ่มประชุมจำนวน 35 กลุ่มในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา ภูเก็ต พิษณุโลก สุโขทัย มีสมาชิกกว่า 1,500 คนจากหลากหลายธุรกิจ

โดยเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมาสมาชิกได้มอบโอกาสธุรกิจให้แก่กันและสามารถเปลี่ยนเป็นยอดธุรกิจได้ถึง 5,000 ล้านบาท มูลค่าธุรกิจสะสมตั้งแต่ปีที่ก่อตั้งถึงสิ้นปี 2560 มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 19,000 ล้านบาทและในปีนี้คาดว่าจะทะลุ 4,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน โดยสมาชิกของบีเอ็นไอในประเทศไทยสามารถแบ่งตามประเภทธุรกิจได้ดังนี้ คือ ไอที 25% ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 25% การตลาด 15% อุตสาหกรรม 15% สุขภาพ 10% และการบริการด้านโรงแรมและโรงพยาบาล 10%
 
อย่างไรก็ตาม บีเอ็นไอ ประเทศไทยมีแผนขยายตลาดและเพิ่มจำนวนสมาชิกผู้ประกอบการให้ถึง 2,800 คนทั่วประเทศ และมีแผนขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป ได้แก่ ชลบุรี ขอนแก่น อุดรธานี บุรีรัมย์ ซึ่งหากแผนการตลาดได้ตามเป้าจะมียอดธุรกิจที่สมาชิกแนะนำลูกค้าให้กันและกันเฉลี่ย 5 ล้านบาทต่อคน เกิดเงินหมุนเวียนในประเทศกว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
 
อ้างอิงจาก : MGROnline.com
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สาขาใหม่มาแล้ว! บุราณ ..
942
รวมภาพบรรยากาศ คอร์ส F..
646
“เติมพลังความรู้” กับ ..
591
มาโนอิ ร่วมงานครบรอบ 1..
562
สมาร์ทเบรน จินตคณิต เป..
553
โทกิวอช ร้านสะดวกซัก เ..
517
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด