|
|
26 ธันวาคม 2558 |
แอลเอ็มอี ป้อนแฟชั่นทั่วอาเซียน แท็กทีมพาร์ตเนอร์ตั้งศูนย์กระจายสินค้าในจีน
"แอลเอ็มอี" เร่งเครื่องบุกตลาดแฟชั่นอาเซียน จับมือพันธมิตรตั้งบริษัทโลจิสติกส์-ศูนย์กระจายสินค้าในจีน เดินหน้าเจรจาขอสิทธิ์แบรนด์ดังทำตลาดทั่วภูมิภาค ประกาศรุกธุรกิจร้านอาหาร เผยปีหน้าเปิดร้านอาหารจีน-อาหารญี่ปุ่น เสริม "แฮร์รอดส์ ที รูม" เล็งแตกไลน์ธุรกิจใหม่ หาแฟรนไชส์-ไลเซนส์ ป้อนเออีซี
นายบุญชัย คงปักไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล เอ็ม อี จำกัด ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสินค้าแฟชั่น อาทิ เอสพาด้า, อีพี, อีเอสพี, ฟ็อกซ์, แอลทีดี, เอฟ แฟชั่น ฯลฯ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เพื่อรองรับการแข่งขันของตลาดแฟชั่นที่มีความรุนแรงมากขึ้น
รวมทั้งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีที่กำลังจะเกิดขึ้น บริษัทได้จ้างที่ปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์จากสหรัฐอเมริกามาช่วยยกระดับการบริหารงานภายในองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งสินค้า และได้ลงทุนด้านระบบไอทีและข้อมูล 100 ล้านบาท เพื่อวางแผนการผลิตสินค้า
นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับพาร์ตเนอร์จากประเทศจีน จัดตั้งบริษัทโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า รวมทั้งมีการลงทุนตั้งศูนย์การกระจายสินค้าในจีนด้วย หลังสร้างศูนย์การกระจายเสร็จจะทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพในการป้อนสินค้าเข้าไปทำตลาดมากขึ้น จึงวางแผนจะขยายตลาดให้ครอบคลุมทั้งอาเซียน จากปัจจุบันที่ส่งแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นเอง อาทิ เอสพาด้า, อีพี, อีเอสพี ฯลฯ เข้าไปทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายในฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย คาดว่าสัดส่วนของตลาดต่างประเทศในปี 2559 จะอยู่ที่ 10% จากปัจจุบันรายได้ต่างประเทศสัดส่วน 5%
( ภาพจาก www.facebook.com/espada.th )
"ก่อนหน้านี้เราส่งสินค้าไปหลายประเทศทั้งกัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะระบบหลังบ้านยังแข็งแรงไม่พอ จึงหยุดทำตลาดไป 2-3 ปีเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น และตอนนี้เรามีความพร้อมมากขึ้น จึงจะเริ่มบุกตลาดอาเซียนอีกครั้ง"
นายบุญชัยกล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับแบรนด์ต่าง ๆ ที่ได้ลิขสิทธิ์ผลิตและจัดจำหน่าย รวมทั้งแบรนด์ที่ได้สิทธิ์ในการทำแฟรนไชส์ เพื่อขยายสิทธิ์ในการทำตลาดให้ครอบคลุมภูมิภาคอาเซียน ล่าสุดแบรนด์ วอนดัช และเอฟ แฟชั่น ได้อนุญาตแล้วและจะเริ่มขยายตลาดไปประเทศต่าง ๆ ในเร็ว ๆ นี้
และจากนี้ไปบริษัทจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดกลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่ยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมาก โดยปีหน้ามีแผนจะเปิดร้านอาหารจากญี่ปุ่น 1 แบรนด์ และจะเปิดร้านอาหารจีนที่พัฒนาเองอีก 1 แบรนด์ จากเดิมที่ได้สิทธิ์ในการทำตลาด แฮร์รอดส์ ที รูม จากอังกฤษ เมื่อปี 2556 ปัจจุบันมี 3 สาขา ซึ่งธุรกิจกลุ่มนี้จะอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทที่ตั้งขึ้นมาใหม่ชื่อ แอพโค่ (APKO)
ล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ตเนอร์ชาวญี่ปุ่น เพื่อแตกไลน์ธุรกิจใหม่ ซึ่งจะเป็นการหาแฟรนไชส์และลิขสิทธิ์จากแบรนด์ที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์จากทั่วโลก และกระจายให้ผู้ที่สนใจรับไปทำตลาดในอาเซียน
ด้านธุรกิจในประเทศ นายบุญชัยกล่าวว่า ได้ปรับรูปแบบการทำตลาด รวมถึงบริหารร้านค้า เพื่อรับมือกับการแข่งขันและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งร้านให้สะดุดตา สินค้าที่มีดีไซน์กับฟิตติ้งที่โดนใจผู้บริโภค ราคาที่เหมาะสม เข้าถึงง่าย รวมทั้งการทำโปรโมชั่นเพื่อรักษายอดขาย
อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ
|
|
|
|