นายปรกฤษฎ หงษ์โสภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอ็ม จี แมชชีเนอรี จำกัด ผู้นำเข้านวัตกรรมการล้างรถด้วยระบบไอน้ำโปรสตรีม(Prosteam) และศูนย์ดูแลรถยนต์ครบวงจรโปรสตรีม เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจคาร์แคร์หรือศูนย์บริการดูแลรถยนต์ในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท แบ่งออกเป็นธุรกิจล้างรถประมาณ 8 พันล้านบาท และบริการอื่นๆอาทิ เคลือบแก้ว ,ทำสี,ทำเบาะ ประมาณ 2 พันล้านบาท โดยในแต่ละปีธุรกิจนี้จะมีการเติบโตประมาณ 10% เนื่องจากจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมการใช้รถยนต์ส่วนตัว ทำให้ต้องมีการดูแลรักษารถ และส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆเติบโตตาม

 

ขณะที่ภาพรวมของศูนย์บริการรถยนต์ลักชัวรีและซูเปอร์คาร์ในไทย ปัจจุบันรถยนต์ในกลุ่มลักชัวรีและซูเปอร์คาร์ในไทยมีจำนวนประมาณ 5 พันคัน ถือเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง และมีพฤติกรรมการเลือกใช้บริการที่เน้นคุณภาพมากกว่าพิจารณาโปรโมชันหรือราคา ซึ่งโดยเฉลี่ยรถยนต์เหล่านี้จะใช้เงินในการดูแลรถปีละประมาณ 5 หมื่น-1.2 แสนบาทต่อคันต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมกว่า 400 ล้านบาท และจากการสังเกตก็พบว่าศูนย์บริการดูแลรถยนต์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะยังไม่มี บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสทางการตลาด และมีแผนงานจะรุกเข้ามาทำตลาดนี้อย่างจริงจัง

 

นายปรกฤษฎ กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางรุกตลาดดังกล่าวคือการเปิดศูนย์ดูแลรถยนต์ครบวงจรโปรสตรีม ที่มีจุดเด่นคือ การบริการล้างรถยนต์ด้วยระบบไอนำแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีเครื่องแรงดันไอน้ำระบบออพติมา สตรีมเมอร์ ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัท ที่จะใช้แรงดันไอน้ำและความร้อนในการทำความสะอาดทั้งภายใน ,ภายนอก และห้องเครื่อง โดยไม่ทิ้งรอยความเสียหายกับสีรถและพื้นผิวรถ พร้อมกันนั้นพลังงานความร้อนยังช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สนนราคาเริ่มต้น 280-1,150 บาท
 

 
 

"จุดเด่นคือเทคโนโลยีของเราที่ช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดและลดต้นทุนได้เยอะ ทั้งในแง่ของการประหยัดน้ำ ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พื้นที่ในการให้บริการน้อยกว่า สนนราคาเครื่อง ออพติมา สตรีมเมอร์ นั้นอยู่ที่ 2.49-2.59 แสนบาท นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับจากศูนย์บริการของเรา คือ เรามีการให้บริการต่างๆอีก อาทิ การเคลือบแก้วด้วยเทคโนโลยีเฉพาะแบบ Star Coating ,การดีเทลลิ่งรถยนต์ทั่วไป และการดีเทลลิ่งรถยนต์ขั้นสูงทั้งภายในและภายนอกสำหรับรถลักชัวรีโดยเฉพาะ"

ปัจจุบันโปรสตรีม มีจำนวนสาขาที่เปิดให้บริการ 6 แห่งได้แก่ แจ้งวัฒนะ ,เลียบทางด่วน (ซีดีซี),ชลบุรี,ระยอง,ภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยมีผู้มาใช้บริการประมาณ 1 พันคันต่อเดือนต่อสาขา คิดเป็นรถยนต์ในกลุ่มลักชัวรีและซูเปอร์คาร์ 70% และอีก 30% เป็นแบรนด์ทั่วไป

 

สำหรับแผนงานในปี 2557  จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 15 สาขา โดยเป็นการบริหารผ่านรูปแบบแฟรนไชส์ ที่จะมีการลงทุนประมาณ 5 แสนบาทต่อสาขา ซึ่งลูกค้าที่ทำธุรกิจคาร์แคร์อยู่แล้วจะมีจุดคุ้มทุนประมาณ 3-4 เดือน และหากเป็นการลงทุนรายใหม่ จะมีจุดคุ้มทุน 12 เดือน โดยใช้พื้นที่ขั้นต่ำ 70 ตร.ม. นอกจากนั้นแล้วจะขยายออกไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ลาว ฮ่องกง

 

"แผนธุรกิจของเราคือ การขายเครื่องออพติมา สตรีมเมอร์ และการขยายโปรสตรีมผ่านระบบแฟรนไชส์ ในส่วนของต่างประเทศ จะเป็นรูปแบบของการขายเครื่อง โดยตอนนี้เราคุยกับพันธมิตร ที่ลาว ซึ่งทำธุรกิจลาวสตาร์ และมีสถานีบริการน้ำมัน ส่วนที่ฮ่องกงนั้น มีพันธมิตรที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความสนใจจะนำเครื่องดังกล่าวไปเปิดให้บริการตามคอนโดฯคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน 9 "

 

นายปรกฤษฎ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะเปิดให้บริการที่ศูนย์แล้ว ยังมีรูปแบบการล้างรถแบบดีลิเวอรี ที่เป็นโมบายคาร์วอช สนนราคาต่อครั้งอยู่ที่ 450 บาท โดยมีคอลล์เซ็นเตอร์ที่จะรับเรื่อง และส่งเรื่องไปยังจุดต่างๆที่อยู่ใกล้ ซึ่งรูปแบบนี้จะมีลงทุนเช่นเดียวกันกับระบบแฟรนไชส์
 

 
 

"รถโมบายคาร์วอช ที่เราได้ลองทำก่อนหน้านั้น เราได้จับมือกับพันธมิตรอย่างโชว์รูมมิตซูบิชิย่านปากเกร็ด ที่อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่จะซื้อรถพร้อมกับเครื่องเทคโนโลยีออพติมา สตรีมเมอร์ โดยลูกค้าจะจ่ายค่าฟี 5 พันบาทต่อเดือน เพื่อเป็นค่าคอลล์เซ็นเตอร์ในการจัดหาลูกค้าให้"

 

นายปรกฤษฎ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ประมาณ 15 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายได้จากการขายเครื่องประมาณ 30 เครื่อง ,ขายแฟรนไชส์ ประมาณ 10 แห่ง และโมบายคาร์ วอช 5 คัน แต่หากสามารถเจรจากับลูกค้าที่ฮ่องกงได้ก็คาดว่าจะทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านบาท

อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ