กวดวิชารายใหญ่เปิดคลาสS.E.L.F รายย่อยเร่งขยายสาขาจับทำเลทองแนวรถไฟฟ้า
โรงเรียนกวดวิชารายใหญ่มึน เศรษฐกิจซบพ่นพิษ เร่งปรับตัวรับกำลังซื้อหด เปิดคลาส S.E.L.F ดิ้นหนีรายย่อย ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็กขยับตัว แห่ขยายสาขา-เปิดแฟรนไชส์ จับทำเลทองแนวรถไฟฟ้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุโรงเรียนกวดวิชายังโตต่อเนื่อง คาดสิ้นปีมูลค่าตลาดแตะ 7.1 พันล้าน และอีก 2 ปีพุ่งถึง 8 พันล้านบาท
นายอนุสรณ์ ศิวะกุล นายกสมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา เปิดเผยว่า ตอนนี้ภาพรวมของสถาบันกวดวิชารายใหญ่ค่อนข้างนิ่งและไม่ค่อยขยายตัว เนื่องจากจำนวนของผู้เรียนลดลงตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ระบุไว้ว่าประชากรวัยเด็กมีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกัน จากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันที่ค่อนข้างซบเซา ทำให้ผู้ปกครองลดค่าใช้จ่าย และให้ลูกเรียนในวิชาที่จำเป็นเท่านั้น
"ตลาดหดตัว คู่แข่งในตลาดมีมากขึ้น โดยเฉพาะรายย่อยหรือคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเด็กหรือคนในชุมชนมากกว่าหันมาเปิดสอนโรงเรียนกวดวิชามากกว่าเดิม จึงทำให้สถาบันกวดวิชารายใหญ่เลือกที่จะไม่ขยายสาขาไปต่างจังหวัด เพราะเปิดครอบคลุมในจังหวัดหัวเมืองอยู่แล้ว อีกทั้งสาขาต่างจังหวัดมีมูลค่าตลาดไม่สูงมากนัก และใช้ระยะเวลานาน 8-10 ปีจึงจะคุ้มทุน แต่ถ้าหากจะไปต่างจังหวัดจริง ๆ รายใหญ่อาจทำในลักษณะ One Stop Service รวมสถาบันกวดวิชาหลายแบรนด์ไว้ในที่เดียวกัน โดยผมมองว่าผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามาในตลาดนี้ แค่พออยู่ได้เท่านั้น เพราะเค้กของตลาดเท่าเดิม สวนทางกับสถาบันกวดวิชาที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น"
นายอนุสรณ์กล่าวต่อว่า เทรนด์การเรียนกวดวิชาของเด็กจะเปลี่ยนแปลง เพราะเด็กมีภาระจากการเรียนมากขึ้น หรือโรงเรียนมีการสอนเสริมในวันหยุด ทำให้ไม่สามารถเรียนกวดวิชาได้อย่างเต็มที่เหมือนเมื่อก่อน ส่งผลให้สถาบันกวดวิชาหลายแบรนด์ต้องเปลี่ยนการเรียนเป็นระบบ S.E.L.F หรือการเรียนด้วยตัวเอง ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการและสไตล์การเรียนของนักเรียน โดยคาดว่า 50% ของสถาบันกวดวิชาจะหันมาทำระบบดังกล่าวภายใน 2 ปีนี้
นางประภาวัลย์ ชวนไชยะกูล ผู้อำนวยการโรงเรียนกวดวิชาบ้านวิชากร กล่าวว่า การเรียนการสอนของโรงเรียนเป็นการสอนสด กลุ่มละไม่เกิน 6 คน ซึ่งสอนรูปแบบภาษาไทย, 2 ภาษา และอินเตอร์ ครอบคลุมตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยก่อนการเรียนจะวิเคราะห์นักเรียนก่อนเพื่อทราบถึงพฤติกรรมการเรียน หลังจากนั้นจะจัดหาครูให้เหมาะสมกับนักเรียน/คน/กลุ่มนั้น ๆ และเนื่องจากเป็นการเรียนกลุ่มเล็ก จึงสามารถจัดการสอนได้ยืดหยุ่นตามความต้องการของนักเรียน ทั้งด้านเนื้อหาหรือกลุ่มผู้เรียน กล่าวได้ว่า เป็นการเติมในส่วนที่นักเรียนขาดและต้องการจะเรียนเสริม ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของโรงเรียน
"เด็กมาเรียนกับเราประมาณ 1,000 คนต่อปี ตั้งเป้าไว้ว่าปีหน้าจะต้องมีผู้เรียนเพิ่มขึ้นอีก 30% นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมตามแนวรถไฟฟ้า BTS และ MRT โดยจะมีทั้งการไปเปิดเอง และในลักษณะของแฟรนไชส์ ซึ่งเราจะเข้าไปช่วยดูแลโรงเรียนที่เปิดใหม่ด้วยเพื่อควบคุมคุณภาพ ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดใน กทม.ไม่เกิน 10 แห่ง และเปิดในต่างจังหวัด จังหวัดละ 1 แห่ง ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดและหาทำเล"
นายนาวิน แซ่โค้ว เจ้าของสถาบันเตรียมโดม สถาบันติวสอบให้กับนักเรียนที่ต้องการสอบตรงเข้าสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และสาขารัสเซียศึกษา คณะศิลปศาสตร์, คณะรัฐศาสตร์ และคณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถาบันของตนมีการเรียนการสอนแตกต่างจากสถาบันอื่น เพราะเนื้อหาของการสอบตรงจะลึกและมีความเฉพาะกว่าการสอบทั่วไป
โดยเปิดทำการสอนมา 6 ปีแล้ว เดิมเป็นการสอนตามโต๊ะที่มหาวิทยาลัย และขยับขยายมาสู่การเช่าตึกสอน ปัจจุบันสามารถรองรับนักเรียนได้กลุ่มละประมาณ 20 คน สูงสุด 100 คน
"จุดแข็งของสถาบันคือ เรามีเนื้อหาการสอนที่เป็นระบบ ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักเรียนเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่จะบอกว่าเรามีความเป็นกันเอง และมีเทคนิคการสอนและเทคนิคการจำ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กสามารถนำไปวิเคราะห์และต่อยอดในการสอบได้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้การกวดวิชาเป็นกลุ่มเพิ่มขึ้นเยอะ มีหลายแบรนด์เข้าไปเปิดสอนในห้างสรรพสินค้า
โดยเด็กที่ต้องการสอบโครงการรับตรงจะให้ความสนใจกับการติวอย่างมาก เนื่องจากมีจำนวนการรับจำกัด กระนั้น คิดว่าเด็กยังคงให้ความนิยมกับการติวกับแบรนด์ดังด้วยเช่นกัน เพราะต้องสอบแอดมิสชั่น ทั้งนี้ ทางสถาบันมีแผนจะรับนักเรียนเพิ่มด้วยการเปิดรอบการสอนมากขึ้น รวมถึงอาจขยายสาขาไปยังต่างจังหวัด และจะเปิดสอนเป็นรายวิชาด้วย"
อนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประมาณการมูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชา ทั้งในส่วนของการเรียนกวดวิชาในรูปแบบโรงเรียนกวดวิชา และติวเตอร์อิสระที่สอนแบบตัวต่อตัวหรือสอนเป็นกลุ่มในปี 2556 ไว้ที่ประมาณ 7,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท และจะเติบโตไปสู่ 7,670 ล้านบาทในปี 2557 และ 8,189 ล้านบาทในปี 2558 หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการพบว่า จำนวนของโรงเรียนกวดวิชามีมากขึ้น ขณะที่จำนวนผู้เรียนกวดวิชากลับลดลง โดยโรงเรียนกวดวิชาระหว่างปี 2553-2555 อยู่ที่ 1,744 แห่ง, 1,924 แห่ง และ 2,005 แห่งตามลำดับ ขณะที่จำนวนผู้เรียนกวดวิชาในปี 2553 มี 5.71 แสนคน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.72 แสนคนในปี 2554 ก่อนที่ผู้เรียนได้ลดจำนวนลงเป็น 4.53 แสนคนในปี 2555
อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ