387
26 ธันวาคม 2567
10 ธุรกิจดาวรุ่ง - ธุรกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย/ต้องเร่งปรับตัว ปี 2567
 
 

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดโผ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง - ธุรกิจที่ต้องปรับตัว ปี 2567 เป็นไปตามคาด...ธุรกิจกีฬาและออกกำลังกาย ท่องเที่ยวและความบันเทิง ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อี-คอมเมิร์ซ ผลิตภาพยนตร์ จูงมือกันเติบโต

ขณะที่ อุตสาหกรรมหรือธุรกิจแบบดั้งเดิมที่ไม่มีการปรับปรุงเทคโนโลยีหรือประสิทธิภาพการผลิตและบริการ เช่น ผลิตเหล็ก-โลหะมีค่า-อัญมณี ค้าปลีกแบบออฟไลน์ สื่อและประชาสัมพันธ์แบบออฟไลน์ แปรรูปสินค้าเกษตร ตัวแทนนายหน้า เผชิญภาวะถดถอย ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

คาดปี ‘68 ภาคธุรกิจต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง แนะ!! นำเทคโนโลยีเข้ามาในการผลิต/การบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง ใช้ Data เป็นตัวช่วยตัดสินใจทางธุรกิจ และปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มธุรกิจที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
 
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “เป็นธรรมเนียมทุกปีที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้นำข้อมูลการจดทะเบียนธุรกิจเชิงลึกมาทำการวิเคราะห์ธุรกิจดาวรุ่งและธุรกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย/ต้องเร่งปรับตัว เพื่อให้ภาคธุรกิจและนักลงทุนนำไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงทุนหรือขยายธุรกิจ รวมทั้ง รับทราบถึงภาพรวมธุรกิจไทยตลอดปีที่ผ่านมา

โดยปี 2567 ธุรกิจในประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้านทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศมหาอำนาจ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ปัญหาอุทกภัยในบางพื้นที่ กำลังซื้อในประเทศที่ลดลงจากปัญหาภาระหนี้สินครัวเรือน เป็นต้น ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญทั้งสิ้น

การวิเคราะห์ธุรกิจดาวรุ่ง - ธุรกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย/ต้องเร่งปรับตัว ปี 2567 ได้นำข้อมูลด้านการจดทะเบียนธุรกิจ เช่น จำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ ผลประกอบการ (กำไร-ขาดทุน) การเลิกประกอบกิจการ รวมทั้ง ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่น แนวโน้มธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ กระแสความนิยม นโยบายภาครัฐ ดัชนีทางเศรษฐกิจ สถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ และการแข่งขันของธุรกิจ

โดยผลการวิเคราะห์ฯ พบว่า ปี 2567 ธุรกิจดาวรุ่งมาแรงที่จูงมือกันเติบโตจะสอดคล้องกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและออกกำลังกาย/ท่องเที่ยวและบันเทิง/ยานยนต์ไฟฟ้า/ออนไลน์/ผลิตภาพยนตร์ ขณะที่ ธุรกิจที่เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย/ต้องเร่งปรับตัวจะเป็นธุรกิจที่ยังคงทำธุรกิจในรูปแบบดั้งเดิมที่ยังไม่นำเทคโนโลยีมาใช้หรือยังไม่มีการปรับปรุงเทคโนโลยีในการบวนการผลิตและบริการ
 
5 ธุรกิจดาวรุ่ง

1) กลุ่มธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกาย ได้แก่ ธุรกิจจำหน่ายเสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา สถานฝึกสอนกีฬา และธุรกิจจัดการแข่งขันกีฬา

ธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกายได้รับประโยชน์โดยตรงจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและหันมาออกกำลังกายมากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกายเติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผนวกกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแข่งขันกีฬาต่างๆ มีการเติบโตเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ปี 2567 มียอดการจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่มธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกายสะสม 11 เดือน (ม.ค. - พ.ย.) 732 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 195 ราย (36.31%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 537 ราย) ทุนจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่มีมูลค่า 1,751.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 713.57 ล้านบาท (68.77%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 1,037.62 ล้านบาท)

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจย่อยที่เติบโตได้ดี คือ การจัดตั้งธุรกิจด้านสถานที่ออกกำลังกายและสอนออกกำลังกายมีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 27% นอกจากกีฬาที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ยังมีการออกกำลังกายแบบใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมและได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เช่น โยคะ พิลาทิส (Pilates) การดำน้ำ เป็นต้น โดยปี 2566 กลุ่มธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกาย มีรายได้รวมอยู่ที่ 93,397.82 ล้านบาท สูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
 
2) กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและความบันเทิง ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมที่พัก ธุรกิจร้านขายของที่ระลึก ธุรกิจความบันเทิงและการแสดงโชว์

จากการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบของโรงแรมที่พัก สปา ร้านอาหาร ส่งผลให้ ปี 2566 กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและความบันเทิง มีรายได้รวมอยู่ที่ 359,670.04 ล้านบาท เป็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและรายได้รวมมีมูลค่าสูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (รายได้รวมปี 2563 จำนวน 146,062.75 ล้านบาท)

โดยปี 2567 ยอดสะสม 11 เดือน (ม.ค. - พ.ย.) กลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและความบันเทิงมีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,976 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 477 ราย (31.82%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 1,499 ราย) ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 6,427.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 1,740.48 ล้านบาท คิดเป็น 37.13% (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 4,687.02 ล้านบาท) ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจย่อยที่เติบโตได้ดี คือ ธุรกิจความบันเทิง การแสดงโชว์ ก็มีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่มีกว่า 31.72% มูลค่าทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นกว่า 1.82 เท่า
 
3) กลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ ธุรกิจผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจผลิตตัวถังยานยนต์

ช่วงปีที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รัฐบาลมีนโยบายผลักดันมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง ทั้งการลดภาษี และการสนับสนุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตจำนวน 7 แบรนด์ผู้ผลิต ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
 
ทั้งนี้ ในปี 2567 เฉพาะกลุ่มธุรกิจย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่า 61% โดยปี 2566 กลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีรายได้รวมกว่า 3.6 ล้านล้านบาท ปี 2567 ยอดสะสม 11 เดือน (ม.ค. - พ.ย.) กลุ่มธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,033 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 183 ราย (21.53%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 850 ราย)

ขณะที่ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 7,797.57 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 3,560.37 ล้านบาท (31.35%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 11,357.94 ล้านบาท) เนื่องจากปี 2566 มีนิติบุคคลในกลุ่มการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีทุนจดทะเบียนสูงหลายราย ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนจัดตั้งในปี 2567 ลดลง
 
4) กลุ่มธุรกิจ e-Commerce ได้แก่ ธุรกิจแพลตฟอร์ม e-commerce ธุรกิจคลังสินค้าและขนส่งสินค้า ธุรกิจกล่องบรรจุพัสดุ
 
กลุ่มธุรกิจ e-Commerce ยังคงมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากแพลตฟอร์ม e-Commerce ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังส่งผลถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ปี 2567 ยอดสะสม 11 เดือน (ม.ค. - พ.ย.) กลุ่มธุรกิจ e-commerce มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 2,283 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 365 ราย (19.03%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จัดตั้ง 1,918 ราย) ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 3,979.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 755.31 ล้านบาท (23.42%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 3,224.59 ล้านบาท) ปี 2566 กลุ่มธุรกิจ e-commerce มีรายได้รวม 444,101.69 ล้านบาท

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจย่อยการผลิตกล่องกระดาษที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งในปี 2567 เพิ่มสูงขึ้นกว่า 77% และทุนจดทะเบียนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2.41 เท่า รวมทั้งธุรกิจคลังสินค้าและขนส่งสินค้าที่เกี่ยวข้องจากการค้าในรูปแบบ Cross-Border e-Commerce เป็นโอกาสที่เปิดกว้างการค้าระหว่างประเทศของผู้ประกอบธุรกิจ

5) กลุ่มธุรกิจการผลิตภาพยนตร์ ได้แก่ ธุรกิจการผลิตภาพยนต์ วิดีทัศน์ รายการโทรทัศน์ และการตัดต่อภาพและเสียง

ภายใต้การผลักดันนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมบันเทิงและภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง ทั้งการส่งเสริมตลาด พัฒนา การจับคู่ธุรกิจ และนำเสนอกับผู้ซื้อลิขสิทธิ์ทั่วโลก เช่น จัดตั้งศูนย์บริหารเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) การสอดแทรกวัฒนธรรมการท่องเที่ยว/อาหารลงไปในเนื้อหาภาพยนตร์ และผลักดันพื้นที่ต่างๆ สู่การเป็นศูนย์กลางเมืองถ่ายภาพยนตร์ระดับโลก ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงและภาพยนตร์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมีรายได้รวมกว่า 43,122.90 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ปี 2567 ยอดสะสม 11 เดือน (ม.ค. - พ.ย.) กลุ่มธุรกิจการผลิตภาพยนตร์มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 242 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 22 ราย (10%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 220 ราย) ทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่มีมูลค่า 630.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 340.09 ล้านบาท คิดเป็น 1.16 เท่า หรือ 116.92% (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 290.89 ล้านบาท)
 
5 ธุรกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย/ต้องเร่งปรับตัว

1) ธุรกิจการผลิตเหล็ก โลหะมีค่า และอัญมณี ได้แก่ ธุรกิจผลิตเหล็กและเหล็กกล้า ขั้นต้น ขั้นกลาง เหล็กแผ่น ธุรกิจผลิตโลหะมีค่า ธุรกิจผลิตโลหะที่เป็นโครงสร้างของการก่อสร้างอาคาร ธุรกิจผลิตเครื่องประดับ การเจียระไน เพชรพลอย เป็นต้น

ธุรกิจการผลิตเหล็ก โลหะมีค่า และอัญมณี ปี 2567 เผชิญภาวะถดถอยทั้งจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจและมูลค่าทุนจดทะเบียน โดยในปี 2567 (ม.ค. - พ.ย.) มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 306 ราย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 18 ราย (5.56%) (ม.ค.-พ.ย. 2566 มีจำนวน 324 ราย) และมูลค่าทุนจดทะเบียน 2,492.42 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 73.14 ล้านบาท (2.85%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 2,565.56 ล้านบาท)

ปี 2566 ธุรกิจฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 1.87 ล้านล้านบาท ลูกค้ารายสำคัญของธุรกิจนี้เป็นผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงได้ชะลอการซื้อลงจากผลกระทบด้านความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับในตลาดปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ (เพชรแล็บ) ที่มีราคาถูกเข้ามาตีตลาด ทำให้ความต้องการอัญมณีในตลาดโลกลดลง ในส่วนของการผลิตเหล็กเผชิญปัญหาการเข้ามาของสินค้าเหล็กจากต่างประเทศซึ่งมีราคาถูก ขณะที่การผลิตเหล็กในประเทศไทยต้องมีการนำเข้าและมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าทำให้ขาดสภาพคล่อง

ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขายสินค้า หากต้องการแข่งขันได้ ภาครัฐควรมีแนวทางหรือนโยบายในการป้องกันหรือจำกัดการเข้ามาของสินค้าต่างชาติ ในส่วนของอัญมณีควรได้รับการส่งเสริมในการผลักดันการส่งออก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะช่วยให้สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้
 
2) ธุรกิจร้านค้าส่งค้าปลีกแบบออฟไลน์ (ร้านค้าโชห่วย) ได้แก่ ธุรกิจขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป
 
ธุรกิจการค้าส่งค้าปลีกแบบออฟไลน์ (ร้านค้าโชห่วย) ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้ามากขึ้น ปี 2567 (ม.ค. - พ.ย.) มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 1,466 ราย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 18 ราย (1.21%) (ม.ค.-พ.ย. 2566 จำนวน 1,484 ราย) และมูลค่าทุนจดทะเบียน 2,004.79 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 4.51 ล้านบาท (0.22%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 2,009.29 ล้านบาท)

ปี 2566 ธุรกิจมีรายได้รวมอยู่ที่ 3.76 แสนล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลดลง คือ ผู้บริโภคหันมาใช้ช่องทางการค้าออนไลน์ (e-Commerce) มากขึ้น การแข่งขันจากแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถดำเนินธุรกิจด้วยต้นทุนต่ำกว่า และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย ถึงแม้ว่าการขายรูปแบบออนไลน์จะเข้ามาแย่งตลาดของกลุ่มร้านในรูปแบบออฟไลน์ แต่ด้วยจุดเด่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของธุรกิจที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในชุมชนจึงเข้าถึงง่ายและรู้จักลูกค้าเป็นอย่างดี

จึงสามารถดึงจุดเด่นดังกล่าวมาพัฒนาการให้บริการ เช่น การนำส่งแบบเดลิเวอรี่ การจัดโปรโมชั่น และยังสามารถเข้าร่วมโครงการต่างๆภาครัฐ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ทั้งนี้ หน่วยงานรัฐและภาคเอกชนที่มีศักยภาพควรให้การส่งเสริมร้านค้าปลีกชุมชนให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ด้วยสนับสนุนองค์ความรู้หรือเครื่องมือที่จะในการจัดการและบริการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 
3) ธุรกิจสื่อและการประชาสัมพันธ์แบบออฟไลน์ ได้แก่ ธุรกิจพิมพ์หนังสือพิมพ์และวารสาร ธุรกิจจัดพิมพ์จำหน่ายหรือเผยแพร่โบรชัวร์ใบปลิวและสิ่งพิมพ์อื่นๆ ธุรกิจกิจกรรมเผยแพร่ภาพยนตร์ฯ (จำหน่ายฟิล์มภาพยนตร์ให้แก่โรงภาพยนตร์ เครือข่ายโทรทัศน์ ฯลฯ) เป็นต้น
 
ธุรกิจสื่อและการประชาสัมพันธ์แบบออฟไลน์ถดถอยอย่างชัดเจน ปี 2567 (ม.ค. - พ.ย.) มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 13 ราย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 17 ราย (56.67%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 มีจำนวน 30 ราย) และมูลค่าทุนจดทะเบียน 10.40 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 34.20 ล้านบาท (76.68%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 44.60 ล้านบาท)
 
ปี 2566 ธุรกิจมีรายได้อยู่ที่ 8.15 พันล้านบาท สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมในยุคดิจิทัล สื่อออฟไลน์ถูกแทนที่ด้วยสื่อออนไลน์ที่มีความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถวัดผลจากการทำโฆษณาได้อย่างแม่นยำมากกว่าการตลาดแบบออฟไลน์ หากกลุ่มธุรกิจนี้ยังต้องการแข่งขันควรปรับตัวให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและการพัฒนาของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์ ทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เป็นต้น จึงจะสามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล
 
4) ธุรกิจแปรรูปสินค้าทางการเกษตร ได้แก่ ธุรกิจแปรรูปและการถนอมผลไม้และผักด้วยวิธีอื่นๆ ธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำด้วยการอบแห้ง การรมควัน การทำเค็ม การหมักในน้ำเกลือ หรือน้ำส้มสายชูธุรกิจการผลิตเนื้อสัตว์และเนื้อสัตว์ปีกด้วยการ อบแห้ง การทำเค็มหรือการรมควัน
 
ธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตร ปี 2567 (ม.ค. - พ.ย.) มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 123 ราย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 40 ราย (24.54%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 163 ราย) และมูลค่าทุนจดทะเบียน 311.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 294.43 ล้านบาท (5.87%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 17.29 ล้านบาท)
 
ปี 2566 ธุรกิจมีรายได้อยู่ที่ 5.71 หมื่นล้านบาท โดยได้รับผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อผลผลิตมีจำนวนลดน้อยลง รวมทั้งมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยลดลง ต้นทุนทางการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจนี้ให้มีการจัดตั้งลดลง โดยธุรกิจนี้ควรให้ความใส่ใจในกระบวนการเพาะปลูกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (สินค้าออร์แกนิก) การวางแผนการเพาะปลูกเพื่อให้วัตถุดิบมีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพผ่านเกณฑ์มาตราฐานการส่งออกได้
 
5) ธุรกิจตัวแทนและนายหน้า ได้แก่ ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนผู้รับจัดการขนส่งสินค้าและตัวแทนออก ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้า ประกันชีวิต ประกันวินาศภัย ธุรกิจกิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

ธุรกิจตัวแทนและนายหน้า ปี 2567 (ม.ค .- พ.ย.) มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล 2,037 ราย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 357 ราย (14.91%) (ม.ค.-พ.ย. 2566 จำนวน 2,394 ราย) และมูลค่าทุนจดทะเบียน 5,865.61 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 6,565.32 ล้านบาท (52.81%) (ม.ค. - พ.ย. 2566 จำนวน 12,430.93 ล้านบาท)
 
ปี 2566 ธุรกิจมีรายได้รวมอยู่ที่ 2.63 แสนล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์และภาวะกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวม ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงต่อความต้องการในกลุ่มนายหน้า นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ซื้อผู้ขายสามารถติดต่อกันโดยตรง ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจตัวแทนและนายหน้าเผชิญกับความท้าทายมากยิ่งขึ้น ธุรกิจจึงควรเน้นการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การบริการ ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน สร้างพันธมิตรเครือข่ายร่วมกับตัวแทนอื่นๆ ในตลาดเดียวกัน และใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามาช่วยในการเชื่อมโยงผู้ซื้อ-ผู้ขายเข้าด้วยกัน เพื่อให้สามารถค้นหาผู้ที่สนใจได้กว้างขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง
 
อธิบดีอรมน กล่าวทิ้งท้ายว่า ปี 2568 ภาคธุรกิจยังคงต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่องทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าขอแนะนำให้ภาคธุรกิจปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องและยืดหยุ่นตามสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต/การบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ สร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจและเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างกันในลักษณะการช่วยเหลือเกื้อกูล นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง มีการใช้ Data เป็นตัวช่วยตัดสินใจทางธุรกิจ และปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มธุรกิจที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องติดตามข่าวสารและแนวโน้มการประกอบธุรกิจทั้งของประเทศไทยและทั่วโลกอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและรวดเร็ว ดังนั้น ผู้ประกอบการที่รู้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจและสามารถปรับตัวได้ทัน จะช่วยให้สามารถรับมือและนำพาธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจและธุรกิจมีความมั่นคง”

ที่มา : www.dbd.go.th
 
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สาขาใหม่มาแล้ว! บุราณ ..
933
รวมภาพบรรยากาศ คอร์ส F..
635
“เติมพลังความรู้” กับ ..
591
มาโนอิ ร่วมงานครบรอบ 1..
562
สมาร์ทเบรน จินตคณิต เป..
552
โทกิวอช ร้านสะดวกซัก เ..
514
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด