“โมมิซุเฮ้าส์” เดินหน้าพัฒนาสารพัดเมนูชานม-กาแฟ-เบเกอรี่ ชูจุดขายรสชาติ ราคาเข้าถึงง่าย แย้มไตรมาส 2 เตรียมลอนช์เมนูผสมกัญชา ช่วยเพิ่มฐานลูกค้า พร้อมเตรียมขยายสาขาแฟรนไชส์ ลงทุนเริ่มต้น 3 แสน ปูพรมในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รองรับโอกาสตลาดเครื่องดื่มโตต่อเนื่อง

 

นางสาวพราวรินท์ พสิษฐ์วสุธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวย์เบฟเวอเรจ จำกัด เจ้าของร้านโมมิซุ เฮ้าส์ (Momizu House) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมา

 

แม้ต้องเจอกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มรวมไปถึงกลุ่มชานมไข่มุกมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง จากมูลค่าราว ๆ 2.5-3 พันล้านบาท และจะเห็นความเคลื่อนไหวของแบรนด์ใหม่ ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศกระโดดเข้ามาอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้เกิดการแข่งขันสูง

 

เช่นเดียวกับ “โมมิซุเฮ้าส์” เริ่มทำตลาดในปี 2562 ภายใต้คอนเซ็ปต์เครื่องดื่มชา กาแฟ ราคาจับต้องได้ เปิดสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลสำโรง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี และเริ่มเห็นโอกาสการเติบโต จึงขยายสาขาในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 สาขา

 

ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยมีเมนูเครื่องดื่มมากกว่า 35 รายการ อาทิ ชานม, ชาไทยและชานมไข่มุก ฮอกไกโดชีสเบิร์น, มัทฉะพรีเมี่ยม และเฟรชมิลก์ชีสเบิร์น เป็นต้น

 

และเมื่อเจอวิกฤตโควิด-19 มาตรการล็อกดาวน์ จึงปรับตัวหันมาขยายสาขานอกห้าง และเพิ่มช่องทางขายดีลิเวอรี่ผ่านแพลตฟอร์มแกร็บ ไลน์แมน ทำให้เฉลี่ยขายได้ 150 แก้วต่อวัน

 

สำหรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ ชูรสชาติและราคาเข้าถึงง่าย เริ่มต้นที่ 40 บาทขึ้นไปและอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมกัญชา

 

เตรียมลอนช์ในไตรมาส 2 เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ รวมไปถึงการเตรียมพัฒนาเมนูเบเกอรี่ชูจุดเด่น เป็นสูตรเฉพาะของร้าน คิดค้นจากทีม R&D โดยวัตถุดิบมีทั้งนำเข้าจากต่างประเทศและในประเทศ

 

อีกทั้งยังเตรียมขยายสาขาเพิ่ม 20 แห่งทั้งในรูปแบบการลงทุนเองและแฟรนไชส์เน้นเปิดทั้งในศูนย์การค้าและสแตนด์อะโลนในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด สำหรับแฟรนไชส์มีทั้งหมด 3 โมเดล

 

ประกอบด้วยร้านไซซ์ S ขนาดพื้นที่ 9-15 ตร.ม.ไซซ์ M ขนาดพื้นที่ 20-25 ตร.ม. และไซซ์ L ขนาดพื้นที่ 30-35 ตร.ม. ลงทุนเริ่มต้น 3 แสนบาท ไปถึงหลักล้านบาท มีอายุสัญญา 3 ปี ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์6% ต่อเดือน

 

ซึ่งมีการอบรมและประเมินพื้นที่ขาย โดยทางแบรนด์จะเป็นคนดูแลระบบโอเปอเรชั่นและการทำตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์

 

นอกจากตลาดในประเทศแล้ว ยังได้เตรียมขยายสาขาเพิ่มในต่างประเทศ จากเดิมมี 27 สาขา ทั้งในสิงคโปร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 50% และในประเทศ 50%

 

โดยแบ่งเป็นยอดขายหน้าร้าน 40% และดีลิเวอรี่ 60% ขณะที่สาขาในศูนย์การค้ายอดขายลดลง 20%

 

 

ที่มา : https://bit.ly/3LO4WDM