บทความทั้งหมด    บทความแฟรนไชส์    การเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์    ความรู้ทั่วไประบบแฟรนไชส์
1.9K
4 นาที
20 มีนาคม 2562
ต้องรู้! สาเหตุที่กู้แล้วไม่ได้รับอนุมัติ และการเตรียมการก่อนขอกู้

ภาพจาก goo.gl/images/C16gsG

จากการอธิบายของธนาคารเอสเอ็มอี ได้สรุปปัญหาใหญ่ๆ ไว้ 12 ด้าน ที่ทำให้ทางธนาคารไม่สามารถอนุมัติเงินกู้ให้ได้ ดังนี้
  1. ผู้ประกอบการเคยเป็นหนี้ NPLs มาก่อน ที่ธนาเรียกว่า “ติด BlackList” ขณะขอกู้เงิน
     
  2. ธนาคารยังไม่มีนโยบายปล่อยกู้ให้กับธุรกิจของผู้ประกอบการในขณะนั้น
     
  3. หลักประกันไม่คุ้มกับจำนวนเงินที่ขอกู้
     
  4. ธุรกิจมีที่มาของรายได้ไม่ชัดเจนที่จะสามารถชำระหนี้ได้
     
  5. กิจการมีสัดส่วนหนี้สินมากเกินไป
     
  6. โครงการไม่มีความเป็นไปได้ทางการเงิน (ประสบความสำเร็จได้ยาก)
     
  7. ผู้ประกอบการไม่สามารถชำระหนี้ได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด
     
  8. แผนธุรกิจไม่มีความชัดเจนในด้านการผลิต การตลาด การจัดการ การเงิน
     
  9. ธุรกิจสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีมาตรการรองรับ, แก้ไขที่ชัดเจน
     
  10. สภาพธุรกิจมีการแข่งขันสูง มีแนวโน้มไม่ดีในอนาคต
     
  11. ขาดประสบการณ์ที่จำเป็นในการประกอบธุรกิจนั้น (กรณีเริ่มประกอบธุรกิจ)
     
  12. ลงทุนในธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เกินไป ไม่เหมาะสมกับการเริ่มต้นกิจการ
ภาพจาก goo.gl/images/TcS3Ug

เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ธนาคารไม่อนุมัติเงินกู้ให้แล้ว ก็ควรจะรู้ถึงเทคนิคที่จะทำให้ธนาคารเชื่อถือและปล่อยเงินกู้ให้ นั่นคือ 9 เคล็ดลับการของสินเชื่อให้โดนใจแบงก์ ได้แก่
 
1.เดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ สร้างประวัติทางการเงิน

ธนาคารไม่ได้รู้จักธุรกิจของท่านทุกคน งบการเงินของธุรกิจขนาดเล็กโดยเฉลี่ยมีความผิดพลาดสูง (แต่มากกว่า 80% ไม่มีงบการเงิน) เกือบทุกธนาคารจึงอ้างอิงกระแสเงินสดเข้า/ออกบัญชี (หรือที่เรียกกันยอดหมุนเวียนบัญชี) ของท่านในการประเมินรายได้ ดังนั้นการเดินบัญชีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างประวัติธุรกิจของท่านกับธนาคาร
 
2.การขอสินเชื่อเป็นเรื่องของเครดิตหรือความน่าเชื่อถือ จงรักษามันให้ดีที่สุด

หลายคนไม่ได้ใส่ใจเรื่องประวัติค้างชำระในการใช้เครดิตส่วนบุคคล (บัตรเครดิต สินเชื่อที่พักอาศัย รถยนต์ หรือสินเชื่อเงินสด เป็นต้น) โดยไม่ทราบว่าประวัติเหล่านี้ถูกเก็บไว้ที่เครดิตบูโรและจะถูกนำมาประมวลผลพร้อมกัน เมื่อท่านขอสินเชื่อ เพื่อความมีระเบียบวินัยทางการเงินของท่าน ถือเป็นคุณสมบัติประการแรกๆ ของการพิจารณาสินเชื่อเพื่อธุรกิจก็ว่าได้ 
 
3.อย่าปล่อยให้ประวัติเช็คคืนมีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อของท่าน

เช็คคืนที่เจ้าของธุรกิจสั่งจ่ายไป อาจแสดงถึงความสามารถในการจัดการด้านการเงินหรือสภาพคล่องที่ไม่เพียงพอของธุรกิจ เพื่อไม่ให้ประวัติเช็คคืนมีผลต่อการพิจารณาคำขอสินเชื่อของท่าน เมื่อพบว่ามีกระแสเงินสดไม่พอ ควรรีบดำเนินการติดต่อผู้รับเช็คเกี่ยวกับการขอผ่อนปรนระยะเวลาการชำระเงิน 

4.ความลับทางการค้าจะไม่ถูกเปิดเผยโดยธนาคาร

มีข้อมูลหลายอย่างที่มีความสำคัญต่อการพิจารณาสินเชื่อ (โดยเฉพาะข้อมูลการเดินบัญชีหลักที่ไม่ได้เปิดในนามกิจการ) แต่ไม่ได้มีการนำเสนอเพื่อสนับสนุนการขอสินเชื่อของท่าน เนื่องจากเจ้าของธุรกิจหลายท่านกลัวความลับทางการค้า หรือทางภาษีเหล่านั้นรั่วไหล ความจริงคือธนาคารไม่สามารถนำเอกสารเหล่านี้เปิดเผยให้กับบุคคลใด โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ขอสินเชื่อ 

5.เอกสารทางการค้าของท่านมีมูลค่า จงเก็บมันไว้เสมอ

เอกสารที่แสดงถึงผลการดำเนินงานของธุรกิจท่าน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีซื้อ/ขาย สำเนาใบกำกับภาษี ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสร็จรับเงิน เหล่านี้เป็นเอกสารที่ท่านอาจจำเป็นต้องใช้เพื่อนำเสนอผลประกอบการต่อธนาคาร และจะจำเป็นมากขึ้น ในกรณีที่ยอดหมุนเวียนบัญชีของท่านไม่สะท้อนรายได้ของธุรกิจที่แท้จริง ท่านสามารถใช้เอกสารเหล่านี้ประกอบการขอสินเชื่อได้ 

6.หลักประกันคือฟันเฟืองสำคัญของการพิจารณาสินเชื่อ

หลักประกันแม้จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ธนาคารสนใจ ธนาคารยังพิจารณาถึงความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งธนาคารวิเคราะห์ได้จากแผนธุรกิจ งบการเงิน และประวัติของผู้ขอสินเชื่อ หลักประกันที่ดีที่สุดสำหรับการขอสินเชื่อ คือ สถานประกอบกิจการ รองลงมาคือหลักประกันที่ท่านมีไว้ในครอบครอง แต่ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจการ อาทิ ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรือเครื่องจักร โดยทั่วไปวงเงินที่ธนาคารอนุมัติให้จะอยู่ระหว่า 80-95% ของมูลค่าหลักประกัน 

7.แหล่งรายได้และภาระหนี้สินรวมคือแหล่งที่มาของวงเงิน 

แม้ว่าบางครั้งหลักประกันจะมีมูลค่ามากกว่าวงเงินที่ขอ ธนาคารอาจอนุมัติวงเงินที่ต่ำกว่าที่ขอได้เนื่องจากธนาคารไม่ได้พิจารณาตามมูลค่าหลักประกันเพียงอย่างเดียว ธนาคารยังดูภาระหนี้สินรวม หรือจำนวนเงินที่ท่านสามารถผ่อนชำระได้ในที่สุดด้วย ซึ่งความสามารถในการผ่อนชำระดังกล่าวก็ดูได้จากแหล่งรายได้ของท่านนั่นเอง 
 
8.ไม่มีหลักประกันก็สามารถขอสินเชื่อได้

ในการปล่อยสินเชื่อประเภทที่ไม่ใช้หลักประกัน ธนาคารถือว่ามีความเสี่ยงสูง ดังนั้นคุณสมบัติของผู้ที่จะผ่านการอนุมัติได้ ก็จำเป็นต้องสูงกว่าการขอสินเชื่อทั่วไป ไม่ว่าจะเรื่องประสบการณ์ ยอดหมุนเวียนบัญชี แม้ว่าการสมัครจะรวดเร็ว ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเท่ากับสินเชื่อที่มีหลักประกันโดยทั่วไป อัตราดอกเบี้ยที่คิดก็มักจะสูงกว่า (ประมาณ 13%-30% ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทและขนาดของวงเงินที่ได้รับการอนุมัติ) ดังนั้นถ้าท่านมีหลักประกัน สิ่งที่ดีที่สุดคือเสนอหลักประกันประกอบการขอสินเชื่อ กรณีที่มีหลักประกันไม่พอ ท่านสามารถติดต่อหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขอใช้บริการค้ำประกันวงเงินสินเชื่อได้เช่นกัน 

9.เตรียมพร้อมดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

การขอสินเชื่อที่ดีจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมก่อนเสมอ นอกเหนือจากเอกสารประกอบต่างๆ แล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ ประเมินแผนการทางการเงินของท่านอย่างคร่าวๆ เช่น ท่านต้องการเงินเท่าไหร่ รายได้โดยประมาณต่อปีเป็นเท่าไหร่ สามารถใช้หลักประกันอะไรได้บ้าง ประเมินจากเงื่อนไขของแต่ละธนาคารแล้วท่านน่าจะได้วงเงินสักเท่าไหร่ ถ้าไม่พอท่านมีแผนจะทำอย่างไร ท่านจะสามารถชำระคืนได้หรือไม่ ภายในกี่ปี คำถามเหล่านี้จะช่วยให้ท่านเตรียมพร้อมก่อนดำเนินเรื่องขอสินเชื่อ
 
การเตรียมการก่อนขอกู้


ภาพจาก goo.gl/images/qrQvNj

ในการติดต่อขอกู้เงินเพื่อมาลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์นั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ยากเพราะเป็นนโยบายส่งเสริมจากรัฐบาล และสถาบันการเงินส่วนใหญ่ก็มีนโยบายให้กู้เช่นกัน แต่ว่าในการปฏิบัติจริงนั้น เนื่องจากความไม่พร้อมของผู้ขอกู้ ทำให้สถาบันการเงินไม่สามารถรีบเร่งดำเนินการตามคำขอกู้ให้ได้ สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ มักมาจากหลายทาง เช่น

1.ความไม่พร้อมด้านเอกสาร เนื่องจากในการอนุมัติ สถาบันการเงินต้องอาศัยหลักฐานเอกสารเป็นจำนวนมาก และนักธุรกิจไทยจำนวนมากก็มักจะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยในการทำงานด้านเอกสาร ทำให้เอกสารไม่ครบถ้วน หรือไม่ถูกต้องตามที่สถาบันการเงินกำหนด ขอยกตัวอย่างเช่น กรณีผู้ขอกู้เป็นบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล หลักฐานที่จำเป็นของนิติบุคคลย่อมมีมากกว่า

ดังนั้น ในการติดต่อสถาบันการเงินเพื่อขอกู้เงิน ผู้ขอกู้ควรตระเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนถูกต้อง เอกสารที่จำเป็นต้องรับรองก็ประทับตรารับรองให้เรียบร้อย (บางอย่างเช่น ใบจดทะเบียน อาจต้องขอคัดและรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจทางการค้าและต้องมีอายุไม่เกินสามเดือน) และจัดเรียงให้เป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการตรวจเช็ค สำหรับเอกสารที่ต้องใช้ประกอบในการขอสินเชื่อ อาทิเช่น
 
กรณีบุคคลธรรมดา
  • บัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านผู้กู้และคู่สมรส (ถ้ามี)
  • ใบทะเบียนพาณิชย์/ทะเบียนการค้า หรือเอกสารอื่นที่แสดงว่าประกอบธุรกิจ เช่น สัญญาเช่าสถานประกอบการ/ใบสั่งซื้อสินค้า
  • หลักฐานแสดงที่มาของรายได้ เช่น แบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้/ ใบเสร็จรับรองการเสียภาษี/สลิปเงินเดือน (กรณีมีรายได้ประจำ)/บัญชีเงินฝากธนาคาร (ย้อนหลัง 6 เดือน)
  • รูปถ่ายสถานประกอบการ และแผนที่แสดงที่ตั้งสถานประกอบการ
  • สัญญาเช่า หรือ ใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่ทำธุรกิจหรือเอกสารสิทธิในสถานประกอบการ หรือแผนที่แสดงเส้นทางทำธุรกิจ (ถ้ามี)
  • แผนธุรกิจ (แสดงรายละเอียดการผลิต การตลาด การจัดการ และการเงิน)
กรณีนิติบุคคล
  • หนังสือรายงานการประชุมที่มีมติให้กู้ยืมเงิน
  • หนังสือรับรองกระทรวงพาณิชย์ (อายุไม่เกิน 1 เดือน นับถึงวันขอกู้)
  • หนังสือบริคณห์สนธิ/ข้อบังคับหรือตราสารการจัดตั้ง
  • บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น
  • บัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้มีอำนาจลงนามของนิติบุคคล
  • หลักฐานแสดงผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้แก่ งบการเงิน (ย้อนหลัง 3 ปี) ประกอบด้วย งบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสด
  • บัญชีเงินฝากธนาคาร (ย้อนหลัง 6 เดือน)
  • รูปถ่ายสถานประกอบการและแผนที่แสดงที่ตั้งสถานประกอบการ
  • สัญญาเช่า หรือ ใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่ทำธุรกิจหรือเอกสารสิทธิในสถานประกอบการ หรือแผนที่แสดงเส้นทางทำธุรกิจ (ถ้ามี)
  • แผนธุรกิจ (แสดงรายละเอียดการผลิต การตลาด การจัดการ การเงิน)

ภาพจาก goo.gl/images/kccsz1

2.การไม่ตรงตามกำหนดเวลาที่จะต้องส่งเอกสารหรือข้อมูลเพิ่มเติมให้แก่สถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งการไม่ไปพบปะตามกำหนดที่นัดหมาย ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ ดังนั้น ผู้ขอกู้จำเป็นต้องเตรียมเวลาสำหรับการประชุมหรือไปพบปะกับเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินด้วย และให้มีระยะเวลาสำหรับการพิจารณาอนุมัติตามสมควร

3.เตรียมผู้ที่รู้ในหน้าที่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไปพบให้ข้อมูลตามที่สถาบันการเงินต้องการ ในบางครั้ง ผู้ซื้อแฟรนไชส์เองอาจไม่รู้ในทุกเรื่อง จึงต้องบอกให้ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในด้านดังกล่าว เตรียมความพร้อมไว้เพื่อให้สามารถไปพบและให้ข้อมูลได้ทันที แทนที่จะเพิ่งมาเตรียมเมื่อถูกแจ้งให้ส่งเอกสารหรือข้อมูล

กล่าวโดยสรุปคือ ผู้ขอกู้ต้องเตรียมทั้งด้านเอกสาร (Material) ด้านบุคลากร (Man) ด้านระบบงาน(Method)  ด้านเครื่องไม้เครื่องมือ (Machine) ทั้ง 4 Ms ไว้ให้พร้อม เพื่อไปขอกู้เงินให้ได้ M ตัวที่ห้ามาร่วม เพื่อให้ครบ 5 Ms เพื่อจะได้สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจแฟรนไชส์ได้อย่างสะดวกราบรื่น
 
ลำดับการติดต่อเพื่อเริ่มทำธุรกิจแฟรนไชส์


นอกจากการติดต่อหาแหล่งเงินทุนแล้ว ผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์จะต้องติดต่อแฟรนไชส์ซอร์ควบคู่กันไปด้วย และวางแผนทั้งทางด้านการเงิน บุคลากร การตลาด การบัญชี การจัดการ การออกแบบ การตบแต่งสถานที่ ฯลฯ เพื่อเตรียมพรัอมสู่การเป็นผู้ประกอบการ ภายใต้การแนะนำและกำกับดูแลจากแฟรนไชส์ซอร์ ช่วงระยะเวลานี้อาจจะสั้นหรือยาว ขึ้นกับว่าเป็นธุรกิจแฟรนไชส์อะไร ขนาดกิจการใหญ่แค่ไหน และแฟรนไชส์ซีมีความพร้อมเพียงใด


ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างลำดับขั้นการติดต่อเพื่อเริ่มทำธุรกิจแฟรนไชส์เล็กๆ เช่น หากท่านสนใจอยากจะเปิดร้านแฟรนไชส์ ทางผู้ขายแฟรนไชส์ซอร์ได้แนะนำไว้ ดังนี้
 
ขั้นตอนการลงทุนร้านแฟรนไชส์
  1. ผู้สนใจสามารถติดต่อยไปยังเบอร์โทรศัพท์ของทางแฟรนไชส์ที่สนใจ หรือเขียนติดต่อสอบถามไปทางอีเมล์ของแฟรนไชส์นั้นๆ
  2. ถ้าประสานงานจนเป็นที่เข้าใจต่อกันดีแล้ว จึงนัดหมายเพื่อดูสถานที่ที่จะตั้งร้าน
  3. หากไม่มีอะไรขัดข้องก็จะทำสัญญาเพื่อร่วมกันในการเปิดร้าน
  4. ขั้นตอนเตรียมการ ได้แก่การเตรียมสถานที่ ติดตั้งป้ายชื่อร้าน จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  5. เตรียมบุคลากรที่จะทำงานในร้าน เช่น ผู้จัดการ พนักงานประจำร้าน เป็นต้น
  6. ซักซ้อมและฝึกหัดการทำหน้าที่ของแต่ละคนให้เข้าใจและเกิดทักษะในการประกอบกิจการ
  7. โฆษณาประชาสัมพันธ์การเปิดร้านต่อสาธารณะ
  8. ซักซ้อมการทำงานอีกครั้งหนึ่ง และตรวจสอบความพร้อม
  9. ทำการเปิดร้านแฟรนไชส์ของท่านตามวัตถุประสงค์
บทความแฟรนไชส์ยอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
6 แฟรนไชส์บริการ! สร้างรายได้ 24 ชม.
984
ลงทุนตามเทรนด์ฮิต! 7 แฟรนไชส์ไอเดียเงินล้าน ปี ..
704
ตั้งแถวใหม่ 10 แฟรนไชส์ น่าลงทุน ครึ่งปีหลัง 68
643
แฟรนไชส์ชาจีน Good Me 古茗 ดังจนถูกก๊อป 600 สาขา
593
“ปิ้งย่าง” ธุรกิจหมื่นล้าน! มีแฟรนไชส์ไหน น่าลง..
576
Shake Shack จากรถเข็นขายฮอทดอกในนิวยอร์ก สู่แฟรน..
556
บทความแฟรนไชส์มาใหม่
บทความอื่นในหมวด