บทความทั้งหมด    บทความ SMEs    การเริ่มต้นธุรกิจใหม่    การวางแผนธุรกิจ
2.3K
2 นาที
4 กันยายน 2561
7 เทคนิค เลือกอาคารพาณิชย์ทำร้านค้า!
 


ทำธุรกิจใดๆ เราต่างก็ต้องการทำเลที่ดีที่สุด แต่ปัญหาก็คือเราจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์มาชี้วัดว่าอาคารพาณิชย์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ตรงนี้ จะดีกว่าหรือไม่ดีกว่าอาคารพาณิชย์ที่อื่น ตรรกกะง่ายๆหากไม่ใช้สูตรหรือหลักเกณฑ์อะไรก็วัดเอาจากสายตา ประเมินดูแนวโน้มการเจริญเติบโตของพื้นที่ และคิดจินตนาการว่าอนาคตจะต้องเป็นอย่างไรต่อไป
 
แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาด www.ThaiFranchiseCenter.com อยากให้ทุกคนได้มีเทคนิคและสูตรคิดก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทำเลลงทุนเพราะนั่นหมายถึงเงินทุนที่เราต้องใช้ หากเกิดผิดพลาดขึ้นมาจะถอนตัวก็ลำบาก ทางที่ดีควรใช้หลักคิดสักนิดว่าทำเลตรงนี้ดีจริง อาจจะยุ่งยากในตอนแรกแต่ก็ดีกว่ามานั่งลำบากใจภายหลัง
 
1. เปรียบเทียบจากราคาประเมิน
 
เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่มักใช้ตั้งแต่นายหน้าค้าที่ดิน หรือแม้แต่ผู้ที่คิดจะทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ วิธีการคือเช็คราคาประเมินของกรมธนารักษ์คู่กับราคาประเมินของธนาคารต่างๆ  ซึ่งเราสามารถเข้าไปติดต่อได้กับหน่วยงานทั้ง 2 โดยตรง และราคาประเมินเหล่านี้ชี้วัดความเป็นทำเลทองได้อย่างดี หากพื้นที่ตรงไหนราคาประเมินของธนาคารสูงกว่ากรมธนารักษ์นั้นหมายความว่าแนวโน้มในอนาคตจะดีกว่าสามารถเลือกอาคารพาณิชย์ในพื้นที่นั้นจะสบายใจได้มากกว่า
 
ภาพจาก goo.gl/images/aEgrx2

2. เปรียบเทียบจากการกำหนดแถบสีของผังเมือง
 
อาคารพาณิชย์ใดๆก็ตามล้วนสัมพันธ์กับแถบสีในผังเมือง ซึ่งจะมีการกำหนดเป็นโซนของแต่ละแถบสี หากเรียงลำดับทางธุรกิจจะเป็นดังนี้ สีแดง(พาณิชกรรม) , สีม่วง (อุตสาหกรรม) , สีเม็ดมะปราง (คลังสินค้า) , สีน้ำตาล (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) , สีส้ม (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง)  , สีเหลือง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) , สีเขียว (เกษตรกรรม)  และ สีขาว มีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว (เขตอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม)   หากจะเลือกอาคารพาณิชย์เพื่อทำธุรกิจและสามารถเติบโตต่อขยายในอนาคตได้ควรอยู่ในพื้นที่สีแดงและสีม่วงเป็นหลักและควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่งคือพื้นที่สีเขียวและสีขาว
 
ภาพจาก goo.gl/images/iuEp1E

3. เปรียบเทียบให้คะแนนปัจจัย (The Factor Rating Method)
 
โดยดูจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าของทำเล และให้น้ำหนักแต่ละปัจจัยตามลำดับความสำคัญเพื่อนำมาให้คะแนนคุณค่าในแต่ละทำเล วิธีนี้ยิ่งเปรียบเทียบมากเท่าไร ยิ่งน่าเชื่อถือมากเท่านั้น ปกติหลังจากคำนวนหาคะแนนถ่วงน้ำหนัก (Weihted Scores) แล้วก็จะเลือกทำเลที่ตั้งที่มีคะแนนถ่วงน้ำหนักสูงสุดเป็นสำคัญ
 
ภาพจาก goo.gl/images/4CgBZJ

4. ดูทำเลที่มีต้นทุนต่ำที่สุด
 
การลงทุนกับทำเลก็คือต้นทุนธุรกิจชนิดหนึ่งและคงจะดีกว่าหากคำนวณแล้วว่าทำเลนั้นมีราคาสมเหตุสมผลกับการเริ่มต้นทำธุรกิจ โดยปกติจะพิจารณาใน 2 รูปแบบคือ
  • พิจารณาต้นทุนรวม โดยดูทั้งต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) เช่น ค่าเช่า ค่าเสื่อมราคา เงินเดือนพนักงานประจำ เงินเดือนผู้บริหาร รวมถึงค่าใช้จ่ายทั่วไปในสำนักงานและต้นทุนผันแปร (Variable Cost)  เช่น ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าวัตุดิบ ค่าสินค้าที่ซื้อมาเพื่อขาย ค่าจ้างของพนักงานรายวัน เป็นต้น
  • การพิจารณาเฉพาะต้นทุนการเดินทางและการขนส่ง  ซึ่งวิธีแบบหลังนี้สามารถมักใช้ได้ดีกับการเลือกทำเลบ้านอยู่อาศัยมากกว่าที่จะเป็นการเลือกเพื่อธุรกิจ

ภาพจาก goo.gl/images/SM7XM2

5. ใช้ตัวเลขความหนาแน่นของการสัญจร
 
เป็นวิธีพื้นฐานที่มาจากการสังเกต โดยพิจารณา จำนวนคนที่สัญจรไปมา ปริมาณจราจรทางรถยนต์ ประเภทและลักษณะของผู้ที่สัญจรไปมา ประเภทและลักษณะของคนที่สัญจรที่ไปมาหน้าทำเล และความหนาแน่นของจารจรในแต่ละช่วงเวลา
 
ภาพจาก goo.gl/images/4Fpyz2

6. เปรียบเทียบตัวคูณค่าเช่า (The Gross Rent Multiplier : GRM)
 
จัดเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เหมาะกับอสังหาฯ ประเภทลงทุนระยะยาว เช่น หอพัก, แฟลต, อพาร์ตเมนต์, บ้านเช่า สำหรับสูตรหาตัวคุณค่าเช่าในแต่ละพื้นที่ คือนำราคาซื้อขายอสังหาฯ ตั้ง แล้วหารด้วยค่าเช่าที่ได้รายเดือน ซึ่งควรเลือกทำเลที่ได้ค่า GRM ต่ำสุดเป็นสำคัญ เพราะถือว่ามีราคาถูกกว่าเหมาะแก่การลงทุน
 
ภาพจาก goo.gl/images/8i2myK

7. เปรียบเทียบสัดส่วนรายได้สุทธิต่อราคาอสังหาฯ
 
เป็นวิธีที่ได้รับการยอมว่าดีและน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะประเมินราคาครบทุกด้าน ทั้งรายได้ ค่าใช้จ่ายและการลงทุน   ซึ่งจะเริ่มจากการหารายได้สุทธิหลังดำเนินการ (Net Operation Incom : NOI)  โดยนำราคาที่ได้รับจริงทั้งหมด (Effective Gross Income) ทั้งค่าเช่า และรายรับอื่นๆ ตั้ง แล้วนำหักออกด้วยค่าใช่จ่ายดำเนินงานต่างๆ (Operrating Expenses ) จากนั้นให้นำรายได้สุทธิหลังดำเนินงานหรือกระแสเงินสดสิทธินำมาหาด้วยราคาอสังหาฯ ก็จะได้เป็นผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment : ROI)
 
เช่น อาคารพาณิชย์ 2 หลัง หลังแรกขาย 2 ล้านบาท ใน 1 ปีคาดว่าจะมีรายได้สุทธิ 200,000 บาท มีค่า ROI=10% ขณะที่อาคารหลังที่ 2 ขายในราคา600,000 บาท ค่า ROI = 12% แบบนี้ก็แสดงว่าเราควรเลือกซื้ออาคารในหลังที่ 2 ที่จะให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากกว่า
 
แต่โดยส่วนใหญ่นักธุรกิจมักจะเลือกใช้วิธีการประเมินราคาเพราะทำได้ง่ายและสะดวกกว่าวิธีอื่นๆ นอกจากนี้ยังใช้วิธีการประเมินตามความน่าจะเป็นและเทียบสีผังเมืองเพื่อคาดการณ์อนาคต แต่อย่าลืมว่ายุคนี้เราต้องพิจารณาถึงเรื่องแนวรถไฟฟ้าที่มีโครงการต่อขยายในหลายพื้นที่ หากใช้ข้อมูลส่วนนี้และซื้ออาคารพาณิชย์ในพื้นที่ไว้ล่วงหน้าอาจทำให้เราได้ทำเลดีๆ ในราคาที่ถูกลง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเก็งกำไรทำเลชนิดหนึ่งด้วย
 
ภาพจาก goo.gl/images/HvyBjZ
 

SMEs Tips
 
1. เปรียบเทียบจากราคาประเมิน 
2. เปรียบเทียบจากการกำหนดแถบสีของผังเมือง 
3. เปรียบเทียบให้คะแนนปัจจัย (The Factor Rating Method)
4. ดูทำเลที่มีต้นทุนต่ำที่สุด
5. ใช้ตัวเลขความหนาแน่นของการสัญจร 
6. เปรียบเทียบตัวคูณค่าเช่า (The Gross Rent Multiplier : GRM)
7. เปรียบเทียบสัดส่วนรายได้สุทธิต่อราคาอสังหาฯ
 
สำหรับท่านใดที่ต้องการข้อมูลข่าวสาร ต้องการอัพเดทข้อมูลการตลาด หรือแนวทางการทำธุรกิจเรามีรวบรวมบทความมากมาย ติดตามได้ที่ goo.gl/Io5k2S
 
บทความเอสเอ็มอียอดนิยม Read more
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ศึกกลยุทธ์ที่มากกว่าราคา สงครามสุกี้ เดือดㆍแดงㆍด..
613
กลยุทธ์การตลาดแบบคูล "ยาคูลท์" ผ่านมา 54 ปี วันน..
519
ร้านเล็กตายเรียบ สงครามราคากาแฟจีนสู่ไทย ลามไปทั..
477
มหันตภัย “ศูนย์เหรียญ” พาธุรกิจไทยเจ๊งยับ
436
ตำนาน! โรตีบอย (Rotiboy) วันนี้ไปไหน
424
3 แบรนด์กาแฟในอิตาลี! ที่ Starbucks ยังต้องหลบ
419
บทความเอสเอ็มอีมาใหม่
บทความอื่นในหมวด