5 ข้อนี้บอกเลยว่า Amazon จะยิ่งใหญ่กว่าเดิมในปี 2017
 

คนที่ทำธุรกิจทุกคนย่อมคาดหวังอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คำถามสำคัญก็คือว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจเดินหน้าไปแบบที่ใจต้องการ คำว่าธุรกิจเล็กหรือใหญ่ไม่ใช่ปัญหาที่จะบอกว่าทำได้หรือไม่ได้ สิ่งสำคัญคือหลักการทางตลาด ธุรกิจเล็กก็มีทิศทางเติบโตในแบบของตัวเอง หากใหญ่หน่อยก็มีทิศทางในรูปแบบของตัวเองเช่นกัน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกถูกทางได้มากน้อยแค่ไหน

 

เพื่อทำให้เรื่องนี้เห็นภาพชัดเจนในแผนการตลาดภาคธุรกิจ www.ThaiFranchiseCenter.com จะยกตัวอย่างของธุรกิจออนไลน์ระดับโลกอย่าง Amazon มาเป็นต้นแบบความคิดให้คนที่ทำธุรกิจมองออกว่านี่แหละคือแผนการขยายตลาดของมืออาชีพ ยิ่งอ่านมากยิ่งเรียนรู้มากโอกาสก้าวหน้าในการทำธุรกิจของเรานั้นก็จะมากตามไปด้วยเช่นกัน

 

ในปี 2016 เป็นปีที่เต็มไปด้วยข่าวการเทเงินหลายพันล้านเหรียญของ Amazon เพื่อเพิ่มเขี้ยวเล็บเรื่องจัดส่งสินค้า เงินเหล่านี้ถูกเติมลงในแผนพัฒนาธุรกิจของบริษัทในทุกไตรมาส

เนื่องจากต้นทุนเรื่องจัดส่งสินค้าของ Amazon นั้นสูงขึ้นต่อเนื่องเพราะธุรกิจของบริษัทที่ต้องการขายสินค้าทุกอย่างที่ประชาชนต้องการ และเพื่อลดต้นทุน Amazon พยายามดึงงานส่งของมาดำเนินการเองแทนที่จะต้องจ้าง UPS และ FedEx รถบรรทุกหลายคันจึงถูกเช่ามา เช่นเดียวกับเครื่องบินและเรือหลายลำ

ล่าสุดคือโดรนที่กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบ ซึ่งหากทำได้ดี ธุรกิจของ Amazon ก็จะถูกพัฒนาได้ก้าวกระโดดเพราะสามารถส่งสินค้าได้เร็วและราคาประหยัดกว่าเดิม

การลงทุนของ Amazon เรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทำให้โลกเห็นความชัดเจนว่า Amazon พร้อมท้าชิงกับ Apple และ Google ในศึกบริการผู้ช่วยเสมือน ซึ่งขณะนี้ Amazon ประกาศว่าทุ่มงบไม่อั้นสำหรับการพัฒนา Alexa โดยนอกจากพนักงานเกิน 1,000 คนที่อยู่ในทีมพัฒนา Amazon ยังมีแผนขยายทีมพัฒนา Alexa อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรูปการจับมือกับผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อผลิตเป็นสินค้าที่ผู้ใช้สามารถสั่งการด้วยเสียงได้

ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ระดับโลกอย่าง  Amazon จบปี 2016 ด้วยข่าวใหญ่อย่างการเปิดตัว Amazon Go ร้านขายของชำขนาด 1,800 ตารางฟุตที่ประเดิมในซีแอตเทิล กับจุดเด่นให้ลูกค้าสามารถสแกนสมาร์ทโฟน แล้วหยิบสินค้าในร้านกลับไปบ้านได้โดยไม่ต้องรอคิวจ่ายเงิน

แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า Amazon มีแผนเปิดร้าน Amazon Go เพิ่มอีกกี่แห่งในปี 2017 แต่ก็เป็นสัญญาณบอกชัดว่า Amazon กำลังเริ่มทดสอบเพื่อบุกตลาดร้านออฟไลน์อย่างจริงจังด้วยเช่นกัน

 

เรียกได้ว่าแม้ช่องทางการตลาดในปัจจุบันจะมีเพิ่มมาอีกกี่ช่องทางก็ตามแต่ Amazon ก็ยังคงคอนเซปต์รักษาฐานของ original content ไว้อย่างชัดเจน และชัดเจนยิ่งขึ้นคือการซื้อและสร้างภาพยนตร์ รายการทีวี รวมถึงช่องทางบันเทิงต่างๆ ด้วยเหตุผลหลักคือต้องการแข่งขันกับ Netflix และ Apple ซึ่งการลงทุนที่เกิดขึ้นถูกมองว่าจะทำให้ Amazon แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในปีอื่นด้วย

Amazon ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะทุ่มเงินกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อขยายบริการในอินเดีย ซึ่งหากรวมเม็ดเงินลงทุนครั้งก่อนหน้านี้ เงินทุนของ Amazon ที่เทให้กับอินเดียจะทะลุเป้า 5 พันล้านเหรียญ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนว่า Amazon มองเห็นโอกาสทอง จึงตั้งความหวังไว้ที่ตลาดอินเดียสูงมาก เรียกว่ากล้าลงทุนเพราะหวังเติบโตเต็มที่

โดยในปี 2016 ที่ผ่านมา Amazon เริ่มเปิดบริการ Prime ตามรอยในสหรัฐฯ โดยจะเพิ่มบริการ Prime Video ดึงดูดลูกค้าอินเดียด้วยการเปิดให้สมาชิกสามารถชม original content ของผู้กำกับอินเดียและกองทัพนักแสดงขวัญใจชาวอินเดีย สิ่งที่เกิดขึ้นแปลว่า Amazon วางอินเดียเป็นดินแดนแห่งความหวังในปีนี้ และตัดสินใจนำโมเดลที่ประสบความสำเร็จงดงามแล้วในสหรัฐอเมริกามาใช้เพื่อให้เกิดตลาดใหม่ที่จะสร้างรายได้ให้ Amazon ได้อีกทาง

 

ด้วยแผนการตลาดอันชัดเจนทั้งหมดทั้งมวลนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือการกำหนดยุทธศาสตร์ในการครองส่วนแบ่งการตลาดที่ต้องเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่สะท้อนให้เห็นอีกอย่างคือหากคิดทำธุรกิจให้เติบโตจะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นระบบและกล้าที่จะเสี่ยงกับการลงทุน

แต่ทั้งนี้ก็ควรหาแผนธุรกิจที่เหมาะสมกับขนาดธุรกิจตัวเองไม่ใช่การเร่งเร้าให้โตเร็วเกินไปเพราะแทนที่จะดีอาจกลายเป็นดาบสองคมหันมาทิ่มแทงตัวเองในภายหลังก็เป็นได้

 

---

1. ต้องรู้ศักยภาพความสามารถของธุรกิจตัวเอง
2. วางแผนที่เหมาะสมกับโครงสร้างธุรกิจ
3. มีแผนสำรองในยามฉุกเฉิน
4. รู้จักวิเคราะห์ตลาดเพื่อกำหนดแผนทางธุรกิจ

พร้อมกันนี้หากท่านใดสนใจและอยากเริ่มต้นในการทำธุรกิจซึ่งสิ่งสำคัญคือแผนธุรกิจที่เป็นไกด์ไลน์ในการตั้งต้น เรามีรวบรวมแผนธุรกิจประเภทต่างๆที่น่าสนใจไว้จำนวนมาก ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ goo.gl/idbA87

 

ขอบคุณข้อมูลจาก goo.gl/rr69Se