“ทรู คอฟฟี่…“ไลฟ์สไตล์ครบวงจร 

 

ไลฟ์สไตล์ครบวงจร

    ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ชอบการใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายมากขึ้น เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ทรูคอฟฟี่ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ ถือเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่ทำให้แบรนด์ทรูเข้าถึงและใกล้ชิดลูกค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเป็นแหล่งรวมของคนทุกกลุ่มที่มองเห็นทรู คอฟฟี่เป็นเหมือนบ้านอีกหลัง กลายเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ทุกเพศทุกวัย เดินเข้าร้านแล้วสั่งกาแฟเพียงแก้วเดียว แต่ใช้เวลาอยู่ในร้านทั้งวันไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะเครื่องดื่มไม่ใช่จุดขายสำคัญ แต่ความเป็นสถานที่ไลฟ์สไตล์ที่ตอบความต้องการของคนในยุคนี้เหนือกว่า

    ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ Assistant to President/CEO บมจ.ทรู คอร์ปอเรชันให้สัมภาษณ์ Exclusive โจทก์แรกที่ได้รับมอบหมาย และต้องดำเนินการหลังจากถูกชวนมาทำงานที่นี่คือ การทำให้ผู้ใช้บริการของทรู ได้รับความพึงพอใจสูงสุด โดยเฉพาะในจุดที่ลูกค้าจะสามารถเข้าถึงบริการของทรูตั้งแต่เริ่มต้น สิ่งที่ต้องดูแลรับผิดชอบคือ การนำเสนอบริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ หรือชีวิตประจำวันของลูกค้า ภารกิจนี่ถือว่าท้าทายมาก    สำหรับการจะทำให้ผู้ใช้บริการพึงพอใจสูงสุด เปรียบเหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ที่ต้องมีการนำเสนอบริการที่หลากหลาย สร้างความรู้สึกเป็นกันเอง สอดคล้องกับรูปแบบและไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการที่แตกต่างกัน จึงกลายมาเป็นทรู คอฟฟี่ ถือเป็นโฉมใหม่ของอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ที่จะสร้างบุคลิกของทรูให้มีความแตกต่าง โดดเด่น และเป็นต้นแบบของอินเตอร์เน็ตค่าเฟ่ที่ทันสมัย มีสไตล์

    “การเปิดร้านกาแฟเหมือนเป็นความฝันของคนส่วนใหญ่ อยากมีร้านกาแฟเล็กๆ มีมุมที่มีความสุขมานั่งจิบกาแฟไปอ่านหนังสือไป หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชื่อหรือไม่ว่ากาแฟมียอดขายทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำมัน แสดงว่าเกือบทุกคนนิยมดื่มกาแฟ ผมจึงจับเอาความฝันมาเติมให้เต็ม มีบริการอินเตอร์เน็ตอยู่ในร้านกาแฟ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาสิ่งที่อยากรู้ได้ตลอดเวลา”

                หัวเรือใหญ่ผู้ปลุกปั้นทรูคอฟฟี่มาตั้งแต่ตั้งไข่ย้อนกลับไปถึงวันแรกที่เปิดร้านทรู คอฟฟี่ว่า เราเริ่มสาขาแรกที่ตรอกข้าวสาร เมื่อปี 2548 ถูกจัดตกแต่งได้อย่างลงตัวบนพื้นที่ใช้สอย 230 ตารางเมตรของบ้านไม้สองชั้นหลังเก่าในตรอกข้าวสาร ให้ความรู้สึกกับผู้คนที่แวะไปเยี่ยมเยือนเหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นในบ้านหรือที่พักของตัวเอง โดยใช้ระยะเวลาเตรียมกันนานหลายเดือน  
 

    “เราต้องการสื่อให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปของเทคโนโลยี ร้านทรูคอฟฟี่ที่ตรอกข้าวสารเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีในทุกรูปแบบของชีวิต หรือทุกกิจกรรมของชีวิตสามารถเดินไปร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ความคุ้มค่าของร้านคือ การที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นว่า ทรูคือผู้นำเทคโนโลยีที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของผู้คนได้แทบทุกรูปแบบ ปรากฎว่ามีลูกค้ามาใช้บริการเกินกว่าที่คิดไว้จากบริการเสริมเปลี่ยนมาให้ความสำคัญมากขึ้น แบบที่เรียกว่าจากตัวสำรองกลายเป็นดาราประจำทีมเลยทีเดียว”   

                จากนั้นเราได้ขยายร้านทรูคอฟฟี่ออกไปที่สยามสแควร์ซอย 3 ที่นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ ผลปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดี เราจึงเดินหน้าทรู คอฟฟี่อย่างเต็มตัว ด้วยมั่นใจในศักยภาพของเราที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ คุณมาที่ร้านทรู คอฟฟี่ไม่จำเป็นต้องสั่งกาแฟ มานั่งพบปะะสังสรรค์ พักผ่อน หรือที่สยามกลายเป็นที่ติวหนังสือ ประชุมกลุ่มย่อย หาความรู้จากอินเตอร์เน็ต เหมือนเป็นบ้านอีกหลัง ใช้เวลาอยู่ในร้านทั้งวันก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสั่งกาแฟก็สามารถเข้ามานั่งได้ เพราะการที่ลูกค้าเชื่อในแบรนด์และเลือกที่จะเดินเข้าร้านเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า

     ปพนธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า สิ่งสำคัญที่ทรูคอฟฟี่ต้องหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นคือ คุณภาพของคนและการให้บริการ ซึ่งถือเป็นด่านสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจแบรนด์ทรูทั้งหมด ซึ่งเราพยายามฟังเสียงสะท้อนของผู้ที่มาใช้บริการในทุกส่วนของที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อนำมาปรับปรุงสู่ความพอใจสูงสุด

    ปัจจุบันมีทรูคอฟฟี่อยู่ 43 แห่ง ภายในร้านเราขายกาแฟสูตรเฉพาะของเรา ใช้กาแฟจากไร่ที่ลงทุนปลูกไว้ที่เชียงใหม่ ขนมขบเคี้ยว บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สินค้าไฮเทค โทรศัพท์มือถือ ซีดี การขายการ์ดบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงไร้สาย หรือ Wi-Fi ที่ติดตั้งให้ครอบคลุมพื้นที่ภายในร้านทั้งหมด หรือแม้แต่การเป็นจุดรับชำระค่าบริการทุกอย่างเช่นเดียวกันกับทรูช็อปเช่น ชำระค่าบริการโทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์มือถือออเร้นจ์ พีซีที และค่าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

    ปพนธ์เน้นว่า เราคิดค่าบริการอินเตอร์เน็ต 50 บาทต่อชั่วโมง แตกต่างจากร้านอืนเตอร์เน็ตทั่วไป เพราะเราไม่ได้แข่งด้านราคา แต่เราเน้นการบริการ สัดส่วนรายได้ 30% มาจากอินเตอร์เน็ต อีก 70% เป็นกาแฟและอื่นๆ ผลการดำเนินงานของทรูไตรมาสแรกที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 76% หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นสัญญาณที่ดี ปีนี้จะขยายให้ครบ 50 แห่ง ตั้งเป้ารายได้ 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 100 ล้านบาท

    “เราได้เตรียมปรับทรูมูฟ ช็อปที่มีอยู่ 408 แห่งทั่วประเทศ ให้เป็นทรูช็อปทั้งหมด เพื่อให้เป็นภาพการให้บริการภายใต้แบรนด์เดียวในเครือทรู คอร์ปอเรชั่นทั้งหมด จากเดิมที่การให้บริการยังไม่ชัดเจน เพราะลูกค้าเข้าใจว่า ทรูมูฟ ช็อป ให้บริการแต่ทรูมูฟเพียงอย่างเดียว โดยจะเห็นช็อปใหม่ทั้งหมดในเดือนก.ค.นี้”

    โดยหลังจากปรับโฉมสู่ทรูช็อปแล้ว ลูกค้าจะสามารถใช้บริการ ในเครือทรูได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทรูมูฟ ทรูออนไลน์ ทรูอินเทอร์เน็ต และทรูวิชั่นส์ รวมไปถึงทรูคอฟฟี่ที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมไปในทรู ช็อปที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้ารวม 106 แห่ง จากเดิมทรูคอฟฟี่ที่มีอยู่แล้ว 43 แห่ง ซึ่งจะทำให้ภาพการให้บริการของธุรกิจในเครือในรูปแบบคอนเวอร์เจนซ์ชัดเจนมากขึ้น
 

    นอกเหนือจากตลาดในประเทศแล้ว ทรู คอฟฟี่กำลังจะขยายไปยังตลาดอินโดจีน โดยอยู่ระหว่างการหาทำเลที่เหมาะสมในเวียดนาม ซึ่งเป็นจังหวัดรอยต่อระหว่างโฮจิมินห์และฮานอย หลังจากที่เปิดสาขาในต่างประเทศไปแล้วก่อนหน้านี้คือ ที่เวียงจันทน์ ลาว ในรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งที่มีอยู่ทั้งหมด 5 แห่งคือ กรุงเทพฯ 3 แห่ง บุรีรัมย์ 1 แห่ง ลาว 1 แห่ง คิดค่าเฟรนไชส์ 5 แสนบาทต่อ 1 ช้อป ลงทุนไม่เกิน 3 ล้านบาท คาดจะใช้เวลาไม่เกิน 3 ปีคืนทุน

    โดยที่เวียงจันทร์ กระแสตอบรับดีมาก เกินเป้าจากที่ตั้งไว้ จึงเตรียมเปิดสาขาใหม่ที่หลวงพระบางภายในสิ้นปีนี้ การเลือกตลาดอินโดจีนเป็นตลาดหลักของการขยายสาขาในต่างประเทศนั้น เพราะทั้ง 3 ประเทศเป็นประเทศที่มีความสด เนื่องจากกำลังเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะพัฒนาทั้งในเรื่องของบริการอินเทอร์เน็ตและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่งมีความใกล้เคียงกับคนไทย จึงเป็นเรื่องง่ายกว่าการไปลุยในประเทศใหญ่ๆ ที่มีอินเตอร์แบรนด์พร้อมจับจองพื้นที่อยู่แล้ว มีหลายประเทศติดต่อขอเป็นแฟรนไชส์ทั้งจากสหรัฐฯ ดูไบ แต่เราขอเปิดตลาดอินโดจีนก่อน เมื่อแข็งแกร่งแล้วเราไปแน่นอน

    สำหรับด้านการศึกษา ปพนธ์ จบปริญญาตรีด้านการจัดการจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หลังจากนั้นไปศึกษาต่อที่สหรัฐฯ และเข้ารับการศึกษาที่ The Advertising Club of Greater Boston จนสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพด้าน Advertising of Public Relations and Print Production และปริญญาโทด้าน Communication Advertising and Public Relations จากอีเมอร์สัน คอลเลจที่สหรัฐฯ

    โดยเมื่อเรียนจบ ปพนธ์ กลับมาเมืองไทย เริ่มงานครั้งแรกในตำแหน่ง Project Manager (IMC)ที่บริษัทเอเยนซี่ค่าย Lintas เมื่อปี 2535 สนุกอยู่การทำงานประมาณ 1 ปี ก่อนออกมาช่วยกิจการธุรกิจอาร์ตดีไซน์อยู่ประมาณ 5 ปี จากนั้นมาทำด้านโฆษณาที่บริษัทเกรย์ แอดเวอร์ไทซิ่ง (ประเทศไทย)จำกัด ก่อนย้ายไปทำงานด้านเพลงที่บริษัท เบเกอรี่ มิวสิก กรุ๊ป ในตำแหน่ง Chief Operating Office จากนั้นถูกชวนมาทำงานที่บริษัทมาสด้า เซลล์(ประเทศไทย) จำกัดในปี 2543 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัทมาสด้า เซลล์(ประเทศไทย)จำกัด จนถึงปี 2548 สร้างชื่อเสียงในวงการจนเรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร

    ปพนธ์ มาร่วมงานกับ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ตั้งแต่เดือนมี.ค.2548 โดยทำงานใกล้ชิดกับ ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ รับผิดชอบงานการสร้างสรรค์แบรนด์ทรู คอฟฟี่ และทรูไลฟ์ ให้เป็นที่รู้จักทั้งในตลาดในประเทศ ตลอดจนการขยายสาขาไปยังตลาดต่างประเทศ พร้อมมองหาช่องทางการขยายตลาดใหม่ๆ เช่น การเปิดให้บริการแฟรนไชส์ทรู คอฟฟี่ การร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ในการพัฒนานิสิต นักศึกษา ตลอดจนบุคลากรของทรู ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของทรู ในการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้

    ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ธุรกิจหลายประเภทต่างชลอการลงทุน แต่สำหรับทรู คอฟฟี่กลับตรงกันข้าม ปพนธ์บอกว่า เราสวนกระแส กล้าลงทุน ถ้าเปรียบทรูคอฟฟี่ยังเป็นเด็กที่กำลังโต แต่ไม่หวือหวา ก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ แต่มั่นคง ที่สำคัญกาแฟของเรารสชาติไม่แพ้กาแฟยี่ห้ออื่น แต่ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับคุณภาพ

    การทำงาน ปพนธ์บอกว่า ยึดมั่นในการทำงานร่วมกันเป็นทีมเวิร์ค และมีความเชื่อว่าคนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เป็นคนทำงานสบายๆ ไม่เครียด แต่มีความมุ่งมั่น พร้อมสอนให้ลูกน้องคิดและเดินไปพร้อมกับเรา เพราะงานทุกอย่างถ้าจะประสบความสำเร็จทำคนเดียวไม่ได้

    ปพนธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทุกคนชอบเหมือนเรา ถ้ามองในแง่ธุรกิจเราไม่ได้มองไกลถึงขนาดนว่า ต้องมีกำไรมากมาย แค่คาดหวังให้ทุกคนที่เข้ามาในร้านมีความสุข…
 
   
 








อ้างอิงจาก สยามรัฐ