ภาพจาก www.facebook.com/kfcth

 

จับตาฟาสต์ฟูดไก่ทอด 1.7 หมื่นล้านคึกคักรับปีไก่ทอง “เคเอฟซี” ป้องบัลลังก์แชมป์ เปิดเกมครบสูตร ชูแนวรบทั้งขยายสาขา เมนูใหม่ โปรโมชันแรง “บอนชอน” ไม่น้อยหน้าผนึกพันธมิตรสยายปีกยึดทำเลทอง ด้าน “ฮ็อท สตาร์-เท็กซัสชิคเก้น” 2 ผู้เล่นหน้าใหม่ขยับตอดแชร์

 

มีคำถามว่า ทำไมกลุ่มธุรกิจอาหารบริการด่วนในเมืองไทย (Quick Service Restaurants : QSR) หรือที่คนไทยเรียกว่าฟาสต์ฟูด ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3.4 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลณ ปี 2558) ฟาสต์ฟูดประเภทไก่ทอดจึงเป็นเซ็กเมนต์ที่ใหญ่ที่สุด โดยมีสัดส่วนถึง 40% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.74 หมื่นล้านบาท และยังมีการเติบโตต่อเนื่องมากกว่า 10% ต่อปี

ขณะที่อาหารกลุ่มอื่นอาทิ เบอร์เกอร์และพิซซ่า มีการเติบโตเพียง 5-9% ต่อปี และแม้จะมีแบรนด์ “เคเอฟซี” เป็นผู้นำตลาดแบบเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังมีแบรนด์ดังทั้งในเอเชียและระดับโลก สนใจเข้ามาท้าชน เหตุผลสำคัญคือ ความนิยมในการบริโภคไก่ของคนไทยนั่นเอง ทำให้ตลาดฟาสต์ฟูดไก่ปีระกา จะยังคงฮึกเหิมดุเดือดยิ่งขึ้น
 

ภาพจาก www.facebook.com/kfcth

 

นางแววคนีย์อัสโสรัตน์กุล ผู้จัดการทั่วไป เคเอฟซี บริษัท ยัมเรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการร้านอาหารบริการด่วนประเภทไก่ “เคเอฟซี” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ธุรกิจฟาสต์ฟูดไก่ทอดในปีนี้คึกคักและได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี เนื่องจากเมนูไก่ทอดเป็นอาหารที่คนไทยชื่นชอบ

โดยแผนงานของบริษัทนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการคิดค้นพัฒนาเมนูใหม่ เพื่อเพิ่มความหลากหลายออกมารองรับพฤติกรรมผู้บริโภค นอกจากนี้ยังมีนโยบายในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าที่เข้ารับบริการ

 

“ไก่ทอดยังเป็นเมนูหลักในการสร้างรายได้ให้กับร้าน แต่ทว่าเพื่อเป็นการรองรับความต้องการพร้อมทั้งสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ผู้บริโภค บริษัทได้พัฒนาเมนูต่างๆ ที่เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค เช่น เมนูข้าว เบอร์เกอร์ไก่ เบอร์เกอร์ปลา เมนูทานเล่น เมนูเครื่องเคียง เครื่องดื่ม ที่รับประทานได้ทั้งจานเดี่ยวหรือเป็นเซต”

 

อีกกลยุทธ์คือการสร้างความประทับใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการในทุกๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชันต่างๆ โดยล่าสุด เคเอฟซีได้เปิดตัวโปรโมชัน เคเอฟซี 99 มาย บ๊อกซ์โดยมีให้เลือก 2 ชุด คือ ชุดเบอร์เกอร์บ๊อกซ์ และชุดมีตตี้บ๊อกซ์ อร่อยครบ อิ่มคุ้มเพียงชุดละ 99 บาท
 

ภาพจาก www.facebook.com/kfcth

รวมถึง เคเอฟซี ทาร์ตไข่ เมนูของว่างซิกเนเจอร์ 6 ชิ้น ฟรี 1 ชิ้น ราคา 132 บาท ออกมาสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังเน้นการขยายสาขาที่ให้บริการ Home delivery ให้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 50% ของสาขาทั้งหมด
 

ภาพจาก www.facebook.com/kfcth

 

การเปิดสาขา Drive thru เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากขึ้น หรือการยกระดับการให้บริการภายในร้านที่อำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เช่น บริการเครื่องดื่มรีฟิล บริการฟรีอินเตอร์เน็ต Wi-Fi ภายในร้าน หรือบริการปลั๊กไฟบริเวณโต๊ะรับประทานอาหาร เป็นต้น

ควบคู่กับการขยายสาขาให้ครบ 800 แห่งภายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มีจำนวนสาขาราว 580 สาขา ( ณ เดือนพฤศจิกายน 2559) โดยได้มีการแต่งตั้งพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ในการทำตลาด ได้แก่ บริษัท เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด นอกเหนือจากพันธมิตรเดิม คือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ปฯ เพื่อให้แผนการเติบโตของเคเอฟซีเป็นไปได้ตามที่วางไว้ ปัจจุบัน เคเอฟซีมี สาขาทั่วประเทศ

 

อย่างไรก็ตามปัจจุบันเคเอฟซี เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 65% แม้จะมีคู่แข่งเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น แต่บริษัทก็ยังมั่นใจในตำแหน่งผู้นำโดยเฉพาะในตลาดไก่ทอด
 

ภาพจาก www.facebook.com/kfcth

 

อีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว และเป็นแบรนด์ดังระดับโลก คือ “บอนชอน” โดยนางสาวธัญญา ศรีพัฒนาสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาชิสโสะ จำกัด ผู้ได้รับลิขสิทธิ์ร้านไก่ทอด “บอนชอน”

กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของบอนชอนในปีนี้ คือการขยายสาขาเข้าสู่โซนใหม่และหัวเมืองต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคอีสานซึ่งเป็นตลาดมีกำลังซื้อสูง โดยในปีนี้มีแผนขยายสาขาเพิ่มเติม 6-7 แห่ง ภายใต้งบประมาณการลงทุนราว 6-7 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งในเขตกรุงเทพฯและชานเมือง จากปัจจุบันที่บริษัทมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 25 แห่ง

 

“แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในรูปแบบลงทุนเองเป็นหลัก ขณะที่ตลาดใหม่ เช่น ร้านอาหารบอนชอนในสนามบิน ก็มองว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดมีศักยภาพเช่นกัน โดยบริษัทมาชิสโสะ จำกัด ได้ขายแฟรนไชส์ให้กับ เอสเอสพี อินเตอร์เนชั่นแนล (ในกลุ่มไมเนอร์)เปิดสาขาที่สนามบินดอนเมือง 2 แห่งและสุวรรณภูมิ 1 แห่ง”
 

 

ขณะที่แผนการสร้างแบรนด์ในตลาดจะเน้นการเพิ่มเมนูใหม่ การทำโปรโมชันเจาะจงกลุ่มเด็ก ขยายช่องทางขายผ่านดีลิเวอรีให้มากขึ้น โดยร่วมมือกับ 3 พันธมิตรได้แก่ ฟู้ดแพนด้า, เชฟเอ็กซพี และกินจัง ในการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายออนไลน์ของบริษัทขึ้นเอง

เนื่องจากมองว่าช่องทางดังกล่าวยังมีโอกาสในการทำตลาดสูง เพราะปัจจุบันบริษัทยังใช้ช่องทางนี้ไม่ถึง 2% ควบคู่กับการจัดกิจกรรมแข่งทานไก่ปีที่ 3 เพื่อตอกยํ้าแบรนด์ไก่ทอดให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ผ่านงบประมาณทางการตลาดในปีนี้ทั้งสิ้น 8 ล้านบาท โดยบริษัทวางเป้าหมายการรายได้ในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 1,200 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 30% จากปีที่ผ่านมา

 

นายชนินทร์ ชูพจน์เจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์ฮ็อทสตาร์ บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด ผู้ได้รับลิขสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์แบรนด์ “ฮ็อท สตาร์ ลาจไฟรด์ชิคเค็น” (ฮ็อท สตาร์) จากประเทศไต้หวัน

กล่าวว่า ในช่วงแรกที่มีการทำตลาดออกมาบริษัทเปิดตัวด้วยเมนูไก่ไซซ์ยักษ์ ทำให้หลายคนมองว่าบริษัทคือแบรนด์ไก่ทอด แต่แท้จริงแล้วโพสิชันของแบรนด์ฮ็อทสตาร์ คือความเป็นแบรนด์สแน็กแบบครบวงจร (ไลฟ์สไตล์สแน็ก) ที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นเป็นหลักที่มีเมนูให้เลือกหลากหลาย
 

แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่ทิ้งเมนูไก่ทอด เนื่องจากเป็นเมนูยอดนิยมที่สามารถสร้างรายได้ให้แบรนด์ในสัดส่วน 50% ซึ่งแผนงานต่อจากนี้จะเน้นการพัฒนาเมนูไก่ทอดที่หลากหลาย ควบคู่กับการจัดโปรโมชัน เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า จากปัจจุบันที่บริษัทมีเมนูไก่ทอดภายในร้านทั้งสิ้น 4 เมนู 8 รสชาติ

 

ด้านนางพัชรา อนามบุตร ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้ถือมาสเตอร์ลิขสิทธิ์ไก่ทอด “เท็กซัสชิคเก้น” กล่าวว่า แผนงานของบริษัทนับจากนี้คือการขยายสาขาให้ครบภายใน 50 แห่งภายใน 5 ปี จากนั้นพัฒนาไปสู่ระบบแฟรนไชส์ ตามนโยบายของปตท.ที่ต้องการดึงเอสเอ็มอีเข้ามามีส่วนร่วม

โดยปัจจัยที่ทำให้เท็กซัสชิคเก้นประสบความสำเร็จในการเข้าตลาดว่า รสชาติ ถูกปากผู้บริโภค วัตถุดิบมีคุณภาพ และมีขนาดใหญ่กว่าคู่แข่ง สำหรับกลุ่มเป้าหมายเดิมกำหนดไว้คือ ช่วงอายุ 15-35 ปี

แต่หลังการทำตลาดพบว่ากลุ่มเป้าหมาย ผันแปรไปตามทำเล เช่นที่ เซ็นทรัลเวสต์เกต จะเป็นกลุ่มครอบครัวมากกว่า ส่วนที่อาคารสยามกิตติ์สยามสแควร์ จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นเป็นต้น ทำให้บริษัทมีการปรับกลยุทธ์โดยเน้นสร้างความรับรู้ในหมู่ผู้บริโภค ทำการตลาดผ่านสื่อสังคม

อ้างอิงจาก  ฐานเศรษฐกิจ