1.9K
22 มกราคม 2560
แคนดูทุ่มงบลุยตลาดร้าน 100 เยน

 
ร้านแคน ดู ลุยตลาดร้าน 100 เยน 1,200-1,500 ล้าน ทุ่มงบ 50-60 ล้านเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีก 6-7 แห่ง เตรียมพร้อมเปิดขายแฟรนไชส์ครึ่งปีหลัง ประเดิมปีแรก 4-5 แห่ง สร้างการเติบโต 30% พร้อมปรับพอร์ตสินค้าจับตลาด 3 กลุ่มหลัก แม่บ้าน พนักงานออฟฟิศ และนักศึกษา
 
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านค้าปลีก 100 เยนแบรนด์แคน ดู (Can Do) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ว่า ได้เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 6-7 แห่ง โดยตรียมใช้งบลงทุน 50-60 ล้านบาท หรือประมาณ 10-11 ล้านบาทต่อสาขาขึ้นอยู่กับพื้นที่ จากปีที่ผ่านมาเปิดร้านแคน ดูได้ 6 แห่ง

ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่าย ยังไม่ตรงกับความต้องการของตลาดเมืองไทย ทำให้ผลการดำเนินงานโดยรวมไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน
 
สำหรับรูปแบบร้านที่จะขยายในปีนี้ มุ่งเน้นรูปแบบร้านที่อยู่นอกห้างสรรพสินค้า เพื่อสร้างความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ให้กับร้านได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบสแตนด์อะโลน หรือขยายในพื้นที่คอมมิวนิตีมอลล์
 

เนื่องจากคาดว่าจะตอบโจทย์คนไทยได้มากกว่า ซึ่งจะมีพื้นที่ร้านประมาณ 160-200 ตารางเมตรต่อสาขา โดยในปีนี้จะเปิดสาขาที่ 7 ที่คอมมิวนิตีมอลล์ ลิตเติ้ลวอร์ค ย่านบางนา ที่คาดว่าจะใช้สาขาดังกล่าวเป็นสาขาต้นแบบ สำหรับใช้ในการขายแฟรนไชส์ต่อไปด้วย
 
นายอารักษ์ กล่าวว่า ช่วงเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป บริษัทน่าจะเริ่มเปิดขายแฟรนไชส์ร้านแคน ดูได้ โดยที่ผ่านมามีผู้สนใจสอบถามและติดต่อเข้ามาเพื่อขอซื้อแฟรนไชส์จำนวนมาก

แต่บริษัทต้องการเซตระบบและมีสาขาร้านต้นแบบก่อนจึงจะเปิดขายแฟรนไชส์ คาดว่าจะเริ่มขายแฟรนไชส์ตั้งแต่ราคา 4 ล้านบาทไปจนถึง 10 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ร้าน ในปีแรกบริษัทคาดว่าจะขายแฟรนไชส์ได้ 4-5 ราย โดยเป็นผู้ประกอบการจากจังหวัดหัวเมือง อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ และพัทยา เป็นต้น
 
“ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับระบบการบริหารงานภายใน ปรับทีมงานบริหารงาน ที่นำผู้บริหารชาวญี่ปุ่นเข้ามาช่วยเสริมการทำงาน จึงทำให้ในปีนี้บริษัทจะรุกตลาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสร้างการเติบโตให้กับร้านแคน ดูได้ 30% จากปีที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันการเปิดขายแฟรนไชส์ในปีนี้หากสำเร็จและเป็นไปตามแผนที่วางไว้ น่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีก 10% ด้วย เพราะถือว่าในปีนี้ไม่มีปัจจัยลบ ไม่มีเหตุการณ์หรือข่าวร้ายอะไร การเมืองก็มีแนวโน้มที่ดี ราคาสินค้าการเกษตรเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างเช่น ราคายาง จึงมองว่าจะเป็นปีที่สดใสมากขึ้น”
 
 
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมปรับสัดส่วนสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่ายใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตด้วย โดยจะนำเข้าสินค้ากลุ่มแม่บ้าน กลุ่มพนักงานออฟฟิศ และนักศึกษาในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันอย่างละ 30% และอีก 10% เป็นสินค้าอื่นๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาโดยเฉพาะกลุ่มขนมและเครื่องสำอาง จากปีที่ผ่านมาได้ให้น้ำหนักสินค้ากลุ่มแม่บ้านเป็นหลักถึง 50%

แต่พบว่ายังไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยเท่าไรนัก ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นถึง 95% และสินค้าผลิตในประเทศ 5% ซึ่งอนาคตจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่ผลิตภายในประเทศเป็น 20-30% โดยเฉพาะสินค้าขนม และสินค้าลิขสิทธิ์
 
นายอารักษ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันตลาดร้าน 100 เยนในไทย มีผู้ประกอบการหลักที่ทำตลาดอยู่ด้วยกัน 3 แบรนด์ ซึ่งมีสาขารวมกันประมาณ 100 แห่ง มีมูลค่าตลาดรวม 1,200-1,500 ล้านบาท
 

ซึ่งตลาดมีโอกาสขยายตัวได้อีกจำนวนมาก และควรจะมีจำนวนสาขาประมาณ 250-300 แห่ง ตามสัดส่วนจำนวนประชากรไทยกว่า 70 ล้านคน โดยตลาดร้านสินค้า 100 เยนในปัจจุบันยังขยายตัวในอัตรา 2-3% เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนในปีนี้จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น จึงอาจจะขยายตัวได้ถึง 5-10%

อ้างอิงจาก  ฐานเศรษฐกิจ

ขอบคุณรูปภาพจาก  www.facebook.com/CanDoTH
 
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สาขาใหม่มาแล้ว! บุราณ ..
937
รวมภาพบรรยากาศ คอร์ส F..
643
“เติมพลังความรู้” กับ ..
591
มาโนอิ ร่วมงานครบรอบ 1..
562
สมาร์ทเบรน จินตคณิต เป..
553
โทกิวอช ร้านสะดวกซัก เ..
517
ข่าวแฟรนไชส์มาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด