จากการที่กรมการพัฒนาชุมชน ต้องการเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับผู้ผลิตสินค้าโอท็อป โดยส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง "โอท็อปเทรดเดอร์" หรือนักขายมืออาชีพ โดยตั้งเป้าให้ครบทั้ง 77 จังหวัด อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง ในนาม บริษัท โอท็อป อินเตอร์เทรดเดอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

ขณะนี้ได้เริ่มนำร่องไปแล้ว 10 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี กาญจนบุรี พัทลุง สุราษฎร์ธานี ชุมพร ร้อยเอ็ด ตาก เชียงใหม่ และกาฬสินธุ์

 

"วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์" ประธาน บริษัท โอท็อป อินเตอร์เทรดเดอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้จัดตั้งโอท็อป เอาต์เลต (ประเทศไทย) หรือโอท็อป วิลเลจ ในลักษณะคอมมิวนิตี้มอลล์ เพื่อรวบรวมสินค้าโอท็อปทั้ง 77 จังหวัดมารวมไว้ที่เดียว เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อสินค้าเด่น ๆ ของจังหวัดหรือภูมิภาคต่าง ๆ ได้จากที่นี่

โดยโอท็อป เอาต์เลตแห่งนี้ตั้งอยู่ที่กิโลเมตร 44 ติดถนนสายเอเชีย หน้าโครงการพุทธอุทยานมหาราช (หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่) ตำบลบ้านใหม่ อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บนเนื้อที่ทั้งหมด 20 ไร่ หรือขนาดใช้สอยประมาณ 6,000 ตารางเมตร ด้วยงบฯลงทุนกว่า 80 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ ภายในโอท็อป วิลเลจจะมีลักษณะเป็นห้องแถว ในแต่ละยูนิตจะรวบรวมสินค้าจากจังหวัดต่าง ๆ ไว้มากมายเหมือนกับไปซื้อสินค้าที่จังหวัดนั้นจริง ๆ และจะมีผู้ดูแลยูนิตละ 2 คน ไม่เป็นเพียงคนเฝ้าเท่านั้น แต่ผู้ดูแลเปรียบเสมือนผู้ประกอบการที่มาจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้า ซึ่งจะมีความใส่ใจในการดำเนินธุรกิจมากกว่าการเป็นแค่ลูกจ้าง และผู้ประกอบการแต่ละยูนิตจะติดต่อโดยตรงไปยังเทรดเดอร์ของจังหวัดนั้น ๆ เพื่อสั่งซื้อสินค้า

 

นับว่าเป็นการช่วยเหลือเทรดเดอร์และผู้ผลิตสินค้าโอท็อปโดยตรง ซึ่งแต่ละร้านจะควบรวมทั้งค้าปลีก ค้าส่ง และอีคอมเมิร์ซ แต่จะเน้นที่ค้าปลีกเป็นหลัก เพราะสินค้าโอท็อปนั้นยังไม่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบันเท่าใดนัก

 

"ขณะนี้การผลิตไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าใดแต่ช่องทางการตลาดสำคัญมากกว่าการที่จะพึ่งพาโมเดิร์นเทรดนั้นก็เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ผลิตโอท็อปขนาดกลางและเล็กเพราะมีต้นทุนค่อนข้างสูงการที่ผลิตแล้วไม่มีช่องทางการตลาด ทำให้บางรายถอดใจล้มเลิกกิจการไป ดังนั้น การมารวมกลุ่มช่วยกันหาตลาดใหม่จะทำให้ชาวโอท็อปสามารถอยู่ได้"
 

 

"วัชรพงศ์" เล่าอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการร้านโอท็อปสะดวกซื้อ หรือ OTOP minimart ซึ่งจะเป็นการขายแฟรนไชส์ให้ผู้ประกอบการที่สนใจทั่วประเทศ ซึ่งในร้านจะมีสินค้าโอท็อปจากทั่วประเทศประมาณ 2,000-3,000 รายการ ใช้งบฯลงทุนประมาณ 1-1.5 ล้านบาท โดยจะครอบคลุมการตกแต่งร้าน สินค้า ระบบบัญชี การฝึกอบรม

โดยในร้านจะประกอบด้วย สินค้าโอท็อปและเอสเอ็มอี 70% สินค้าอื่น ๆ ทั่วไป 20% และ 10% เป็นสินค้าท้องถิ่นภายในจังหวัด เช่น ผัก ผลไม้ ก็สามารถนำมาจำหน่ายในร้านด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าโอท็อปโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นสินค้าโอท็อปกี่ดาว เพราะสินค้าโอท็อปแต่ละรายการผ่านการคัดเลือกมาอยู่แล้ว 

 

 

ขณะที่รูปแบบภายในร้านจะมีทั้งค้าปลีกและส่ง โดยจะเน้นทำการค้ากับร้านโชห่วย ร้านค้าชุมชนในจังหวัด แต่การค้าส่งจะมีปริมาณกำหนด โดยจะมี 2 แบบ คือ การปรับเปลี่ยนร้านจำหน่ายสินค้าโอท็อปเดิมที่มีในจังหวัดมารีแบรนดิ้งให้เป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมดทั่วประเทศและอีกรูปแบบคือการหาพื้นที่ที่มีศักยภาพในการลงทุน

 

โดยตั้งเป้าว่าภายในปี2559นี้จะเปิดให้บริการนำร่อง100 สาขา มีเกณฑ์ในการคัดเลือก คือ ศักยภาพ และทำเล ซึ่งภายในเดือนตุลาคมนี้จะเปิดแฟรนไชส์โอท็อปที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นสาขาแรก สำหรับราคาสินค้านั้นยังคงเดิม แต่อาจจะมีบางรายการที่ปรับขึ้นตามต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น

 

อีกทั้งในอนาคตจะขยายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศได้แก่กลุ่มCLMVจีน มาเลเซีย และแอฟริกา คาดว่าภายในปี 2560 จะเริ่มเปิดตลาดที่ประเทศเมียนมา และลาว โดยจะต้องมีการวิเคราะห์ลูกค้าในแต่ละประเทศว่ามีความนิยมหรือชอบสินค้าประเภทไหน และจะแนะนำสินค้าให้ประเทศนั้น ๆ รวมถึงจัดทำแค็ตตาล็อกสินค้าโอท็อป ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่าหมื่นรายการให้ลูกค้าเลือกซื้อ

 

"จริง ๆ สินค้าโอท็อปมีศักยภาพในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ขาดช่องทางการตลาด จึงทำให้โอท็อปยังไม่ได้รับความนิยม หรือยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าที่ควร ดังนั้น โอท็อปแฟรนไชส์จึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยชาวโอท็อปได้"

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ประกอบการโอท็อปต้องการ คือ อยากให้ภาครัฐมาช่วยในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ ร่วมถึงหาแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการเทรดเดอร์ และผู้ที่สนใจซื้อแฟรนไชส์ด้วย

 

นับเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของผู้ผลิตสินค้าโอท็อป ที่จะก้าวไปสู่นักขายมืออาชีพ เปิดตลาดสินค้าของชุมชนเพื่อชุมชนในอนาคต

อ้างอิงจาก  prachachat.net