ไม่นานมานี้มีกระแสของคลิปไวรัลบนโลกออนไลน์ของ "ดอยคำ" สื่อสารถึงว่าแบรนด์ต้องการขอโทษผู้บริโภคในเรื่องต่าง ๆ จนเกิดเป็นกระแสการพูดถึงและแชร์คลิปดังกล่าวออกไปจำนวนมาก

 

"สรภัส สุตเธียรกุล" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ชี้แจงให้ฟังว่า เขาต้องการสร้างอะแวร์เนสของดอยคำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในเมสเสจที่แปลกและแตกต่างออกไป โดยการสำรวจว่าแบรนด์มีจุดใดบ้างที่ลูกค้าพูดถึง
 

 

จากนั้นจึงทำการเลือกมาทั้งหมด 3 ข้อ แล้วนำมาทำเป็นคลิปเพื่ออธิบายว่าเพราะอะไร ผ่านกิมมิกการเล่นคำว่า "ขอโทษ" เช่น ขอโทษที่น้ำมะเขือเทศรสชาติไม่ถูกปาก ขอโทษที่มีผลไม้แตกต่างจากตลาดทั่วไป และขอโทษที่แต่ละรสชาติมีราคาไม่เท่ากัน

 

"สรภัส" ระบุว่า ฟีดแบ็กของการทำคลิปไวรัลในครั้งนี้ดีมาก นอกจากยอดวิวที่คนเข้ามาชมประมาณ 3 แสนวิวแล้ว ยังมีการสอดแทรกข้อมูลให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจคอนเซ็ปต์ของแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ดอยคำต้องการจะขยายฐานออกไปจากปกติที่มีฐานหลักเป็นกลุ่มรักสุขภาพ และมีกำลังซื้อ อายุ 35 ปีขึ้นไป

 

"วันนี้กลยุทธ์มาร์เก็ตติ้งเราหันมาให้น้ำหนักกับออนไลน์และดิจิทัลมากขึ้น เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างตรงจุดเพราะปัจจุบันโอกาสของตลาดน้ำผลไม้และสินค้าอาหารแปรรูป ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของสุขภาพเท่านั้น กระแสของการดื่มหรือกินเพื่อประโยชน์ด้านความงามก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน อาทิ น้ำมะเขือเทศ ฯลฯ"
 

 

โดยกลยุทธ์ดังกล่าวยังสอดคล้องไปกับการปรับภาพลักษณ์ แพ็กเกจจิ้ง และโลโก้ของบริษัทให้มีความทันสมัย เพื่อรับกับการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้กำลังเจรจากับตัวแทนจากสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เพื่อส่งสินค้าออกไปจำหน่าย คาดว่าจะมีความชัดเจนเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่มีการขายผ่านการค้าชายแดนยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ ลาว เวียดนาม ฯลฯ บ้างแล้ว คิดเป็นสัดส่วน 10% ของยอดขาย

 

"สรภัส" ชี้ว่า แม้จะมีการขยายตลาดไปรับโอกาสใหม่ ๆ จากต่างประเทศ แต่ก็จะคุมสัดส่วนให้ไม่เกิน 15% ของยอดขาย เพราะต้องการทำสินค้าที่มีคุณภาพในราคาจับต้องได้เพื่อขายให้กับคนไทยมากกว่า

 

ส่วนการสร้างการเติบโตให้กับยอดขายนอกจากการมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเช่นล่าสุดน้ำเสาวรสผสมสารสกัดจากใบหญ้าหวานเครื่องดื่มเจียวกู่หลานและดอกคำฝอย รวมถึงเห็ดเผาะในน้ำเกลือที่จะวางขายในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ยังมีการเปิดโมเดลแฟรนไชส์เพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในต่างจังหวัดได้กว้างขึ้นอีกแรง

 

โดยโมเดลของแฟรนไชส์มี3รูปแบบคือType A มีสินค้าดอยคำ เคาน์เตอร์ชากาแฟ และร้านอาหาร Type B มีสินค้าดอยคำและชากาแฟ และ Type C มีเฉพาะสินค้าของดอยคำ ซึ่งเป้าหมายภายใน 5 ปีต้องการเปิดให้ครบจังหวัดละ 1 สาขา จากปัจจุบันดอยคำมีร้านที่ลงทุนเอง 40 สาขา และร้านแฟรนไชส์ 3 สาขาที่ลำปาง สกลนคร และขอนแก่น
 

 

และยังมีแผนที่จะลงทุนปรับปรุงโรงงานแห่งเดิมที่บุรีรัมย์ ในงบประมาณ 1,000 ล้านบาท ภายในช่วง 2 ปีข้างหน้า รองรับการขยายธุรกิจในอนาคต จากเดิมที่มีการผลิตอยู่ทั้งหมด 3 โรงงาน ได้แก่ อำเภอฝาง เชียงใหม่, อำเภอแม่จัน เชียงราย และอำเภอเต่างอย สกลนคร โดยกลยุทธ์ที่วางเอาไว้จะปรับให้ทั้ง 3 โรงงานเป็นผู้ผลิตส่วนผสม (Premix) เพื่อป้อนโรงงานแห่งที่ 4 และส่งออกจำหน่าย เพราะโลเกชั่นของบุรีรัมย์ใกล้กรุงเทพฯ มีความสะดวกด้านโลจิสติกส์ และอยู่ใกล้แหล่งน้ำ

 

ผู้บริหารดอยคำยังระบุอีกด้วยว่า การปรับตัวของบริษัทในด้านต่าง ๆ ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ยอดขายครึ่งปีที่ผ่านมามีการเติบโต 11% แม้สภาพของเศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ 15% หรือคิดเป็นรายได้ 1,800 ล้านบาท โดยมีรายได้หลักมาจากน้ำผลไม้ถึง 70% ซึ่งในตลาดน้ำผลไม้ระดับพรีเมี่ยมมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ดอยคำถือเป็นเบอร์ 3 ของตลาด มีมาร์เก็ตแชร์ 20% ขณะที่ผู้นำคือ ทิปโก้ 28% และมาลี 22%

 

ท่ามกลางการปรับตัวแทบทุกแง่มุม โดยเฉพาะการสลัดภาพเก่าออกไป แต่หลักการของเกษตรเพื่อชุมชน และผลิตผลเพื่อคนไทย ยังเป็นภารกิจหลักของบริษัทอย่างต่อเนื่อง "ดอยคำโฉมใหม่ หัวใจเดิม"

อ้างอิงจาก  ประชาชาติธุรกิจ

ขอบคุณรูปภาพจาก  facebook.com/DoikhamFP