2.0K
16 มกราคม 2559
รายได้ 2-3 หมื่นไม่เสียภาษี


อธิบดีกรมสรรพากร” กัดฟันมิใช่ พ.ร.ก.นิรโทษกรรมโกงภาษี แค่เดินหน้ากับผู้ประกอบการแม้เข้าเนื้อถึงหมื่นล้านบาท มนุษย์เงินเดือนปี 60 เตรียมเฮ “ประสงค์” ชงลดอัตรา-เพิ่มค่าลดหย่อน ผู้มีรายได้ 2-3 หมื่นบาท/เดือนลุ้นไม่เสียภาษี “สมคิด” อวยคลังทำหน้าที่ปลุกเศรษฐกิจได้ดี แต่กำชับให้สำรองมาตรการดูแล


นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้เปิดแถลงข่าวถึงพระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ.2558 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595) พ.ศ.2558 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ว่า ผู้ประกอบการนิติบุคคลที่รายได้ปี 2558 ไม่เกิน 500 ล้านบาทและจะเข้าโครงการ สามารถมาลงทะเบียนกับกรมสรรพากรตั้งแต่ 15 ม.ค.-15 มี.ค. หรือมีเวลา 60 วันพร้อมกับจดแจ้งการทำบัญชีเดียวกับกรมสรรพากร โดยจะได้รับการยกเว้นตรวจสอบภาษีย้อนหลังที่เกิดก่อนวันที่ 1 ม.ค.59 ทั้งหมด

นอกจากนี้ นิติบุคคลที่อยู่ระหว่างตรวจสอบการเสียภาษี เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม หลีกเลี่ยงภาษีอากร หรืออยู่ระหว่างการดำเนินคดีทางภาษีก่อนวันที่ 1 ม.ค.59 ก็สามารถมาลงทะเบียนเข้าโครงการได้ โดยกรมสรรพากรจะดำเนินการเฉพาะส่วนที่ตรวจสอบอยู่เดิมเท่านั้น จะไม่ตรวจสอบเพิ่มเติมจากที่ดำเนินการอยู่

"พ.ร.ก.นี้ไม่ใช่นิรโทษกรรมภาษี เพราะนิรโทษต้องเข้ามาแสดงตัวว่าผิดและเสียภาษีที่ค้างอยู่ให้ครบ และไม่ถูกดำเนินคดี แต่ครั้งนี้ไม่ต้องจ่าย ไม่ถูกเอาผิด เพราะกรมสรรพากรต้องการเดินไปข้างหน้ากับผู้เสียภาษี" นายประสงค์กล่าว

อธิบดีกรมสรรพากรระบุอีกว่า ปัจจุบันมีนิติบุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท คิดเป็น 98% ของนิติบุคคลที่อยู่ในระบบภาษี ในจำนวนนี้เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท รายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทอยู่ 81% หรือ 3.4 แสนราย ส่วนนิติบุคคลที่ไม่ใช่เอสเอ็มอีแต่รายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท มีอยู่ประมาณ 8 หมื่นราย คาดว่าจะมีนิติบุคคลมาเข้าร่วมโครงการไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลังประมาณ 30% โดยนิติบุคคลที่เป็นเอสเอ็มอีที่เข้าโครงการยังได้สิทธิพิเศษกำไรในปี 2559 ไม่ต้องเสียภาษี และกำไรในปี 2560 จะเสียภาษีเพียง 10% ส่วนเอสเอ็มอีที่ไม่เข้าร่วมโครงการจะไม่ได้สิทธิพิเศษดังกล่าว

“การไม่ตรวจสอบภาษีย้อนหลังและลดภาษีเพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าโครงการ จะทำให้กรมเสียรายได้ 1 หมื่นล้านบาท แต่จะเก็บภาษีทางจริงและทางอ้อมได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้การเสียภาษีทางตรงมีโอกาสที่จะปรับลดลงไปได้อีก และในปี 2562 กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะกำกับให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งอนุมัติสินเชื่อจากหลักฐานทางบัญชีของผู้ประกอบการที่เป็นบัญชีเดียวกันกับที่ยื่นกรมสรรพากร จะทำให้การเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีก” นายประสงค์กล่าว

นายประสงค์กล่าวว่า นิติบุคคลที่เข้าร่วมโครงการ หากมีการกระทำผิดเลี่ยงภาษีในภายหลังอีก กรมจะยกเลิกสิทธิ์ที่ได้ตาม พ.ร.ก.ทั้งหมด และทำการตรวจสอบการเสียภาษีย้อนหลังตามปกติ ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่เข้าร่วมโครงการ คาดว่าส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินการถูกต้องอยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ไม่พร้อม ซึ่งหากบุคคลมีการทำธุรกรรมและไม่สามารถขอใบกำกับภาษีได้ ก็สามารถแจ้งให้กรมเข้าไปตรวจสอบได้

ด้าน ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวถึงการออก พ.ร.ก.ยกเว้นภาษีดังกล่าวว่า การลดภาษีและการทำให้ต้นทุนการเลี่ยงภาษีสูงขึ้นอย่างชัดเจน หมายรวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดเข้มงวด จะได้ผลมากกว่าใช้นโยบายนิรโทษกรรมภาษี

อย่างไรก็ตาม การนิรโทษกรรมภาษีอาจทำให้ระบบการจัดเก็บมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ช่วยลดต้นทุนการจัดเก็บ อาจสร้างแรงจูงใจให้ SME ทำบัญชีให้ตรงข้อเท็จจริงมากขึ้น หาก SME เข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นจริง รัฐจะมีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น ไม่ลดลง แต่หากมาตรการนิรโทษกรรมไม่ได้ผล ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 2.5-2.7 หมื่นล้านบาท ต้องลองดู เพราะตอนนี้ยังยากที่จะประเมินว่า SME จะตอบสนองต่อการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมภาษีนี้อย่างไร

"ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี 4 แสนรายนี้ คิดเป็นรายใหญ่กว่า 3 พันราย และหากคิดเป็นกรอบรายได้เกิน 300 ล้านบาทต่อปี จะหักไปอีก 10-15% จะเหลือกว่า 3 แสนรายที่เป็นเอสเอ็มอีจริงๆ และถ้าตีกรอบในกลุ่มที่ขอให้นิรโทษกรรมภาษีจะกินพื้นที่ถึง 96% และกลุ่มนี้ทั้งหมดได้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่ใช่ประเด็นที่อ้างว่า หากลดภาษีหรือนิรโทษกรรมภาษีจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น จากการศึกษาของไอเอ็มเอฟระบุด้วยว่า ประเทศไทยมีธุรกิจที่ยังไม่เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเพียง 9% ขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปมีสัดส่วนสูงถึง 28% ประโยชน์ของการนิรโทษกรรมภาษีในประเทศที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่อยู่ในระบบ VAT ในอัตราสูงอยู่แล้วจะมีเพดานจำกัด" ดร.อนุสรณ์กล่าว

เตรียมหั่นภาษีบุคคล

นายประสงค์ยังกล่าวว่า เตรียมเสนอแนวทางการลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในไตรมาสแรกของปีนี้ และจะให้มีผลบังคับใช้สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในปี 2560 ที่จะยื่นแบบและเสียภาษีในปี 2561 โดยสาระสำคัญคือ จะทำให้ผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดามีภาระลดลง มีความสุขในชีวิตมากขึ้น โดยจะลดอัตราภาษี เพิ่มการหักค่าใช้จ่ายเหมารวมที่ปัจจุบันได้ 6 หมื่นบาท รวมถึงการพิจารณาค่าหักลดหย่อนในส่วนของบุตรจะไม่จำกัดจำนวนคน และการหักลดหย่อนอื่นๆ โดยจะมีเพดานกำหนดว่าหักลดหย่อนรวมได้ไม่เกินเท่าไร แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

"ปัจจุบันผู้มีรายได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อเดือนไม่มีภาระภาษีต้องเสีย แต่หลังลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดาแล้ว จะทำให้ผู้มีรายได้มากกว่า 2 หมื่นบาท แต่ไม่เกิน 3 หมื่นบาทต่อเดือน จะไม่มีภาระเสียภาษี โดยจะเสนอให้นายอภิศักดิ์พิจารณาตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง" นายประสงค์กล่าว

สำหรับปัจจุบันมีบุคคลธรรมดายื่นแบบชำระภาษีจำนวน 10 ล้านคน มีผู้เสียภาษีจริงประมาณ 6-7 ล้านราย ในจำนวนนี้มีผู้มีรายได้สุทธิเกิน 4 ล้านบาท ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราสูงสุด 35% อยู่ 1-2% ของผู้ที่ยื่นแบบทั้งหมด ซึ่งถือเป็นจำนวนไม่มาก และการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครั้งนี้จะทำให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้มีรายได้มากและน้อยมากขึ้น นอกจากนี้ การปรับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะสอดคล้องกับอัตราภาษีนิติบุคคลที่เสียอยู่ 20% และเสียภาษีเงินปันผลอีก 8% รวมเป็น 28% ซึ่งหากลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 35% เหลือ 30% ก็จะมากกว่าภาษีนิติบุคคลธรรมดา 2% เท่านั้น

นายประสงค์ยังกล่าวถึงผลการเก็บภาษีในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 ว่าดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันที่ผ่านมา แต่การเก็บภาษีมูลค่า (แวต) จากน้ำมันและสินค้ายังต่ำกว่าเป้ามาก เนื่องจากราคาน้ำมันต่ำกว่าที่ประมาณการไว้มาก คาดว่าจะทำให้แวตน้ำมันในปีนี้หายไปกว่า 1 แสนล้านบาทเหมือนปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การเก็บภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝาก 15% ก็ลดลงไปมาก เนื่องจากดอกเบี้ยในตลาดลดลง ส่วนมาตรการภาษีช็อปช่วยชาตินั้น ทำให้กรมเสียรายได้ 5 พันล้านบาท แต่คาดว่าจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากกว่า เพราะจากการสำรวจยอดขายสินค้าในช่วงมาตรการเพิ่มขึ้นถึง 20-50%

วันเดียวกัน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ได้เป็นประธานการประชุมติดตามงานและมอบนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงการคลัง โดยภายหลังนายสมคิดกล่าวว่า ได้หารือถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยทั่วไป และพูดคุยถึงการเตรียมออกมาตรการต่างๆ ที่จะดำเนินการในปี 2559 โดยเชื่อว่ากระทรวงการคลังจะเป็นกำลังสำคัญช่วยดูแลประเทศไทย ดูแลการปฏิรูปได้เป็นอย่างดี

'สมคิด' อวย 'คลัง'

“ถือโอกาสปีใหม่มาขอบคุณที่กระทรวงการคลังได้ช่วยทำงานมาเยอะมาก ความมั่นใจทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นก็เพราะกระทรวงมาช่วยทำงาน” นายสมคิดระบุ

นายสมคิดยังกล่าวถึงการปฏิรูประบบภาษี ว่าอย่าไปมองในแง่ไม่ดี ทุกอย่างต้องมีขึ้นมีลง การที่เขาปรับเพราะมองแล้วว่าก่อให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมที่ดีขึ้น เราไม่สามารถมองทุกอย่างภายในระยะสั้นได้ ส่วนเรื่องที่ให้แนวนโยบายใหม่ในวันนี้ไม่สามารถบอกได้ทั้งหมด เพราะบางเรื่องยังคงเป็นความลับ แต่ในภาพรวมที่ให้แนวคิดไปนั้นก็เพื่อให้ช่วยกันพิจารณา หากอะไรทำได้ก็ขอให้ทำแล้วออกมาดี อะไรที่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ส่วนเป้าหมายที่ตั้งไว้ยังคงเดิมคือการแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ การทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถดำเนินการต่อไปได้ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และการทำให้เกิดความยั่งยืนทางการคลัง

“เป้าหมายที่ได้ตั้งไว้นั้นเป็นโจทย์ที่ใหญ่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก็จะต้องไปทำตัวเลข ในการทำงบประมาณสมดุลจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ภายในกี่ปี ซึ่งผมคำนวณโดยคร่าวๆ แล้วสามารถทำงบประมาณสมดุลได้ภายใน 7 ปี แต่ต้องไปดูให้ละเอียดเพื่อเป็นแนวทางในวันข้างหน้า” นายสมคิดกล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า นายสมคิดได้สั่งให้ สศค.เตรียมมาตรการดูแลเศรษฐกิจในปีนี้ เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องผลกระทบจากเศรษฐกิจภายในและนอก รวมถึงปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งซึ่งจะส่งผลให้รายได้เกษตรกรตกต่ำ และทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มที่ยังไม่ค่อยดี จึงให้มีการเตรียมมาตรการไว้ดูแลล่วงหน้า นอกจากนี้ ยังได้ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เร่งทำโครงการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) ให้เกิดขึ้นได้เร็วที่สุด เพื่อมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงดูแลการบริหารงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการลงทุน รวมถึงการเร่งฟื้นฟูรัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาให้กลับมาแข็งแรง

“นายสมคิดยังได้สั่งให้กรมสรรพากรเร่งปฏิรูปภาษี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และสั่งให้กรมศุลกากรเร่งแก้ปัญหาทุจริตที่ยังมีจำนวนมาก รวมถึงสั่งให้กรมธนารักษ์เร่งดำเนินโครงการบ้านผู้มีรายได้น้อยให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด” แหล่งข่าวกล่าว.

อ้างอิงจาก  thaipost.net
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
แฟรนไชส์ P.P.TYRE ร่วม..
1,411
แฟรนไชส์ “ไจแอ้นลูกชิ้..
1,318
“โฮมแคร์ภิบาล” จัด Ope..
1,223
เรียนสร้างแฟรนไชส์ ในค..
831
ชีสซี่ฟราย สแน็ค เปิด ..
818
ออลส์ บับเบิ้ลที เปิด ..
528
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด