2.2K
24 พฤษภาคม 2558
แนะร่าง ก.ม.ฟื้นฟูกิจการเอสเอ็มอี หนุนรายเล็ก-กลางแกร่งระยะยาว



กรมบังคับคดีเปิดเวทีระดมกึ๋น "ร่างกฎหมายล้มฯระยะ 2 หนุนเอสเอ็มอีฟื้นฟูกิจการ ขณะที่ " นักกฎหมาย-ผู้พิพากษาชี้ร่างกีดกันผู้ประกอบการไซซ์เอส-เอ็ม พร้อมเสนอคุ้มครองวงเงินใหม่กรณีลูกหนี้ปฏิบัติไม่ได้ตามแผน  "อธิบดี"ยันเปิดกว้างเพื่อครอบคลุมทุกประเด็น

ความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่...)พ.ศ. ...(การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) โดยกรมบังคับคดีร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรมกำหนดจะเสนอร่างดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ประมาณเดือนมิถุนายน 2558 นั้น

ดร.กนก จุลมนต์ ผู้พิพากษาฯศาลฎีกา กล่าวในเวทีการรับฟังความคิดเห็น(11 พ.ค. 58)ว่า  ร่างกฎหมายล้มละลาย(ฉบับที่...)พ.ศ. ...(การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม)นั้น ยังมีหลายประเด็นที่เป็นข้อสังเกตโดยส่วนตัว เช่น การกำหนดประเภทและจำนวนหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์ต้องมีมูลหนี้ขั้นต่ำที่ 5 ล้านบาท(เป็นหนี้เจ้าหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนแน่นอน)

ซึ่งเป็นการจำกัดหรือกีดกันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีโดยเฉพาะรายเล็กและรายกลาง(ไซซ์เอสและเอ็ม) ดังนั้นเมื่อมีการเสนอร่างขึ้นมาใหม่ถ้าจะให้โอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจึงไม่จำเป็นกำหนดจำนวนหนี้ขั้นต่ำ

อย่างกรณีสหรัฐอเมริกาไม่กำหนดจำนวนหนี้สามารถยื่นฟื้นฟูกิจการได้โดยสมัครใจ  หรือประเด็นลดขั้นตอนการตั้งกรรมการเจ้าหนี้ ประชุมเจ้าหนี้และจัดทำแผนโดยให้ผู้ร้องสามารถเสนอแผนที่ผ่านความเห็นชอบของเจ้าหนี้มาแล้วนั้น

"ในภาพรวมเอสเอ็มอีไทยปัจจุบันไม่น่าจะมีความพร้อมอีกทั้งร่างดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ต้องการลดขั้นตอนหรือลดค่าใช้จ่ายให้เอสเอ็มอีกรณีนี้จึงเป็นการเพิ่มภาระให้มากเกินไปหรือไม่อีกทั้งผู้ร้องจะต้องไปประชุมกับเจ้าหนี้ที่ไหน หรือประเด็นการพิจารณาลงคะแนนเสียงที่ระบุให้แผนฟื้นฟูต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้จำนวนหนี้ไม่น้อยกว่า 3ใน 4 หรือสัดส่วน 75%ของหนี้ทั้งหมดนั้น

แม้กระทั่งกฎหมายฉบับปัจจุบันที่ใช้กันอยู่ตามมติพิเศษโดยส่วนตัวจึงเสนอให้ลดคะแนนเสียงหรือมติที่ประชุมเจ้าหนี้ที่ 2 ใน 3 หรือสัดส่วน 66%  ขณะเดียวกันได้เสนอให้มีการออกกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้จ่ายหรือค่าทำแผนตามไซซ์หรือจำนวนหนี้ด้วย เพราะในร่าง ยังไม่ช่วยจำกัดเรื่องค่าทำแผนหรือค่าใช้จ่ายโดยในส่วนของผู้บริหารกิจการกำหนดให้ศาลหรือที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณา"

ขณะที่ผู้แทนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ให้ความเห็นว่า ร่างดังกล่าวไม่ได้นำหลักเกณฑ์การจัดกลุ่มเจ้าหนี้มาใช้ซึ่งเป็นความได้เปรียบเสียเปรียบถ้าเจ้าหนี้รายใดได้รับชำระหนี้ไปภายใน 1ปี แต่เจ้าหนี้ข้างน้อยต้องรอไปอีก 2-3 ปี ซึ่งระหว่างทางยังไม่แน่นอนว่ากิจการลูกหนี้จะอยู่รอดหรือไม่ โดยเฉพาะเงินทุนที่เจ้าหนี้ให้ลูกหนี้ในระหว่างฟื้นฟูกิจการหรือ New Money

โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ เงินที่ให้เพื่อประโยชน์การฟื้นฟูซึ่งถือเป็นหนี้บุริมสิทธิ แต่ถ้าเป็นหนี้ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการนั้น ถ้าประเด็นลูกหนี้ใช้เงินดังกล่าวไปแล้วต่อมากิจการไปไม่รอดศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหากลูกหนี้ยังไม่ชำระคืนหนี้เงินก้อนนี้ยังได้รับความคุ้มครองหรือไม่

"ฝากให้เป็นการบ้านของคณะทำงาน เพราะผู้ประกอบการเอสเอ็มอียิ่งต้องการเงินหมุนเวียนหรือเงินใหม่มากกว่ารายใหญ่ด้วยซ้ำ พร้อมกันนี้ยังสะท้อนความเห็นในประเด็นกรณีผู้ร้องต้องยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการและจัดทำแผนโดยการเห็นชอบด้วยแผนของศาลเพื่อความรวดเร็วนั้น แม้จะเป็นเรื่องดีแต่กระบวนการยื่นขอรับชำระหนี้อาจยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้น การวินิจฉัยของศาลจะตั้งอยู่บนฐานข้อเท็จจริงอย่างไร 



นอกจากนี้ร่างดังกล่าวไม่ได้เขียนถึงกระบวนการแก้ไขแผนฯหรือใครเป็นผู้แก้ไข เพราะในทางปฏิบัติระหว่างเดินตามแผนอาจจะเกิดปัญหาในประเด็นดังกล่าว รวมถึงในแง่ของการประเมินมูลค่าทรัพย์สินทางปัญญาที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย"

สอดคล้องกับผู้แทนจากบมจ.ธนาคารเอสเอ็มอีที่เสนอให้เพิ่มเติมรายละเอียดในร่างเกี่ยวกับความรับผิดของผู้ค้ำประกัน กรณีศาลได้เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการแล้วแต่ลูกหนี้ปฏิบัติไม่ได้ในส่วนของเจ้าหนี้จะดำเนินทางคดีได้หรือไม่อย่างไร

นางสาวรื่นวดี  สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า ร่างดังกล่าวเป็นการจัดทำภายใต้ความรอบคอบพร้อมยืนยันในหลักการจัดทำร่างเปิดกว้าง โดยเตรียมนำความเห็นที่หลากหลายประเด็นประชุมคณะทำงานเพื่อพิจารณาผลกระทบภาพใหญ่ทั้งระบบเศรษฐกิจ เจ้าหนี้ และลูกหนี้  ที่สำคัญการจัดทำร่างให้น้ำหนักในการดูแลผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลปัจจุบันให้น้ำหนัก 

โดยการจัดทำร่างเบื้องต้นได้นำหลักการยกร่างกฎหมายฟื้นฟูกิจการของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เพื่อประโยชน์ลูกหนี้ขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดด้วยขนาดและทุน  แต่ต้องการความรัดกุมรวดเร็วเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ

ดังนั้นจึงกำหนดให้ลูกหนี้อยู่ในภาวะที่ไม่อยู่ในสถานะชำระหนี้ หรือกิจการไม่สามารถชำระหนี้สินที่ค้างจ่ายได้โดยอยู่ในวิสัยยังพอประกอบกิจการได้ซึ่งเป็นเกณฑ์การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู 

ส่วนการกำหนดเฉพาะหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันจำนวนรวมกันจำนวนแน่นอน ตั้งแต่ 5 ล้านบาท เว้นแต่เป็นบริษัทจำกัดต้องมีหนี้ไม่เกิน 10 ล้านบาท  เพื่อสอดคล้องกระบวนการฟื้นฟูปัจจุบันโดยอาจปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม

อนึ่ง ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากงบการเงินปี 2556 พบผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ขนาดเล็ก(ไซซ์เอส) จำนวน 59% มีหนี้สินอยู่ในช่วง  0-1 ล้านบาท  รองลงมา จำนวน 17.7 % มีหนี้สินอยู่ในช่วง   1-5 ล้านบาท

สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง(ไซซ์เอ็ม)จำนวน 10.1% มีหนี้สินอยู่ในช่วง 30-50 ล้านบาท, จำนวน 30.2% มีหนี้สิน  50-100 ล้านบาท ,จำนวน 18.1% มีหนี้สิน 100-150ล้านบาท และจำนวน 11.1% มีหนี้สินมากกว่า 300 ล้านบาท  และผู้ประกอบการขนาดใหญ่ (ไซซ์แอล) จำนวน  63.3% มีหนี้สินมากกว่า 300 ล้านบาท

อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น เป..
5,071
ชีสซี่ฟราย สแน็ค เปิดต..
4,100
เริ่มแล้ว! งานแฟรนไชส์..
2,896
แรงจริง! #แฟรนไชส์ ก๋ว..
1,632
ธงไชยผัดไทย ร่วมกับ 7-..
1,000
พบบูธ “ก๋วยเตี๋ยวเรือป..
986
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด