|
|
14 มีนาคม 2558 |
อินเด็กซ์เล็งขึ้นผู้นำเฟอร์นิเจอร์
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ กางแผนปี 58 ตั้งเป้ารายได้หมื่นล้าน หวังขึ้นเบอร์ 1 ตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน เดินหน้าทุ่มทุนกว่า 3 พันล้าน ปูพรมขยายสาขาเพิ่มให้คลุมทั่วประเทศ
เน้นรุกภาคใต้ที่กำลังซื้อยังเติบโตต่อเนื่อง และรุกตลาดต่างประเทศเริ่มลดขนาดการส่งออกเหลืออยู่กว่า 10 ประเทศ หันจับมือพาร์ตเนอร์บุกเปิดสาขาทำตลาดอาเซียนเอง ทั้งลงทุนเองและขายแฟรนไชส์ ชี้ไตรมาสแรกโหมทำการตลาดแบบเข้มข้น
นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านปี 2557 ที่ผ่านมาว่ายังคงอยู่ในภาวะทรงตัว มูลค่าตลาดรวมประมาณ 80,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ปัจจัยหลักมาจากการชะลอการลงทุนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ขณะที่กลุ่มหัวเมืองหลักและเมืองท่องเที่ยวในภูมิภาคยังมีทิศทางที่ดี ดังนั้น อัตราการเติบโตของตลาด จึงเกิดจากกำลังซื้อในส่วนภูมิภาคเป็นหลัก จังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่น อาทิ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่ หัวหิน ชลบุรี และระยอง เป็นต้น ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามหากลยุทธ์การตลาดมาใช้เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ผู้บริโภคขาดอารมณ์ในการจับจ่ายด้วยสถานการณ์ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ
สำหรับผลประกอบการของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในปี 2557 สามารถทำยอดขายได้ 9 พันล้านบาท มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายและเป็นผลสืบเนื่องจากการเปิดสาขาใหม่ในประเทศ 4 สาขา ได้แก่ นครสวรรค์ นครราชสีมา พัทยา และมหาชัย ทำให้ปัจจุบัน มีสาขาทั้งสิ้น 21 สาขาทั่วประเทศ โดยยอดขายจากสาขาในหัวเมืองหลัก อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา ยังเป็นสาขาที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด มียอดบิลเฉลี่ยสูงถึง 20,000 บาทต่อบิล
ส่วนกลยุทธ์ปี 2558 ตั้งเป้ายอดขายกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 10% โดยตลาดในประเทศ ตั้งงบประมาณการลงทุนไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท เพื่อขยายสาขาอีก 4 สาขาที่จะทำให้มีสาขาทั้งสิ้น 25 สาขา จะเน้นเปิดสาขาในกลุ่มจังหวัดหัวเมืองหลักและหัวเมืองรอง ที่ยังมีอัตราการเติบโตของตลาดในทิศทางที่ดี ไตรมาสแรกมีกำหนดเปิดสาขาหาดใหญ่
มีพื้นที่ 8.5 ไร่โดยใช้งบลงทุนกว่า 400 ล้านบาท และในไตรมาส 2 มีแผนเปิดสาขาสุราษฎร์ธานี มีพื้นที่ 21ไร่ ใช้งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท สาขา 3 ที่ภาคตะวันออกมีพื้นที่ 8 ไร่ ใช้งบลงทุน 400 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดช่วงไตรมาส 3 และสาขา4 อยู่ในกทม.หรือภาคใต้ คาดว่าลงทุนประมาณ 350 ล้านบาท
นอกจากแผนงานการเปิดสาขาใหม่แล้ว กลยุทธ์ด้านสินค้าและบริการ รวมถึงแคมเปญทางการตลาดจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีทั้งด้านสินค้าและบริการนั้น ปีนี้มีแผนการเปิด Power One ศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านจากแบรนด์ดังต่างๆ เพิ่มเติมในสาขาใหม่ที่เกิดขึ้น โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของ Power One ไว้ที่ 15% ต่อปี รวมทั้งเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่ม exclusive brand ที่มีจำหน่ายเฉพาะที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ช่วงไตรมาสแรกนี้ ได้จัดแคมเปญต่อเนื่องในช่วงเทศกาลต่างๆ ตั้งแต่ปีใหม่ วาเลนไทน์ จนถึงตรุษจีน ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซันของการขาย รวมทั้งแคมเปญพิเศษเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 12 ปีของบริษัท โดยตั้งงบประมาณทำการตลาดตลอดทั้งปีรวม 300 ล้านบาท
นางสาวกฤษชนก ยังกล่าวถึงตลาดต่างประเทศว่า ปัจจุบันลดการส่งออกสินค้าเหลือเพียงกว่า 10 ประเทศเท่านั้น และปี 2558 ตั้งงบการลงทุนไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท ด้วยการจับมือพันธมิตรธุรกิจและรวมทั้งการขายแฟรนไชส์ ปี 2557 ได้เปิด 2 สาขา คือ สาขารัสเซีย ในรูปแบบของแฟรนไชส์ที่เมือง Barnaul แคว้น Altai แม้ปัจจุบันจะมีปัญหาเรื่องค่าเงินก็ตาม ก็ยังคงศึกษาเพื่อเปิดสาขาที่ 2 ภายในปีนี้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังได้เปิด อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาแรกในประเทศมาเลเซีย หลังจากการเข้าร่วมทุน (Joint Venture) กับอิออน ประเทศมาเลเซีย สาขาแรกมีขนาดพื้นที่กว่า 6.8 พันตารางเมตร ตั้งอยู่ ณ ไอโอไอ ซิตี้ มอลล์ เมืองปุตราจายา มองว่า ศักยภาพของตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านในมาเลเซีย ยังมีอัตราการเติบโตดี โดยปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเปิดให้บริการเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา พบว่าผลตอบรับดี ตั้งเป้ายอดขายสาขาแรกที่ 350 ล้านบาท และมีแผนงานขยายสาขาอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในประเทศมาเลเซียให้ครอบคลุมกว่า 30 สาขาทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา 15-20 ปี
ทั้งในปีนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ตเนอร์ในหลายๆ ประเทศ โดยรูปแบบการลงทุนอาจจะเป็นการขายแฟรนไชส์หรือการร่วมทุนทั้งกลุ่มทุนท้องถิ่นและกลุ่มทุนระดับภูมิภาค ซึ่งมีคุณสมบัติคือ มีทุน มีทำเลที่ดีและรู้จักธุรกิจค้าปลีก กลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจและมีศักยภาพค่อนข้างสูง อาทิ ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดในไตรมาสแรกปี 2559 เป็นแฟรนไชส์ ส่วนประเทศอินโดนีเซียอยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 ราย และอีกประเทศหนึ่งที่สนใจคือเวียดนาม ซึ่งหลังจากการเปิด AEC แล้ว คาดว่าการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนจะง่ายยิ่งขึ้น
อ้างอิงจาก ฐานเศรษฐกิจ
|
|
|
|