"บี-ควิก" เดินเครื่องบุกตลาดต่างประเทศ ประเดิม "เขมร" ลั่นเปิดครบ 5 สาขา ภายใน 2 ปี พร้อมขยายโอกาสเข้าไปลงทุนประเทศในกลุ่มเออีซีที่ให้สิทธิ์ต่างชาติลงทุน เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มั่นใจตลาดรถยนต์ร่วงไม่กระทบยอด

นางสาวบุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ ศูนย์บริการรถยนต์บี-ควิก เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์บี-ควิกออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้ทดลองเปิดและทำตลาดในกรุงพนมเปญ กัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะมีการเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบได้ในเดือนนี้

เบื้องต้นบริษัทตั้งเป้าสำหรับตลาดต่างประเทศที่กัมพูชาก่อน 1 สาขา ภายใต้งบประมาณในการลงทุน 20 ล้านบาท เพื่อเป็นการทดลองตลาด และหากได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าในประเทศ

ดังกล่าวอย่างดี บริษัทได้เตรียมแผนที่จะขยายตามความต้องการของตลาด เชื่อว่าศูนย์บี-ควิกในกรุงพนมเปญนั้นน่าจะต้องมีสาขาอย่างน้อย 3 สาขาภายในต้นปีหน้า และเพิ่มเป็น 5 สาขาใน 1-2 ปีจากนี้ หรือหากตลาดมีความต้องการที่เพิ่มขึ้น บริษัทก็พร้อมจะตอบสนองความต้องการของตลาด

"ก่อนหน้านี้เราได้ศึกษา ตลาดที่มาเลเซีย แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านการลงทุน และข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นไม่สอดคล้องกับนโยบายบริษัท ที่เราต้องการเข้าไปลงทุนและถือหุ้นในสัดส่วนของเรา 100% นั้นไม่สามารถทำได้ แต่ขณะที่เขมรทำได้ เราจึงเบนเข็มเข้ามาลงทุนที่นี่ และจากนี้ไปเราก็จะมองหาประเทศที่เปิดโอกาสให้ลงทุนได้ 100% เป็นหลัก เนื่องจากบี-ควิกเราชัดเจนว่าเราจะไม่ใช้ระบบแฟรนไชส์ในการทำธุรกิจ เราเชื่อว่าจะไม่สามารถให้เราบริหารงานได้เต็มที่" นางสาวบุศรารัตน์กล่าว
 

ส่วนแผนการขยายธุรกิจออกไปยังประเทศอื่น ๆ นั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ในการขยายตลาด เพื่อนบ้านในตลาดต่อไป คือ พม่า เนื่องจากข้อกำหนดด้านการลงทุนนั้นเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถเข้าไปลงทุนได้ 100%

ด้านการขยายเพิ่มสาขาในประเทศไทย ได้เตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนขยายสาขาบริการบี-ควิกเพิ่มขึ้นอีก 20 สาขา โดยคาดว่าจะต้องใช้ งบประมาณในการลงทุนต่อสาขาที่ 15-20 ล้านบาทต่อสาขา หรือทั้งปีที่ 300-400 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นขยายไปยังพื้นที่ของกรุงเทพฯที่ยังเข้าไม่ถึง และตามจังหวัดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มีสาขา 107 แห่งทั่วประเทศ จะเพิ่มเป็น 120 แห่งทั่วประเทศ

สำหรับสถานการณ์ของ ตลาดฟาสต์ฟิตในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์จะมีการเติบโตลดลงไปกว่า 40% ซึ่งธุรกิจบริการหลังการขายโดยรวมก็เติบโตลดลงไปในระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจาก พฤติกรรมการจับจ่าย ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว

แต่สำหรับบริษัทไม่ได้รับผล กระทบจากตรงนี้มากนัก โดยในช่วง 7-8 เดือนที่ผ่านมาบริษัทยังสามารถรักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย มีความชัดเจนเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคเริ่มผ่อนคลายและกล้าจับจ่ายมากขึ้น

สำหรับบี-ควิกเองยัง เชื่อว่า ผลประกอบการของปีนี้เมื่อเทียบกับปี"56 ที่ทำได้ 5,500 ล้านบาทนั้น ปีนี้จะสามารถมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาทได้ไม่ยาก

และล่าสุดเราได้เพิ่มการรับประกันในส่วนของยางรถยนต์ให้กับลูกค้า 100 วัน ให้การรับประกัน 100% โดยลูกค้าที่เข้ามาซื้อยางจากบี-ควิกแล้วยางเกิดปัญหา เราพร้อมจะเปลี่ยนยางเส้นใหม่ให้กับลูกค้าทันที ภายในระยะเวลาที่กำหนดคือ 100 วันด้วย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดได้อย่างดีเช่นเดียวกัน

อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ