นายยาซูมาซา อาไซ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มอส ฟู๊ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านอาหารแฟรนไชส์มอสเบอร์เกอร์ (MOS Burger) จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากจากการเปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2550 ที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้มียอดขายถึง 45-50 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไวี 20 ล้านบาท ปีนี้บริษัทมีแผนลงทุนขยายเพิ่มอีก 5 สาขา 

 

 
 

ประกอบด้วย สยามพารากอน ฟู้ดส์ฮอลล์ ชั้น 1 คาดว่าจะเปิดบริการในวันที่ 10 มีนาคมนี้ จากนั้นอีก 2 เดือนจะเปิดที่ดิ เอ็มโพเรียม ต่อด้วยทองหล่อในเดือนกรกฎาคม และสยามสแควร์เดือนตุลาคม เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเพิ่งเปิดสาขาเพิ่มที่เซ็นทรัล ชิดลม โดยแต่ละสาขาใช้งบฯลงทุนและงบฯการตลาดประมาณ 10 ล้านบาท ตั้งเป้าว่าแต่ละสาขาจะทำรายได้ 40 ล้านบาทต่อปี 

 

"สาขาที่เปิดอยู่หลักๆจะเป็นศูนย์การค้าบนถนนสุขุมวิทที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญ ส่วนในปี 2552 มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 4 แห่ง โดยจะเน้นออกไปที่ย่านเศรษฐกิจมุมเมือง จากนั้นในปี 2553 จึงจะขยายสาขาไปต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่" 

 

 
 

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดมอสเบอร์เกอร์เน้นทำโปรโมชั่นและโฆษณาผ่านใบปลิว โดยเฉพาะเน้นกลยุทธ์การสื่อสารแบบปากต่อปาก ใช้กลุ่มลูกค้าเป็นตัวขับเคลื่อนในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ทั้งนี้มอสเบอร์เกอร์วางโพซิชันนิ่งเป็น fast casual restaurant

สำหรับครอบครัวจับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน พร้อมกับการชูจุดขายที่แตกต่างด้วยการทำเบอร์เกอร์ตาม ออร์เดอร์ลูกค้าผ่านระบบครัวเปิด เพื่อสะท้อนความสดใหม่และความเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ 

 

"เรายังคงคอนเซ็ปต์ร้านฟาสต์ฟู้ดที่เน้นความรวดเร็ว สะดวก คุณภาพมากกว่าร้านเบอร์เกอร์ประเภทเดียวกัน ด้วยราคาเริ่มต้น 39 บาทขึ้นไป" 
 

 

 

นายยาซูมาซา อาไซ ยังกล่าวถึงเมนูของ มอสเบอร์เกอร์ด้วยว่า จะยังยึดแบบฉบับจากต้นตำรับญี่ปุ่น โดยกลุ่มเบอร์เกอร์มีทั้งหมด 3 แบบ แบ่งเป็นขนมปังเบอร์เกอร์ 11 รายการ เบอร์เกอร์ข้าว 5 รายการ และเบอร์เกอร์ไส้กรอก 4 รายการ โดยเมนูทำรายได้หลักคือ มอส ชีส เบอร์เกอร์ นอกจากนี้ยังมีแผนจะพัฒนาเมนูให้สอดรับกับพฤติกรรม และความชอบของผู้บริโภคมากขึ้น

 

ที่ผ่านมาแม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ รวมทั้งราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง ปลาและชีสจากนิวซีแลนด์ แต่วัตถุดิบส่วนใหญ่ประมาณ 95% นั้นยังใช้วัตถุดิบจากในประเทศ ประกอบกับจำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในแต่ละวันมีค่อนข้างสูง อาทิ ในวันธรรมดามีตัวเลขของทั้ง 2 สาขารวมกันราว 1,900 คน ขณะที่ช่วงเสาร์-อาทิตย์มีประมาณ 3,200 คน จึงทำให้บริษัทสามารถประคองตัวไปได้โดยยังไม่ต้องปรับราคา 

 

 

 

 

 

 

อ้างอิงจาก : ประชาชาติธุรกิจ