ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัย ประธานกรรมการ กลุ่ม กุศมัย กรุ๊ป เปิดเผยว่า กว่า 26 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในกลุ่มบริษัท กุศมัย กรุ๊ป โดยธุรกิจหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่ และเครื่องครัวญี่ปุ่น ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท กุศมัย แบมบู จำกัด และบริษัท กุศมัย คิทเช่นแวร์ จำกัด ผลักดันให้เกิดธุรกิจเกี่ยวเนื่องกัน คือธุรกิจภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น ในนาม บริษัท กุศมัย เคเทอริ่ง จำกัด เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นต้นแบบ 4 สไตล์ คือ

 

ซึ่งเราเล็งเห็นถึงศักยภาพ และอนาคตที่สดใสของตลาดรถบรรทุกขนาดเล็กประเภทนี้ในประเทศ เพราะนอกจากจะเป็นที่ต้องการเพื่อการบรรทุกของทั้งผู้ใช้ในภาคเกษตรกรรม กสิกร และภาคอุตสาหกรรมแล้ว ยังตอบสนองความต้องการของกลุ่มธุรกิจขนาดย่อม (SME) ที่สามารถนำรถ 3 ล้อปิ๊กอัพ ไปดัดแปลงเป็นร้านค้าเคลื่อนที่ราคาประหยัด และคุ้มค่าการลงทุน

 

" ลักษณะการสร้างระบบแฟรนไชส์มุ่งเน้นการกระจายสาขา และเพิ่มโอกาสการลงทุนให้กับผู้ประกอบการหน้าใหม่ ซึ่งมีมูลค่าของธุรกิจแฟรนไชส์ที่เป็นยอดขายหมุนเวียนกว่า 168,000 ล้านบาท ( จากการทำวิจัยปี 2551 ) แสดงให้เห็นถึงการก้าวกระโดดของธุรกิจแฟรนไชส์ ที่มีตลาด รองรับขนาดใหญ่หลายเท่าตัว โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบปี ทำให้เห็นพลังของการขยายธุรกิจลงสู่นักลงทุนรายย่อยมากขึ้น

และยิ่งเน้นย้ำให้เห็นว่าการขยายธุรกิจ แฟรนไชส์ กลายเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาระบบธุรกิจค้าปลีก ( Retail Business ) ซึ่งในมุมมองของการพัฒนาธุรกิจ แฟรนไชส์ คือการพัฒนารูปแบบการลงทุนและการสร้างมาตรฐานในระบบการค้า หรือเป็นการรองรับระบบเศรษฐกิจจากธุรกิจการผลิตสู่ผู้บริโภคอย่างมีคุณภาพ

โดยในปี 2557 เป็นต้นไป นโยบายของธุรกิจในเครือ กุศมัย กรุ๊ป ทั้งหมด จะปรับเข้าสู่รูปแบบธุรกิจ แฟรนไชส์ อย่างเต็มตัว เพื่อพัฒนาและผลักดันผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท ให้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมั่นคง ตามพัฒนาการที่ก้าวกระโดดของธุรกิจ แฟรนไชส์ " ดร.วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย
 

 
 

ในไตรมาสแรกของปีหน้า บริษัทฯ มีแผนการขยายตลาดโดยจะเปิดตัว แฟรนไชส์ เพิ่มอีก 2 สาขา ในศูนย์การค้า BEE-HIV ที่กำลังจะเปิดใหม่ในเมืองทองธานี และเตรียมเปิดตัวโรงงานประกอบรถ 3 ล้อ ซูโมต้า ตามหัวเมืองใหญ่ในภาคต่าง ๆ เพื่อตัดปัญหาเรื่องการขนส่ง คือภาคอีสานที่ โคราช ภาคเหนือที่ ลำปาง ภาคใต้ที่ สุราษฎร์ และภาคตะวันออกที่ ชลบุรี