สำหรับทำเลหลักในการเปิดร้านใหม่นั้น บริษัทจะเน้นไปที่ตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากยังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก โดยเฉพาะตลาดในแหล่งท่องเที่ยวอย่างภาคตะวันออก และภาคใต้ เนื่องจากทั้ง 2 ภูมิภาคบริษัทได้ผลการตอบรับที่ดีจากลูกค้าไม่ว่าจะเป็นสาขาในพัทยา ภูเก็ต หรือสมุย
 

 

“การที่เราเลือกภาคใต้ และตะวันออก เป็นทำเลหลักในการเปิดสาขาใหม่ เพราะเรามีความแข็งแกร่งในภูมิภาคดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทมีทีมงานลงพื้นที่ เพื่อหาทำเลที่เหมาะสมในการขยายสาขา ซึ่งบริษัทเชื่อว่ายังมีช่องว่างให้เข้าไปทำตลาดอีกมาก แม้ว่าปัจจุบันคู่แข่งจะมีทำเลดีและสาขามากกว่า” นายณัฐกล่าว

 

ปัจจุบันร้านแฟมิลี่มาร์ทมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ประมาณ 800 สาขา ซึ่งในปีนี้มีแผนที่จะเปิดเพิ่ม 200 สาขา รวมเป็น 1,000 สาขาในสิ้นปี และหากการวางแผนงานเปลี่ยนร้านท็อปส์เดลี่ที่มีขนาดต่ำกว่า 250 ตร.ม.แล้วเสร็จก็จะดำเนินการเปลี่ยนเป็นร้านแฟมิลี่มาร์ททันที ซึ่งจะทำให้ร้านแฟมิลี่มาร์ทขยายตัวเร็วขึ้นเพราะปัจจุบันร้านท็อปส์เดลี่มีจำนวนร้านที่เปิดให้บริการอยู่ประมาณ 120 สาขา
 

 
 

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบร้านใหม่ (ฟอร์แมต) เพื่อให้ร้านแฟมิลี่มาร์ทมีความหลากหลาย จากปัจจุบันมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ สแตนดาร์ด และพรีเมียม ซึ่งในส่วนของร้านพรีเมียมปัจจุบันมีจำนวนร้านเปิดให้บริการ 1 สาขา คือ สนามบินสุวรรณภูมิ

 

ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีแผนที่จะปรับรูปแบบร้านเป็นสโตร์คลัสเตอร์ หรือ การนำสินค้าที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมายในแต่ละชุมชนมาจำหน่าย พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟ ซึ่งมีจำหน่ายแห่งเดียวในร้านแฟมิลี่มาร์ทเข้ามาทำตลาดมากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 10%
 

 

ทั้งนี้ขณะที่เดือนมี.ค.จะเปิดตัวกลุ่มสินค้าพร้อมรับประทานสไตล์ญี่ปุ่นจำนวน 5 เมนู เช่น ยากิโซบะ ข้าวปลาแซลมอนย่างซีอิ๊ว ข้าวปลาซาบะย่างซีอิ๊ว ข้าวแกงกะหรี่หมูญี่ปุ่น และข้าวผัดกระเทียมหมูซีอิ๊วญี่ปุ่น เข้ามาทำตลาด ซึ่งในส่วนของปีนี้บริษัทมีแผนที่จะใช้งบ 150 ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมทางการตลาดและโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

โดยสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 23% และมีรายได้เพิ่มเป็น 6 หมื่นล้านบาทในปี 2560

อ้างอิงจาก แนวหน้า