นายบุญชัย หลีระพันธ์ นายกสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และเอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึง สถานการณ์ธุรกิจแฟรนไชส์ในขณะนี้ว่า อัตราการหลอกลวงผู้บริโภค และแฟรนไชซี กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้สร้างความเดือนร้อนแก่ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก 

 

ที่ขยายธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ แต่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของแฟรนไชส์ ที่ต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับแฟรนไชซี การเก็บค่าแรกเข้า และค่ารอยัลตี้ฟี เป็นต้น แต่ในขณะที่ผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย ได้ดำเนินธุรกิจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ อาศัยประกอบการธุรกิจวิธีเงินต่อเงิน 

 

ทั้งนี้ผู้ประกอบการร้านก๋วยเตี๋ยวบางกอก ได้ทำการขยายธุรกิจด้วยวิธีการรับสมัครผู้ที่สนใจ จะลงทุนในธุรกิจก๋วยเตี๋ยวบางกอก ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 45,000 บาท โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องลงมือเปิดในการขายก๋วยเตี๋ยวเอง แต่ทางบริษัทจะเป็นผู้จัดการธุรกิจเองทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นการหาพนักงานขายก๋วยเตี๋ยว หรือคนดูแลร้าน โดยเมื่อถึงช่วงสิ้นเดือนผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากทางแฟรนไชส์ซอว์ประมาณ 10,000 บาท เป็นเวลานาน 10 เดือน และต้องจ่ายเงินอีก 45,000 บาท เพื่อเป็นทุนใหม่อีกครั้งพร้อมรับเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหมือนกับผู้ประกอบการธุรกิจ ด้านไปรษณีย์รายหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะเดียวกัน 

 

“จากกรณีดังกล่าว ถือว่าไม่ใช่ธุรกิจแฟรนไชส์ แต่เป็นการหลอกลวงผู้บริโภคว่าเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ และนำเงินมาลงทุน ซึ่งเป็นการนำเงินมาต่อเงินมากกว่า และไม่ใช่ธุรกิจกิจแฟรนไชส์ที่แท้จริง ซึ่งในกรณีของก๋วยเตี๋ยวบางกอก

ปัจจุบันได้ขยายสาขาไปในลักษณะนี้ไปแล้วประมาณ 400-500 แห่ง โดยทางสมาคมได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปบางส่วน ด้วยการทำให้ความเข้าใจกับผู้บริโภค ในเรื่องการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ที่ถูกต้อง เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนธุรกิจ ก่อนที่กฎหมายแฟรนไชส์จะคลอดออกมาภายในปีนี้” นายบุญชัยกล่าว 

 

นายกสมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และเอสเอ็มอีไทย กล่าวต่อว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายที่ไม่มีวินัยในการขายแฟรนไชส์ที่ถูกต้อง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้หลายคนมองหาอาชีพเสริม

และธุรกิจแฟรนไชส์ก็ถือรูปแบบธุรกิจในอันดับต้นๆ ที่ผู้บริโภคเลือกลงทุน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงในกรเริ่มต้นธุรกิจจากความไม่รู้มากที่สุด ซึ่งก็ถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการที่ไร้จรรยาบรรณ นำโอกาสตรงนี้มาหลอกลวงผู้บริโภค 

 

 

 

 

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์