380
7 มีนาคม 2567
3 กลุ่มธุรกิจ ผู้เล่นสำคัญในตลาดรถ EV เติบโตพุ่งรองรับโลกอนาคต จากปัจจัยผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่ม หนีน้ำมันแพง ลดฝุ่นพิษ นโยบายรัฐหนุน
 

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผย ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) เด้งโตรับตลาดผู้บริโภคขยายก้าวกระโดด 3 กลุ่มธุรกิจรับอานิสงส์เต็มๆ ได้แก่ 1) กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า 2) กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ 3) กลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ ปัจจัยที่สนับสนุนให้เติบโตมาจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ EV มากขึ้น เพื่อเปลี่ยนจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และช่วยลดฝุ่นพิษ รวมถึงรัฐบาลออกนโยบายส่งเสริมด้านต่างๆ กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ

ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์พบว่า สัญชาติของผู้ถือหุ้นในนิติบุคคลไทยมีญี่ปุ่น และจีนที่มีการลงทุนในไทยเป็นส่วนใหญ่ สะท้อนศักยภาพที่ดีของประเทศไทยในการลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้า และสอดรับกับวิสัยทัศน์ลำดับที่ 6 ของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ทั้งนี้ มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจรถยนต์ EV ตามพ.ร.บ.ต่างด้าว 4 ปีย้อนหลัง จำนวน 14 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 22,134.80 ล้านบาท
 
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบว่า ธุรกิจรถยนต์ ไฟฟ้า (EV Industry) เป็นกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง และมีอัตราการเติบโตสูงทั้งตลาดรถยนต์ในประเทศไทยและตลาดโลก เนื่องจากมีปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนหลายด้าน อาทิ ปัจจัยด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าและไฮบริดมากขึ้น จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก

พบว่า ช่วงปี 2563-2566 มีอัตราการจดทะเบียนรถประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 116.69% สอดรับกับปัจจัยด้านนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปี 2573 ต้องมีรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์อย่างน้อย 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ประกอบกับการส่งเสริมแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วยการลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตลง ปัจจัยด้านสถานการณ์น้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยด้านฝุ่นพิษที่ทวีความรุนแรงขึ้น การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว
 
อธิบดี กล่าวต่อว่า “จากการวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า กลุ่มตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นนิติบุคคลไทยที่น่าสนใจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1) กลุ่มผู้ผลิตระบบควบคุมไฟฟ้า (Control Charging Plug and Socket) จดทะเบียน นิติบุคคลจำนวน 31 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 14,537.19 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาด L จำนวน 22 ราย คิดเป็น 70.97% มูลค่าทุนจดทะเบียน 14,480.19 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 5 ราย คิดเป็น 16.13% มูลค่าทุนจดทะเบียน 16 ล้านบาท

และธุรกิจขนาด M จำนวน 4 ราย คิดเป็น 12.90% มูลค่าทุนจดทะเบียน 41 ล้านบาท สัญชาติของผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 7,870.19 ล้านบาท รองลงมาคือไทย มูลค่าการลงทุน 3,137 ล้านบาท และอินเดีย มูลค่าการลงทุน 400 ล้านบาท 2) กลุ่มผู้ผลิตระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Devices) จดทะเบียนนิติบุคคลจำนวน 122 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 76,674.67 ล้านบาท

โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาด L จำนวน 85 ราย คิดเป็น 69.67% มูลค่าทุนจดทะเบียน 71,967.55 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 21 ราย คิดเป็น 17.22% มูลค่าทุนจดทะเบียน 3,578.22 ล้านบาท และธุรกิจขนาด M จำนวน 16 ราย คิดเป็น 13.11% มูลค่าทุนจดทะเบียน 1,128.90 ล้านบาท สัญชาติของผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 53,512.72 ล้านบาท รองลงมาคือไต้หวัน มูลค่าการลงทุน 7,108.25 ล้านบาท และไทย มูลค่าการลงทุน 4,864.84 ล้านบาท”
 
“และ 3) กลุ่มธุรกิจสถานีชาร์จ (EV Charging Station) จดทะเบียนนิติบุคคลจำนวน 9 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 31,758.46 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาด M จำนวน 4 ราย คิดเป็น 44.44% มูลค่าทุนจดทะเบียน 31,328.01 ล้านบาท รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 4 ราย คิดเป็น 44.44% มูลค่าทุนจดทะเบียน 53.88 ล้านบาท และธุรกิจขนาด L จำนวน 1 ราย คิดเป็น 11.12% มูลค่าทุนจดทะเบียน 376.57 ล้านบาท สัญชาติของผู้ถือหุ้นเป็นสัญชาติไทยทั้งหมด”
 
“ไทยมีความพร้อมที่จะดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อมุ่งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility Hub) ตามวิสัยทัศน์ IGNITE Thailand Vision ลำดับที่ 6 ของรัฐบาลที่ประกาศเมื่อวันที่ 22 ก.พ.67 ณ ทําเนียบรัฐบาลที่ผ่านมา

จากข้อมูลจะเห็นว่านักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ระดับโลกได้สนใจเข้ามาลงทุนในไทย ประกอบกับมีนักลงทุนสัญชาติจีนซึ่งเป็นผู้เล่นใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ก็มีแผนขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้ประเทศไทย เกิดการลงทุนและจ้างงานคนไทย

ที่สำคัญเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีการผลิตให้แรงงานไทยเกิดทักษะการทำงานที่สูงขึ้น แม้ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) จะดูมีอนาคตที่สดใส แต่ก็ยังมีความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าเช่นกัน ทั้งการแข่งขันที่จะสูงขึ้น

การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า อย่างสถานีชาร์จที่จะต้องครอบคลุมการใช้งานทั่วประเทศ การบริการหลังการขายที่ดี การซ่อมแซมและอุปกรณ์อะไหล่ที่ต้องรองรับให้เพียงพอกับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ยังมีโอกาสในการลงทุนอีกมากและผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวให้ทันต่อความท้าทายดังกล่าวด้วย”
 
“สำหรับการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) ภายใต้ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2566) มีจำนวน 14 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 22,134.80 ล้านบาท โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจนายหน้า/ค้าปลีก/ค้าส่ง (รถยนต์ไฟฟ้า/รถจักยานยนต์ไฟฟ้า/EV Battery) จำนวน 4 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 310.80 ล้านบาท ธุรกิจ EV Charging Station จำนวน 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 8,893.34 ล้านบาท

ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต จำนวน 2 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 371.68 ล้านบาท และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) จำนวน 5 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 12,558.99 ล้านบาท เช่น บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า บริการให้เช่าเครื่องอัดประจุไฟฟ้า (EV Charger) บริการตรวจสอบแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น” อธิบดี กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา : www.dbd.go.th
 
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สาขาใหม่ มาแล้ว! ทูลเก..
6,285
PLAY Q by CST bright u..
1,334
มาแล้ว! #งานแฟรนไชส์ ม..
951
อร่อย! เลิศ! รสเด็ด ก๋..
950
สุดปัง! แฟรนไชส์หม่าล่..
798
ลงทุนกับ “ซุปซุป” ร้าน..
770
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด