632
3 กรกฎาคม 2566
กรมพัฒน์ฯ เดินหน้าสร้างความรู้หลักประกันทางธุรกิจแก่เกษตรกร จ.ชัยนาท พร้อมเปิดโลกทัศน์..ส่งเสริมปลูกไม้ยืนต้นผลิตคาร์บอนเครดิตเพิ่มรายได้..รับเทรนด์ธุรกิจโลก
 

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินหน้าสร้างความรู้ให้เกษตรกรจังหวัดชัยนาท ปลูกไม้ยืนต้นสร้างเครดิตให้ตนเองและครอบครัว อนาคตจับมือสถาบันการเงินใช้เป็นหลักประกันขอสินเชื่อต่อยอดขยายกิจการหรือลงทุนทำธุรกิจ

พร้อมเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้คนในท้องถิ่นสร้างรายได้จากต้นไม้ที่ปลูก ผลิตคาร์บอนเครดิตส่งขายในตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต รับเทรนด์ธุรกิจโลกที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงผลประโยชน์และรับผิดชอบต่อส่วนรวมควบคู่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ชดเชยการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก เชื่อ..หากคาร์บอนเครดิตได้รับการผลักดันให้เป็นหลักประกันทางธุรกิจชนิดใหม่ จะสร้างคุณค่าการใช้ประโยชน์ที่ดินของเกษตรกร ประชาชน และประเทศชาติอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด
 
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "นับตั้งแต่กฎหมายหลักประกันธุรกิจได้เพิ่ม 'ไม้ยืนต้น' เป็นทรัพย์ประเภทหนึ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันมีเกษตรกรและประชาชนนำไม้ยืนต้นมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจแล้ว แล้ว จำนวน 146,866 ต้น วงเงินค้ำประกัน 138,096,039.02 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2566) ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ร้อยเอ็ด ศรีษะเกษ สกลนคร บุรีรัมย์ สุพรรณบุรี อุทัยธานี ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจึงต้องเร่งสร้างความรู้และส่งเสริมให้เกษตรกร/ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าบนที่ดินของตนเองมากขึ้น รวมทั้ง สร้างความเข้าใจในรายละเอียดและวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ โดยหากเกษตรกรต้องการใช้เงินลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจ ขยายกิจการ หรือ ดำรงชีวิตประจำวัน ก็สามารถนำไม้ยืนต้นที่ปลูกมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ ทำให้เกษตรกรและประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ส่งผลให้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างแท้จริง
 
อีกทั้งตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา แนวคิดธุรกิจแห่งความยั่งยืน (Business Sustainability) ได้รับความสนใจและถูกนำมายึดโยงกับประเด็นทาง 'สังคม' และ 'สิ่งแวดล้อม' ใจความสำคัญ คือ ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมควบคู่กับผลประโยชน์ทางธุรกิจ โดยวางกลยุทธ์องค์กรให้สอดรับกับบริบททางสังคม/สิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงสู่การพัฒนาธุรกิจ

ขณะที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ ยกระดับ และขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนผ่านนโยบายและโครงการสำคัญต่างๆ ที่เป็นไปตามบริบทและแนวโน้มของโลก สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของกรมฯ ในการลงพื้นที่ให้ความรู้และส่งเสริมเกษตรกรปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าบนที่ดินของตนเอง ก่อเกิดประโยชน์โดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจและการปฏิบัติราชการในปัจจุบัน รวมทั้ง สนับสนุนการปฏิบัติต่อแนวคิดฯ ดังกล่าวที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน
 
ไม้ยืนต้นที่เกษตรกรปลูก นอกจากจะนำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้แล้ว ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากออกซิเจนที่ต้นไม้ผลิตออกมา ช่วยลดภาวะก๊าซเรือนกระจกของภาคการผลิตและขนส่ง หรือที่เรียกว่า คาร์บอนเครดิต โดยการผลิตคาร์บอนเครดิตส่งขายในตลาดซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิต เป็นเทรนด์ธุรกิจโลกที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อเกษตรกรผู้ปลูกไม้ยืนต้นและขายคาร์บอนเครดิต ภาคเอกชนต้องใส่ใจและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมโดยชดเชยภาคการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการซื้อคาร์บอนเครดิต

และภาครัฐที่บรรลุถึงนโยบายสำคัญตามที่ได้กำหนดไว้นำพาประเทศสู่ความเจริญที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งเสริมให้การประกอบธุรกิจและการบริหารราชการภาครัฐประสบความสำเร็จ นำมาซึ่งการยอมรับของภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม และทุกภาคส่วนในระดับโลก แสดงให้เห็นว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุนแนวคิดธุรกิจแห่งความยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทย
 
การลงพื้นที่พบปะเกษตรกร ณ วิสาหกิจชุมชนสวนยางกลางนา จ.ชัยนาท ในครั้งนี้ เป็นการสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์อันหลากหลายของการปลูกไม้ยืนต้นบนที่ดินของตนเอง โดยเฉพาะการได้มาซึ่งคาร์บอนเครดิตที่เป็นสินค้าระดับโลกตัวใหม่ที่สร้างผลประโยชน์มหาศาล เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับต้นไม้และที่ดินของเกษตรกร ที่สำคัญ ประเทศไทยมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เอื้อประโยชน์ต่อการผลิตคาร์บอนเครดิต นับเป็นโอกาสและความท้าทายของเกษตรกรไทยที่จะก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตคาร์บอนเครดิตระดับโลก
 
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าหากคาร์บอนเครดิตได้รับการผลักดันให้เป็นทรัพย์ประเภทหนึ่งที่นำมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ จะสร้างคุณค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อการใช้ที่ดินของเกษตรกร ประชาชน และประเทศชาติ รวมถึง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตคาร์บอนเครดิตในระดับภูมิภาคและระดับโลกในอนาคต ช่วยสร้างความมั่นคงทางธรรมชาติที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เป็นประเทศสีเขียวที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด" อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย


ที่มา : www.dbd.go.th
 
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
สาขาใหม่มาแล้ว! บุราณ ..
942
รวมภาพบรรยากาศ คอร์ส F..
646
“เติมพลังความรู้” กับ ..
591
มาโนอิ ร่วมงานครบรอบ 1..
562
สมาร์ทเบรน จินตคณิต เป..
553
โทกิวอช ร้านสะดวกซัก เ..
517
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด