สั่งสอบห้างยักษ์ดัมพ์ราคา โชห่วยเรียงคิวเจ๊งทะลุหมื่น
"กรมการค้าภายใน" สอบห้างยักษ์ดัมพ์ราคา หลังโชห่วยร้องเรียนหนัก ระบุผิดจริงจำคุก 3 ปี ปรับ 6 ล้าน ด้าน สสว.เผยร้านค้าปลีกไทยแห่ปิดกิจการเดือนละ 2,500 ราย เล็งทั้งปีตายเกือบ 3 หมื่น เซเว่นฯ เพิ่มมาตรการขายแฟรนไชส์ เจอบางรายทำไม่จริงจนต้องปิด
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเข้ามาดูแลผู้ประกอบการค้าปลีกรายย่อยในแต่ละพื้นที่มากขึ้น พร้อมตรวจสอบการกระทำของห้างค้าปลีกรายใหญ่ เนื่องจากมีผู้ประกอบการโชห่วยร้องเรียนอย่างต่อเนื่องประมาณ 100 ราย ถึงความไม่เป็นธรรมด้านการแข่งขันทางการค้าของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ในการลดราคาสินค้าต่ำกว่าทุน นอกจากนี้มีแผนตรวจสอบสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของห้างค้าปลีกรายใหญ่เข้าข่ายการขายสินค้าต่ำกว่าทุนและเอาเปรียบซัพพลายเออร์หรือไม่ เพราะผู้ประกอบการห้างค้าปลีกจ้างซัพพลายเออร์ผลิตสินค้าติดแบรนด์ของห้างค้าปลีกนั้นๆ เพิ่มขึ้น หากเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า มีบทลงโทษ คือ จำคุก 3 ปี ปรับ 6 ล้านบาท
นายภักดิ์ ทองส้ม รักษาการผู้อำนวยการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า ขณะนี้ร้านค้าปลีกที่จดและไม่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ปิดกิจการเฉลี่ยเดือนละ 2,000-2,500 ราย หรือเกือบ 3 หมื่นรายตลอดปี เพราะประสบปัญหาดำเนินธุรกิจอย่างมากจากการขยายตัวของค้าปลีกขนาดใหญ่และวิกฤติเศรษฐกิจโลก เนื่องจากไม่สามารถลดราคาให้ต่ำใกล้เคียงรายใหญ่ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ต้องการสินค้าราคาถูก ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องช่วยเหลือร้านค้าปลีก 7-8 แสนรายให้อยู่รอดในภาวะแข่งขันรุนแรง
ทั้งนี้ ธุรกิจค้าปลีกของคนไทยส่วนใหญ่ทำธุรกิจแบบตั้งรับ ไม่สามารถใช้นโยบายเชิงรุกต่อสู้กับคู่แข่งรายใหญ่หรือทุนต่างชาติได้ เบื้องต้นภาครัฐจะส่งเสริมการลดต้นทุนการขนส่งและสินค้า ขณะเดียวกันร้านค้าเองต้องปรับปรุงมาตรฐานสินค้า โดยไม่จำหน่ายสินค้าหมดอายุและเพิ่มบริการให้พอใจของผู้บริโภค เช่น การส่งสินค้าถึงบ้านลูกค้า
"ภาครัฐเร่งพัฒนาเอสเอ็มอีเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นสมาชิกประชาคมอาเซียนในปี 58 หากไม่พร้อมจะเสียเปรียบทันที โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกรายเล็กต้องแข่งขันกันมากขึ้น ตรงนี้ สสว.ได้ให้ความรู้การบริหารจัดการหลายด้าน เช่น ปรับปรุงธุรกิจให้ทันสมัย ใช้ระบบไอที หากไม่พัฒนาคงลำบาก" นายภักดิ์กล่าว
ด้านนายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น กล่าวว่า บริษัทได้เพิ่มความเข้มงวดในการขายแฟรนไชส์เนื่องจากบางแห่งไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ส่วนใหญ่เป็นอินเวสเตอร์เน้นการลงทุนแต่ไม่เน้นการเข้ามาบริหารงาน ส่งผลให้เกิดปัญหาภายในร้าน เช่น ลูกน้องหยิบเงินไปใช้
โดยกำหนดหลักเกณฑ์ 2 ข้อ คือ
- ผู้ขอแฟรนไชส์ต้องเข้ามาเป็นผู้ประกอบการจริง
- ต้องประกอบธุรกิจของร้านเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างเดียวไม่ทำอาชีพอื่น เพื่อการบริหารร้านที่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้เปิดโอกาสให้ผู้สนใจที่ไม่มีพื้นที่สามารถซื้อร้านเซเว่นฯ ที่เปิดให้บริการแล้ว งบลงทุน 1.5 ล้านบาท และคืนทุนภายใน 2 ปี
ปัจจุบัน บริษัทขยายร้านเซเว่นฯ 5,000 สาขา คาดขยายครบ 5,200 สาขา ภายในสิ้นปี ซึ่งสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้มีผู้สนใจร่วมธุรกิจกับร้านเซเว่นฯ มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเกษียณอายุและกลุ่มคนถูกเลิกจ้าง
อ้างอิงจาก ไทยโพสต์