2.7K
3 สิงหาคม 2558
สินค้าขายไม่ได้หลังภาระหนี้-ภัยแล้งฉุดกำลังซื้อ-ผลิตภัณฑ์ส่งออกเดี้ยง SMEอ่วม - อุตสาหกรรมสาหัส


แบงก์ทหารไทยเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ช่วงไตรมาส 2 ผลปรากฏตัวเลขร่วงต่ำลงอีก ซ้ำดัชนี 3 เดือนข้างหน้า ก็ยังลดลงอีกด้วยเหตุผลหลักจากเศรษฐกิจในประเทศไม่ฟื้น ปัญหาภัยแล้ง ฉุดกำลังซื้อดิ่งเหว


โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่เพาะปลูกไม่ได้ เม็ดเงินหายจากระบบกว่า 3 หมื่นล้านขณะที่ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมก็ยังแย่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ เหล็ก อาการหนัก กอดคอกันลดกำลังผลิต หลังคำสั่งซื้อหดหาย

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี ไตรมาส 2/2558 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการอยู่ที่ 38.7 ปรับลงจากระดับ 43.7 หรือลดลง 11.4% จากไตรมาสก่อนหน้านี้

เนื่องจากผู้ประกอบการมองว่า รายได้ในปัจจุบันมีความไม่แน่นอน เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่วนความเชื่อมั่นของธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้าพบว่าดัชนีปรับตัวลดลงอยู่ที่ 53.8 ปรับลงจากระดับ 59.3 ในไตรมาส 1 คิดเป็นการปรับตัวลดลง 9.3% ซึ่งลดลงค่อนข้างมาก

เนื่องมาจาก SMEs มองว่ารายได้ของธุรกิจจะแย่ลงในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง จากปัญหาภัยแล้ง
ทำให้เกษตรกรต้องหยุดหรือเลื่อนการเพาะปลูก กระทบต่อผลผลิตนาปีของทั้ง 3 ภาคลดลงเหลือ 21.5 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.3 ล้านตัน ประเมินมูลค่าเม็ดเงินที่หายไปจากครอบครัวเกษตรกรประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท

สำหรับปัจจัยที่ธุรกิจ SMEs กำลังกังวล กว่า 60%คือเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งถือเป็นระดับความกังวลสูงในรอบ 3 ปี ตั้งแต่เริ่มสำรวจความคิดเห็น สาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อในพื้นที่ลดลง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นด้านรายได้ที่ปรับตัวลดลง ส่วนสิ่งที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการคือ มาตรการระยะยาว เช่น โรดแมปสินค้าเกษตรรายพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า และแผนยุทธศาสตร์ข้าว


นายเบญจรงค์กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. อาจต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้ง หากภาคการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีเติบโตได้ต่ำกว่าที่คาด ทำให้ตัวเลขการส่งออกปีนี้ติดลบมากกว่า 1.7% และส่งผลให้จีดีพีโตต่ำกว่า 3%

ขณะเดียกัน นายณัฐพล รังสิตพล รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน 2558 ว่า หดตัว 8.0% อุตสาหกรรม สำคัญที่ลดลง เช่น HDD โทรทัศน์ รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเบียร์

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อตอบสนองในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่า 30%) เพิ่มขึ้น 3.4% โดยเพิ่มขึ้นจากการกลั่นน้ำมันเป็นหลัก การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) เดือนมิถุนายน 2558 หดตัว 6.8% ตามการลดลงของการส่งออกสินค้าสำคัญหลายรายการ อาทิ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เป็นต้น

ทำให้ภาพรวมครึ่งปีแรก 2558 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) หดตัว 3.0% ส่วนการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัว 2.7% สินค้าวัตถุดิบ(ไม่รวมทองคำ) ขยายตัว 1.6% อย่างไรก็ตาม ภาพรวมครึ่งปีแรก 2558 การนำเข้าสินค้าทุน และสินค้าวัตถุดิบ(ไม่รวมทองคำ) ยังคงหดตัว

สำหรับภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ การผลิตรถยนต์ มีจำนวน 151,698 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.11% การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ มีจำนวน 60,322 คัน ลดลง 18.26% และการส่งออกรถยนต์ มีจำนวน 76,774 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26.14% โดยการส่งออกรถกระบะ 1 ตันและ PPV มีจำนวน 37,238 คัน ลดลง 41.71% ทั้งนี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการบางรายอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนรุ่นของรถยนต์ โดยเป็นการลดลงในประเทศแถบอเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และเอเชีย

ในส่วนของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวลดลง 17.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ปรับตัวลดลง 18.84% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดปรับตัวลดลง


เนื่องจากความต้องการคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กในตลาดโลกลดลงส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้า ปรับตัวลดลง 11.40% กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทั้งหมดปรับตัวลดลง เช่น คอมเพรสเซอร์ กระติกน้ำร้อน หม้อหุงข้าว และเครื่องรับโทรทัศน์ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศชะลอตัวลงจึงส่งผลให้ความต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย รวมถึงได้รับผลกระทบจากตลาดส่งออกหลักที่ยังไม่ฟื้นตัว (ยุโรป และญี่ปุ่น) สำหรับเครื่องรับโทรทัศน์มีผู้ผลิตบางรายย้ายฐานการผลิตไปประเทศในกลุ่มอาเซียน

ขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า การบริโภคเหล็กของไทยเดือนมิถุนายนปี 2558 มีปริมาณ 1.29 ล้านตัน ลดลง 5.15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตมีปริมาณ 0.48 ล้านตัน ลดลง 14.29% การส่งออกมีมูลค่า 65 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 8.89% สำหรับการนำเข้า 570 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 16.70% เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศที่ยังคงชะลอตัวอยู่ ผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ลดลงทุกชนิดเช่น เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ลดลง

เนื่องจากผู้ผลิตรายหนึ่งมีการหยุดเพื่อปรับปรุงเครื่องจักร สำหรับเหล็กแผ่นรีดเย็นลดลง เนื่องจากการบริหารสินค้าคงคลังโดยลดการผลิตและระบายสต๊อกแทน แต่ในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อน มีการผลิตเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยเป็นเหตุผลทางด้านจิตวิทยาจากการที่มีข่าวว่า ผู้ผลิตในประเทศขอให้ภาครัฐดำเนินการใช้มาตรการ Surcharge สินค้าเหล็ก ซึ่งมีผลทำให้ผู้นำเข้าชะลอการนำเข้า

สำหรับเหล็กทรงยาว การผลิตลดลงทุกตัว เนื่องจากสภาพตลาดในประเทศที่ยังคงทรงตัวอยู่ นอกจากนี้จากข้อมูลเครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ ของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ข้อมูลจำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อปล่อยใหม่จากธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในเดือนพฤษภาคม 2558 มีทิศทางที่ลดลง ส่วนการส่งออกในเดือนมิถุนายน ปี 2558 มีทิศทางที่ลดลง

เนื่องจากสถานการณ์เหล็กโลกที่ยัง over supply อยู่ จากการที่ประเทศจีนยังคงขยายการผลิตอยู่ ทั้งๆ ที่ความต้องการใช้ในประเทศชะลอตัวซึ่งถึงแม้ว่าหลายประเทศจะทำหนังสือเพื่อขอให้รัฐบาลจีนควบคุมปริมาณการผลิต แต่ยังไม่มีความคืบหน้าอื่นใดส่วนอุตสาหกรรมอาหาร การผลิตในภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.6%

เนื่องจากการผลิตน้ำตาล และปศุสัตว์ (ไก่และสัตว์ปีก) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่การผลิตสินค้าหลักอื่นๆ ยังมีทิศทางลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกในภาพรวมลดลงจากปีก่อน 2.0% จากผลกระทบเศรษฐกิจของประเทศนำเข้ายังคงชะลอตัวระดับราคาสินค้าในตลาดโลกยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน

โดยเฉพาะผลกระทบจากการตัดสิทธิ์ GSP และภาวะเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปที่ขยายตัวไปยังเศรษฐกิจประเทศอื่น ส่วนภาวะการใช้จ่ายในประเทศที่ยังทรงตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังได้รับผลกระทบจากอำนาจซื้อในประเทศชะลอตัวลง

อ้างอิงจาก  แนวหน้า
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
ผู้สนับสนุน (Sponsor)
แฟรนไชส์ P.P.TYRE ร่วม..
1,751
แฟรนไชส์ “ไจแอ้นลูกชิ้..
1,517
“โฮมแคร์ภิบาล” จัด Ope..
1,490
ชีสซี่ฟราย สแน็ค เปิด ..
1,192
ธงไชยผัดไทย เปิดโครงกา..
955
เรียนสร้างแฟรนไชส์ ในค..
908
ข่าว SMEsมาใหม่
ข่าวอื่นในหมวด