สสว.หนุน 30 กลุ่มคลัสเตอร์เดินหน้าปั้น ผปก. 4,246 ราย สานต่อโครงการสนับสนุนเครือข่าย SME คาดสร้างรายได้กว่า 472 ล้านบาท
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว.
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. เดินหน้าโครงการสนับสนุนเครือข่าย SME หนุน 30 กลุ่มคลัสเตอร์ ปั้นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 4,246 ราย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มคลัสเตอร์ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ คาดในปี 2563 สามารถสร้างรายได้กว่า 472 ล้านบาท
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. กล่าวว่า หนึ่งในแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการที่สำคัญของ สสว. คือ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการรวมกลุ่มกันเป็นคลัสเตอร์ ซึ่งจะเป็นการรวมกลุ่มผู้ประกอบการในธุรกิจเดียวกันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อเพิ่มกำลังให้เกิดอำนาจทางการต่อรองมากขึ้น และยังก่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ที่จะช่วยการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับเอสเอ็มอี พร้อมต่อยอดทางการเงินและการตลาดต่อไปในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับแนวการดำเนินงานหลักของ สสว. Connext กล่าวคือ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุน การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการส่งเสริมและขยายช่องทางการตลาด
ทั้งนี้ เอสเอ็มอีส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายเล็ก จึงแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ยาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรวมกลุ่มกันเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งในการแข่งขัน รวมทั้งยังเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ ให้สามารถนำจุดแข็งของแต่ละรายมาร่วมกันพัฒนาสินค้าให้มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องรูปแบบ นวัตกรรมและการบริการ ซึ่งจะเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่ามากขึ้น โดยที่ผ่านมา สสว.ได้เป็นหน่วยงานกลางระหว่างภาครัฐกับเอกชน ในการดึงศักยภาพของทุกฝ่ายเข้ามาพัฒนาเอสเอ็มอีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับโครงการสนับสนุนเครือข่าย SME นี้ ทางด้าน สสว.ได้ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งการรวมกลุ่มหรือการสร้างเครือข่ายในรูปแบบคลัสเตอร์นี้ จะเน้นการกระตุ้นความเชื่อมโยงกันระหว่างผู้ประกอบการ โดยคำนึงถึงความต้องการของตลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ การพัฒนาผู้ประกอบการในเครือข่ายให้มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงการพัฒนาช่องทางการตลาดในเชิงรุกผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การแสดงสินค้าและการเจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์ของคนไทยให้แก่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศให้รู้จักมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในปี 2563 สสว.ได้ดำเนินการร่วมกับ 7 หน่วยงาน ได้แก่
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ดำเนินกิจกรรมการพัฒนาคลัสเตอร์เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ปลากัด
- มหาวิทยาลัยนเรศวร ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Health Retreatment
- สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ไม้ดอกไม้ประดับ
- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ Sport Economy
- สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์ BCG Fashion Lifestyle และ 7. สถาบันอาหาร ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคลัสเตอร์มะพร้าว สับปะรด และกระเทียม
ด้านผลสำเร็จในการดำเนินโครงการปี 2563 คือ สามารถสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการที่ได้รับการพัฒนาและเชื่อมโยงในรูปแบบคลัสเตอร์ จำนวน 30 คลัสเตอร์ มีผู้ประกอบการที่ได้รับการพัฒนาองค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจแบบคลัสเตอร์ 4,246 ราย และสามารถลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจหรือมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 472.12 ล้านบาท
ทั้งนี้ โครงการฯ ดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างคลัสเตอร์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้เท่านั้น แต่คลัสเตอร์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ยังสามารถผลักดันและต่อยอดการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น คลัสเตอร์ปลากัด ได้สนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งสมาคมปลากัดแห่งประเทศไทย ผลักดันให้มีการจัดทำมาตรฐานปลากัดและจัดประกวดปลาสวยงาม ทำให้มีการยกระดับมูลค่าของปลากัดทั้งในเชิงราคาในท้องตลาดและการส่งออก พร้อมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ประเทศไทยเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลากัด โดยตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็น Hub การส่งออกปลากัดในฐานะปลาสวยงามไปทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน อินเดีย และเยอรมนี
ในส่วนของคลัสเตอร์คอสเพลย์ ได้จัดตั้งสมาคมอุตสาหกรรมคอสเพลย์ไทยในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการคอสเพลย์ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เพื่อผลักดันให้คอสเพลย์ไทยไปสู่มาตรฐานระดับโลก นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเกษตรในการนำเทคโนโลยีขึ้นมาต่อยอด พัฒนาขึ้นเป็นถุงตากแห้งข้าว ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ในการอบข้าวเปลือกให้ได้ความชื้นตามมาตรฐาน โดยมีจุดเด่นจากเดิม 5 วัน เหลือเพียง 3 วัน และสามารถลดต้นทุนค่าแรงลงได้กว่า 40% การดำเนินงานดังกล่าวนับเป็นเพียงตัวอย่างความสำเร็จของการรวมตัวเป็นคลัสเตอร์ ในการสร้างพลังต่อยอดองค์ความรู้และเพิ่มมูลค่าให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างยั่งยืนต่อไป
อ้างอิงจาก : MGROnline.com