ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - สมศิริ มั่งมีศรีสุข

หน้า: [1]
1
ฉีดฟิลเลอร์ปาก เติมเต็มริมฝีปากสวยอวบอิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ
 

 
ฉีดฟิลเลอร์ปาก ปรับริมฝีปากสวย
 
การ ฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหนึ่งในวิธีเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยเติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น และมีรูปทรงสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ 
 
บทความนี้จะพาไปรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก ประโยชน์ ขั้นตอน รวมถึงวิธีดูแลตัวเองหลังฉีด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ
 


 
ทำความรู้จักกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก
 
การฉีดฟิลเลอร์ปาก คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) ลงในริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความอวบอิ่มและปรับรูปทรงให้สวยงามตามต้องการ โดยไฮยาลูโรนิก แอซิดเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ จึงปลอดภัยและสามารถสลายตัวได้เอง โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย 
 


 
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีอะไรบ้าง ?
 

 
การฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยให้ปากมีความสมดุลรับกับใบหน้า

การฉีดฟิลเลอร์ปากมีข้อดีหลายประการ ได้แก่
 
  • เติมเต็มริมฝีปากให้ดูอวบอิ่ม ชุ่มชื้น และมีมิติขึ้น
  • ปรับรูปทรงริมฝีปากให้สมดุล เหมาะกับใบหน้าแต่ละบุคคล
  • ช่วยให้ได้ทรงปากตามที่ต้องการ เช่น ปากกระจับ ปากสายฝอ ปากเกาหลี
  • ช่วยลดเลือนริ้วรอย ร่องลึกบนริมฝีปาก ทำให้ผิวดูเรียบเนียน
  • หากไม่พอใจในผลลัพธ์สามารถฉีดเติมฟิลเลอร์ปากหรือฉีดสลายได้ ไม่มีผลข้างเคียง
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

 
ด้วยเหตุนี้ การฉีดฟิลเลอร์ปากจึงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปทรงปากอย่างปลอดภัย และเห็นผลไวค่ะ
 


 
ขั้นตอนและวิธีการฉีดฟิลเลอร์ปาก
 
ขั้นตอนและวิธีการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีดังนี้ค่ะ
 
  • แพทย์ทำการประเมินใบหน้า รูปปากและความต้องการของคนไข้อย่างละเอียด
  • ทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ให้เรียบร้อย
  • แปะยาชาและประคบน้ำแข็งเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายขณะทำ
  • ใช้เข็มขนาดเล็กฉีดฟิลเลอร์ปากลงในจุดต่าง ๆ ของริมฝีปากอย่างระมัดระวัง
  • แพทย์ทำการปั้นรูปทรงให้สวยงาม และมีความสมดุลตามทรงปากที่ต้องการ
  • หลังฉีดแพทย์ตรวจสอบผลลัพธ์ และให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง

 


 
ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่วันถึงจะทาลิปได้
 
หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก แนะนำให้รออย่างน้อย 12-24 ชั่วโมงก่อนทาลิปสติกหรือผลิตภัณฑ์บำรุงริมฝีปากค่ะ เนื่องจากบริเวณนั้นยังมีแผลจากรอยเข็มอยู่ อีกทั้งยังป้องกันการติดเชื้อและให้ฟิลเลอร์เซตตัวอย่างเหมาะสม 
 


 
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
 
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปากอย่างถูกวิธีมีความสำคัญมาก เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีและยาวนาน ควรปฏิบัติดังนี้
 

 
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส กด หรือบีบนวดริมฝีปากในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
  • งดออกกำลังกายหนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้ปากเสียรูปทรง เช่น ใช้หลอดดูดน้ำ การจูบ
  • งดสูบบุหรี่ และงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1-2 วัน
  • งดกิจกรรมที่ใช้ความร้อน เช่น ซาวน่า เลเซอร์ หรืออาหารร้อน ๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดการดึงหรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะจะทำลายผิวริมฝีปาก อาจทำให้ปากแห้งกว่าเดิม
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูและอยู่ได้นานขึ้น

 


 
สรุปฉีดฟิลเลอร์ปากเติมปากสวยอย่างมั่นใจ
 
การฉีดฟิลเลอร์ปาก ช่วยเพิ่มความสวยและเสน่ห์ให้ริมฝีปากอย่างชัดเจน ถือเป็นวิธีปรับรูปทรงปากที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ แพทย์มีประสบการณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำหลังฉีดอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน และฟิลเลอร์เข้าที่ไวขึ้นค่ะ

2
คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ? แชร์ทริคเลือกอย่างไรให้ปลอดภัย หน้าเป๊ะ
 

คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี
 
การเลือกคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี อาจเป็นคำถามที่หลายคนกังวลก่อนตัดสินใจ เพราะการฉีดโบท็อกไม่ใช่เรื่องเล็ก หากทำโดยคลินิกที่ไม่มีมาตรฐานหรือใช้ตัวยาไม่ได้คุณภาพ อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่เห็นผลเลยค่ะ 
 
บทความนี้จะพาไปเช็กทีละข้อว่าควรเลือกคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่สวยเป๊ะ ปลอดภัย และคุ้มค่าจริงค่ะ
 
1. คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดีที่ได้มาตรฐาน
 


ข้อแรกที่เช็กในการหาคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ? คือมาตรฐานความปลอดภัยค่ะ คลินิกที่ดีต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ 11 หลัก เปิดกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการจัดการด้านสุขอนามัยที่ดี พร้อมห้องหัตถการปลอดเชื้อ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่สะอาดปลอดภัยค่ะ
 
การเริ่มต้นพิจารณาคลินิกที่ได้มาตรฐาน จะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้มั่นใจได้ว่า ฉีดโบท็อกกับคลินิกเสริมความงามที่ปลอดภัยค่ะ
 
2. คลินิกฉีดโบท็อก ที่มีหมอมือโปรดูแลเท่านั้น
 
การฉีดโบท็อกซ์ ที่ไหนดีนั้นสิ่งสำคัญคือต้องให้แพทย์ที่มีประสบการณ์เป็นผู้ฉีดค่ะ เพราะการฉีดโบท็อกต้องอาศัยความรู้ด้านกายวิภาคใบหน้าและเทคนิคเฉพาะทาง แพทย์ที่มีประสบการณ์จะสามารถวิเคราะห์รูปหน้า เลือกจุดฉีด และคำนวณยูนิตได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยเป็นธรรมชาติ หน้าไม่แข็ง ไม่โป๊ะ
 
หากกำลังลังเลว่าจะเลือกคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ? ถึงจะปลอดภัยและคุ้มค่า แนะนำให้เลือกคลินิกที่มีแพทย์ที่มีประสบการณ์ดูแลทุกขั้นตอนตั้งแต่ประเมินก่อนทำจนถึงติดตามผลหลังฉีดค่ะ 
 
3. คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ใช้โบท็อกแท้ ผ่าน อย.
 
อีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกฉีด Botox ที่ไหนดี คือ คลินิกใช้ตัวยาแท้ ผ่าน อย. และมีคุณภาพ สามารถตรวจสอบได้ค่ะ เพราะโบท็อกแท้จะให้ผลลัพธ์ชัดเจน เห็นผลไว อยู่ได้นาน และปลอดภัยกับร่างกายค่ะ
 
วิธีตรวจสอบโบท็อกแท้ มีดังนี้
 


- โบท็อกแท้ต้องมีเลขทะเบียน อย. ชัดเจนระบุอยู่บนกล่องและฉลาก สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของแท้นำเข้าจากบริษัทที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง
- ควรเลือกคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการจากกระทรวงสาธารณสุข และมีแพทย์ประจำอยู่จริง เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้
- โบท็อกที่มีคุณภาพต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 2–8°C ตลอดเวลา หากจัดเก็บผิดวิธี โบท็อกอาจเสื่อมสภาพและไม่มีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์
- ลักษณะของขวดโบท็อกแท้จะเป็นขวดใส ไม่มีน้ำด้านใน ตัวยาต้องแห้งสนิทเป็นผลึกขาว ๆ ก้นขวด ต้องใช้สารละลายผสมภายหลัง ซึ่งโดยปกติ 1 ขวดจะมี 100 ยูนิต
- คลินิกที่ได้มาตรฐานจะเปิดขวดโบท็อกต่อหน้าคนไข้ทุกครั้งก่อนฉีด เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นของใหม่ ไม่ผ่านการใช้ซ้ำ และผสมตัวยาในปริมาณที่ถูกต้องค่ะ
 
หากคลินิกฉีดโบท็อกไหนไม่แสดงความโปร่งใส เกี่ยวกับตัวยาโบท็อก แนะนำให้หลีกเลี่ยงค่ะ เพราะเสี่ยงใช้ของปลอมที่อาจก่ออันตรายได้ในระยะยาว
 
4. คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ราคาเหมาะสม โปร่งใส
 
คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ต้องมีการกำหนดราคาที่ชัดเจน โปร่งใส และเหมาะสมกับคุณภาพการบริการค่ะ ระวังคลินิกที่ให้ราคาถูกผิดปกติ เพราะอาจมีการใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานหรือมีการเจือจางโบท็อกได้ โดยปกติแล้วโบท็อกเราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 6,900 บาท/100 Unit ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและจำนวนยูนิตที่ใช้
 
แนะนำให้เปรียบเทียบราคาหลายที่ และสอบถามว่ายี่ห้ออะไร ใช้กี่ยูนิต มีติดตามผลหรือไม่ เพื่อประเมินว่า คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ที่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ตั้งไว้ค่ะ
 
5. คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี รีวิวแน่น จากผู้ใช้จริง
 
การตัดสินใจเลือก คลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ไม่ควรดูแค่คำโฆษณาหรือราคาเพียงอย่างเดียวค่ะ แต่ควรดูจาก รีวิวของผู้ใช้จริง ซึ่งเป็นข้อมูลที่สะท้อนประสบการณ์ตรงว่าแต่ละคลินิกมีคุณภาพ และให้บริการเป็นอย่างไรบ้าง ? 
 
รีวิวที่น่าเชื่อถือควรมีภาพก่อน–หลังชัดเจน, ระบุชื่อแพทย์, มีข้อมูลขั้นตอนการทำ, รวมถึงการดูแลหลังฉีดค่ะ หากคลินิกไหนมีรีวิวที่เป็นปัจจุบัน สม่ำเสมอ และมาจากแหล่งที่ตรวจสอบได้ เช่น Google, Facebook, หรือเว็บไซต์ความงามต่าง ๆ ก็จะช่วยให้มั่นใจได้มากขึ้นว่า โบท็อกซ์ ที่ไหนดี และคลินิกนั้นมีความน่าไว้วางใจจริงค่ะ
 
สรุปคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ? เลือกให้เป๊ะ คุ้มค่า เห็นผลจริง
 
การคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดีขึ้นอยู่กับความต้องการ งบประมาณ และความสะดวกของแต่ละคน
แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเป็นคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย ใช้ของแท้ มีแพทย์มากประสบการณ์ดูแลค่ะ
 
สำหรับใครที่กำลังหาคลินิกฉีดโบท็อก ที่ไหนดี ? สักแห่ง ลองเริ่มต้นด้วยการหาข้อมูล เช็กรีวิว เข้าปรึกษาแพทย์ และดูบรรยากาศคลินิกก่อนตัดสินใจค่ะ 

3
เผยผิวขาวกระจ่างใสอย่างมั่นใจ กับเคล็ดลับดูแลผิวที่ปลอดภัย และได้ผลจริง

ผิวขาวใสสุขภาพดี ใครก็มีได้

ผิวขาวกระจ่างใสเป็นหนึ่งในความปรารถนาของหลาย ๆ คนในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชาย การมีผิวที่ดูสุขภาพดี สดใส และเปล่งประกายย่อมเสริมสร้างความมั่นใจและบุคลิกภาพที่ดี ในบทความนี้ จะพาไปรู้จักกับวิธีการดูแลผิวให้ขาวกระจ่างใสอย่างถูกวิธี พร้อมแนะนำหัตถการที่ช่วยให้มีผิวขาวอย่างปลอดภัยและยั่งยืนค่ะ

ผิวขาว คืออะไร ? ทำไมใคร ๆ ก็อยากมี ?

ผิวขาว คือ ผิวที่ดูเรียบเนียน กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ และสุขภาพดีจากภายใน ผิวขาวที่แท้จริงจึงควรเป็นผิวที่ดูอิ่มฟู มีความชุ่มชื้น และมีความแข็งแรง ไม่บางหรือไวต่อแดด ซึ่งต่างจากผิวที่ถูกกัดด้วยสารเคมีรุนแรงเพื่อให้ดูขาวแบบเร่งด่วนค่ะ

เหตุผลที่หลายคนอยากมี ผิวขาว ส่วนหนึ่งมาจากภาพลักษณ์ในสังคมที่เชื่อมโยงความขาวกับความสะอาด สุภาพ ดูดี และน่าดึงดูดใจ ไม่ว่าจะในเรื่องบุคลิกภาพหรือความมั่นใจในชีวิตประจำวัน การมีผิวขาวจึงไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังสะท้อนถึงการดูแลตัวเองอย่างใส่ใจและสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับตัวเองด้วยค่ะ

สาเหตุที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส

ก่อนจะเริ่มดูแลผิวให้ผิวขาวกระจ่างใส การรู้จักและหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ผิวคล้ำเสียถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ

- แสงแดด : รังสี UV เป็นศัตรูสำคัญของการมีผิวขาวค่ะ กระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวคล้ำเสียและเกิดจุดด่างดำ

- มลภาวะ : ฝุ่นละอองและมลพิษต่าง ๆ ที่สะสมบนผิว ทำให้ผิวอักเสบ หมองคล้ำ และทำให้ผิวเสื่อมสภาพลง
- ความเครียด : ส่งผลให้ฮอร์โมนไม่สมดุล ทำให้ผิวแห้ง หมองคล้ำ ไม่สดใส และเกิดริ้วรอยได้ง่าย

- การพักผ่อนไม่เพียงพอ : การนอนน้อยหรือนอนไม่เป็นเวลา ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูเซลล์ผิวได้เต็มที่ ผิวจึงดูหมองคล้ำ ห่างไกลจากผิวขาวที่ต้องการ

- การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ : ทำให้เซลล์ผิวเสื่อมเร็ว ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ ขาดความกระจ่างใส

เคล็ดลับดูแลให้ผิวขาวกระจ่างใส แบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

การมีผิวขาวกระจ่างใสสามารถทำได้ด้วยตัวเองค่ะ เพียงแค่ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันจะช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัย หากดูแลอย่างสม่ำเสมอ ผิวจะค่อย ๆ ฟื้นฟูและขาวใสขึ้นค่ะ

- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ


แสงแดดเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่ว่าจะเป็น UVA ที่ทะลุถึงชั้นผิวลึก หรือ UVB ที่ทำให้ผิวไหม้ การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และ PA+++ ทุกวัน แม้อยู่บ้าน จะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสอยู่กับเราได้นานยิ่งขึ้น และยังช่วยลดโอกาสเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำในอนาคตด้วยค่ะ


- หมั่นทาครีมบำรุงผิวที่ช่วยลดความหมองคล้ำ

เลือกครีมบำรุงผิวที่มีคุณสมบัติช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น โดยเฉพาะสูตรที่มีส่วนผสมอย่าง Vitamin C, Niacinamide หรือ Alpha Arbutin ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนจุดด่างดำ และฟื้นฟูผิวให้ขาวขึ้นอย่างปลอดภัยและเป็นธรรมชาติค่ะ


- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวัน

น้ำเป็นปัจจัยสำคัญของผิวที่ดี เพราะช่วยให้เซลล์ผิวทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ผิวที่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอจะดูชุ่มชื้น อิ่มฟู และเปล่งปลั่ง ส่งผลให้ผิวขาวแลดูสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 7–8 แก้ว โดยจิบเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวันค่ะ

- ขัดผิวหรือสครับผิวเป็นประจำ

การขัดผิวเป็นอีกหนึ่งวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำให้หลุดออกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เผยผิวใหม่ที่ดูเนียนใส และช่วยให้ผิวขาวได้อย่างเห็นผลเร็วขึ้น แนะนำให้เลือกสครับที่มีความอ่อนโยน ไม่บาดผิว เช่น สครับจากมะขามเปียก,กากกาแฟ หรือนมสด และควรขัดผิวเพียง 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อไม่ให้ผิวบางหรือระคายเคืองค่ะ

- กินผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ

การรับประทานผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลส้ม เบอร์รี่ ปลาแซลมอน ไข่ไก่ หรือธัญพืชต่าง ๆ เป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามิน A, C, E รวมถึงแร่ธาตุที่ช่วยสร้างคอลลาเจน ปกป้องเซลล์ผิวจากความหมองคล้ำ ผิวจึงค่อย ๆ ขาวกระจ่างใสขึ้นจากภายในได้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ


- นอนหลับให้เพียงพอวันละ 7–8 ชั่วโมง

ช่วงเวลาที่เรานอนหลับคือช่วงเวลาทองของการฟื้นฟูทั้งร่างกายและผิวพรรณ ควรนอนหลับให้ได้วันละ 7–8 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยค่ะ หากนอนน้อยหรือนอนดึกเป็นประจำ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมามากขึ้น ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ หน้าโทรม มีรอยคล้ำใต้ตา และเกิดริ้วรอยได้ง่ายค่ะ



วิธีทำให้ผิวขาวกระจ่างใสแบบเร่งด่วนด้วยหัตถการ

หากต้องการฟื้นฟูให้ผิวขาวกระจ่างใสแบบเร่งด่วน หัตถการจากแพทย์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เห็นผลไวและปลอดภัยค่ะ โดยหัตถการที่ช่วยให้ผิวขาวใสได้อย่างตรงจุด ได้แก่

- ฉีดวิตามินผิว
การฉีดวิตามินผิวคือการเติมสารอาหารสำคัญเข้าสู่ร่างกายโดยตรง เช่น วิตามิน C หรือกรดแอสคอร์บิก เพื่อยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ เมื่อฉีดอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผิวขาวใสขึ้น ฟื้นฟูผิวที่อ่อนล้า พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงค่ะ

- ฉีดเมโสหน้าใส (Mesotherapy)
เมโสหน้าใสเป็นการฉีดสารบำรุงเข้าชั้นผิวโดยตรง เพื่อฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำให้กลับมาสดใสอีกครั้ง มีหลากหลายสูตร เช่น สูตรลดฝ้า ลดสิว หรือสูตรผิวขาวโดยเฉพาะ เช่น Alpha Arbutin, Filorga และ Tensonez ช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการผลัดเซลล์ และคืนความกระจ่างใสให้ผิวขาวแบบปลอดภัยค่ะ

- ฉีด Skin Booster
การเติมสารบำรุงลึกถึงชั้นผิว เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้น และฟื้นฟูผิวให้ดูสุขภาพดีจากภายใน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวขาวใสแบบมีออร่า ผิวเนียนละเอียด และลดริ้วรอยก่อนวัย ตัวอย่างเช่น Rejuran, Gouri, Radiesse และ Skinvive ซึ่งช่วยเสริมผิวให้แข็งแรงและเปล่งประกายมากขึ้นค่ะ

- ฉีด Juvelook (ไหมน้ำ)
การผสานสารสำคัญ PDLLA และ Hyaluronic Acid เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอย และปรับสีผิวให้สว่างใส ดูเรียบเนียน ผิวขาวแบบอิ่มน้ำและเปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวคล้ำสะสม หรือผิวโทรมที่พักผ่อนไม่เพียงพอค่ะ


สรุปเคล็ดลับดูแลผิวให้ผิวขาว ปลอดภัย เห็นผลจริง

การมีผิวขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติไม่ใช่เรื่องยาก สามารถเริ่มได้จากวิธีง่าย ๆ เช่น การปกป้องผิวจากแสงแดด บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และการกินอาหารที่มีประโยชน์ พร้อมเสริมด้วยหัตถการที่เหมาะกับสภาพผิว จะช่วยให้เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และปลอดภัย การดูแลควบคู่กันไปทั้งวิธีที่ทำได้ด้วยตัวเองและวิธีทางการแพทย์จะช่วยให้ผิวขาวได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวค่ะ

4
วิธีป้องกันแดดสำคัญอย่างไร ? มีวิธีอะไรบ้าง ? ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV อย่างได้ผล
 

 


 
วิธีป้องกันแดดมีอะไรบ้าง
 
วิธีป้องกันแดดเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีแสงแดดจัดเกือบตลอดทั้งปี การปกป้องผิวจากรังสี UV ไม่เพียงช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ แต่ยังเป็นการป้องกันปัญหาผิวหนังร้ายแรงอย่างมะเร็งผิวหนังอีกด้วย 
 
บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีป้องกันแดดอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสม ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อลดการสัมผัสแสงแดดโดยตรงค่ะ
 
คลิกอ่านหัวข้อ วิธีป้องกันแดด
 
  • ทำไมการป้องกันแดดจึงสำคัญ ?
  • รังสี UV และผลกระทบต่อผิวหนัง
  • วิธีป้องกันแดดด้วยผลิตภัณฑ์กันแดด
    • การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสม
    • วิธีใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้อง

  • วิธีป้องกันแดดด้วยเสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริม
    • เสื้อผ้าป้องกันแดด
    • อุปกรณ์เสริมป้องกันแดด

  • วิธีป้องกันแดดในชีวิตประจำวัน
  • สรุปวิธีป้องกันแดดอย่างมีประสิทธิภาพ

 


 
ทำไมการป้องกันแดดจึงสำคัญ ?
 
การป้องกันแดดเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีแสงแดดจัดตลอดทั้งปี แสงแดดไม่เพียงแต่ทำให้ผิวคล้ำเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพผิวอีกด้วย การเลือกวิธีป้องกันแดดที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ ได้แก่
 
  • ริ้วรอยแห่งวัยและจุดด่างดำที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควร
  • ผิวหย่อนคล้อยเนื่องจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน
  • ความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังที่เพิ่มสูงขึ้น
  • อาการแพ้แสงหรือผื่นแดดที่ทำให้ผิวระคายเคือง

 
ด้วยวิธีป้องกันแดดที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ คุณจะสามารถรักษาผิวพรรณให้แข็งแรง เปล่งปลั่ง และดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนานค่ะ
 


 
รังสี UV และผลกระทบต่อผิวหนัง
 
ก่อนที่จะเรียนรู้วิธีป้องกันแดดที่มีประสิทธิภาพ เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับรังสี UV ที่เป็นตัวการสำคัญในการทำร้ายผิวของเราก่อนค่ะ
 
รังสี UV มี 3 ชนิดหลัก
 
  • รังสี UVA - เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นยาวที่สุด สามารถทะลุผ่านกระจกและเมฆได้ แม้ในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุม รังสี UVA ก็ยังสามารถส่งผลกระทบต่อผิวได้ ทำให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และความหย่อนคล้อยของผิว
  • รังสี UVB - มีความยาวคลื่นสั้นกว่า UVA เป็นสาเหตุหลักของการไหม้แดดและผิวคล้ำเข้ม รังสี UVB ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดมะเร็งผิวหนังชนิดต่าง ๆ วิธีป้องกันแดดที่มีประสิทธิภาพต้องสามารถป้องกันรังสีนี้ได้ดี
  • รังสี UVC - มีความยาวคลื่นสั้นที่สุดและอันตรายที่สุด แต่โดยปกติจะถูกชั้นโอโซนในบรรยากาศดูดซับไว้ ทำให้ไม่ถึงพื้นผิวโลก

 
ความเข้าใจเกี่ยวกับรังสี UV ทั้งสามชนิดนี้จะช่วยให้คุณเลือกวิธีป้องกันแดดได้อย่างเหมาะสม ครีมกันแดดที่ดีควรปกป้องทั้งรังสี UVA และ UVB เพื่อการป้องกันที่ครบถ้วนค่ะ
 


 
วิธีป้องกันแดดด้วยผลิตภัณฑ์กันแดด
 
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นวิธีป้องกันแดดที่ได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่ง แต่หลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้อง มาดูกันว่าวิธีป้องกันแดดด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดที่ถูกต้องเป็นอย่างไร
 

 


 
การเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสม
 
  • ค่า SPF (Sun Protection Factor) : ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 ขึ้นไป SPF บ่งบอกถึงระดับการป้องกันรังสี UVB ซึ่งเป็นสาเหตุของการไหม้แดด ยิ่งค่า SPF สูง ก็ยิ่งป้องกันได้ดี
  • Broad Spectrum : ควรเลือกครีมกันแดดที่ระบุว่าป้องกันแบบ Broad Spectrum หรือป้องกันทั้ง UVA และ UVB เพื่อป้องกันผิวได้อย่างครอบคลุม
  • สูตรที่เหมาะกับสภาพผิว : หากคุณมีผิวมัน ควรเลือกครีมกันแดดสูตร Oil-free หรือ Non-comedogenic เพื่อไม่ให้อุดตันรูขุมขน สำหรับผิวแห้ง ควรเลือกสูตรที่มีความชุ่มชื้น
  • ครีมกันแดดที่กันน้ำ : ถ้าคุณต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีเหงื่อออกมาก หรือว่ายน้ำ ควรเลือกครีมกันแดดสูตรกันน้ำ แต่ก็ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

 


 
วิธีใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้อง
 
วิธีป้องกันแดดด้วยครีมกันแดดจะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้อย่างถูกต้อง นี่คือขั้นตอนที่แนะนำ
 
  • ปริมาณที่เพียงพอ : ควรใช้ครีมกันแดดในปริมาณที่มากพอ โดยทั่วไปแล้ว สำหรับใบหน้าและลำคอควรใช้ประมาณ 2 ข้อนิ้ว และสำหรับร่างกายควรใช้ประมาณ 4-8 ข้อนิ้ว ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ใช้
  • ทาก่อนออกแดด : ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 15-30 นาที เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ซึมซาบเข้าสู่ผิวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทาซ้ำสม่ำเสมอ : ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หรือหลังเหงื่อออกมาก ว่ายน้ำ หรือเช็ดตัว วิธีป้องกันแดดที่ดีต้องมีความสม่ำเสมอในการทาซ้ำ
  • ทาให้ทั่วทุกส่วน : อย่าลืมทาบริเวณที่มักถูกมองข้าม เช่น ใบหู หลังคอ หลังมือ และเท้า ซึ่งเป็นจุดที่มักพบมะเร็งผิวหนังบ่อย

 


 
วิธีป้องกันแดดด้วยเสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริม
 
นอกจากครีมกันแดดแล้ว การป้องกันแดดด้วยเสื้อผ้าและอุปกรณ์เสริมก็เป็นวิธีป้องกันแดดที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้กัน และในบางกรณีอาจจะสะดวกและป้องกันได้ดีกว่าด้วยซ้ำค่ะ
 


 
เสื้อผ้าป้องกันแดด
 
  • เสื้อผ้าที่มีค่า UPF : ปัจจุบันมีเสื้อผ้าที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันรังสี UV โดยเฉพาะ โดยมีการระบุค่า UPF (Ultraviolet Protection Factor) ซึ่งยิ่งค่าสูงยิ่งป้องกันได้ดี ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีค่า UPF 30 ขึ้นไป
  • สีเข้มป้องกันได้ดีกว่า : เสื้อผ้าสีเข้มจะสามารถดูดซับรังสี UV ได้ดีกว่าเสื้อผ้าสีอ่อน แต่ก็อาจทำให้รู้สึกร้อนมากขึ้น
  • เนื้อผ้าหนาและทอแน่น : เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าหนาและทอแน่นจะป้องกันรังสี UV ได้ดีกว่าเสื้อผ้าบางเบา วิธีป้องกันแดดที่ง่ายคือเลือกเสื้อผ้าที่เมื่อส่องดูแล้วไม่เห็นแสงลอดผ่าน
  • เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว : การปกปิดผิวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เป็นวิธีป้องกันแดดที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แดดจัด

 


 
อุปกรณ์เสริมป้องกันแดด
 

 
  • หมวกปีกกว้าง : ควรเลือกหมวกที่มีปีกกว้างอย่างน้อย 3 นิ้ว เพื่อปกป้องใบหน้า ใบหู และหลังคอ หมวกปีกกว้างสามารถลดปริมาณรังสี UV ที่มาถึงใบหน้าได้ถึง 50%
  • แว่นกันแดด : แว่นกันแดดคุณภาพดีควรสามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ 99-100% เพื่อป้องกันดวงตาและผิวรอบดวงตาซึ่งเป็นบริเวณที่บอบบางมาก
  • ร่มกันแดด : ร่มที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันรังสี UV โดยเฉพาะจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากกว่าร่มทั่วไป โดยสามารถป้องกันได้ถึง 99% ของรังสี UV
  • ผ้าคลุม หรือผ้าพันคอ : การใช้ผ้าคลุมหรือผ้าพันคอเป็นวิธีป้องกันแดดที่สะดวกและปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน

 


 
วิธีป้องกันแดดในชีวิตประจำวัน
 
วิธีป้องกันแดดไม่ได้จำกัดอยู่แค่การใช้ครีมกันแดดหรือสวมใส่เสื้อผ้าป้องกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันด้วยค่ะ
 
หลีกเลี่ยงแดดในช่วงเวลาที่รังสีแรง
 
  • หลีกเลี่ยงช่วงเวลา 10.00-16.00 น. เพราะแสงแดดมีความเข้มข้นสูงที่สุด หากเป็นไปได้ ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเช้าหรือเย็น
  • สังเกตเงาของตัวเอง หากเงาของคุณสั้นกว่าตัวคุณ แสดงว่าแสงแดดกำลังแรงมาก วิธีป้องกันแดดที่ดีคือหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งในช่วงเวลานั้น

 
หาร่มเงาเมื่ออยู่กลางแจ้ง
 
  • พยายามอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ อาคาร หรือโครงสร้างอื่น ๆ เมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง
  • เมื่อไปชายหาดหรือสวนสาธารณะ ควรนำร่มหรือเต็นท์กันแดดไปด้วย เพื่อสร้างร่มเงาสำหรับตัวเอง
  • แสงแดดสามารถสะท้อนจากพื้นผิวต่าง ๆ เช่น ทราย น้ำ หรือคอนกรีต ดังนั้นแม้จะอยู่ในร่ม ก็ยังควรใช้วิธีป้องกันแดดอื่น ๆ ร่วมด้วย

 

 
รับประทานอาหารที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด
 
  • ผักและผลไม้ที่มีสีสันสดใส เช่น ส้ม มะเขือเทศ แครอท บลูเบอร์รี่ และผักใบเขียวเข้ม มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV
  • ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดการอักเสบของผิวจากการถูกแดดเผา
  • การดื่มน้ำให้เพียงพอช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและฟื้นตัวได้ดี จากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด

 


 
สรุปวิธีป้องกันแดดอย่างมีประสิทธิภาพ
 
วิธีป้องกันแดดที่มีประสิทธิภาพต้องผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน ทั้งการใช้ครีมกันแดด การสวมใส่เสื้อผ้าและอุปกรณ์ป้องกัน และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
 
และอย่าลืมว่าการป้องกันแดดไม่ได้จำเป็นเฉพาะในวันที่ท้องฟ้าโปร่งหรือในฤดูร้อนเท่านั้น แม้ในวันที่มีเมฆครึ้ม รังสี UVA ก็ยังสามารถทะลุผ่านเมฆมาถึงผิวของคุณได้ ดังนั้น การป้องกันแดดควรเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของคุณตลอดทั้งปีค่ะ
 


 

5
Coolsculpting ปรับรูปร่างได้อย่างมั่นใจ กับนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น
 

 


 
Coolsculpting
 
Coolsculpting กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในแวดวงความงาม ด้วยประสิทธิภาพในการช่วยลดไขมันส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิผล โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่จำเป็นต้องพักฟื้นนาน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการปรับสัดส่วนให้ดูกระชับ เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ 
 
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกระบวนการทำงานของ Coolsculpting การเตรียมตัวเบื้องต้น ขั้นตอนระหว่างการรักษา รวมถึงสาเหตุสำคัญที่การเลือกคลินิกมาตรฐานคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามค่ะ
 
คลิกอ่านหัวข้อ Coolsculpting
 
  • ทำความรู้จักกับ Coolsculpting
  • กระบวนการทำงานและเทคโนโลยีของ Coolsculpting
  • Coolsculpting ช่วยลดไขมันในส่วนใดได้บ้าง ?
  • การเตรียมตัวและขั้นตอนการทำ Coolsculpting
  • เหตุผลที่ควรเลือก Coolsculpting ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
  • สรุป Coolsculpting นวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น

 


 
ทำความรู้จักกับ Coolsculpting
 
Coolsculpting คือเทคโนโลยีการกำจัดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) ที่ผ่านการรับรองในระดับสากล แนวคิดหลักคือการใช้ความเย็นในอุณหภูมิต่ำ เพื่อทำลายเซลล์ไขมันในบริเวณที่ต้องการลดสัดส่วน โดยไม่ส่งผลเสียต่อผิวหนังหรือเนื้อเยื่อโดยรอบ 
 
ความพิเศษของ Coolsculpting อยู่ที่กระบวนการกำจัดเซลล์ไขมันโดยตรง ส่งผลให้เซลล์เหล่านั้นสลายและถูกขับออกตามกลไกของร่างกาย จึงทำให้บริเวณที่รับการรักษามีไขมันลดลงอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
 
ระหว่างที่ทำ Coolsculpting ผู้เข้ารับบริการอาจรู้สึกเย็นและชา แต่ไม่ถึงขั้นเจ็บปวดอย่างรุนแรง จึงเป็นทางเลือกในการลดไขมันที่ปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับวิธีผ่าตัด หรือการดูดไขมันแบบดั้งเดิม ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วยค่ะ
 


 
กระบวนการทำงานและเทคโนโลยีของ Coolsculpting
 
หลักการของ Coolsculpting คือ “Cryolipolysis” ซึ่งใช้ความเย็นระดับต่ำมาก กระตุ้นให้เซลล์ไขมัน (Fat Cells) แข็งตัวจนตาย ก่อนที่ร่างกายจะกำจัดออกผ่านระบบขับของเสียตามปกติ
 

 
เทคโนโลยี Coolsculpting ได้รับการพัฒนาจากงานวิจัยทางการแพทย์ที่ค้นพบว่า เซลล์ไขมันสามารถถูก “แช่แข็ง” โดยไม่กระทบถึงชั้นผิวหนังหรือเนื้อเยื่อส่วนอื่น กระบวนการนี้จึงมีความปลอดภัยสูง ผู้ที่เข้ารับบริการมักใช้เวลาประมาณ 35 นาที ไปจนถึงราว 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน และไม่ต้องหยุดพักฟื้นเหมือนการผ่าตัด หลังการทำ Coolsculpting ส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำกิจวัตรได้ตามปกติทันทีค่ะ
 


 
Coolsculpting ช่วยลดไขมันในส่วนใดได้บ้าง ?
 
จุดเด่นของ Coolsculpting คือการปรับใช้ได้กับหลายส่วนของร่างกาย โดยแพทย์จะเลือกหัว Applicator ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
 
  • หน้าท้อง
  • เอว (ห่วงยาง)
  • ต้นขา
  • ต้นแขน
  • สะโพก

 
การกำจัดไขมันด้วย Coolsculpting สามารถทำซ้ำในบางกรณี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยทั่วไป ผู้เข้ารับบริการจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-4 สัปดาห์แรก และจะชัดเจนขึ้นอีกในช่วง 3 เดือนหลังทำค่ะ
 


 
การเตรียมตัวและขั้นตอนการทำ Coolsculpting
 
แม้ Coolsculpting เป็นกระบวนการไม่ยุ่งยาก แต่การเตรียมตัวล่วงหน้าจะทำให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจยิ่งขึ้น
 

 
  • ตรวจสอบสุขภาพเบื้องต้น : แจ้งแพทย์ถึงประวัติโรค ยา หรืออาหารเสริมที่ทาน เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัย
  • กำหนดตำแหน่งที่ต้องการลดไขมัน : ระบุบริเวณที่มีปัญหาชัดเจน เช่น หน้าท้อง เอว หรือบริเวณต้นขา เพื่อเลือกหัว Applicator และจำนวนรอบที่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงทรีตเมนต์ผิวหนังในช่วงใกล้เคียง : ควรเว้นอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น
  • ขั้นตอนการทำ :
    • แพทย์ทำความสะอาดและวางแผ่นเจลป้องกันบริเวณที่เลือก
    • ใช้หัว Applicator ปล่อยความเย็นเข้าจับตัวเซลล์ไขมัน
    • เมื่อครบกำหนดเวลา แพทย์จะนวดเบา ๆ กระตุ้นให้เซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็งสลายได้ดีขึ้น

  • หลังทำ Coolsculpting : อาจมีรอยแดง คัน หรือระบมเพียงเล็กน้อย แต่อาการจะทุเลาลงเองภายในไม่กี่วัน และสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เลยค่ะ

 


 
เหตุผลที่ควรเลือก Coolsculpting ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
 
หากคุณสนใจทำ Coolsculpting ควรพิจารณาคลินิกที่มีมาตรฐาน พร้อมเครื่องมือแท้ที่ได้รับการรับรอง เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัย ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีประสบการณ์ จะช่วยลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง และติดตามอาการหลังทำได้อย่างใกล้ชิด ปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมได้ทันท่วงทีตามแต่ละบุคคล
 
นอกจากนี้ คลินิกที่ได้มาตรฐานมักมีบริการเสริมด้านอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการฟื้นตัว หรือดูแลสุขภาพผิวภายหลังการกำจัดไขมัน รวมถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโภชนาการและการออกกำลังกาย เพื่อคงประสิทธิภาพของ Coolsculpting ให้คุณมีรูปร่างที่สมส่วนได้นานที่สุด การดูแลจากภายในควบคู่กับการรักษาภายนอกจึงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลรูปร่างอย่างต่อเนื่องค่ะ
 


 
สรุป Coolsculpting นวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็น
 
Coolsculpting เป็นเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็นที่ปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่อยากลดไขมันเฉพาะจุดโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นหน้าท้อง เอว ต้นขา ต้นแขน หรือสะโพก หากตัดสินใจเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกายและโภชนาการที่เหมาะสม จะยิ่งช่วยให้ผลลัพธ์ของ Coolsculpting ชัดเจนและคงอยู่ได้นานค่ะ
 


 

6


เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ? เป็นคำถามยอดฮิตของคนที่อยากกำจัดขนขาให้เรียบเนียนอย่างมั่นใจ เพราะการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ส่งผลต่อผลลัพธ์และความปลอดภัยในระยะยาว บทความนี้จะช่วยวิเคราะห์ทุกปัจจัยที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจ พร้อมคำแนะนำจากประสบการณ์จริง เพื่อให้คุณเลือกได้อย่างมั่นใจค่ะ
 

 
เลเซอร์ขนขา ทำไมถึงเป็นที่นิยม ?
 
เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี คือคำถามยอดฮิตที่หลายคนกำลังค้นหาคำตอบในปัจจุบัน เพราะการกำจัดขนด้วยเลเซอร์ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการความสะดวกสบายและประหยัดเวลาในระยะยาว การเลือกคลินิกที่ไว้วางใจได้ ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
 
การเลือกคลินิกเสริมความงามที่ให้บริการเลเซอร์ขนขาที่มีเทคโนโลยีทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้ผู้ใช้บริการมั่นใจได้ในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษา
 
แล้วทำไมผู้คนถึงนิยมเลเซอร์ขนขา ? มาดูกันค่ะ 
 

  • ประหยัดเวลาในระยะยาว : ไม่ต้องเสียเวลาโกนหรือแว็กซ์ขนบ่อย ๆ อีกต่อไป
  • ลดปัญหาขนคุด : เลเซอร์ขนขา ช่วยลดปัญหาขนคุดที่มักเกิดจากการโกนหรือถอนขน
  • ผิวเนียนนุ่มยาวนาน : ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าวิธีการกำจัดขนแบบชั่วคราว
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว : แม้การเลเซอร์ขนขา อาจมีค่าใช้จ่ายสูงในตอนแรก แต่ประหยัดกว่าการซื้อผลิตภัณฑ์กำจัดขนซ้ำ ๆ

เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี : แนะนำคลินิกที่ได้มาตรฐาน
 

การเลือกคลินิกสำหรับเลเซอร์ขนขา นั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษาแล้ว ยังส่งผลต่อความปลอดภัยของผิวอีกด้วย แล้วเลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ที่ควรพิจารณา ? มาดูปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจค่ะ
 
มาตรฐานและความน่าเชื่อถือ
 
คลินิกที่ให้บริการเลเซอร์ขนขา ควรได้รับการรับรองมาตรฐานจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในการให้บริการมาอย่างยาวนาน เป็นคลินิกที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้บริการมากมาย ด้วยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย
 
เทคโนโลยีที่ใช้
 
คลินิกที่ดีควรมีเทคโนโลยีเลเซอร์หลากหลายประเภท เพื่อให้เหมาะกับสภาพผิวและเส้นขนที่แตกต่างกัน เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ต้องมีตัวเลือกที่เหมาะกับผิวของคุณ
 
ราคาและโปรโมชัน
 
ราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกคลินิก แต่ไม่ควรเลือกเพียงเพราะราคาถูกเท่านั้น ควรพิจารณาความคุ้มค่าโดยรวม รวมถึงโปรโมชันที่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้
 
การบริการและการดูแลลูกค้า
 
คลินิกที่ดีควรมีบริการที่ประทับใจ มีการให้คำปรึกษาก่อนการรักษา และมีการติดตามผลหลังการรักษา
 
รีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการ
 
การอ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ที่เคยใช้บริการเลเซอร์ขนขา จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
 
รู้จักเทคโนโลยี ก่อนเลือกเลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ?
 
การเลือกประเภทของเลเซอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวและเส้นขน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การเลเซอร์ขนขา มีประสิทธิภาพสูงสุด มาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีเลเซอร์ประเภทต่าง ๆ กันค่ะ
 
1. Diode Laser : เลเซอร์ประเภทนี้เหมาะกับผิวขาวถึงปานกลาง ไม่เหมาะกับผิวเข้ม ได้รับความนิยมในคนที่ต้องการเลเซอร์ขนขาราคาย่อมเยา สามารถทำลายรากขนได้ แต่หากยิงเบาเกินไปอาจทำให้เส้นขนหนาขึ้นได้
 
2. Alexandrite Laser : เหมาะกับผู้ที่มีสีผิวจากขาวจนถึงสีผิวปานกลาง ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม
 
3. Nd YAG Laser : เป็นเลเซอร์ที่เหมาะสำหรับทุกสีผิว ได้รับความนิยมในการทำเลเซอร์ขนขา เนื่องจากกำจัดขนได้ลกถึงรากขน มีความปลอดภัยสูง ให้ผลลัพธ์ที่ดี อยู่ได้นาน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังการรักษา
 
4. IPL (Intense Pulsed Light) : แม้จะไม่ใช่เลเซอร์โดยตรง แต่ IPL ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการกำจัดไรขนอ่อน ๆ บาง ๆ แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่มีผิวสีเข้ม
 
หากกำลังมองหาว่า เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ควรพิจารณาคลินิกที่มีเทคโนโลยีหลากหลายประเภท เพื่อให้แพทย์สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณโดยเฉพาะ 
 
คลินิกที่ดีควรมีเทคโนโลยีที่หลากหลายและทันสมัย พร้อมด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะของขน, สีผิว, และความทนทานต่อความรู้สึกในระหว่างการทำ ที่ดีสุดสำหรับคุณค่ะ
 
เลเซอร์ขนขาราคาเท่าไหร่ ? เปรียบเทียบความคุ้มค่า
 
หลายคนสงสัยว่า เลเซอร์ขนขา มีราคาเท่าไหร่ ? และคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ ? ราคาของการเลเซอร์ขนขา นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น 
 
- จำนวนครั้งที่ต้องทำ : โดยทั่วไป การเลเซอร์ขนขา จำเป็นต้องทำหลายครั้ง (ประมาณ 6-8 ครั้ง) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- เทคโนโลยีที่ใช้ : เทคโนโลยีที่ทันสมัยอาจมีราคาสูงกว่า แต่อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและใช้เวลาน้อยกว่า
- คลินิกที่ให้บริการ : คลินิกที่มีชื่อเสียงและได้มาตรฐานอาจมีราคาสูงกว่า แต่ให้ความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
 
เมื่อกำลังมองหาว่า เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ควรพิจารณาทั้งราคาและคุณภาพของการบริการ คลินิกที่ดีควรมีราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพการบริการและเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมโปรโมชันที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่สนใจเลเซอร์ขนขาค่ะ
 
การเตรียมตัวก่อนและหลังทำเลเซอร์ขนขา
 
การเตรียมตัวที่ดีทั้งก่อนและหลังการทำเลเซอร์ขนขา จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่า เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ที่เหมาะกับคุณ ควรเตรียมตัวดังนี้ค่ะ
 
การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์ขนขา
 

- ไม่ถอนหรือแว็กซ์ขน : ควรหยุดถอนหรือแว็กซ์ขนอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์ขนขา เพื่อให้รากขนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการรักษา
- หลีกเลี่ยงการอาบแดด : ควรหลีกเลี่ยงการอาบแดดหรือใช้เครื่องอบผิวอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหลังการทำเลเซอร์ขนขา
- โกนขนในบริเวณที่จะทำเลเซอร์ : ควรโกนขนในบริเวณที่จะทำเลเซอร์ขนขา 1-2 วันก่อนการรักษา เพื่อให้เลเซอร์สามารถเข้าถึงรากขนได้ดียิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด : ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอ กรดบีเอชเอ หรือเรตินอล อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์ขนขา
 
การดูแลหลังทำเลเซอร์ขนขา
 
- หลีกเลี่ยงการอาบแดด : ควรหลีกเลี่ยงการอาบแดดหรือใช้เครื่องอบผิวอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังการรักษา
- ประคบเย็น : หากมีอาการปวดหรือแดงหลังการทำเลเซอร์ขนขา สามารถประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้
- ทาครีมกันแดด : ควรทาครีมกันแดดทุกวัน โดยเฉพาะในบริเวณที่ทำเลเซอร์ขนขา เพื่อป้องกันการเกิดรอยดำ
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิด : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดเอเอชเอ กรดบีเอชเอ หรือเรตินอล อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังการทำเลเซอร์ขนขา
- ไม่แกะเกา : หากมีขนร่วงหลังการทำเลเซอร์ขนขา ไม่ควรแกะหรือเกา เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการติดเชื้อได้
 
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์ขนขา
 
เมื่อพูดถึงเลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี มักมีคำถามและข้อสงสัย มาดูคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์ขนขา กันค่ะ
 
เลเซอร์ขนขากี่ครั้งถึงจะเห็นผล ?
 
โดยทั่วไป การเลเซอร์ขนขา จำเป็นต้องทำประมาณ 6-8 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม คุณอาจเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นหลังจากการรักษาครั้งแรกหรือครั้งที่สอง
 
เลเซอร์ขนขาเจ็บไหม ?
 
ความรู้สึกระหว่างการทำเลเซอร์ขนขา อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจรู้สึกเพียงแค่อุ่น ๆ หรือเหมือนถูกยางรัดดีดเบา ๆ ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปแล้ว ความรู้สึกเจ็บมักจะทนได้และไม่รุนแรง
 
เลเซอร์ขนขาแล้วขนจะกลับมาอีกไหม ?
 
การเลเซอร์ขนขา ช่วยลดการเจริญเติบโตของเส้นขนอย่างถาวร แต่ไม่ได้กำจัดเส้นขนทั้งหมดอย่างถาวร อาจมีเส้นขนบางส่วนกลับมาใหม่ แต่มักจะบางลงและมีสีอ่อนลง ซึ่งสามารถทำการรักษาเพิ่มเติมเพื่อรักษาผลลัพธ์ได้
 
สรุป เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ? เลือกให้เหมาะกับคุณ
 
เลเซอร์ขนขา ที่ไหนดี ? คำถามนี้ไม่มีคำตอบเดียวที่ใช้ได้กับทุกคน แต่หากคุณให้ความสำคัญกับมาตรฐาน เครื่องมือที่ใช้ ความปลอดภัย และประสบการณ์ของแพทย์ การเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้คือทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ การลงทุนเพื่อความมั่นใจในระยะยาวย่อมคุ้มค่ากว่าการเสี่ยงทำในที่ที่ไม่มีมาตรฐานนะคะ

7

รักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี
 
การ รักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะผิวหลังที่เรียบเนียนทำให้มั่นใจขึ้นมากค่ะ โดยเฉพาะเวลาต้องใส่เสื้อโชว์หลังหรือชุดว่ายน้ำ บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีเลือกคลินิกที่เหมาะสม พร้อมคำแนะนำดี ๆ ที่ช่วยให้ปัญหาสิวหลังหายขาดได้ค่ะ
 
เป็นสิวที่หลัง เกิดจากอะไร ?
 
หากคุณกำลังมองหาคลินิกรักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี ? สิ่งแรกที่ควรรู้ก่อนเลือกสถานที่หรือแนวทางการรักษา คือ การเข้าใจสาเหตุของสิวที่หลังค่ะ เพราะต้นเหตุของสิวจะช่วยกำหนดแนวทางการรักษาได้อย่างตรงจุด
 
สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง มีดังนี้ค่ะ
 
- การสะสมของความมันและเหงื่อบริเวณแผ่นหลัง
- การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- การใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ไม่ดี หรือแนบชิดผิวมากเกินไป
- การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือสบู่ที่มีสารก่อการอุดตัน (comedogenic)
- ฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น ในช่วงวัยรุ่น หรือก่อนมีประจำเดือน
- ความเครียดสะสมและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หวานจัด หรือของทอด
 
สิวที่หลังมีลักษณะแบบไหนบ้าง ?
 

สิวที่หลังมีหลายลักษณะค่ะ เช่น
 
- สิวอุดตัน (Comedones) : เป็นสิวหัวขาวหรือหัวดำ เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน
- สิวอักเสบ (Inflammatory acne) : มีลักษณะบวมแดง เจ็บ อาจมีหนองร่วมด้วย
- สิวหัวช้าง (Nodules/Cysts) : เป็นสิวอักเสบรุนแรง ก้อนแข็งอยู่ใต้ผิวหนัง และเจ็บมากค่ะ
- สิวผด (Acne mechanica) : มักเกิดจากการเสียดสีของเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เป้สะพายหลัง
 
การรู้ลักษณะสิวที่ตนเองเป็นจะช่วยให้เลือกวิธีรักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี ได้อย่างเหมาะสมค่ะ
 
เลือกคลินิกรักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี ? ให้ปลอดภัยและเห็นผล
 
หลายคนมักไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี การจะเลือกคลินิกรักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี ควรพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ เรามาดูสิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนเลือกคลินิกกันค่ะ
 
- คลินิกมีใบอนุญาตประกอบการที่ถูกต้องตามกฎหมาย
- คลินิกที่มีบรรยากาศสะอาด ปลอดเชื้อ
- มีเครื่องมือที่ทันสมัยได้มาตรฐาน ถูกสุขอนามัย
- แพทย์มีประสบการณ์รักษาสิวที่หลังโดยเฉพาะ เพราะวิธีดูแลแตกต่างจากสิวบนใบหน้า
- อ่านรีวิวจากผู้ที่เคยใช้บริการจริง เพื่อให้มั่นใจว่าผลลัพธ์ดี ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง
 
วิธีการรักษาสิวที่หลัง ที่คลินิกความงามใช้ มีอะไรบ้าง ?
 
การรักษาสิวที่หลังที่คลินิกความงามใช้นั้นมีหลายวิธี โดยแต่ละวิธีจะเหมาะกับระดับความรุนแรงของสิวและลักษณะปัญหาผิวที่แตกต่างกันไปค่ะ ลองมาดูว่าหัตถการยอดนิยมมีอะไรบ้าง
 

- การทำเลเซอร์ : ใช้แสงเลเซอร์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิว ลดการอักเสบ กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และลดรอยดำรอยแดงจากสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
- การฉีดสิว : เหมาะกับสิวอักเสบที่บวมแดงมาก โดยแพทย์จะฉีดยาเข้าไปในสิวเพื่อให้ยุบตัวเร็วขึ้น ลดอาการเจ็บและป้องกันการทิ้งรอยแผลเป็น
- ทรีตเมนต์ทำความสะอาดผิว : ช่วยขจัดสิ่งสกปรก ความมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมเปิดรูขุมขนให้สะอาด ลดโอกาสการอุดตันที่ทำให้เกิดสิวใหม่ค่ะ
- การใช้ยาทาสิวหรือยารับประทาน : แพทย์อาจสั่งยาตามความรุนแรงของสิว เช่น ยาทาที่มีตัวยาเรตินอยด์ หรือยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการอักเสบและป้องกันสิวในระยะยาวค่ะ
- การทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว : ใช้กรดอ่อน ๆ เช่น AHA หรือ BHA ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดการอุดตัน กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ และช่วยให้รอยสิวจางลงอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
 
ขั้นตอนการรักษาสิวที่หลังกับคลินิกความงาม
 
ขั้นตอนการรักษาสิวที่หลังอาจแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของสิวและแนวทางที่แพทย์แนะนำค่ะ โดยทั่วไปแล้ว จะมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
 
- แพทย์จะทำการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด ทั้งประวัติการเป็นสิว ระยะเวลาที่เกิดสิว ความรุนแรง และปัจจัยอื่น ๆ เช่น ยาที่ใช้ โรคประจำตัว หรือพฤติกรรมการดูแลผิว
- หลังจากซักประวัติ แพทย์จะตรวจสภาพผิวบริเวณหลังอย่างละเอียด เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของสิว และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน
- ก่อนเริ่มทำการรักษา แพทย์จะทำความสะอาดผิวบริเวณหลังให้สะอาดหมดจด ขจัดคราบมัน สิ่งสกปรก และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
- เข้าสู่กระบวนการรักษาตามวิธีที่แพทย์เลือก เช่น ทำเลเซอร์ ฉีดสิว หรือทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว
- เมื่อการรักษาเสร็จสิ้น บางคลินิกอาจมีขั้นตอนเสริม เช่น การทำ Treatment บำรุงเพื่อฟื้นฟูผิว
- สุดท้ายแพทย์จะสั่งยาทาและยารับประทานเพิ่มเติม เพื่อช่วยลดการเกิดสิวในระยะยาวและควบคุมปัญหาสิวอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
 
ข้อควรรู้ก่อนและหลังทำ รักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี
 
ก่อนตัดสินใจรักษา ควรสอบถามแพทย์ถึงรายละเอียดของการรักษาอย่างครบถ้วนค่ะ มาดูข้อควรรู้ที่ต้องทราบทั้งก่อนและหลังทำกันเลยค่ะ
 

ข้อควรรู้ก่อนทำการรักษาสิวที่หลัง
 
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของสิวและเลือกวิธีที่เหมาะสม
- สอบถามระยะเวลาที่จะเห็นผลชัดเจนในแต่ละวิธี
- เช็กราคาและจำนวนครั้งที่แนะนำให้ทำเพื่อวางแผนค่าใช้จ่าย
- ศึกษาผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากแต่ละหัตถการ
- หลีกเลี่ยงการทำหัตถการต่อเนื่องหลายอย่างโดยไม่ปรึกษาแพทย์
 
ข้อควรรู้หลังทำการรักษาสิวที่หลัง
 
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนหลังทำ
- งดการขัดถูผิวหลังอย่างรุนแรง
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือสารระคายเคือง
- ทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดบริเวณหลังอย่างสม่ำเสมอ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและลดโอกาสที่สิวจะกลับมาเป็นอีก
 
สรุปรักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี เลือกให้ถูกที่ ช่วยให้ผิวใสได้จริง
 
การเลือกคลินิกรักษาสิวที่หลัง ที่ไหนดี ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะการรักษาที่ถูกวิธีและปลอดภัยจะช่วยให้ปัญหาสิวหลังหมดไป ผิวหลังเรียบเนียน มั่นใจในการแต่งตัวมากขึ้นค่ะ อย่าลืมเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ทีมแพทย์มีประสบการณ์ และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยค่ะ
 
ที่สำคัญต้องหมั่นดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างครบถ้วน เพื่อให้ผลลัพธ์ของการรักษาสิวที่หลังอยู่กับเราได้นานที่สุดค่ะ

8

 
Ulthera Prime
 
ปัจจุบันการยกกระชับผิวหน้าไม่จำเป็นต้องพึ่งการผ่าตัดอีกต่อไป เพราะเครื่อง Ulthera Prime สามารถทำได้ค่ะ โดยเครื่องนี้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึงอย่างเห็นผลชัดเจน โดยไม่ต้องพักฟื้น และได้รับความนิยมมากในคลินิกเสริมความงามชั้นนำ 
 
หากใครกำลังสนใจปรับรูปหน้าและลดความหย่อนคล้อย มาทำความรู้จักกับ Ulthera Prime ให้มากขึ้นไปพร้อมกันค่ะ
 


 
Ulthera Prime คืออะไร ?
 

เครื่องยกกระชับผิว Ulthera Prime

Ulthera Prime คือ เทคโนโลยียกกระชับผิวหน้ารุ่นใหม่ล่าสุด ที่พัฒนามาจากเครื่อง Ulthera SPT โดยยังคงใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (High Intensity Focused Ultrasound) ในการปล่อยพลังงานลงสู่ชั้นผิว SMAS ที่เป็นชั้นเดียวกับการผ่าตัดศัลยกรรมยกกระชับ ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ยกผิวที่หย่อนคล้อยให้ดูกระชับ และเต่งตึงขึ้น
 


 
จุดเด่นของเครื่อง Ulthera Prime
 
Ulthera Prime ถือเป็นเครื่องยกกระชับผิวที่พัฒนาขึ้นมาให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น ช่วยให้แพทย์สามารถออกแบบการรักษาได้ตรงจุด เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้นค่ะ
 
จุดเด่นเฉพาะของ Ulthera Prime ได้แก่
 
  • ระบบประมวลผลรวดเร็วขึ้น 20% ทำให้การรักษาใช้เวลาสั้นลง และราบรื่นยิ่งขึ้น
  • ดีไซน์ตัวเครื่องทันสมัย พร้อมรูปทรงที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วยให้แพทย์ใช้งานได้สะดวก คล่องตัว
  • หน้าจออัลตราซาวด์ Full HD ขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 35% มองเห็นชั้นผิวได้ละเอียดชัดเจน ทำให้ยิงพลังงานได้แม่นยำ ตรงจุดปัญหาที่ต้องการแก้ไขค่ะ

 


 
Ulthera Prime ช่วยแก้ปัญหาเรื่องอะไรได้บ้าง ?
 
Ulthera Prime เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าและแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย โดยสามารถช่วยเรื่องต่าง ๆ ได้ดังนี้ค่ะ
 
  • ยกกระชับผิวบริเวณกรอบหน้า แก้มที่หย่อนคล้อย
  • ช่วยยกกระชับผิวบริเวณลำคอ ลดเหนียงใต้คาง 
  • ยกกระชับหน้าผาก ยกคิ้วให้ดูสดใสขึ้น
  • ช่วยกระชับผิวรอบดวงตา ยกกระชับถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อย ลดริ้วรอยรอบดวงตา 
  • ช่วยลดริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยรอบมุมปาก ให้ดูตื้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

 


 
หลังทำ Ulthera Prime ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?
 

 
เพื่อให้ผลลัพธ์หลังการทำ Ulthera Prime คงอยู่ได้นานและเห็นผลเต็มที่ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้ค่ะ
 
  • งดการนวดหน้า สัมผัสใบหน้าแรง ๆ หลังทำ Ulthera Prime ในช่วง 1 สัปดาห์แรก
  • งดการทำเลเซอร์ร้อนทุกชนิดลงผิวชั้นลึก ในช่วง 1 เดือนแรก
  • หลีกเลี่ยงความร้อนสูง เช่น การตากแดดจัด ซาวน่า อบไอน้ำ หรืออาบน้ำอุ่นจัด 1-2 สัปดาห์
  • ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ เลือกใช้ครีมมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อคงความชุ่มชื้นของผิวหลังทำ Ulthera Prime 
  • ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ ขึ้นไป ทุกวัน
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียด

 


 
หลังทำ Ulthera Prime เห็นผลเมื่อไร ?
 
หลังจากทำ Ulthera Prime สามารถสังเกตเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นได้ทันที ผิวจะยกกระชับขึ้นประมาณ 30% และหลังจากนั้นร่างกายจะเริ่มกระบวนการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์ยิ่งชัดเจนขึ้นในช่วงประมาณ 2-3 เดือนหลังทำค่ะ ผิวหน้าจะดูเต่งตึง ยกกระชับ และเรียบเนียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักฟื้นค่ะ
 


 
สรุป Ulthera Prime ตัวช่วยยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด
 
การทำ Ulthera Prime เป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวหน้าอย่างปลอดภัย ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น ด้วยเทคโนโลยีที่แม่นยำและเห็นผลจริง ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และมีกรอบหน้าชัดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ ใครที่กำลังมองหาวิธียกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยแบบไม่ต้องเจ็บตัว Ulthera Prime คือคำตอบที่ไม่ควรพลาดค่ะ

9
ผิวไหม้แดดอาการเป็นอย่างไร ? สัญญาณที่ควรรู้ และวิธีดูแลให้ฟื้นตัวเร็ว
 

ผิวไหม้แดดอาการ
 
ผิวไหม้แดดอาการ เป็นปัญหาผิวที่หลายคนต้องเผชิญเมื่อต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ความร้อนและรังสียูวีจากแสงแดดสามารถทำร้ายผิวจนเกิดอาการแสบร้อน แดง ลอก หรือในบางกรณีอาจมีอาการรุนแรงกว่านั้นได้ วันนี้เรามาทำความเข้าใจอาการของผิวไหม้แดด พร้อมแนะนำวิธีฟื้นฟูผิวให้กลับมาสุขภาพดีได้เร็วขึ้นค่ะ
 
คลิกอ่านหัวข้อ ผิวไหม้แดดอาการ
 
- ผิวไหม้แดดอาการ เป็นอย่างไร ?
- ระดับความรุนแรงของผิวไหม้แดด
ㅤㅤ- ระดับ 1 ผิวแดงและแสบร้อน
ㅤㅤ- ระดับ 2 ผิวลอกและพุพอง
ㅤㅤ- ระดับ 3 ผิวไหม้แดดรุนแรงจนเกิดอักเสบ
- สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดผิวไหม้แดด
- วิธีดูแลผิวไหม้แดดให้ฟื้นตัวเร็ว
- วิธีป้องกันไม่ให้เกิดผิวไหม้แดด
- สรุป ผิวไหม้แดดอาการแบบไหนที่ต้องระวัง ?
 
ผิวไหม้แดดอาการ เป็นอย่างไร ?
 
ผิวไหม้แดดอาการ จะแสดงออกมาต่างกันไปขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการสัมผัสแสงแดด บางคนอาจมีแค่ผิวแดงเล็กน้อย แต่บางคนอาจเกิดแผลพุพองหรืออักเสบได้ อาการหลักที่พบได้บ่อย ได้แก่
 
- ผิวแดง รู้สึกแสบร้อน
- ผิวแห้ง ตึง
- อาการคัน ลอกเป็นขุย
- มีตุ่มน้ำใส หรือแผลพุพองในบางกรณี
- รู้สึกอ่อนเพลีย หรือมีไข้ต่ำในกรณีที่รุนแรง
 
ระดับความรุนแรงของผิวไหม้แดด
 
อาการผิวไหม้แดด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ซึ่งมีความรุนแรงต่างกันขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สัมผัสแดดและความเข้มของรังสียูวี การทำความเข้าใจระดับความรุนแรงจะช่วยให้สามารถดูแลผิวได้ถูกต้องและฟื้นฟูได้เร็วขึ้นค่ะ
 

ระดับ 1 : ผิวแดงและแสบร้อน
 
เป็นอาการเบื้องต้นที่มักเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังออกแดด ผิวจะมีสีแดง อุ่น และแสบร้อนเมื่อสัมผัส อาการนี้มักหายได้เองภายใน 3-5 วันโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการดูแลที่ดี ผิวอาจแห้งและลอกเป็นขุยได้
 
ระดับ 2 : ผิวลอกและพุพอง
 
ในระดับนี้ ผิวจะมีอาการแสบร้อนมากขึ้นและเริ่มลอกออกเป็นขุย หรือเกิดตุ่มน้ำพอง ซึ่งเป็นกลไกป้องกันตัวเองของผิวหนัง อาการนี้อาจใช้เวลาฟื้นตัว 1-2 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการแกะหรือถูผิวแรง ๆ เพราะอาจทำให้เกิดแผลและรอยดำได้
 
ระดับ 3 : ผิวไหม้แดดรุนแรงจนเกิดอักเสบ
 
เป็นระดับที่อันตรายที่สุด ผิวอาจไหม้เป็นปื้นแดงเข้ม รู้สึกปวดแสบปวดร้อน มีอาการบวม และบางกรณีอาจมีอาการไข้ร่วมด้วย ผิวหนังอาจเสียหายถึงชั้นลึกและใช้เวลาฟื้นตัวนาน หากมีตุ่มพองขนาดใหญ่หรืออาการปวดรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที
 
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดผิวไหม้แดด
 

- การสัมผัสแสงแดดโดยตรงเป็นเวลานาน
 
เมื่อต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกัน ผิวจะได้รับรังสียูวีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเซลล์ผิว ส่งผลให้เกิดอาการไหม้แดดได้
 
- การอยู่กลางแดดในช่วงที่รังสียูวีสูง (10.00-16.00 น.)
 
ในช่วงเวลานี้ รังสียูวีจากดวงอาทิตย์จะแรงที่สุด ทำให้ผิวไหม้แดดได้เร็วขึ้น แม้จะอยู่กลางแดดเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
 
- ไม่ใช้ครีมกันแดด หรือใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำ
 
หากไม่ทาครีมกันแดด หรือเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำเกินไป ผิวจะไม่ได้รับการปกป้องอย่างเพียงพอ ทำให้รังสียูวีสามารถทะลุเข้าสู่ชั้นผิวและทำให้เกิดอาการไหม้แดดได้ง่าย
 
- การอยู่ในสถานที่ที่สะท้อนแสงแดด เช่น ชายหาด หิมะ หรือกระจกอาคาร
 
บริเวณที่มีการสะท้อนแสง เช่น ทะเล ทราย หิมะ หรือพื้นที่ที่มีพื้นผิวมันเงา สามารถเพิ่มความเข้มข้นของรังสียูวีที่กระทบผิว ทำให้โอกาสเกิดผิวไหม้แดดเพิ่มขึ้นแม้ไม่ได้อยู่ใต้แดดโดยตรง
 
วิธีดูแลผิวไหม้แดดให้ฟื้นตัวเร็ว
 
หากเกิดผิวไหม้แดดอาการในข้างต้น ควรรีบดูแลผิวอย่างถูกวิธีเพื่อให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น และลดโอกาสเกิดรอยดำหรือรอยแผลเป็น โดยวิธีดูแลผิวไหม้แดด มีดังนี้
 
- หลีกเลี่ยงการแคะ แกะ เกา เพื่อลดการระคายเคืองและป้องกันการติดเชื้อ
- งดสัมผัสหรือถูผิวบ่อย ๆ ปล่อยให้ผิวฟื้นตัวตามธรรมชาติ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะเมื่อผิวแดงหรือแสบร้อน
- ปกป้องผิวเมื่อออกแดดด้วยหมวก เสื้อแขนยาว และทาครีมกันแดด
- ทาเจลว่านหางจระเข้ ช่วยลดอักเสบและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายและเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
- งดอาบน้ำอุ่น เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้น
- สังเกตอาการผิดปกติ หากมีไข้ ผิวพุพอง หรือปวดรุนแรง ควรพบแพทย์
 
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดผิวไหม้แดด
 
การป้องกันผิวไหม้แดดเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเมื่อผิวเสียหายแล้วอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว หากป้องกันตั้งแต่ต้น ก็สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาผิวแสบร้อนและความเสียหายจากแดดได้ มาเรียนรู้วิธีดูแลผิวให้แข็งแรงกันค่ะ
 

- ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30+ และ PA+++ ทาก่อนออกแดด 15-30 นาที และทาซ้ำทุก 4 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงแดดจัดช่วง 10.00-16.00 น. เพราะเป็นช่วงที่รังสียูวีแรงที่สุด
- สวมใส่เสื้อผ้าป้องกันแดด เช่น หมวกปีกกว้าง เสื้อแขนยาว และแว่นกันแดด
- ใช้ร่มหรือหาที่ร่มเมื่ออยู่กลางแจ้ง ลดการสัมผัสรังสียูวีโดยตรง
- เพิ่มการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเสริมเกราะป้องกันผิว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดความเสี่ยงต่อการไหม้แดด
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA BHA ก่อนออกแดด เพราะอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
 
สรุป ผิวไหม้แดดอาการแบบไหนที่ต้องระวัง ?
 
ผิวไหม้แดดอาการมีหลายระดับ ตั้งแต่ผิวแดงเล็กน้อยจนถึงอาการรุนแรงที่ต้องพบแพทย์ หากเริ่มมีอาการแสบแดง ควรรีบดูแลทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามไปเป็นระดับที่รุนแรงกว่า ซึ่งการใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดผิว และหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผิวไหม้แดดในอนาคตได้ค่ะ
 

10
ฉีดโบท็อก ราคา เท่าไหร่ ? ราคาถูก-แพงต่างกันอย่างไร ? พร้อมเปรียบเทียบราคาแต่ละยี่ห้อ
 

 


 
ฉีดโบท็อก ราคา
 
ฉีดโบท็อก ราคาเท่าไหร่ ? เป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยก่อนตัดสินใจทำ เพราะนอกจากต้องเลือกยี่ห้อที่เหมาะสมแล้ว ราคาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับราคาการฉีดโบท็อก ในแต่ละคลินิกและยี่ห้อ พร้อมแนะนำวิธีเลือกคลินิกที่ปลอดภัย คุ้มค่าที่สุดค่ะ
 
คลิกอ่านหัวข้อ ฉีดโบท็อก ราคา
 
  • ทำไมราคาฉีดโบท็อกแต่ละคลินิกต่างกัน ?
  • ฉีดโบท็อก แต่ละยี่ห้อ ราคาเท่าไหร่ ?
    • ราคาโบท็อกอเมริกา ยี่ห้อ Allergan
    • ราคาโบท็อกอังกฤษ ยี่ห้อ Dysport
    • ราคาโบท็อกเยอรมัน ยี่ห้อ Xeomin
    • ราคาโบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Nabota
    • ราคาโบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Aestox
    • ราคาโบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Neuronox

  • ฉีดโบท็อก ราคาถูก VS ราคาแพง แบบไหนดีกว่า ?
  • ควรยึดราคาฉีดโบท็อกเป็นหลัก เมื่อเลือกคลินิกไหม ?
  • สรุปเรื่องราคาฉีดโบท็อก ขึ้นอยู่กับอะไร ? เลือกอย่างไรให้คุ้มค่าและปลอดภัย

 


 
ทำไมราคาฉีดโบท็อกแต่ละคลินิกต่างกัน ?
 

 
ฉีดโบท็อก ราคาในแต่ละคลินิกอาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพและผลลัพธ์ของการรักษา โดยปัจจัยหลักที่มีผลต่อฉีดโบท็อก ราคาแต่ละคลินิก ได้แก่
 
ยี่ห้อของโบท็อก – โบท็อกจากแต่ละประเทศมีต้นทุนต่างกัน เช่น โบท็อกอเมริกา (Allergan) มักมีราคาสูงกว่า โบท็อกเกาหลี (Nabota, Aestox, Neuronox) เนื่องจากกระบวนการผลิตและมาตรฐานแตกต่างกัน
 
ปริมาณที่ใช้ (ยูนิตที่ฉีด) – การ ฉีดโบท็อก ราคา จะขึ้นอยู่กับจำนวนยูนิตที่ใช้ โดยแพทย์จะประเมินจากปัญหาของผู้รับบริการ เช่น บริเวณหน้าผากหรือรอบดวงตาใช้จำนวนน้อยกว่าโบท็อกลดกรามปรับรูปหน้า
 
ประสบการณ์ของแพทย์ – คลินิกที่มีแพทย์ประสบการณ์สูงด้านการฉีดโบท็อก มักจะมี ฉีดโบท็อก ราคาสูงขึ้น เนื่องจากแพทย์สามารถฉีดได้อย่างแม่นยำ ปลอดภัย และให้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติมากขึ้น
 
สถานที่ตั้งของคลินิก – คลินิกที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพสูง เช่น ในเมืองหรือย่านธุรกิจ มักมี ฉีดโบท็อก ราคาสูงกว่าคลินิกที่อยู่ในพื้นที่ชานเมืองหรือจังหวัดอื่น ๆ
 
ดังนั้น ก่อนเลือกฉีดโบท็อก ควรพิจารณาไม่เพียงแค่เรื่องราคา แต่รวมถึง คุณภาพของโบท็อก ความน่าเชื่อถือของคลินิก และประสบการณ์ของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด 
 


 
ฉีดโบท็อก แต่ละยี่ห้อ ราคาเท่าไหร่ ?
 
ฉีดโบท็อก ราคาแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันตามแหล่งผลิต คุณสมบัติ และมาตรฐานการผลิต แต่โดยทั่วไป โบท็อกอเมริกาและยุโรป มักมีราคาสูงกว่า โบท็อกเกาหลี ในหัวข้อนี้จะช่วยเปรียบเทียบ ฉีดโบท็อก ราคา แต่ละยี่ห้อ เพื่อช่วยให้คุณเลือกได้ตรงตามงบประมาณและความต้องการค่ะ 
 


 
ราคาโบท็อกอเมริกา ยี่ห้อ Allergan
 

 
Allergan เป็นโบท็อกอเมริกา บริสุทธิ์สูง 99.5 % โอกาสดื้อโบท็อกน้อยลง ตัวยากระจายตัวแคบ เหมาะกับฉีดกล้ามเนื้อมัดเล็ก ให้ผลการรักษาที่แม่นยำ และอยู่ได้นานกว่า ตึงกว่าโบท็อกเกาหลี 20%
 
ฉีดโบท็อก ราคาเฉลี่ย ยี่ห้อ Allergan
 
  • 50U = 5,000-10,000 บาท
  • 100U = 15,999-17,999 บาท

 


 
ราคาโบท็อกอังกฤษ ยี่ห้อ Dysport
 

 
Dysport เป็นโบท็อกอังกฤษ ตัวยากระจายตัวกว้าง ออกฤทธิ์เร็ว ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะกับการฉีดกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น น่อง ต้นแขน ลดเหงื่อ ฉีดลดริ้วรอย และฉีดลิฟท์หน้าเทคนิค Dermolift
 
 
ฉีดโบท็อก ราคาเฉลี่ย ยี่ห้อ Dysport
 
  • 50U = 3,450-6,950 บาท
  • 100U = 6,900-13,900 บาท

 


 
ราคาโบท็อกเยอรมัน ยี่ห้อ Xeomin
 

 
Xeomin เป็นโบท็อกเยอรมัน พัฒนาโดยการนำข้อดีของ Allergan กับ Dysport มารวมกัน ตัวยามีความบริสุทธิ์สูงและตัวยาไม่กระจุกตัวแคบเกินไปเหมาะกับเคสที่มีประวัติดื้อโบท็อก
 
 
ฉีดโบท็อก ราคาเฉลี่ย ยี่ห้อ Xeomin
 
  • 50U = 7,450 บาท
  • 100U = 14900 บาท

 


 
ราคาโบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Nabota
 

 
Nabota เป็นโบท็อกเกาหลี ออกฤทธิ์ไว เห็นผลเร็วที่สุด เป็นโบท็อกเกาหลียี่ห้อเดียวที่ผ่านการรับรองจากอเมริกา (U.S. FDA)
 
 
ฉีดโบท็อก ราคาเฉลี่ย ยี่ห้อ Nabota
 
  • 50U = 3,499-4,500 บาท
  • 100U = 6,999-9,000 บาท

 


 
ราคาโบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Aestox
 

 
Aestox เป็นโบท็อกเกาหลี มีการพัฒนาโครงสร้างโมเลกุลให้เหมือนโบท็อก Allergan แต่ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่า ข้อดีคือเห็นผลไว มีความอ่อนโยน ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หน้าไม่ตึง ไม่แข็ง
 
 
ฉีดโบท็อก ราคาเฉลี่ย ยี่ห้อ Aestox
 
  • 50U = 3,499-4,500 บาท
  • 100U = 6,999-7,500 บาท

 


 
ราคาโบท็อกเกาหลี ยี่ห้อ Neuronox
 

 
Neuronox เป็นโบท็อกเกาหลี มีการพัฒนาโครงสร้างโมเลกุลให้เหมือนโบท็อก Allergan แต่ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่า ข้อดีคือเห็นผลไว มีความอ่อนโยน ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ หน้าไม่ตึง ไม่แข็ง
 
 
ฉีดโบท็อก ราคาเฉลี่ย ยี่ห้อ Neuronox
 
  • 50U = 3,499-4,500 บาท
  • 100U = 6,999-7,500 บาท

 


 
ฉีดโบท็อก ราคาถูก VS ราคาแพง แบบไหนดีกว่า ?
 
เมื่อเลือกฉีดโบท็อก หลายคนอาจลังเลระหว่าง โบท็อกราคาถูก กับ โบท็อกราคาแพง ว่าแบบไหนคุ้มค่ากว่า ซึ่งความจริงแล้วความแตกต่างหลักอยู่ที่ คุณภาพของโบท็อก, ปริมาณที่ใช้, ประสบการณ์ของแพทย์ และมาตรฐานของคลินิก
 
โดยการฉีดโบท็อกราคาถูกมากจนเกินผิดปกติ อาจมีความเสี่ยงหากไม่ได้มาตรฐาน เช่น ใช้โบท็อกปลอม ผสมตัวยาเจือจาง หรือฉีดโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
 
ดังนั้น การเลือกฉีดโบท็อกไม่ควรดูแค่ราคาเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ความน่าเชื่อถือของคลินิก และประสบการณ์ของแพทย์
 


 
ควรยึดราคาฉีดโบท็อกเป็นหลัก เมื่อเลือกคลินิกไหม ?
 
แม้ว่าราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ แต่ไม่ควรเป็นปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว เพราะการฉีดโบท็อกที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หนังตาตก ปากเบี้ยว หน้าแข็ง หรือผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ
 
สิ่งที่ควรพิจารณานอกจากราคา
 
  • โบท็อกแท้ มีเลขทะเบียน อย. สามารถตรวจสอบได้
  • แพทย์มีประสบการณ์ วิเคราะห์ปัญหาและฉีดอย่างแม่นยำ
  • คลินิกได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตชัดเจน
  • รีวิวจากผู้ใช้จริง เพื่อดูผลลัพธ์และความน่าเชื่อถือ

 
การเลือกฉีดโบท็อก ราคาที่ได้มาตรฐาน ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและคุ้มค่ากว่าในระยะยาวค่ะ
 


 
สรุปเรื่องราคาฉีดโบท็อก ขึ้นอยู่กับอะไร ? เลือกอย่างไรให้คุ้มค่าและปลอดภัย
 
ฉีดโบท็อก ราคาแตกต่างกันไปตาม ยี่ห้อโบท็อก, ปริมาณที่ใช้, ประสบการณ์ของแพทย์ และมาตรฐานของคลินิก โบท็อกจากอเมริกาและยุโรปมักมีราคาสูงกว่าโบท็อกเกาหลี เนื่องจากคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่แตกต่างกัน 
 
นอกจากนี้ ปริมาณยูนิตที่ใช้ก็ส่งผลโดยตรงต่อราคา ยิ่งฉีดในบริเวณกว้างหรือแก้ปัญหาหลายจุด ราคาก็จะสูงขึ้น
 
การเลือกฉีดโบท็อกจึงไม่ควรพิจารณาแค่ราคา แต่ควรเลือก คลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้โบท็อกแท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ แม้ว่าคลินิกราคาถูกอาจดึงดูดใจ แต่หากใช้โบท็อกปลอม หรือฉีดโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงและไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปค่ะ

11


แสงสีฟ้า
 
แสงสีฟ้า ภัยเงียบที่แฝงอยู่รอบตัวเรา เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ออกแดดเลย! ไม่ว่าจะเป็นจากหน้าจอมือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่หลอดไฟ ก็สามารถทำร้ายผิวได้แบบไม่รู้ตัว
 
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับแสงสีฟ้า ว่ามันมาจากไหน ? ส่งผลต่อผิวอย่างไร ? และที่สำคัญเราจะป้องกันผิวจากแสงสีฟ้าได้อย่างไร ? ถ้าไม่อยากให้ผิวพัง รีบอ่านให้จบแล้วดูแลตัวเองก่อนสายเกินไปค่ะ!



 
แสงสีฟ้าจากไหนทำร้ายผิวมากที่สุด ?
 
แสงสีฟ้า หรือ Blue Light เป็นคลื่นแสงพลังงานสูงที่ตามองเห็น (HEV - High Energy Visible Light) มีความยาวคลื่นระหว่าง 400-500 นาโนเมตร เนื่องจากมีพลังงานสูง แสงสีฟ้าจึงสามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังและทำลายเซลล์ผิวได้ โดยเราสามารถพบแสงสีฟ้าได้จากหลายแหล่ง ดังนี้
 
  • แสงแดด : เป็นแหล่งแสงสีฟ้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ : เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรทัศน์
  • หลอดไฟ LED และฟลูออเรสเซนต์ : ไฟฟ้าที่ให้แสงสีขาวสว่างจ้า ใช้ในบ้านและออฟฟิศ

 

แสงสีฟ้าส่วนใหญ่มาจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ

แม้ว่าแสงสีฟ้าจากแสงแดดจะมีปริมาณมาก แต่เรามักได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ใกล้ชิดมากกว่า จากการที่เราจ้องหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ทำให้ผิวได้รับแสงสีฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลเสียต่อผิวพรรณได้
 


 
แสงสีฟ้า ส่งผลต่อผิวอย่างไร ?
 
ผิวหน้าหย่อนคล้อย หมองคล้ำ ดูโทรม
 
แสงสีฟ้ามีความเข้มข้นสูง จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวหย่อนคล้อยขาดความกระชับ และดูโทรมเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะคนที่เล่นมือถือหรือดูจอคอมพิวเตอร์ในที่มืด จะสังเกตว่าผิวเริ่มหมองคล้ำได้ง่ายขึ้นค่ะ
 
ผิวหน้ามันง่าย กระตุ้นให้เกิดสิว
 
งานวิจัยพบว่าแสงสีฟ้ามีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำมันของต่อมน้ำมันใต้ผิว ทำให้ผิวมันมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การอุดตันและเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้นค่ะ ใครที่เป็นสิวเยอะ ลองสังเกตดูว่าใช้มือถือหรือเล่นคอมเยอะไหมนะคะ
 
กระตุ้นการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
 
แสงสีฟ้ามีความสามารถในการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ โดยเฉพาะถ้ารับแสงสีฟ้าเป็นเวลานาน และไม่ป้องกันผิวให้ดี ฝ้าอาจเข้มขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวค่ะ
 


 
วิธีการป้องกันแสงสีฟ้าไม่ให้ทำร้ายผิว
 
อยากมีผิวสวย ไม่โทรมจากแสงสีฟ้า ต้องดูแลตัวเองให้ดีค่ะ ลองทำตามเคล็ดลับนี้เลย!
 

การทาครีมกันแดดช่วยป้องกันแสงสีฟ้า

  • ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป มีค่า PA ระดับสูง ช่วยปกป้องผิวทั้งจากแสงสีฟ้า และรังสี UV
  • ใช้สกินแคร์ที่มี Niacinamide วิตามิน A และวิตามิน C ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้าง Skin Barrier
  • งดเล่นมือถือก่อนนอน ช่วยลดการรับแสงสีฟ้าโดยตรง และลดปัญหาผิวโทรมจากการพักผ่อนไม่พอ
  • ปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ลดความสว่างของหน้าจอ และใช้โหมดถนอมสายตาเพื่อลดแสงสีฟ้า
  • พักสายตาตามหลัก 20-20-20 ทุก ๆ 20 นาที ให้พักสายตา 20 วินาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต
  • ติดตั้งฟิล์มกรองแสงสีฟ้าบนอุปกรณ์ เพื่อลดปริมาณแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมา

 


 
แสงสีฟ้า VS แสง UV รังสีไหนอันตรายกว่ากัน ?
 
แสงสีฟ้าเป็นภัยเงียบที่ทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว แม้จะมีพลังงานต่ำกว่าแสง UV แต่ก็สามารถกระตุ้นอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหมองคล้ำ เกิดฝ้า กระ และริ้วรอยก่อนวัยได้ ที่สำคัญยังทะลุเข้าชั้นผิวลึก ส่งผลต่อคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแก่เร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
 
ส่วนแสง UV โดยเฉพาะ UVA และ UVB จากแสงแดด มีพลังงานสูงกว่าและทำลายผิวได้โดยตรง ซึ่งรังสี UVA ทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย ส่วนรังสี UVB เป็นตัวการหลักของผิวไหม้และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง
 
ถ้าถามว่า แสงสีฟ้า กับ แสง UV อะไรอันตรายกว่ากัน ? คำตอบคือ แสง UV มีพลังงานสูงและทำลายผิวได้ลึกกว่า แต่แสงสีฟ้าก็เป็นอันตรายแบบสะสม ที่ค่อย ๆ ทำร้ายผิวโดยที่เราไม่ทันสังเกต ดังนั้นเราจึงต้องป้องกันผิวจากแสงทั้งสองอย่างควบคู่กันไปค่ะ
 


 
สรุปเรื่องแสงสีฟ้า ภัยเงียบทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว
 
แสงสีฟ้า เป็นตัวการทำร้ายผิวแบบเงียบ ๆ โดยที่เราไม่ทันสังเกตค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผิวหมองคล้ำ ฝ้า จุดด่างดำ หรือกระตุ้นการเกิดสิว ล้วนมีผลจากการได้รับแสงสีฟ้าสะสม ทางที่ดีควรป้องกันไว้ก่อน ด้วยการใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ PA เหมาะสม ใช้สกินแคร์บำรุงผิว รวมถึงลดการอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน ๆ จะช่วยให้ผิวใส สุขภาพดีขึ้นได้ค่ะ

12
เปิดคู่มือฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ต้องรู้อะไรบ้าง ? นิยมฉีดจุดใด ?
 

 
ฉีดฟิลเลอร์
 
การดูแลตัวเองให้มีความสวย มั่นใจถือเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันคือการ "ฉีดฟิลเลอร์" ซึ่งเป็นหัตถการที่มีความสะดวกและไม่ต้องการการผ่าตัดใหญ่ 
 
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก หลาย ๆ คนอาจจะมีความกังวล ไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้การฉีด Filler มีประสิทธิภาพมากที่สุด บทความนี้เราจะชวนคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการ ขั้นตอน และการดูแลตัวเองหลังการฉีด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด
 


 
ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร
 
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการใช้สารเติมเต็มที่มีความปลอดภัยสำหรับร่างกายคนเรา ซึ่งมักจะเป็นสาร hyaluronic acid, calcium hydroxyapatite หรือ poly-L-lactic acid มาฉีดเติมเต็มในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในบริเวณใบหน้า เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์มากขึ้น 
 
ฟิลเลอร์สามารถใช้เติมเต็มริ้วรอยต่าง ๆ หรือเสริมความคมชัดให้กับใบหน้า เช่น คาง ร่องแก้ม หรือขมับ การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นทางที่หลายคนนิยม เพราะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว โดยไม่ต้องการการผ่าตัด แต่ยังคงต้องการความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
 


 
การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเรื่องใดบ้าง
 
การฉีดฟิลเลอร์ไม่ได้เป็นหัตถการที่ใช้ปรับรูปหน้าหรือเติมเต็มริ้วรอยเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อื่น ๆ ที่หลายคนอาจไม่รู้มาก่อน ดังนี้
 
  • ลดริ้วรอยและรอยย่น : ฟิลเลอร์สามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก หรือรอยตีนกา ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  • เติมเต็มใบหน้าให้คมชัด : ฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยให้คางหรือขมับดูชัดเจนขึ้น เพิ่มความสมดุลให้กับใบหน้า
  • ฟื้นฟูความกระชับของผิว : การฉีดฟิลเลอร์สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังที่เริ่มมีการหย่อนคล้อยหรือสูญเสียคอลลาเจน
  • ช่วยเติมเต็มผิวที่ขาดน้ำ : ฟิลเลอร์บางชนิดทำจากสารที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว ทำให้ผิวดูชุ่มชื้นขึ้น

 

 


 
จุดใดบ้างที่นิยมฉีดฟิลเลอร์
 
การฉีดฟิลเลอร์ เป็นการใช้สารเพื่อเข้าไปเติมเต็มร่องลึก เพื่อปรับสภาพผิวให้มีความอิ่มฟู ช่วยให้ผิวหนังมีความเต่งตึง ซึ่ง Filler นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การฉีดบริเวณใบหน้า แต่ยังสามารถทำได้ในหลาย ๆ จุด และแต่ละจุดมีจุดประสงค์และผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ดังนี้
 
ใบหน้า
 
การเติมฟิลเลอร์ที่ใบหน้าเป็นการเติมเต็มและปรับรูปทรงให้ใบหน้าดูมีมิติและสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ผิวเริ่มหย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอย ฟิลเลอร์ช่วยให้ผิวกลับมาดูเต่งตึง เรียบเนียน และดูอ่อนเยาว์ขึ้น ช่วยเพิ่มความกระชับให้กับใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ
 
ใต้ตา
 
บริเวณใต้ตาเป็นจุดที่สามารถเห็นริ้วรอยหรือถุงใต้ตาได้ชัดเจน การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มและลดความหมองคล้ำใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูสดใสและตื่นตัวขึ้น ฟิลเลอร์จะช่วยแก้ปัญหาถุงใต้ตาและทำให้บริเวณนี้ดูเรียบเนียนและอ่อนเยาว์ขึ้น
 
ขมับ
 
สำหรับผู้ที่มีขมับตอบจนส่งผลให้ใบหน้าดูโทรม การฉีดฟิลเลอร์ขมับช่วยเติมเต็มบริเวณขมับ ทำให้ใบหน้าดูอิ่มฟูและมีมิติมากขึ้น โดยฟิลเลอร์จะช่วยแก้ไขปัญหาหน้าดูแบนหรือไม่มีมิติ โดยช่วยให้รูปหน้าดูสมดุลและชัดเจนขึ้นหลังการฉีด
 
ร่องคิ้ว
 
ร่องคิ้วมักเกิดจากริ้วรอยลึกที่เกิดจากอายุหรือการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณนี้ช่วยเติมเต็มร่องลึกและทำให้คิ้วดูยกขึ้น เสริมให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น ลดความลึกของร่องคิ้วและทำให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา
 
ร่องแก้ม
 
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยลดลึกของร่องแก้มที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนตามวัย ฟิลเลอร์จะทำให้ผิวบริเวณร่องแก้มดูเต็มและเรียบเนียนขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีความสมดุลมากขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เวลาพักฟื้นนาน
 
คาง
 
ปัญหาคางสั้น คางตัด หรือว่าคางบุ๋มเป็นปัญหาที่ส่งผลทำให้สัดส่วนใบหน้าไม่สมดุล การฉีดฟิลเลอร์บริเวณคางสามารถช่วยแก้ไขปัญหาคางที่ไม่สมดุลหรือคางสั้น ทำให้รูปหน้าดูมีมิติและสมส่วน ฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับคาง ส่งผลให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้นและเสริมความมั่นใจให้กับรูปลักษณ์โดยรวม
 

 


 
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์
 
  • ปรึกษาคุณหมอ : ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ คุณควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกรูปแบบฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับผิวคุณ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด : หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้เลือดออกง่าย เช่น แอสไพริน หรือวิตามินอี ก่อนการฉีดฟิลเลอร์
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ : การดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เลือดไหลง่ายขึ้น ดังนั้นควรงดดื่มก่อนการฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
  • ทำความสะอาดผิว : การทำความสะอาดใบหน้าก่อนการฉีดฟิลเลอร์ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ

 


 
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์
 
  • หลีกเลี่ยงความร้อน : ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรือการออกกำลังกายหนัก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์สลาย ไม่เห็นผลลัพธ์ได้เท่าที่ควร
  • งดสัมผัสหรือกดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ : การสัมผัสหรือกดในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้ ดังนั้นในช่วงแรก ๆ ของการฉีดฟิลเลอร์ควรงดการนวดหรือสัมผัสในช่วงแรก
  • หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหนัก : หลังจากฉีดเติมฟิลเลอร์ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหนักในบริเวณที่ฉีดในช่วงแรก
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด : การใช้ยาที่มีฤทธิ์ในการทำให้เลือดแข็งตัวได้อย่างระมัดระวัง เช่น แอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบในช่วงหลังการฉีดฟิลเลอร์

 


 
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์
 
  • บวม : อาจมีอาการบวมในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งมักจะหายไปภายในไม่กี่วัน
  • ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ : หากมีการสัมผัสหรือกดทับในจุดที่ฉีดฟิลเลอร์ อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่
  • รอยฟกช้ำ : อาจมีรอยฟกช้ำจากการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งมักจะหายไปภายในไม่กี่วัน

 


 
สรุปเรื่องการฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก
 
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการเสริมความงามที่สะดวกและรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดหรือเวลาพักฟื้นนาน ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หรือปรับรูปหน้าให้ดูมีมิติและสมดุลขึ้น แต่การฉีดฟิลเลอร์นั้นก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา เช่น การเกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยหรือฟิลเลอร์ไม่เข้าที่ตามที่คาดหวัง
 
สำหรับใครที่กำลังจะฉีดฟิลเลอร์ครั้งแรก ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งตรวจสอบใบอนุญาตและประสบการณ์ของแพทย์ในการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี นอกจากนี้ การปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับความต้องการและข้อจำกัดของตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจและไม่เสี่ยงต่อปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

13
ทากันแดดแล้วเป็นขุย เกิดจากอะไร ? มีวิธีป้องกันอย่างไร ?


ทากันแดดแล้วเป็นขุย

ทากันแดดแล้วเป็นขุย อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่หลายคนน่าจะเจอ ซึ่งนอกจากทำให้ผิวหน้าไม่กระจ่างใส มีขุยกวนใจบนใบหน้าแล้ว ยังทำให้ครีมกันแดดประสิทธิภาพลดลงอีกด้วย

ในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่า ทากันแดดแล้วเป็นขุย เกิดจากอะไร มีวิธีป้องกันอย่างไรบ้าง แล้วเมื่อทากันแดดแล้วเป็นขุย ควรแก้ปัญหาอย่างไร ตามไปดูในบทความนี้กันเลย



ทำไมทากันแดดแล้วเป็นขุย เกิดจากอะไร ?

ทากันแดดแล้วหน้าเป็นขุย เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลัก ๆ เกิดจากการที่ผิวแห้งหรือขาดน้ำ ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น ทำให้ครีมกันแดดที่ทาลงไปไม่ซึมเข้าผิว

นอกจากนี้ การใช้ครีมกันแดดที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว ก็ทำให้ทากันแดดแล้วหน้าเป็นขุยได้เช่นกัน เช่นสำหรับใครที่มีผิวแห้ง แล้วใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือการทาครีมกันแดดทับครีมบำรุงผิวโดยไม่รอให้ครีมบำรุงซึมเข้าผิวก่อน

สำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย แล้วเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว ก็อาจทำให้หน้าเป็นขุยได้เช่นกัน



ทากันแดดแล้วเป็นขุย ป้องกันรังสี UV ได้ไหม ?

การทาครีมกันแดดแล้วหน้าเป็นขุย สามารถป้องกันรังสี UV จากแดดได้บ้าง แต่ค่อนข้างน้อย เพราะการกระจายตัวของครีมกันแดดจะไม่สม่ำเสมอ และทำให้ครีมกันแดดไม่สามารถทะลุผ่านผิวได้เท่าที่ควร




วิธีแก้เมื่อทากันแดดแล้วเป็นขุย ต้องทำอย่างไร ?

เช็ดครีมกันแดดออกด้วยคลีนซิ่งอย่างอ่อนโยน

สำหรับใครที่ทากันแดดแล้วเป็นขุย สเต็ปแรกคือให้เช็ดครีมกันแดดออกด้วยคลีนซิ่ง ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว

หากใช้คลีนซิ่งแบบน้ำ ควรใช้สำลีชุบเช็ดเบา ๆ ส่วนคลีนซิ่งเนื้อครีมหรือออยล์ สามารถใช้มือนวดและเช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น

ทาโทนเนอร์เพื่อปรับสภาพผิว

หลังจากทำความสะอาดผิวแล้ว ให้ปรับสภาพผิวด้วยการเช็ดผิวด้วยโทนเนอร์ ที่ให้ความชุ่มชื้นผิวด้วยการเลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของสาร Hyaluronic Acid หรือ Glycerin

วิธีการใช้โทนเนอร์ที่แนะนำ คือ การทาให้แตะเบา ๆ ด้วยสำลีหรือใช้มือแปะประทับลงบนผิว ไม่ควรถูหรือลากสำลีแรง ๆ เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้

ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้น

การเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นขั้นตอนสำคัญในการแก้ปัญหาผิวขุย ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเนื้อบางเบา ซึมซับง่าย และมีส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟูผิว เช่น Ceramide, Peptide หรือ Panthenol

วิธีการทามอยส์เจอไรเซอร์เป็นจุด ๆ 5 จุดบนใบหน้า ได้แก่ หน้าผาก แก้มสองข้าง จมูก และคาง จากนั้นค่อย ๆ กระจายให้ทั่วใบหน้าด้วยการกดประทับเบา ๆ


รอให้ครีมบำรุงผิวซึมเข้าผิวประมาณ 3-5 นาที

หลังจากทาครีมบำรุงผิวไปแล้วให้รอไว้ประมาณ 3-5 นาที เพื่อรอให้ครีมบำรุงผิวซึมเข้าผิวก่อน แล้วค่อยทาครีมกันแดด เพื่อไม่ให้ครีมบำรุงผิวอยู่บนผิวหน้า และกันแดดไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้

ทาครีมกันแดดใหม่ในปริมาณที่เหมาะสม

การทาครีมกันแดดใหม่ ควรใช้วิธีการทาให้แบ่งทาเป็นจุด ๆ เช่นเดียวกับมอยส์เจอไรเซอร์ แล้วค่อย ๆ กระจายให้ทั่วด้วยการแตะเบา ๆ ไม่ควรรีบร้อนหรือถูแรง และควรทาเป็นชั้นบาง ๆ

หากรู้สึกว่ายังไม่ทั่วถึงค่อยเพิ่มในจุดที่ต้องการ การทาแบบนี้จะช่วยให้ครีมกันแดดกระจายตัวได้สม่ำเสมอและลดโอกาสการเกิดขุย



เตรียมผิวอย่างไรไม่ให้ทากันแดดแล้วหน้าเป็นขุย

  • ล้างหน้าให้สะอาดด้วยคลีนเซอร์อ่อนโยน
  • ใช้โทนเนอร์ปรับสภาพผิว
  • ทาเซรั่มบำรุงผิวบาง ๆ
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์ให้ความชุ่มชื้น
  • รอให้ผลิตภัณฑ์ซึมซับประมาณ 5 นาที แล้วจึงทาครีมกันแดด




วิธีเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิว ป้องกันการเป็นขุย

  • เลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิว: สำหรับผิวมัน ควรเลือกเนื้อเจลหรือน้ำ (Water-based) ที่ให้ความรู้สึกเบาสบายผิว ไม่อุดตันรูขุมขน สำหรับผิวผสม ควรเลือกเนื้อโลชั่นหรือเจลครีมที่ให้ความชุ่มชื้นปานกลาง ส่วนผิวแห้งควรเลือกเนื้อครีมที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น Hyaluronic Acid หรือ Glycerin
  • ตรวจสอบส่วนผสมที่แพ้ง่าย: ควรหลีกเลี่ยงครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของน้ำหอม สารกันเสีย หรือแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว โดยเฉพาะผิวบอบบางแพ้ง่าย ควรเลือกสูตร Mineral-based ที่มีส่วนผสมของ Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide ซึ่งอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า
  • เนื้อครีมบางเบา: ควรเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อสัมผัสบางเบา ซึมซับง่าย ไม่เหนอะหนะ เพราะจะช่วยให้ทาได้สม่ำเสมอและไม่เป็นคราบขุย เนื้อครีมที่บางเบาจะช่วยให้ผิวรู้สึกสบาย ไม่อึดอัด และไม่ทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์สูง: ครีมกันแดดที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณสูงจะทำให้ผิวแห้ง ระคายเคือง และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดขุย ควรเลือกสูตร Alcohol-free หรือมีแอลกอฮอล์ในปริมาณต่ำ และมีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้นทดแทน
  • การทดสอบการแพ้: ก่อนใช้ครีมกันแดดตัวใหม่ ควรทดสอบการแพ้โดยทาบริเวณเล็ก ๆ เช่น ใต้คาง หรือข้างใบหู แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่เกิดอาการแพ้ คัน แดง หรือระคายเคือง จึงค่อยใช้บริเวณใบหน้า วิธีนี้จะช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาแพ้รุนแรงและการเกิดขุยได้



ทากันแดดแล้วเป็นขุย ควรทากันแดดซ้ำไหม ?

เมื่อทากันแดดแล้วเกิดอาการขุย ไม่ควรทาครีมกันแดดซ้ำทันที แต่ควรเช็ดทำความสะอาดเพื่อเอาครีมกันแดดออกด้วยคลีนซิ่งก่อน แล้วค่อยทาครีมบำรุงผิวหรือเจลบำรุงผิวเนื้อบางเบา และรอให้ครีมบำรุงผิวซึมเข้าผิวก่อน เพื่อทำให้ครีมกันแดดซึมเข้าผิวได้ดี



สรุปเรื่องทากันแดดแล้วเป็นขุย

สำหรับใครที่มีปัญหาทาครีมกันแดดแล้วหน้าเป็นขุย นอกจากการเตรียมผิวให้พร้อมหลังทากันแดดแล้ว การเลือกครีมบำรุงผิวเนื้อบางเบา และครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิว ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันปัญหาทากันแดดแล้วหน้าเป็นขุยได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://gangdara.com/

14

 
ฉีดวิตามินผิว
 
ฉีดวิตามินผิว ดีไหม ? ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นได้จริงหรือเปล่า ? เหมาะหรือไม่เหมาะกับใคร ? อันตรายไหม ? มีสูตรอะไรบ้าง ? ราคาเท่าไหร่ คุ้มค่าไหม ? สำหรับใครที่กำลังสนใจการฉีดวิตามินผิว บทความนี้มีคำตอบให้ครบ ติดตามอ่านได้เลยที่นี่
 


 
การฉีดวิตามินผิว คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
 
การฉีดวิตามินผิว เป็นหนึ่งในวิธีการบำรุงผิวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการมีผิวขาวกระจ่างใส และมีสุขภาพดีจากภายใน 
 
โดยการนำวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายมาฉีดเข้าสู่เส้นเลือดดำโดยตรง ทำให้วิตามินกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และสามารถนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ทันที ช่วยให้เรื่องต่าง ๆ ได้แก่
 
  • ช่วยเสริมคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิว
  • ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
  • เสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอกระบวนการที่ทำให้ผิวแก่เร็ว
  • กระตุ้นภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการหวัดและภูมิแพ้
  • ให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายสดชื่น ลดอาการอ่อนเพลีย
  • เพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ลดการเสื่อมโทรม

 


 
ฉีดวิตามินผิวขาวขึ้นจริงไหม ?
 
การฉีดวิตามินผิวสามารถช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้จริง ส่วนประกอบหลัก เช่น วิตามิน C วิตามิน B NAC กรดอะมิโน และสารต้านอนุมูลอิสระ ล้วนให้ประโยชน์ต่อผิว โดยเฉพาะ NAC ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างกลูตาไธโอนในร่างกาย ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว ลดความหมองคล้ำ และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
 
วิตามินฉีดผิวเหล่านี้ยังช่วยเสริมคอลลาเจนและทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น ผิวจึงดูสุขภาพดี เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล การฉีดวิตามินผิวจึงช่วยบำรุงลึกจากภายใน ให้ผิวดูขาว กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
 


 
ฉีดวิตามินผิว เหมาะ - ไม่เหมาะกับใครบ้าง ?
 
การฉีดวิตามินผิวเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างเร่งด่วนและเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิว มาดูกันว่าใครบ้างที่เหมาะหรือไม่เหมาะสำหรับการเติมวิตามินผิว
 
ฉีดวิตามินผิว เหมาะกับใคร ?
 
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายและผิวหมองคล้ำ ให้ดูสดใสขึ้นแบบเร่งด่วน
  • ผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง เช่น ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย หรือเสียเหงื่อจากการออกกำลังกาย
  • ผู้ที่ไม่ชอบทาครีมบำรุงเป็นประจำ และอยากเห็นผลไว
  • ผู้ที่มีผิวคล้ำเสีย ไม่สดใส ผิวแห้งกร้าน ต้องการการบำรุงลึก
  • ผู้ที่ภูมิต้านทานต่ำ หรือเป็นหวัด ภูมิแพ้บ่อย
  • ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย ฝ้า กระ หรือจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดด หรือเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด
  • ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และฟื้นฟูให้ผิวดูแข็งแรง สุขภาพดี

 
ฉีดวิตามินผิว ไม่เหมาะกับใคร ?
 
  • หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจที่ต้องใช้ยาหลายชนิด และผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ
  • ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับเลือดผิดปกติ หรือผู้ป่วยมะเร็งบางราย
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ
  • ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ (G6PD Deficiency)
  • ผู้ที่มีภาวะธาตุเหล็กเกิน เนื่องจากวิตามินซีจะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากขึ้น อาจส่งผลให้แร่ธาตุในร่างกายเสียสมดุล
  • คนที่มีประวัติแพ้ยา หรือแพ้วิตามินชนิดที่ใช้ฉีด

 
อย่างไรก็ตาม บุคคลเหล่านี้อาจไม่ได้เป็นข้อห้ามที่ชัดเจนทั้งหมด โดยบางเคสสามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์
 


 
ฉีด Vitamin ผิว อันตรายหรือไม่ ? ปลอดภัยไหม ?
 
ฉีด Vitamin ผิว อันตรายหรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่อันตราย เพราะตัวยาหลักคือวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระจ่างใส และช่วยให้ร่างกายสดชื่น
 
แต่ก็มีสิ่งที่ต้องระวัง คือ การเลือกฉีดในคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน ฉีดวิตามินผิวราคาถูกมาก ๆ โดยเฉพาะบางที่ที่ใช้กลูตาไธโอน ซึ่งยังไม่ได้รับการรับรองจาก อย. การฉีดสารชนิดนี้ผ่านเส้นเลือดอาจทำให้เกิดอาการแพ้และเป็นผื่นได้ ทางที่ดีควรเลือกคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้ผลิตภัณฑ์แท้ และดูแลโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์
 


 
สูตรฉีดวิตามินผิว ที่ได้รับความนิยม
 

 
วิตามินฉีดผิวมีหลายสูตรให้เลือก โดยจะเลือกตามความเหมาะสม ความต้องการ และปัญหาผิวของแต่ละคน
 
วิตามินผิว สูตร Aura White
 
สูตร Aura White ประกอบด้วยวิตามิน C megadose วิตามิน B รวม กลูตามีน กรดอะมิโน และ NAC ปริมาณรวม 50 CC สูตรนี้เน้นช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ซึ่งเป็นสาเหตุของจุดด่างดำ ทำให้ผิวดูสว่างขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อฉีดอย่างต่อเนื่อง ผิวจะค่อย ๆ ขาวใสและดูเปล่งประกายขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน
 
วิตามินผิว สูตรผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำ
 
สูตรผิวชุ่มชื้นอิ่มน้ำ ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวในทันที เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้ง ขาดน้ำ หรือผิวหมอง ดูไม่สดใส ด้วยการบำรุงลึกจากวิตามิน B5 และสารที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูนุ่ม เรียบเนียน และมีชีวิตชีวา
 
วิตามินผิว สูตร Detox ผิว
 
สูตร Detox ผิว เน้นขจัดสารพิษและฟื้นฟูผิวจากมลภาวะต่าง ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเผชิญกับฝุ่นละอองหรือสารเคมีบ่อยครั้ง ช่วยลดความหมองคล้ำ ให้ผิวดูสะอาด กระจ่างใส และดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
 
วิตามินผิว สูตรเสริมภูมิคุ้มกันผิว
 
สูตรนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ลดโอกาสการอักเสบและการระคายเคือง พร้อมกระตุ้นภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย ช่วยให้ผิวทนทานต่อสิ่งแวดล้อม และดูสุขภาพดีขึ้น ผิวเนียนเรียบ ลดการเกิดสิว และแลดูกระจ่างใส
 
วิตามินผิว สูตรผิว Glow สุขภาพดี
 
สูตรผิว Glow สุขภาพดี ช่วยให้ผิวดูสดใส มีออร่าแบบเป็นธรรมชาติ ด้วยวิตามินที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวอิ่มฟู เนียนละเอียด และมีความเปล่งประกายดูสุขภาพดี
 


 
ฉีดวิตามินผิว ราคาเท่าไหร่ ? คุ้มค่าไหม ?
 
ฉีดวิตามินผิว ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 2,500 บาทต่อครั้ง แต่ราคาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคลินิกขึ้นอยู่กับสูตรที่เลือกใช้ ซึ่งหลายคลินิกมักมีโปรโมชันแบบคอร์ส ราคาต่อครั้งจะถูกกว่าการจ่ายรายครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวต่อเนื่อง
 

 
หากเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ การฉีดวิตามินผิวถือว่าเป็นการดูแลผิวที่คุ้มค่า เพราะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เห็นผลชัดเจน ว่าผิวดูกระจ่างใสแบบธรรมชาติ และดูสุขภาพดี
 


 
หากหยุดฉีดวิตามินผิว จะมีผลอย่างไร ?
 
หลังจากฉีดวิตามินผิว หลายคนอาจกังวลว่าถ้าหยุดฉีดแล้วผิวจะกลับมาหมองคล้ำลง ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการฉีดวิตามินผิวเป็นการบำรุงผิวจากภายใน
 
หากหยุดฉีด ผิวจะไม่คล้ำลงกว่าเดิม เพียงแต่จะค่อย ๆ กลับสู่สภาพเดิมตามธรรมชาติ หากต้องการให้ผิวคงความกระจ่างใส ก็สามารถเลือกกลับมาฉีดวิตามินบำรุงเป็นระยะได้
 


 
สรุปเรื่องการฉีดวิตามินผิว
 
การฉีดวิตามินผิวเป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและสารอาหารอย่างเพียงพอ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง แต่ต้องการฟื้นฟูผิวและร่างกายอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจฉีด ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยง พร้อมทั้งเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ดูแลโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และใช้วิตามินของแท้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี
 


 

15
เช็กก่อนฉีด! ฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับใคร ? โหนกแก้มเยอะ ฉีดได้หรือไม่ ?
 

ฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับใครบ้าง ? ใครที่ขมับลึก ขมับตอบ โหนกแก้มเด่น หรือใบหน้าดูโทรมหลังลดน้ำหนัก อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการฉีดฟิลเลอร์ มาเช็กกันว่าคุณควรฉีดฟิลเลอร์ขมับเพื่อปรับสมดุลและเพิ่มความสดใสให้ใบหน้าหรือไม่ อ่านต่อเลย!
 
ฟิลเลอร์ขมับ คืออะไร ?
 
ฟิลเลอร์ขมับ คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปในบริเวณขมับที่มีลักษณะลึก ยุบ หรือดูตอบ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาขมับที่เป็นแอ่ง ทำให้ขมับดูเต็มขึ้นและโหนกแก้มที่เด่นดูยุบลง ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูสมส่วนและหวานละมุนขึ้น
 
การฉีดฟิลเลอร์ขมับยังช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญยังช่วยเสริมโหงวเฮ้งในด้านการค้าขายและธุรกิจได้อีกด้วย จึงทำให้เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันค่ะ
 
ฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับใครบ้าง ?
 
หลายคนอาจสงสัยว่า ใครกันบ้างนะ ? ที่ควรจะฉีดฟิลเลอร์ขมับ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วผู้ที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ขมับ มีดังนี้ค่ะ
 
คนที่มีขมับลึกเป็นแอ่ง
 

ลักษณะขมับที่ลึกหรือแบนลงไปเป็นแอ่ง จะทำให้ใบหน้าดูไม่มีมิติ หรือมีความผิดส่วน ส่งผลให้ใบหน้าดูแข็งเป็นเหลี่ยมหรือดูโทรมเหมือนคนมีอายุ การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยเติมเต็มให้ขมับดูอิ่มขึ้น เพิ่มความสมดุลของใบหน้า ทำให้ใบหน้าได้สัดส่วนและดูละมุนอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลังการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันที ว่าขมับเต็มอิ่มโค้งรับพอดีกับรูปหน้า ดูสวยงามมากขึ้นค่ะ
 
คนที่ลดน้ำหนักจนเนื้อใบหน้ายุบ
 
กรณีที่มีการลดน้ำหนักเพื่อให้หุ่นดีขึ้น บางคนอาจประสบปัญหาเนื้อบริเวณขมับและแก้มยุบตัวลง ส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูโทรม จากไขมันที่หายไป เมื่อมีการฉีดฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์จะเข้ามาเติมเต็มขมับที่ยุบแบนลงไปให้เต็มขึ้น ช่วยให้ใบหน้าดูสดใสและกลับมามีชีวิตชีวา จะได้ดูดีทั้งหุ่นและใบหน้าตามที่ต้องการค่ะ
 
คนที่มีโหนกแก้มเด่น
 
สำหรับคนที่มีโหนกแก้มสูงและเนื้อบริเวณขมับหรือแก้มยุบตัวลง การฉีดฟิลเลอร์ขมับสามารถช่วยได้ค่ะ โดยเติมเต็มบริเวณขมับที่ลึกเพื่อให้ดูเต็มอิ่มขึ้น ผลที่ได้คือโหนกแก้มจะเด่นน้อยลง ทำให้ใบหน้าดูเรียวสมส่วนมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ใบหน้าละมุนและได้สัดส่วนอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ
 
คนที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้ง
 

ในศาสตร์โหงวเฮ้ง เชื่อว่าขมับที่เต็มอิ่ม รับพอดีกับแนวไรผมและหน้าผาก จะช่วยเสริมดวงด้านการเงิน การค้าขาย และเพิ่มโอกาสให้มีคนคอยช่วยเหลืออุปถัมภ์ การเติมฟิลเลอร์ขมับจึงไม่เพียงแต่ช่วยให้ใบหน้าดูสมส่วนและสดใสขึ้น แต่ยังส่งผลดีในด้านเสริมความมั่นใจและการเปิดรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตค่ะ โดยเฉพาะในผู้หญิง ขมับที่ดูเต็มสวยยังบ่งบอกถึงการมีคู่ครองที่ดี ช่วยเกื้อหนุนให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย
 
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ขมับ ช่วยให้หน้าสวยขึ้นได้อย่างไร ?
 
การฉีดฟิลเลอร์ขมับ มีข้อดีที่ส่งผลให้ใบหน้าดูสวยงามมากขึ้น ดังนี้
 
✓ ช่วยปรับรูปหน้าโดยรวมให้ได้สัดส่วนมากขึ้น ดูสมดุลและเป็นธรรมชาติ
✓ ช่วยให้ใบหน้าดูหวานละมุน ดวงตาดูสดใส เพิ่มความอ่อนเยาว์
✓ ช่วยลดความเด่นชัดของโหนกแก้ม ทำให้ใบหน้าดูเรียว เข้ารูปมากขึ้น
✓ เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำ โดยไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
✓ ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน
✓ ราคาไม่แพง และไม่เจ็บตัว เมื่อเทียบกับการผ่าตัด
 
ฉีดฟิลเลอร์ขมับกับคลินิกที่ไหนดี ? ให้ได้ผลสวยงาม ปลอดภัย
 
การฉีดฟิลเลอร์ขมับให้ได้ผลลัพธ์สวยงามและปลอดภัย ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน ใช้ฟิลเลอร์แท้ และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ โดยสังเกตจาก
 
- คลินิกที่มีป้ายชื่อสถานพยาบาล เลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก และแสดงใบอนุญาตประกอบกิจการในที่เห็นได้ชัด เพื่อให้มั่นใจว่าคลินิกมีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ
- แพทย์ควรมีความรู้ด้านเทคนิคและมีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ขมับ เพื่อให้การฉีดได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง
- คลินิกที่ดีควรมีรีวิวจากลูกค้าจริงในแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น Facebook Review หรือ Pantip
- ฟิลเลอร์ที่ใช้ควรเป็นของแท้และแกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้าเสมอ สามารถนำกล่องไปตรวจสอบเพื่อความมั่นใจได้
- คลินิกควรมีบริการติดตามผลหลังทำทุกเคส และมีช่องทางติดต่อที่สะดวก หากมีข้อสงสัยหรือปัญหา จะได้สามารถปรึกษาแพทย์ได้โดยตรง
 

หากยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ขมับหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจฉีดได้ค่ะ
 
สรุป ฟิลเลอร์ขมับ
 
ฟิลเลอร์ขมับเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาขมับลึก ขมับยุบตอบ โหนกแก้มเด่น หรือใบหน้าดูโทรมหลังการลดน้ำหนัก รวมถึงคนที่อยากปรับโหงวเฮ้ง หากใครที่รู้สึกไม่มั่นใจในรูปหน้า หรือสนใจอยากฉีดฟิลเลอร์ขมับ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์เพื่อประเมินและรับคำแนะนำในเบื้องต้น จะได้ช่วยในการตัดสินใจค่ะ

16
เลือกก่อนฉีด! ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? รวมแบรนด์ดังที่หมอแนะนำ พร้อมวิธีเช็กของแท้
 

ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? เป็นคำถามสำคัญเพราะมีฟิลเลอร์หลายยี่ห้อให้เลือก ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่นเฉพาะตัวและเหมาะกับปัญหาต่างกัน การเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมช่วยให้ได้ผลลัพธ์ตรงใจและปลอดภัยสูงสุด 
 
บทความนี้จะแนะนำ 3 แบรนด์ยอดนิยมที่ได้รับการรับรองจาก อย. ได้แก่ Juvederm จากอเมริกา, Restylane จากสวีเดน และ Belotero จากสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมคำแนะนำในการเช็กฟิลเลอร์ของแท้แต่ละยี่ห้อ

ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? แนะนำ 3 แบรนด์ดังที่แพทย์ไว้วางใจ
 
เมื่อพูดถึงฟิลเลอร์ หลายคนอาจสงสัยว่าควรเลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ? ในหัวข้อนี้เรามี 3 แบรนด์ฟิลเลอร์ดังที่แพทย์แนะนำ มาฝากค่ะ ไปดูกันเลยว่าแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นอย่างไร และมีรุ่นไหนบ้างที่นิยมใช้กันค่ะ
 
1. Juvederm – ฟิลเลอร์อเมริกา
 

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm จากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นคำตอบแรก ๆ เมื่อถามว่าฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ด้วยการผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้ง Hylacross Technology และ Vycross Technology ในการผลิต ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องการยกกระชับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทนต่อการขยับของใบหน้าได้ดีเยี่ยม และคงอยู่ได้ยาวนาน 
 
โดย Juvederm จะมีหลากหลายรุ่น ที่ออกแบบมาให้แพทย์เลือกใช้เหมาะสมกับจุดฉีดที่แตกต่างกัน ได้แก่ 
 
1. Juvederm Ultra Plus XC ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความฟูมาก อยู่ได้นาน 12 เดือน
2. Juvederm Voluma ฟิลเลอร์เนื้อทน ฟูปานกลาง มีความยืดหยุ่นสูง อยู่ได้นาน 18 เดือน
3. Juvederm Volbella ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด โมเลกุลมีความละเอียดมากที่สุด อยู่ได้นาน 12 เดือน
4. Juvederm Volift ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม โมเลกุลมีความละเอียดมากกว่ารุ่น ultra plus เหมาะกับคนที่ผิวบาง อยู่ได้นาน 12 เดือน
5. Juvederm Volite ฟิลเลอร์เนื้อฉ่ำ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
6. Juvederm Volux ฟิลเลอร์เนื้อทน มีความยืดหยุ่นสูง คงรูปได้ดีที่สุด ปั้นทรงได้สวย อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
 
2. Restylane – ฟิลเลอร์สวีเดน
 

ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ถือเป็นแบรนด์สำหรับผู้ที่กำลังมองหาฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่มีประวัติการใช้งานยาวนานที่สุดในโลก ผลิตจากประเทศสวีเดน โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ ทั้ง NASHA Technology และ OBT Technology ซึ่งทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเคลื่อนไหวไปตามการขยับของใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งคงรูปได้ยาวนาน 
 
โดย Restylane มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากถึง 8 รุ่น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ได้แก่
 
1. Restylane Perlane lyft ฟิลเลอร์เนื้อแน่น ไม่ฟู มีความคงตัวสูง คงรูปได้ดี อยู่ได้นาน 12 เดือน
2. Restylane Vital Light ฟิลเลอร์เนื้อฉ่ำ เนื้อเจลอนุภาคเล็ก มีความละเอียดที่สุด อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
3. Restylane Vital ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เกลี่ยง่าย ให้ผลลัพธ์เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ อยู่ได้นาน 12 เดือน
4. Restylane Volyme ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ใช้เติมเต็มผิวส่วนที่โหลลึกหรือตอบให้อิ่มฟูขึ้น อยู่ได้นาน 18 เดือน
5. Restylane Defyne ฟิลเลอร์เนื้อทน มีความนิ่มปานกลางและยืดหยุ่นสูง ใช้ฉีดแทนกระดูกที่ยุบตัวในผิวชั้นลึก อยู่ได้นาน 18 เดือน
6. Restylane Refyne ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความยืดหยุ่น ใช้เติมริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากการยิ้ม อยู่ได้นาน 12 เดือน
7. Restylane Classic ฟิลเลอร์เนื้อแน่น เนื้อเจลอนุภาคใหญ่ ใช้แก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลาง-มาก อยู่ได้นาน 12 เดือน
8. Restylane Kysse ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีความคงตัวสูง ออกแบบมาสำหรับเติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ อยู่ได้นาน 12 เดือน
 
3. Belotero – ฟิลเลอร์สวิตเซอร์แลนด์
 

Belotero หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Colorful Filler" จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจเมื่อถามหาฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ด้วยเทคโนโลยี CPM (Cohesive Polydensified Matrix) ซึ่งเป็นนวัตกรรมเฉพาะที่ทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความแน่นและยืดหยุ่นในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้เมื่อฉีดแล้วสามารถคงรูปได้ดี และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
 
ซึ่งมีรุ่นฟิลเลอร์ Belotero ที่นิยมใช้ ได้แก่ 
 
1. Belotero Intense ฟิลเลอร์เนื้อทน มีความยืดหยุ่นสูง ใช้แก้ปัญหาร่องลึกจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อผิวหนัง อยู่ได้นาน 18 เดือน
2. Belotero Volume ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นและคงตัวสูง อยู่ได้นาน 18 เดือน
3. Belotero Soft ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด มีโมเลกุลเล็ก อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
4. Belotero Revive ฟิลเลอร์เนื้อฉ่ำ มีส่วนประกอบของกลีเซอรอล เพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้น บำรุงผิวอิ่มน้ำ ฉ่ำวาว และลดริ้วรอยเล็ก ๆ อยู่ได้นาน 6-9 เดือน
 
ทั้งนี้ นอกจาก 3 แบรนด์หลักแล้ว ยังมีฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ ที่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย เช่น ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Definisse (อิตาลี), Teoxane (สวิตเซอร์แลนด์), Flore และ Neuramis (เกาหลี) 
 
วิธีเช็กฟิลเลอร์ของแท้แต่ละยี่ห้อ
 

การเลือกฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย ควรตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่ใช้นั้นเป็นของแท้ทุกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันในตลาดมีทั้งฟิลเลอร์ปลอม ฟิลเลอร์หิ้ว ที่ฉีดแล้วอาจทำให้เกิดอันตรายอย่างไม่คาดคิด อีกทั้งยังแก้ไขได้ยาก ดังนั้น ก่อนจะไปฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี เรามาดูวิธีการตรวจสอบฟิลเลอร์ของแท้แต่ละยี่ห้อกันค่ะ
 
วิธีเช็กฟิลเลอร์แท้ Juvederm
 
- ตรวจสอบว่ามี เลขทะเบียน อย. และเอกสารภาษาไทยอยู่ภายในกล่องขนาด 2 cc
- เลข lot ต้องตรงกัน ใน 4 จุดสำคัญ ได้แก่ เลข lot ที่กล่อง ซอง สติกเกอร์ และหลอด
- สอบถามเลข lot หรือตรวจสอบคลินิกที่ได้รับการรับรองได้ที่ บริษัท Allergan (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-640-4999 ต่อ 1
 
วิธีเช็กฟิลเลอร์แท้ Restylane
 
1. กล่องต้องมี รอยปรุเปิดง่าย พร้อม เลขทะเบียน อย. และเอกสารภาษาไทยในกล่อง
2. มาพร้อม สติกเกอร์โมโนแกรม "VOID" เพื่อป้องกันการปลอมแปลง
3. ตรวจสอบ เลข lot ให้ตรงกัน 2 จุด ได้แก่ ข้างกล่องและหลอด
4. สามารถ สแกน QR CODE ด้วยแอป Eztracker เพื่อตรวจสอบความแท้ของผลิตภัณฑ์
5. หากต้องการยืนยันเพิ่มเติม โทรสอบถามที่ บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) เบอร์ 02-023-1800 ต่อ 402
 
วิธีเช็กฟิลเลอร์แท้ Belotero
 
1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามี เลขทะเบียน อย. และเอกสารภาษาไทยอยู่ในกล่อง ซึ่งมีขนาด 2 cc
2. เลข lot ต้องตรงกัน 3 จุด ได้แก่ เลข lot บนกล่อง สติกเกอร์ และหลอด
3. หากต้องการตรวจสอบเพิ่มเติม สามารถโทรสอบถามข้อมูลเลข lot และยืนยันคลินิกที่บริษัท Merz Healthcare โทร. 02-229-9696
 
สรุป เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีให้เหมาะกับใบหน้า
 
หากต้องการคำตอบว่าควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีนั้น ฟิลเลอร์แบรนด์ดังอย่าง Juvederm, Restylane และ Belotero ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ 
 
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษากับแพทย์มากประสบการณ์ก่อนฉีดทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์แนะนำรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว ปัญหาที่ต้องการแก้ไข และงบประมาณ รวมถึงอย่าลืมเช็กฟิลเลอร์ที่ฉีดกับคลินิกให้แน่ใจก่อนว่าเป็นฟิลเลอร์แท้ เพื่อความปลอดภัยและการเห็นผลลัพธ์ที่ดี

17
หนังตาตก เกิดจากอะไร ? แก้ไขด้วยวิธีไหนดี ? อย่าปล่อยไว้ เสี่ยงทำให้การมองเห็นลดลง
 

“ หนังตาตก ” เป็นปัญหาที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากขึ้น หากปล่อยไว้นาน ไม่รีบหาทางแก้ไข หนังตาตกอาจทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นลดลง และยังส่งผลกระทบถึงบุคลิกภาพอีกด้วย การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ และวิธีการแก้ไขหนังตาตกจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
 
หนังตาตก คืออะไร ?
 

หนังตาตก คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อเปลือกตาบนหย่อนคล้อยหรือตกลงมา ทำให้หนังตาปิดลงมาบางส่วนหรือเกือบทั้งหมด ส่งผลให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ ดวงตาดูเล็กลง ตาดูเศร้า ไม่สดใส และดูมีอายุมากขึ้น บางรายอาจมีผลต่อการมองเห็นหนังตาตกลงมาบดบังตาดำ ทำให้ต้องเงยหน้าเพื่อให้มองเห็นได้ชัดขึ้น โดยภาวะหนังตาตกนี้อาจเกิดขึ้นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ 
 
หนังตาตกเกิดได้จากสาเหตุอะไร ?
 
สาเหตุของหนังตาตกสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
 
- อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่ออายุเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อรอบดวงตาจะเสื่อมสภาพลง ทำให้หนังตาบริเวณเปลือกตาบนหย่อนคล้อย ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง ส่งผลให้เกิดหนังตาตก หางตาดูตกลง 
- กรรมพันธุ์ : บางคนอาจมีแนวโน้มลักษณะหนังตาตกตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากลักษณะทางพันธุกรรมที่เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อตาบางอย่าง
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน : การใช้ชีวิตประจำวันที่มีการขยี้ตาบ่อย และการโดดแสงแดดบ่อย ๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนล้า ผิวหนังเสื่อมสภาพเกิดความหย่อนคล้อย
- อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ : หากเคยมีประสบการณ์การบาดเจ็บหรือผ่าตัดดวงตา อาจมีผลทำให้กล้ามเนื้อเปลือกตาบนอ่อนแอ จนหนังตาตกได้
- ผลกระทบจากการฉีดโบท็อกผิดวิธี : หากฉีดโบท็อกกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือหมอกระเป๋า ฉีดตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง หรือใช้ปริมาณมากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแรงลงชั่วคราว ส่งผลให้หนังตาตก ตาปรือได้
 
นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่สามารถทำให้เกิดหนังตาตกได้ เช่น การมีก้อนเนื้อหรือความผิดปกติในดวงตา ความเหนื่อยล้า ความเครียด และภาวะขาดน้ำ เป็นต้น
 
หนังตาตก รักษาได้อย่างไรบ้าง ?
 
การแก้ไขปัญหาหนังตาตกมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาและระดับความรุนแรง โดยสามารถเลือกใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติหรือหัตถการทางการแพทย์ในการรักษาได้ ดังนี้ 
 
การรักษาหนังตาตกด้วยวิธีธรรมชาติ
 
สำหรับผู้ที่มีอาการหนังตาตกเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะปัญหาหนังตาตกที่เกิดจากความเหนื่อยล้า ความเครียด สามารถดูแลตนเองเพื่อช่วยบรรเทาอาการหนังตาตกและป้องกันไม่ให้หนังตาตกลงกว่าเดิมได้ ดังนี้
 
- การบริหารกล้ามเนื้อรอบดวงตา : มีท่าบริหารกล้ามเนื้อดวงตาที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อตาให้แข็งแรงขึ้น เช่น การกลอกตาไปมา, การเลิกคิ้วค้างไว้ ทำอย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง
- การประคบร้อนและเย็นสลับกัน : ใช้ผ้าชุบน้ำและน้ำเย็น ประคบสลับกันบริเวณรอบดวงตา 2-3 รอบ วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและคลายกล้ามเนื้อดวงตาได้
- การดูแลสุขภาพร่างกาย : การพักผ่อนให้เพียงพอ การดื่มน้ำบ่อย ๆ กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตา จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิว และกล้ามเนื้อตารอบดวงตาให้แข็งแรงขึ้น
- การปรับพฤติกรรม : หลีกเลี่ยงการขยี้ตาบ่อย ๆ การปกป้องดวงตาจากแสงแดดอันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวรอบดวงตาอ่อนแอลง เกิดความหย่อนคล้อย หนังตาตกได้
 
ทั้งนี้การแก้ไขหนังตาตกด้วยวิธีธรรมชาติอาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล และไม่สามารถรักษาอาการหนังตาตกที่เกิดจากสาเหตุรุนแรงได้ ดังนั้นหากต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและแนะนำวิธีรักษาอย่างเหมาะสม
 
การรักษาหนังตาตกด้วยวิธีทางการแพทย์
 
หากต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน การใช้วิธีทางการแพทย์เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาปัญหาหนังตาตกได้อย่างเห็นผลชัดเจนมากขึ้น
 
- ร้อยไหม รักษาหนังตาตก
 
การร้อยไหมยกหางตา เป็นหัตถการที่ช่วยยกกระชับหางตาตกได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหางตาตกในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยการใช้ไหมช่วยเกี่ยวและดึงผิวให้ยกขึ้น ซึ่งช่วยแก้ปัญหาหนังตาตก หางตาตกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
 

- เครื่องมือยกกระชับ
 
การใช้เครื่องมือยกกระชับ เช่น Hifu, Ulthera, หรือ Thermage ยกหนังตา เป็นวิธีแก้หนังตาตกโดยการส่งคลื่นพลังงานลงไปใต้ชั้นผิวให้เกิดความร้อน ซึ่งจะทำให้ผิวเกิดการหดตัวและยกกระชับขึ้น หากนำมาใช้รอบดวงตาจะช่วยยกกระชับหางตา หางคิ้ว หนังตาตกได้ วิธีนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลเร็ว และได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
 

- การผ่าตัดศัลยกรรมแก้หนังตาตก
 
หากมีปัญหาหนังตาตกอย่างรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือการใช้ชีวิตประจำวัน การผ่าตัดศัลยกรรมเป็นทางเลือกที่ช่วยแก้ไขหนังตาตก เปลือกตาหย่อนคล้อย หรือปัญหาตาไม่เท่ากันได้ โดยทำการผ่าตัดดึงหนังตาและหางตาขึ้นพร้อมเย็บผิวหนังเพื่อปรับรูปทรง ทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นและได้ผลลัพธ์ถาวร ทั้งนี้การผ่าตัดควรทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญเท่านั้น
 

สรุปปัญหาหนังตาตก
 
หนังตาตกเป็นปัญหาที่เกิดจากหลายสาเหตุ สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีธรรมชาติหรือการทำหัตถการทางการแพทย์ สิ่งสำคัญคือการพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพปัญหาของแต่ละบุคคล การรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้อาการรุนแรงขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการมองเห็นได้ในระยะยาว

18
รู้จัก “ เลเซอร์บราซิลเลี่ยน ” จบทุกปัญหาขนในที่ลับ ทางลัดสู่ผิวเรียบเนียนถาวร
 

 
หากเบื่อกับการกำจัดขนในที่ลับแบบเดิม ๆ เลเซอร์บราซิลเลี่ยนช่วยได้ค่ะ ไม่ต้องกังวลกับปัญหาขนที่งอกใหม่หรือความไม่สะดวกจากการโกนหรือแวกซ์ ขนที่ขึ้นใหม่จะไม่เป็นตอ ไม่คัน หากทำซ้ำหลายครั้งสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร ช่วยให้ผิวเนียนเรียบได้อย่างมั่นใจ
 


 
เลเซอร์บราซิลเลี่ยนคืออะไร ?
 
เลเซอร์บราซิลเลี่ยน หรือ (Brazilian Laser) คือ วิธีการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบริเวณด้านหน้า ด้านหลัง และตรงกลาง แต่ไม่รวมรอบรูทวาร (Anus) โดยใช้พลังงานความร้อนจากเลเซอร์เข้าไปทำลายรากขนแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้รากขนตายและหลุดออกไป โดยไม่เกิดอันตรายต่อผิวหนังบริเวณใกล้เคียง 
 
การทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนนั้นมีความละเอียดอ่อนมากกว่าการทำเลเซอร์ขนในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เพราะบริเวณจุดซ่อนเร้นเป็นบริเวณที่มีผิวหนังบาง และมีเส้นประสาทมาก จึงควรทำกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัย 
 

 


 
ประโยชน์ของการทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน
 
การเลเซอร์บราซิลเลี่ยนเพื่อกำจัดขนเป็นการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวที่ไม่ใช่แค่สำหรับผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ โดยประโยชน์ของการทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนมีดังนี้
 
  • ช่วยเพิ่มความมั่นใจเมื่อใส่ชุดว่ายน้ำ หรือเสื้อผ้าที่เซ็กซี่
  • ช่วยกำจัดขนอย่างถาวร หากทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนครบคอร์ส ขนจะไม่ขึ้นใหม่ในระยะยาว
  • ช่วยปัญหาการเกิดขนคุด และรูขุมขนอักเสบจากการกำจัดขนในที่ลับด้วยวิธีอื่น เช่น การโกน การถอน หรือการแวกซ์
  • ช่วยให้การรักษาความสะอาดง่ายขึ้น ลดการสะสมของสิ่งสกปรก และแบคทีเรีย
  • ช่วยลดปัญหากลิ่นอับชื้น จากการหมักหมมในร่มผ้า
  • ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาด้านสุขอนามัยในช่วงที่มีประจำเดือน
  • ช่วยลดปัญหาอาการคันเมื่อขนงอกใหม่ เนื่องจากขนใหม่ที่ขึ้นมีลักษณะบางลง
  • ช่วยลดความเขินอายในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์

 


 
ก่อนทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ?
 
การเตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผลลัพธ์การกำจัดขนออกมาดีที่สุด และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีขั้นตอนที่ควรปฏิบัติดังนี้
 
  • หลีกเลี่ยงการแวกซ์หรือถอนขน อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์ เพื่อให้เลเซอร์สามารถจับเม็ดสีเมลานินในรากขนได้ดี
  • หลีกเลี่ยงการขัดตัว หรือสครับผิวบริเวณที่จะทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน เพราะอาจทำให้เกิดแผลถลอก ผิวเกิดการระคายเคืองได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA หรือส่วนผสมที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว อย่างน้อย 3 วันก่อนการทำเลเซอร์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดหรือการอาบแดด อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หากมีประจำเดือน ควรรอให้ประจำเดือนหมดก่อน 5-7 วันก่อนทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน เพราะอาจเสี่ยงเกิดอาการแพ้ หรือติดเชื้อได้ง่าย

 


 
ผลข้างเคียงหลังทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นได้
 
หลังทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น อาการบวม หรือแสบเล็กน้อย ผิวหนังรอบรูขุมขนเกิดตุ่มแดงคล้ายยุงกัด ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราว ไม่เป็นอันตราย และสามารถหายไปได้เองค่ะ แต่หากมีอาการแสบร้อนมากจนผิดปกติ มีตุ่มแดงพองเกิดขึ้น ควรรีบเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาทันที
 


 
การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน
 

 
หลังทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนควรดูแลผิวบริเวณนี้อย่างเคร่งครัด เนื่องจากผิวบริเวณจุดซ่อนเร้นมีความบอบบางมากกว่าจุดอื่น โดยแนวทางการดูแลหลังทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยนมีขั้นตอนดังนี้
 
  • ใช้แผ่นประคบเย็นหรือใช้เจลว่านหางจระเข้ได้ หากมีอาการเจ็บหรือแสบบริเวณที่ทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน
  • ควรทาครีมบำรุงผิวสูตรอ่อนโยน หรือใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหลังทำเลเซอร์ ป้องกันไม่ให้ผิวแห้งหรือเกิดการระคายเคือง
  • ควรสวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และไม่รัดรูป เพื่อลดการเสียดสีผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เช่น การออกกำลังกายหนัก ซาวน่า อาบน้ำอุ่น เป็นเวลา 2-3 วัน
  • งดการว่ายน้ำในสระหรือเล่นน้ำทะเลในช่วงแรก เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือระคายเคืองผิว
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน เพื่อป้องกันการเสียดสีจนผิวเกิดการระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการใช้วิธีกำจัดขนแบบอื่น ๆ เช่น การโกนหรือแวกซ์ขนที่ขึ้นมาหลังทำเลเซอร์บราซิลเลี่ยน เพราะอาจทำให้ผิวอักเสบ ระคายเคืองได้

 


 
สรุปเลเซอร์บราซิลเลี่ยน
 
เลเซอร์บราซิลเลี่ยน เป็นวิธีการกำจัดขนบริเวณจุดซ่อนเร้นที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดการเกิดปัญหาขนคุด รูขุมขนอุดตัน และผิวเกิดการระคายเคืองจากวิธีกำจัดขนแบบอื่น ๆ อีกทั้งยังช่วยให้รักษาความสะอาดง่ายขึ้น ลดกลิ่นอับ และยังเสริมความมั่นใจอีกด้วย ทั้งนี้ควรทำกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ใช้เครื่องแท้ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีค่ะ

19
ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน ? เข้าใจอาการบวมหลังฉีด และวิธีดูแลตัวเองให้หายบวมเร็วขึ้น


ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน ? คำถามยอดฮิตสำหรับใครที่กำลังสนใจฉีดฟิลเลอร์หรือเพิ่งฉีดฟิลเลอร์ไป โดยอาการบวมหลังฉีดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่หลายคนก็ยังกังวลว่าจะบวมนานแค่ไหน ? และมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้อาการบวมหายเร็วขึ้น ? บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจให้หายสงสัย พร้อมเผยเคล็ดลับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์



ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน ? บวมนานแค่ไหน ?


เมื่อพูดถึงคำถามว่า ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน ? โดยทั่วไป ในช่วง 1-3 วันแรกจะบวมชัดสุด หลังจากนั้นอาการบวมจะค่อย ๆ ยุบลง และภายใน 2 สัปดาห์ จึงจะเห็นผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์ชัดเจนเต็มที่

ทั้งนี้ อาการบวมของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน บางคนอาจหายเร็วหรือช้ากว่านี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ หากมีอาการปวด สามารถรับประทานยาแก้ปวดหรือยาลดบวมตามคำแนะนำของแพทย์ได้ทุก ๆ 4 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น



สาเหตุของอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์


การทำความเข้าใจว่าทำไมถึงเกิดอาการบวมหลังฉีด จะช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่าการฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน และทำไมถึงบวม ซึ่งมีสาเหตุของอาการบวมมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  • บวมจากเข็มที่ใช้ฉีด : การฉีดฟิลเลอร์ใช้เข็มเพื่อส่งฟิลเลอร์เข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบวมจากเข็มในบริเวณที่ฉีดได้
  • บวมจากเนื้อฟิลเลอร์ : ปกติฟิลเลอร์แท้ที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิก แอซิด จะมีคุณสมบัติในการกักเก็บและอุ้มน้ำ เลยทำให้บริเวณที่ฉีดมีอาการบวมในช่วงแรก



อาการบวมปกติ VS อาการบวมผิดปกติ รู้ได้อย่างไรว่าฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วันถึงจะผิดปกติ ?

การแยกแยะระหว่างอาการบวมปกติและผิดปกติเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อคุณสงสัยว่า ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วันที่ถือว่าปกติ ให้ลองสังเกตลักษณะอาการบวมต่อไปนี้

ลักษณะอาการบวมปกติ

  • มีอาการบวมเล็กน้อย เฉพาะบริเวณที่ได้รับการฉีด
  • อาการบวมเริ่มลดลงภายใน 1 สัปดาห์ และไม่มีอาการบวมเพิ่มขึ้น
  • อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย แต่ไม่รุนแรง

ในทางกลับกัน อาการบวมผิดปกติ ที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที! มีลักษณะดังนี้

  • บวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ยอมยุบ
  • กดแล้วเจ็บ ปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
  • ผิวบริเวณที่ฉีดแดงหรือคล้ำลง
  • รู้สึกร้อน ๆ ตรงที่ฉีด (ลองเอาหลังมือแตะดู เหมือนวัดไข้)
  • มีของเหลวหรือหนองซึมออกมา
  • คันหรือระคายเคืองรุนแรง
  • เกิดก้อนนูนผิดรูปร่างชัดเจน

ถ้าพบว่าหลังฉีดฟิลเลอร์มีอาการใด ๆ ที่ผิดปกติแบบนี้ อาจเป็นเพราะใช้ฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งอันตรายมาก ต้องรีบไปพบหมอเพื่อรับการประเมินและการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด

สรุปง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเป็นบวมเล็กน้อย ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกร้อนผิว ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ แต่ถ้าเห็นชัด รู้สึกเจ็บมาก หรือบวมขึ้นเรื่อย ๆ ควรรีบไปหาหมอนะคะ ปลอดภัยไว้ดีกว่า การรีบจัดการกับปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและให้ผลลัพธ์หลังฉีดที่ดีที่สุดได้ค่ะ



ความแตกต่างระหว่างอาการบวมและการเกิดก้อนหลังฉีดฟิลเลอร์

เมื่อพูดถึงคำถามที่ว่า ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน สิ่งสำคัญที่ควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือการแยกแยะระหว่างอาการบวมและการเกิดก้อน ซึ่งเป็นสองอาการที่ทำให้คนไข้หลายคนมักสับสน แต่ความจริงแล้วมีความแตกต่างกัน ดังนี้


  • อาการบวม : เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์ บริเวณที่ฉีดมักจะมีอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ ยุบลงเองและเรียบเนียนไปกับผิวภายใน 1-2 สัปดาห์ อาการบวมนี้ไม่น่ากังวล และสามารถหายไปได้เองตามธรรมชาติ
  • ฟิลเลอร์เป็นก้อน : เป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าจะใช้ฟิลเลอร์แท้ก็ตาม มักมีสาเหตุมาจากการฉีดที่ไม่ถูกต้องกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ไม่มากพอ เช่น การเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม ฉีดฟิลเลอร์ผิดชั้นผิว หรือการใช้ปริมาณฟิลเลอร์มากเกินไปในจุดเดียว

    ทั้งนี้หากฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนสามารถแก้ไขด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์ (ใช้ได้ในเฉพาะผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์แท้สาร HA เท่านั้น)



การเข้าใจความแตกต่างระหว่างอาการบวมปกติและการเกิดฟิลเลอร์เป็นก้อน จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าควรรอให้อาการหายเองหรือควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาในทันที



วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์เพื่อลดอาการบวม

หากคุณกังวลว่า ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน และต้องการเร่งการฟื้นตัว การดูแลตัวเองที่ถูกต้องหลังการฉีดเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อช่วยลดอาการบวม


  • ดื่มน้ำมาก ๆ : วันละ 1.5-2 ลิตร จะช่วยให้ฟิลเลอร์เซตตัวดีขึ้น ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและลดอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงความร้อน : ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ควรงดซาวน่า อาบน้ำร้อน หรือการตากแดดนาน ๆ เพราะความร้อนอาจกระตุ้นการอักเสบและทำให้อาการบวมแย่ลง ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเมื่อออกแดด เพื่อป้องกันรอยดำและการระคายเคืองบริเวณที่ฉีด
  • นอนหนุนหมอนสูง : โดยยกให้ศีรษะสูงกว่าระดับหน้าอกใน 2-3 คืนแรก จะช่วยลดการสะสมของของเหลวในใบหน้าและช่วยลดอาการบวมได้อย่างดี
  • งดสัมผัสบริเวณฉีด : ในช่วงแรกควรหลีกเลี่ยงการแตะหรือกดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการติดเชื้อ หากต้องทำความสะอาดใบหน้า ให้ใช้สบู่อ่อน ๆ และเช็ดเบา ๆ
  • งดออกกำลังกายหนัก : งดการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกหรือมีการไหลเวียนเลือดมากในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพราะจะทำให้อาการบวมแย่ลง
  • งดการแต่งหน้า : ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อและระคายเคือง หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าได้
  • ระวังเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม : ควรหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม อาหารหมักดอง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงแรก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้อาการบวมไม่ลดลง ควรเลือกทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินแทน
  • ทานยาตามคำแนะนำ : รับประทานยาฆ่าเชื้อและยาแก้ปวดตามแพทย์สั่ง ยาเหล่านี้จะช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดบวม อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น ibuprofen หรือ aspirin เว้นแต่แพทย์จะสั่ง เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
  • สังเกตอาการและติดตามผล : หากมีอาการบวมผิดปกติ เช่น บวมขึ้นเรื่อย ๆ ปวดรุนแรง ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจสอบอาการและรับการรักษาที่เหมาะสม

การดูแลตัวเองตามคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยลดอาการบวม ฟื้นตัวได้เร็ว และทำให้ผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์สวยงามยาวนานขึ้น



สรุปฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน ?

สำหรับคำตอบเรื่องฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วันที่หลายคนสงสัย โดยสรุปคืออาการบวมหลังการฉีดฟิลเลอร์มักจะเกิดขึ้นในช่วง 1-3 วันแรก และค่อย ๆ ยุบลงได้เอง โดยผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์จะเริ่มเห็นชัดเจนเต็มที่ภายใน 14 วัน

การดูแลตัวเองหลังการฉีด เช่น ดื่มน้ำเพียงพอ หลีกเลี่ยงความร้อน และนอนหนุนหมอนสูง จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วและลดอาการบวมได้ดีขึ้น[/center]

ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน ? คำถามยอดฮิตสำหรับใครที่กำลังสนใจฉีดฟิลเลอร์หรือเพิ่งฉีดฟิลเลอร์ไป โดยอาการบวมหลังฉีดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่หลายคนก็ยังกังวลว่าจะบวมนานแค่ไหน ? และมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้อาการบวมหายเร็วขึ้น ? บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจให้หายสงสัย พร้อมเผยเคล็ดลับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์

20
 หนังตาตก ปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม ทำความเข้าใจสาเหตุ วิธีแก้ไขและป้องกัน ตั้งแต่เนิ่น ๆ
 

 
" หนังตาตก " ปัญหาที่พบได้ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะในวัยรุ่น วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ อาการที่ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรงนี้ อาจส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ ความมั่นใจ และอาจถึงขั้นส่งผลต่อการมองเห็นได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา
 
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ สาเหตุที่แท้จริงของหนังตาตก วิธีการแก้ไขที่หลากหลาย ตั้งแต่การดูแลตัวเองเบื้องต้น ไปจนถึงการรักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์ รวมถึงวิธีป้องกันไม่ให้หนังตาตกกลับมาเป็นซ้ำอีก
 


 
หนังตาตก คืออะไร ?
 
หนังตาตก คือภาวะที่เปลือกตาบนหย่อนคล้อยหรือตกลงมามากกว่าปกติ ทำให้ดวงตาดูอ่อนล้า ไม่สดใส และใบหน้าดูมีอายุมากขึ้น บางครั้งหากหนังตาตกมากอาจส่งผลให้การมองเห็นถูกบดบังได้ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับตาข้างเดียวหรือพร้อมกันทั้งสองข้าง 
 
โดยภาวะหนังตาตก สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 
 

1. หนังตาตกจากเปลือกตาหย่อน (Dermatochalasis)
เป็นภาวะที่เกิดจากผิวหนังบริเวณเปลือกตาหย่อนคล้อย แต่ขอบตายังคงอยู่ในตำแหน่งปกติ ผิวหนังที่หย่อนลงจะทำให้เปลือกตาดูตก และหางตาดูเฉียงลง ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง อาจทำให้ชั้นตาไม่เท่ากัน แต่หากผิวหนังหย่อนมาก อาจบดบังการมองเห็นและเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันได้
 
2. หนังตาตกจากกล้ามเนื้อเปลือกตา (Ptosis)

 

 

ภาวะนี้เกิดจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยกเปลือกตาทำงานผิดปกติ ทำให้ขอบเปลือกตาด้านบนตกลงมากว่าปกติ ลักษณะเหมือนลืมตาไม่สุด และหางตาตกลงด้วย ภาวะนี้ต่างจากหนังตาตกจากความหย่อนคล้อยของผิวหนัง เพราะเกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อโดยตรง
 


 
อาการหนังตาตก เกิดจากอะไร ?
 
หนังตาตกสามารถเกิดจากหลายปัจจัย โดยสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
 
  • อายุที่เพิ่มขึ้น : เมื่อเราอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อและผิวหนังบริเวณรอบดวงตาจะเสื่อมสภาพ ทำให้เปลือกตาหย่อนคล้อยลง เกิดเป็นภาวะหนังตาตก
  • กรรมพันธุ์ : ภาวะหนังตาตกสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ โดยมีโอกาสสูงในกรณีที่ครอบครัวมีประวัติ
  • ผลกระทบจากการฉีดโบท็อกผิดวิธี : การฉีดโบท็อกที่ไม่ถูกต้องหรือในปริมาณที่มากเกินไป โดยแพทย์ที่ขาดประสบการณ์ หรือบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ อาจทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอ่อนแรงลงชั่วคราว ส่งผลให้หนังตาตกได้
  • อุบัติเหตุหรือบาดเจ็บ : การบาดเจ็บบริเวณดวงตา เช่น การผ่าตัดหรือการกระแทกรุนแรง สามารถทำให้กล้ามเนื้อหนังตาเสียหายได้

 
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถส่งผลให้เกิดหนังตาตกได้ เช่น มีก้อนเนื้อโตหรือสิ่งผิดปกติในดวงตา การขยี้ตาบ่อย ๆ โดนแดดมากเกินไป หรือความเครียด ภาวะขาดน้ำ
 


 
หนังตาตก แก้ไขได้ไหม ?
 
อาการหนังตาตกสามารถแก้ไขได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับความรุนแรงของอาการ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีหลัก ได้แก่
 
  • การรักษาหนังตาตกแบบไม่ต้องผ่าตัด

 
เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการหนังตาตกไม่รุนแรงมาก เช่น เปลือกตาหย่อนเล็กน้อยหรือชั้นตาไม่เท่ากัน สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด อาทิ การร้อยไหมยกหางตา หรือการใช้เทคโนโลยียกกระชับผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้หนังตาตึงขึ้นอย่าง Hifu, Ulthera หรือ Thermage ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ต้องพักฟื้นและเห็นผลเร็ว
 

 
  • การรักษาหนังตาตกแบบผ่าตัด

 
ในกรณีที่หนังตาตกอย่างรุนแรงจนส่งผลต่อการมองเห็นหรือการใช้ชีวิตประจำวัน การผ่าตัดยกเปลือกตาจะช่วยแก้ไขปัญหาหนังตาตก ทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น และเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ถาวร เหมาะกับผู้ที่ต้องการการแก้ไขอย่างสมบูรณ์
 

 
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกวิธีใดก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้ที่มีประสบการณ์สูงเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับลักษณะและสภาพหนังตาของแต่ละบุคคล
 


 
ป้องกันอย่างไรไม่ให้หนังตาตก ?
 
แม้ว่าอาการหนังตาตกจะเป็นปัญหาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเมื่อเกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้นหรือกรรมพันธุ์ แต่ก็สามารถป้องกันและชะลอการเกิดได้ด้วยวิธีการดูแลดวงตาและผิวพรรณรอบดวงตา ดังนี้
 
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาบ่อย ๆ : การขยี้ตาบ่อย ๆ จะทำให้ผิวหนังบริเวณรอบดวงตาอ่อนแอลงและหย่อนคล้อยได้
  • ปกป้องดวงตาจากแสงแดด : ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงและสวมแว่นกันแดดเมื่อออกกลางแจ้ง เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV ที่อาจทำให้ผิวรอบดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ : การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวและกล้ามเนื้อตารอบดวงตา ทำให้ดวงตาดูสดใส
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสายตา : ผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีและโอเมก้า 3 สามารถช่วยบำรุงผิวรอบดวงตาและชะลอความหย่อนคล้อยได้
  • นวดคลึงเบา ๆ รอบดวงตา : ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อตาและทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ควรนวดวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที จะเริ่มเห็นผลหลังทำต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์
  • ประคบร้อน-เย็นสลับกัน : ใช้ผ้าชุบน้ำร้อนและน้ำเย็นประคบสลับกันบริเวณรอบดวงตา เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา ควรทำวันละ 1-2 ครั้ง
  • บริหารดวงตา : เช่น การกลอกตา, การเลิกคิ้ว, และการหลับตาแน่น ๆ ทำวันละ 10 ครั้ง ช่วยให้กล้ามเนื้อตาแข็งแรง

 
การดูแลดวงตาอย่างต่อเนื่องเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการชะลอการเกิดหนังตาตกและรักษาสภาพดวงตาให้ดูอ่อนเยาว์นานที่สุด
 


 
สรุป หนังตาตก
 
หนังตาตกเป็นปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการผ่าตัดหรือใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ไม่ต้องผ่าตัด การปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การดูแลดวงตาให้ดี หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อย เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ และการป้องกันแสงแดด จะช่วยชะลอการเกิดหนังตาตก ทำให้ดวงตาดูสดใสและมีชีวิตชีวาได้ยาวนานขึ้น

21
รู้จัก Thermage สุดยอดนวัตกรรมทำผิวยกกระชับ พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน
 

Thermage ถือเป็นหนึ่งตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิว สลายไขมันส่วนเกิน ปรับรูปหน้า และลดริ้วรอยโดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่กลัวเข็มหรือการผ่าตัด สำหรับใครที่สนใจ thermage ในบทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาไว้ให้แล้ว
 
Thermage คืออะไร ? ช่วยยกกระชับผิวได้อย่างไร ?
 
Thermage คือ เครื่องยกกระชับผิวที่ใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) โดยมีขนาดจุดโฟกัสประมาณ 3-4 cm<sup>2 </sup>ต่อ 1 Shot ในการยิงพลังงานส่งออกมา ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่การทำหัตถการได้ดี
 
เครื่อง thermage สามารถส่งพลังงานความร้อนได้ตั้งแต่ผิวชั้นบนลงไปจนถึงชั้นไขมัน พลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาจะส่งความร้อนแบบ column สามารถสร้างความร้อนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเกิดการหดตัวทันที ผิวจึงตึงกระชับขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสลายไขมันส่วนเกิน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ในผิวได้อีกด้วย
 
หลังทำ thermage ผิวจะดูแน่นกระชับ มีความยืดหยุ่น และเพิ่มคุณภาพผิวให้ดีขึ้น รวมถึงสามารถฟื้นฟูผิวชั้นหนังกำพร้าให้เรียบเนียน รูขุมขนเล็กลง ทำให้ผิวแข็งแรงสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
 


ทำ Thermage ให้เห็นผลควรใช้กี่ Shot ?
 
หากอยากทำ thermage ให้เห็นผล จำนวน Shot ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา และผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำ เพื่อประเมินปัญหาและเลือกใช้จำนวน Shot ได้อย่างเหมาะสม 
 
การทำ thermage ให้เห็นผลใช้จำนวน Shot ดังนี้
 
- Thermage FLX ประมาณ 450 shot (บริเวณแก้ม + เหนียง) : เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีไขมันสะสมไม่เยอะมาก เช่น บริเวณรอบดวงตา แก้ม เหนียง และกรอบหน้า การทำ thermage ในบริเวณนี้จะช่วยให้ผิวกระชับ กรอบหน้าชัดเจนขึ้น และริ้วรอยลดลง
- Thermage FLX ประมาณ 900 shot (บริเวณทั่วหน้า) : เหมาะสำหรับผู้ที่อายุเยอะ และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงริ้วรอยร่องลึกในหลายจุด เช่น บริเวณใบหน้า ร่องแก้ม ใต้คาง และลำคอ การทำ thermage ในบริเวณเหล่านี้จะช่วยให้ริ้วรอยและร่องลึกดูตื้นขึ้น ผิวหน้ากระชับพร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยให้หน้าดูเด็กลง
- Thermage FLX ประมาณ 900 shot (2 หัว และ 4 หัว) : เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย และมีเซลลูไลท์สะสมเป็นอย่างมากในบริเวณต้นแขน หน้าท้อง สะโพก และต้นขา การทำ thermage ในบริเวณนี้จะช่วยลดความเหี่ยวย่นและเซลลูไลท์ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับ
 
Thermage ควรทำกี่ครั้งถึงเห็นผลลัพธ์ชัดเจน ? อยู่ได้นานไหม ?
 
หลังทำ thermage สามารถเห็นผลลัพธ์การยกกระชับได้ทันทีประมาณ 20% และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนในช่วง 2-3 เดือน โดยผลลัพธ์หลังทำ thermage จะดีขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากผิวมีการสร้างคอลลาเจนเต็มที่ ซึ่งผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองและสภาพผิวของแต่ละบุคคล ดังนั้นผู้ที่ต้องการคงความกระชับของผิวไว้อย่างต่อเนื่องแนะนำให้ทำซ้ำปีละ 1 ครั้ง

หลังทำ Thermage ดูแลตัวเองอย่างไรให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ?
 
หลังจากการทำ thermage สามารถใช้หน้าได้ตามปกติ แต่อาจเพิ่มแนวทางการดูแลตัวเองเหล่านี้ เพื่อช่วยให้ผิวหลังทำ thermage เห็นผลลัพธ์ได้ไว และช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น 
 

วิธีการดูแลตัวเองหลังทำ thermage
 
- ใช้ครีมบำรุงผิวหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ที่เน้นเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- ควรทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ แนะนำให้ใช้กันแดดที่มีค่า SPF 30 PA+++ ขึ้นไป
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด และความร้อนทุกชนิด เช่น ซาวน่า ประมาณ 2 สัปดาห์
- งดทำทรีตเมนต์ และเลเซอร์ร้อน ลงผิวชั้นลึก ประมาณ 1 เดือน


สรุปเรื่อง Thermage ช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอย
 
Thermage ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ช่วยยกกระชับผิวและลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้พลังงานคลื่นความถี่วิทยุความถี่สูงที่ช่วยกระชับผิว สลายไขมันโดยไม่ต้องผ่าตัด พร้อมทั้งทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระชับ และเรียบเนียนขึ้น สำหรับใครที่สนใจอยากทำแล้วเห็นผลควรเลือกทำกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องแท้ และทำโดยแพทย์เท่านั้น

22
แนวทางเลือก คลินิกเสริมความงาม ที่ไหนดี ? ให้อัพสวย ทำหัตถการได้อย่างปลอดภัย
 

 


 
คลินิกเสริมความงาม
 
การใช้บริการ คลินิกเสริมความงาม ในปัจจุบันต้องบอกเลยว่ามีให้บริการเยอะมาก ๆ เรียกได้ว่าละลานตาเลยทีเดียว แต่จะเลือกอย่างไรให้ได้คลินิกเสริมความงามที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และไม่ต้องเสี่ยงเจอกับคลินิกที่ไม่ได้คุณภาพ 
 
บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลไว้หมดแล้ว แต่ก่อนอื่นไปทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า ว่าคลินิกเสริมความงามคืออะไร ให้บริการหัตถการอะไรบ้าง มีแนวทางในการเลือกอย่างไร และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง 
 


 
คลินิกเสริมความงาม คืออะไร ?
 
คลินิกเสริมความงาม คือ สถานที่ที่คนรักสวยรักงามไว้วางใจใช้บริการเพื่อดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพผิวภายในหรือภายนอก สามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของผิวพรรณและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างตามต้องการ โดยใช้เวลาพักฟื้นร่างกายไม่นาน ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดูดี สวย อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด 
 
ซึ่งปกติคลินิกเสริมความงามที่ดีจะต้องมีใบประกอบการอย่างถูกต้อง และให้บริการคนไข้โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ที่มีใบประกอบวิชาชีพเท่านั้น เพราะจะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดีที่สุดนั่นเอง
 

 


 
คลินิกเสริมความงาม ให้บริการหัตถการอะไรบ้าง ?
 
  • Filler เติมเต็มสาร Hyaluronic Acid (HA) ช่วยแก้ปัญหาผิว ริ้วรอยร่องลึก ในบริเวณต่าง ๆบนใบหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ กระชับ ผิวอิ่มฟู เปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติอีกครั้ง
  • Thread Lifting จะใช้เข็มนำไหมละลายสอดลงไปใต้ชั้นผิวในบริเวณต่าง ๆ เพื่อยกกระชับผิว ให้ตึงขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด
  • Laser ช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นด้วยการเลเซอร์ โดยการยิงแสงเลเซอร์ตรงบริเวณที่เกิดความผิดปกติ เช่น รอยปาน ฝ้า หรืออาจเลเซอร์เพื่อกำจัดขนบนร่างกายได้ด้วยเช่นกัน
  • HIFU ช่วยยกกระชับด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ลงไปในชั้นผิวหนัง ลึกถึงชั้นเนื้อเยื่อ ซึ่งจะทำการกระตุ้นให้เกิดการหดตัว และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่
  • Botox มีคุณสมบัติที่สามารถจับกับปลายเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ทำให้บริเวณที่ฉีดโบท็อก ไม่สามารถหดตัวได้ และจะอยู่ในสภาพคลายตัวในที่สุด ช่วยลดริ้วรอย ตีนกา ได้อย่างยอดเยี่ยม

 


 
แนวทางการเลือกคลินิกเสริมความงาม ที่ไหนดี ?
 
แพทย์มีใบประกอบวิชาชีพ
 
เนื่องจากแพทย์เป็นหนึ่งในหัวใจหลักของคลินิกเสริมความงาม จึงต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ ควรเลือกคลินิกที่ให้บริการโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ที่ผ่านการรับรองจากหน่วยจากที่มีความน่าเชื่อถืออย่างแพทยสภา ที่คนไข้สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้เอง ว่าแพทย์ผู้ให้บริการเป็นหมอจริง ๆ 
 
นอกจากนี้คลินิกเสริมความงามต้องสามารถเปิดเผยชื่อแพทย์ได้ ซึ่งต้องติดหรือวางไว้ในที่ที่คนไข้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน
 
มีใบประกอบกิจการอย่างถูกต้อง
 
สำหรับคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน แน่นอนว่าต้องมีการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีเลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง เพราะการทำหัตถการเสริมความงาม นอกจากจะต้องอาศัยแพทย์ผู้มีประสบการณ์แล้ว คลินิกที่ได้มาตรฐาน ก็เป็นสิ่งสร้างความมั่นใจให้กับคนไข้ได้อย่างดี ว่าจะผลลัพธ์จะออกมาดีที่สุด 
 
ดังนั้นคลินิกเสริมความงามจึงต้องเตรียมพร้อมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ตัวยา ฯลฯ 
 

 
สามารถเดินทางได้สะดวก
 
การเลือกคลินิกเสริมความงาม ควรเลือกคลินิกที่สามารถเดินทางได้สะดวก มีที่จอดรถรองรับอย่างเพียงพอต่อความต้องการ หรืออาจตั้งอยู่ติดกับรถไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ รวมถึงในห้างสรรพสินค้า ในระหว่างรอคิว จะได้สามารถเดินเล่นหรือหาของกินรอได้
 
ซึ่งการเลือกคลินิกเสริมความงามที่สามารถเดินทางได้สะดวก นอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ก็ยังช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางด้วย หากมีปัญหา หรือต้องการคำปรึกษาก็สามารถนัดได้อย่างรวดเร็ว
 
ราคาสมเหตุสมผล
 
สำหรับราคาค่าบริการของคลินิกเสริมความงาม เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะยิ่งมีราคาถูกก็ยิ่งดึงดูด แต่ในความเป็นจริงคลินิกเสริมความงามที่มีราคาถูกเกินไปนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก ๆ ว่าจะได้รับบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน
 
ดังนั้นจึงต้องพิจารณาเลือกใช้บริการคลินิกเสริมความงามจากหลาย ๆ แห่ง เพื่อศึกษารายละเอียดว่ามีราคามาตรฐานเป็นอย่างไรบ้าง 
 
มีบริการให้คำปรึกษาก่อนเริ่มการรักษาฟรี
 
คลินิกเสริมความงาม จะต้องมีแพทย์ผู้มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำ หรือให้คำปรึกษากับคนไข้ฟรี ก่อนเริ่มการรักษาทุกเคส เพื่อสอบถามปัญหาและความต้องการว่าต้องการแก้ไขจุดไหน สามารถทำได้ไหม ทำแล้วผลลัพธ์จะออกมาดี ตรงกับความต้องการหรือไม่
 
ซึ่งทางคลินิกจะต้องให้แพทย์ทำการประเมินปัญหา และให้คำแนะนำกับคนไข้อย่างละเอียด เพื่อทำให้คนไข้สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
 

 


 
ข้อควรระวังเมื่อเลือกคลินิกเสริมความงาม
 
สำหรับข้อควรระวังในการเลือกคลินิกเสริมความงาม ก็คือควรเลือกคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน แพทย์มีความรู้ ความเข้าใจ และมีประสบการณ์ สามารถใช้อุปกรณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ได้อย่างเชี่ยวชาญ 
 
หากศึกษาหาข้อมูลมาแล้วอย่างดี แต่เมื่อไปถึงคลินิกจริง ไม่ได้เป็นไปตามข้อมูล เช่น คลินิกดูเก่า เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ ดูโทรมมาก ก็ไม่จำเป็นต้องใช้บริการ ให้หาคลินิกอื่น เพื่อความปลอดภัยและความสบายใจของตัวเอง
 


 
สรุปเรื่องการเลือกคลินิกเสริมความงาม
 
จะเห็นได้ว่าคลินิกเสริมความ เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญสำหรับคนรักสวย รักงาม มาก ๆ เพราะสามารถแก้ไขจุดที่ไม่ชอบหรือไม่ต้องการได้อย่างยอดเยี่ยม 
 
สำหรับใครที่กำลังมองหาคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน ลองนำแนวทางการเลือกคลินิกเสริมความที่เราได้นำเสนอในบทความนี้ไปเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ เชื่อว่าจะช่วยให้คุณได้คลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐานแน่นอน
 
ขอบคุณข้อมูลจาก https://bestbrandclinic.com/

23

การ “ร้อยไหม” เป็นการปรับรูปหน้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งในกลุ่มดารา เซเลบ และบุคคลทั่วไปที่ต้องการเสริมความงาม แต่ก่อนจะตัดสินใจเข้ารับการร้อยไหม มีหลายสิ่งที่ควรทำความเข้าใจเสียก่อน เพื่อให้การร้อยไหมเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ร้อยไหม ปลอดภัยหรือไม่ ใช้ไหมอะไร ?

การร้อยไหม ถือเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่มีความปลอดภัยสูง หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ไหมที่ได้มาตรฐาน ไหมที่นิยมใช้ในการร้อยไหม ได้แก่ ไหม PDO (Polydioxanone) ซึ่งเป็นไหมละลายที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ มีความปลอดภัยสูง นิยมนำมาใช้ในการเย็บแผลทางการแพทย์


นอกจากนี้ยังมีไหม PCL (Polycaprolactone) ที่ให้ผลการกระชับได้นานกว่า และไหม PLLA (Polylactate) ที่ทำจากสารโพลีแลคติกแอซิด พัฒนาต่อมาจากไหม PDO จุดเด่นคือมีความแข็งแรง ทนต่อแรงดึงได้ดีที่สุด
 
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทำการร้อยไหมกับสถานเสริมความงามหรือคลินิกที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจได้รับการร้อยไหม ด้วยเส้นไหมที่ไม่มีคุณภาพ ร้อยไหมผิดเทคนิค ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

ร้อยไหมตำแหน่งไหนได้บ้าง ตำแหน่งไหนได้รับความนิยม

การร้อยไหมสามารถทำได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า เพื่อเสริมความกระชับ เติมเต็มริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้สวยงาม ตำแหน่งยอดฮิตที่ได้รับความนิยม ได้แก่

- ร้อยไหมแนวกราม กรอบหน้า ช่วยกระชับผิวหน้าให้เรียวสวย ดูอ่อนเยาว์
- ร้อยไหมหน้าเรียว ยกกระชับใบหน้าให้ตึง และวีเชฟ มากขึ้น
- ร้อยไหมจมูก-ดั้ง ปรับรูปทรงจมูกให้โด่งพุ่งมากขึ้น
- ร้อยไหมหางตา แก้ปัญหาหางตาตก
- ร้อยไหมยกคิ้ว ยกกระชับคิ้วให้ดูสูงขึ้น ไม่หย่อนคล้อย


ร้อยไหม มีข้อเสียหรือผลข้างเคียงหรือไม่

ข้อเสียของการร้อยไหมที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการบวม ช้ำ เจ็บ หลังการร้อยไหม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่พบได้ในช่วง 3-5 วันแรกและจะค่อย ๆ ทุเลาลง บางคนอาจมีอาการคัน รู้สึกเป็นเม็ดใต้ผิวบริเวณที่ร้อยไหม ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปเมื่อไหมเริ่มมีการย่อยสลาย

นอกจากนี้ผลข้างเคียงที่อาจเกิด ได้แก่ การอักเสบติดเชื้อ ไหมโผล่ การระคายเคือง มีติ่งเนื้อ ซึ่งพบได้น้อยหากใช้ไหมที่มีคุณภาพและทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

อีกหนึ่งข้อเสียของการร้อยไหมคือไม่สามารถคงผลได้ถาวร เพราะไหมจะถูกย่อยสลายไปตามเวลา เมื่ออายุการใช้งานผ่านไป  แต่ก็สามารถกลับไปร้อยไหมซ้ำได้ตามความเหมาะสม

อาการหลังร้อยไหมที่ควรรู้

อาการหลังร้อยไหมที่ควรรู้ อาการหลังการร้อยไหมที่พบได้ทั่วไป ได้แก่

- บวม และช้ำแดง เป็นอาการปกติที่พบได้ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการร้อยไหม
- อาการคัน และรู้สึกเป็นเม็ดกดเจ็บใต้ผิว เป็นเรื่องปกติที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อไหม จะค่อยๆทุเลาลง
- เจ็บ หรือปวด บริเวณที่ฉีด เป็นอาการตกค้างหลังการทำ สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้
- หน้าบวมหรือเบี้ยวชั่วคราว เนื่องจากการฉีดไหมไม่สมดุลหรือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะค่อยๆดีขึ้น

แต่หากมีอาการอื่น ๆ ผิดปกติภายหลังการร้อยไหม เช่น ไข้สูง มีผื่น หนอง แดงบวมมาก ปวดมาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษา

หลังร้อยไหม กี่วันถึงเข้าที่ อยู่ได้นานไหม ?

หลังร้อยไหมในช่วง 7-10 วันหลังการร้อยไหมจะมี อาการบวม ชา จะเริ่มลดลง หลังจากนั้นประมาณ 2-4 สัปดาห์ รูปหน้าจะเริ่มเข้าที่ ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวกระชับขึ้น และเมื่อการร้อยไหมเข้าที่เต็มที่ ผลลัพธ์ของการร้อยไหมจะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของไหมที่ใช้ สภาพผิว และการดูแลตัวเองหลังร้อยไหม

- กรณีไหมละลาย PDO ผลลัพธ์จะอยู่ได้ราว 6 เดือนถึง 1 ปี
- ไหม PCL ให้ผลที่อยู่ได้นานกว่า โดยอยู่ได้ถึง 1 ปี
- ไหมถาวร PLLA ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานกว่า ประมาณ 18 เดือน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผลการร้อยไหมคงอยู่ได้นานที่สุด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด หมั่นทาครีมกันแดด ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารมีประโยชน์ ออกกำลังกาย เพื่อบำรุงผิวพรรณ ส่งเสริมการผลิตคอลลาเจน และความกระชับของผิว
ก่อนตัดสินใจร้อยไหม ต้องรู้อะไรบ้าง ถึงจะไม่เสี่ยง

หากคุณสนใจอยากร้อยไหม เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการร้อยไหม ควรทำความเข้าใจและเตรียมตัวก่อนตัดสินใจ ดังนี้

- ควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการร้อยไหมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เข้าใจขั้นตอน ผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คำแนะนำรายละเอียดเฉพาะบุคคล วิเคราะห์รูปหน้า เพื่อเลือกรูปแบบการร้อยไหมและไหมที่เหมาะสม
- ตรวจสอบคุณสมบัติ ความน่าเชื่อถือของแพทย์และสถานพยาบาลที่จะเข้ารับการร้อยไหม ว่ามีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์สูง
- ตรวจสอบแหล่งที่มาของไหมที่ใช้ ต้องได้มาตรฐาน อย. ไหมต้องใหม่และปราศจากเชื้อ
- ไม่ร้อยไหมในช่วงที่มีประจำเดือน เพราะจะทำให้เกิดอาการบวมช้ำได้มากกว่าปกติ
- หลีกเลี่ยงการร้อยไหมหากมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคภูมิแพ้
- ปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนทำการร้อยไหม หากเคยทำศัลยกรรมหรือฉีดสารอื่นๆ เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์มาก่อน ควรแจ้งแพทย์อย่างละเอียด
- หยุดยาละลายลิ่มเลือด วิตามิน หรืออาหารเสริมล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนร้อยไหม เพื่อลดความเสี่ยงของเลือดออกหรือจ้ำเลือดใต้ผิวหนัง
- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ก่อนและหลังการร้อยไหม 1-2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้แผลหายช้า

หากเตรียมความพร้อมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งดูแลตัวเองให้ดีหลังการร้อยไหม ก็จะช่วยลดความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

สรุป

การร้อยไหมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการชะลอวัยและแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน การร้อยไหมถือเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัย ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ หากได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเลือกใช้ไหมที่ได้มาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยสูงสุด คนที่สนใจร้อยไหมควรศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอน ผลลัพธ์ รวมถึงข้อเสียและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ที่มีความน่าเชื่อถือและความเชี่ยวชาญสูง ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

24
เคยไหม ? มองกระจกแล้วรู้สึกว่าใบหน้าดูโทรม ดูแก่ก่อนวัย ขมับตอบ โหนกแก้มสูง ขมับลึก ใบหน้าดูเหนื่อยล้า

“ฟิลเลอร์ขมับ” เป็นทางออกง่าย ๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาขมับที่ยุบหรือเว้าลึก ต้นเหตุปัญหาทำให้ใบหน้าดูไม่สมส่วนและดูแก่กว่าวัยจริง ช่วยให้ใบหน้ากลับมาดูอิ่มเอิบและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาได้ทันทีหลังฉีด

สำหรับใครที่สนใจการฉีดฟิลเลอร์ขมับ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนการตัดสินใจทำเอาไว้ให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ขมับคืออะไร ? อันตรายไหม ? เหมาะกับใคร ? ราคาเท่าไร ?

แก้ขมับฉบับเร่งด่วน ฟิลเลอร์ขมับ คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ขมับ เป็นวิธีแก้ไขขมับยุบหรือตอบ ด้วยการใช้เข็มฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) เข้าไปในบริเวณขมับที่ยุบหรือลึก ให้ดูเต็ม เต่งตึง ชุ่มชื้น และมีมิติมากขึ้น เพื่อช่วยให้ใบหน้าดูหวานและมีสัดส่วนที่สวยงาม โดยสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังการทำ ไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้น หรือการผ่าตัดใด ๆ

รวมประโยชน์ฟิลเลอร์ขมับ ช่วยอะไร ?
  • ช่วยเติมเต็มบริเวณขมับที่ยุบหรือตอบ ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและสมดุลมากขึ้น แบบเห็นผลเร่งด่วน
  • ช่วยปรับรูปหน้าให้ ละมุน และอ่อนเยาว์ขึ้น โดยลดความเด่นของโหนกแก้ม โหนกคิ้ว
  • ช่วยปรับใบหน้าโดยรวมให้ได้สัดส่วนสวยงาม
  • ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินภายในผิวหนัง ทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น
  • ช่วยเสริมโหงวเฮ้งขมับให้ดูดีขึ้นตามตำรา ทำให้หน้าดูสดใส ไม่โทรม

เช็กก่อนฉีด! ฟิลเลอร์ขมับ อันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ขมับเป็นหัตถการที่ปลอดภัยแต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะบริเวณขมับมีเส้นเลือดสำคัญที่เชื่อมโยงไปยังลูกตา การฉีดจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ค่อนข้างมากในแต่ละจุด

ดังนั้น การเลือกคลินิกและแพทย์ที่ได้มาตรฐานและมีประสบการณ์สูงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ก่อนเลือกควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ดังนี้

เช็กให้ชัวร์! ก่อนเลือก “คลินิกฉีดฟิลเลอร์ขมับ”

✓ ควรเลือกคลินิกที่มีป้ายชื่อ เลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก และใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล แสดงอยู่ในที่ที่เห็นได้อย่างชัดเจน
✓ ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์มากประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ประจำอยู่
✓ ควรเลือกคลินิกที่มีรีวิวฉีดฟิลเลอร์ขมับจริง จากผู้ที่เคยใช้บริการคลินิกนั้น ๆ ผ่านแหล่งที่เชื่อถือได้
✓ ควรเลือกคลินิกที่ใช้ฟิลเลอร์แท้ แพทย์แกะกล่องฟิลเลอร์ใหม่ต่อหน้าทุกครั้ง และสามารถขอนำกล่องตัวยากลับบ้านได้
✓ ควรเลือกคลินิกที่มีบริการปรึกษาออนไลน์ สามารถส่งรูปหน้ามาให้แพทย์ประเมินก่อนได้ฟรี
 
และ ก่อนตัดสินใจเลือก “แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ขมับ” ควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง คำนวณปริมาณฟิลเลอร์เหมาะสม รู้ตำแหน่งของเส้นเลือดสำคัญ ผ่านการฉีดฟิลเลอร์ขมับมาหลายเคส สามารถประเมินภาพรวมของใบหน้าและใช้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง เช่น เทคนิคฉีดชิดกระดูก เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย

เมื่อเลือกคลินิกและแพทย์ที่เหมาะสมแล้ว ควรศึกษาถึงปัญหาและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ขมับ เพื่อเตรียมตัวและรับมืออย่างเหมาะสมค่ะ

ทำความรู้จักผลข้างเคียงหลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ อาการที่อาจเกิดขึ้น!
หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในคลินิกที่ได้มาตรฐานก็ตาม คือ
  • อาการบวมบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ อาจเกิดจากการบวมเข็มและเนื้อฟิลเลอร์ ซึ่งจะยุบลงและหายได้เองเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์
  • อาการปวดศรีษะ เนื่องจากขมับเป็นจุดรวมเส้นประสาทและไวต่อความรู้สึก อาการปวดอาจหายไปได้เองภายใน 1-2 วัน หากปวดมากสามารถทานยาแก้ปวดได้ตามอาการ
ทั้ง 2 อาการนี้โดยทั่วไปจะดีขึ้นเองและไม่เป็นอันตราย ส่วนอาการฟิลเลอร์เป็นก้อน ย้อย หรือไหล มักเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอม ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้กับคลินิกที่เชื่อถือได้

เช็กความพร้อม ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เหมาะกับใคร ?
ฟิลเลอร์ขมับ เป็นทางเลือกที่เหมาะกับคนที่มีปัญหาใบหน้าดูไม่สมส่วนเนื่องจากโครงหน้าเหลี่ยม  กระดูกขมับยุบ หรือขมับตอบ จากการลดลงของไขมันและกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ทำให้หน้าดูโทรม หรือ คนต้องการปรับโครงหน้าให้เข้ากับหลักโหงวเฮ้ง ที่ไม่ต้องการฉีดไขมัน ไม่อยากผ่าตัดเสริมซิลิโคน เพราะกังวลเรื่องแผลติดเชื้อ

Q&A คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับฟิลเลอร์ขมับ
ฟิลเลอร์ขมับ กี่วันเห็นผล ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ สามารถเห็นผลได้ทันที และเห็นผลชัดเจนเต็มที่ภายใน 14 วัน หลังอาการบวมลดลง หากหลังจากระยะเวลาดังกล่าวแล้วยังไม่พอใจกับผลลัพธ์ ก็สามารถกลับมาฉีดเพิ่มเติมได้ ตามคำแนะนำของแพทย์ที่มีประสบการณ์
ฟิลเลอร์ขมับ อยู่ได้นานแค่ไหน ?
ระยะเวลาการอยู่ได้ของฟิลเลอร์ขมับ ขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ เช่น
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm รุ่น Ultra Plus (อยู่ได้ 12 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm รุ่น Voluma  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm รุ่น Volux  (อยู่ได้ 18-24 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane รุ่น Volyme  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Flore รุ่น Max  (อยู่ได้ 9-12 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane รุ่น RHA 2  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane รุ่น RHA 3  (อยู่ได้ 12-18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Teoxane รุ่น Ultra Deep  (อยู่ได้ 18 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis รุ่น Volume  (อยู่ได้ 6-9 เดือน)
  • ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis รุ่น Deep Lidocaine  (อยู่ได้ 6-8 เดือน)
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ เจ็บไหม ?
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ไม่เจ็บมากค่ะ อาจรู้สึกตึง ๆ ได้เล็กน้อย ก่อนฉีดจะมีการแปะยาชาให้ก่อนทำ และในฟิลเลอร์บางยี่ห้อก็มียาชาผสมอยู่ด้วย เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บระหว่างฉีด ไม่ต้องกลัวค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ งดนอนตะแคงกี่วัน ?
หลังฉีดฟิลเลอร์ขมับ ควรงดนอนตะแคงในช่วง 2-3 คืนแรก เพื่อป้องกันไม่ให้กดทับจุดฉีดจนทำให้รู้สึกเจ็บหรือปวดศีรษะเพิ่มมากขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ราคาเท่าไหร่ ?
ฉีดฟิลเลอร์ขมับ ราคาเริ่มต้น 7,500-18,000 ต่อซีซี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะใช้จำนวนฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 ซีซี ก่อนตัดสินใจฉีดควรสอบถามกับคลินิกที่สนใจเกี่ยวกับราคาหรือโปรโมชันในช่วงนั้นให้แน่ใจค่ะ

สรุป
ฟิลเลอร์ขมับ ถือเป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยเพิ่มความอิ่มเต็มให้ขมับ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีมิติสวยงามขึ้น ถือเป็นวิธีในการปรับรูปหน้า ที่ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและสมดุลกับส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าได้อย่างตรงจุด ทำได้ง่าย เห็นผลลัพธ์ทันที โดยไม่รอพักฟื้น

สำหรับคนที่สนใจ ก่อนฉีดควรเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ ใช้ฟิลเลอร์แท้ ทำกับคลินิกที่น่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและการเห็นผลลัพธ์ที่ดี

25


จำนวนมากเกินไป ทำให้ยากต่อการดูแลจนเกิดปัญหาสิ่งสกปรกสะสมได้ การกำจัดขนจึงช่วยให้ดูแลรักษาความสะอาดง่ายขึ้น ลดเหงื่อ ลดกลิ่นอับ เพิ่มความสวยงาม ความมั่นใจให้มากขึ้น ในบทความนี้จะพูดถึงวิธีการต่าง ๆ ในการกำจัดขนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ รวมถึงเปรียบเทียบวิธีการกำจัดขนในด้านต่าง ๆ

กำจัดขนด้วยวิธีไหนได้บ้าง ?

เมื่อก่อนมีเพียงวิธีการกำจัดขนที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เช่น การโกน หรือการถอน เป็นวิธีที่เรียบง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีสูง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีได้พัฒนาก้าวหน้าขึ้น ทำให้มีวิธีกำจัดขนให้เลือกหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยวิธีกำจัดขนที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ มีดังนี้

1.กำจัดขนด้วยการโกน



วิธีกำจัดขนแบบชั่วคราวที่ง่ายและรวดเร็ว ใช้ใบมีดโกนขนบริเวณที่ต้องการออก แต่ผลคงอยู่ได้ไม่นาน 1 - 2 วัน ขนก็เริ่มกลับมาขึ้นใหม่ วิธีนี้มีข้อดีคือสะดวก รวดเร็ว กำจัดขนได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่ข้อเสียคือขนขึ้นใหม่เร็ว เสี่ยงต่อการเกิดบาดแผล และมีโอกาสเกิดขนคุดได้ง่าย

2.กำจัดขนด้วยการถอน

ใช้แหนบดึงถอนขนบริเวณพื้นที่เล็ก ๆ เช่น รักแร้ คิ้ว ขนหน้า ขนจะขึ้นมาใหม่ช้ากว่าการโกน แต่การถอนจะสร้างความระคายเคืองให้กับผิวได้มากกว่า ข้อดีวิธีนี้คือสะดวก สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ข้อเสียคือจะรู้สึกเจ็บขณะทำ หากทำไม่ถูกวิธี อาจทำให้รูขุมขนอักเสบ เกิดปัญหาขนคุดและตุ่มหนังไก่ตามมาได้

3.แว็กกำจัดขน

การแว็ก ใช้แว็กร้อนหรือเย็นจับเส้นขนแล้วดึงออก สามารถกำจัดขนได้ถึงโคน ซึ่งขนจะขึ้นช้ากว่าการโกน แต่จะรู้สึกเจ็บกว่า เหมาะสำหรับบริเวณขาและรักแร้ มีข้อดีคือกำจัดขนออกได้ทั้งราก ส่วนข้อเสียคือจะรู้สึกเจ็บได้มากกว่าวิธีอื่น ๆ และหากดึงไม่ถูกวิธี อาจทำให้ผิวอักเสบ ระคายเคืองได้

4.ครีมกำจัดขน

การใช้ครีมกำจัดขน มีส่วนผสมของสารเคมีที่สามารถละลายเส้นขน นิยมใช้กำจัดขนบนแขนขา แต่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะคนที่ผิวบางแพ้ง่าย วิธีนี้ข้อดีคือราคาประหยัด หาซื้อได้ง่าย และไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ แต่ข้อเสียคือครีมกำจัดขนมักมีกลิ่นฉุน และอาจทำให้ระคายเคืองได้ง่าย

5.เลเซอร์ขนกำจัดขน



เลเซอร์กำจัดขน เป็นการใช้พลังงานเลเซอร์ทำลายรากขน เป็นวิธีกำจัดขนแบบถาวรที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีเลเซอร์ให้เลือกหลายแบบ ที่นิยมคือ DIODE LASER และ YAG LASER ทั้ง 2 แบบสามารถทำได้ทั่วร่างกาย แต่มองถึงประสิทธิภาพและความปลอด YAG LASER ตอบโจทย์ได้มากกว่า แต่ราคาก็แพงกว่า DIODE LASER เช่นกัน


ข้อดีของเลเซอร์ขนคือสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร สามารถช่วยหยุดการเติบโตของเส้นขน ทั้งขนเก่าเเละขนใหม่ที่กำลังจะเกิด ให้ลดน้อยลงเเละจางหายไปอย่างถาวรไม่ทำให้เกิดปัญหาขนคุดและตุ่มหนังไก่ ส่วนข้อเสียคือมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ ที่กล่าวมา

6. IPL กำจัดขน

ใช้พลังงานแสงช่วยทำลายรากขน ราคาถูกกว่าเลเซอร์ แต่ก็ให้ประสิทธิภาพในการกำจัดขนน้อยกว่าเช่นกัน ปัจจุบันจึงไม่ได้รับความนิยม ในการนำมาใช้เพื่อกำจัดขน เพราะต้องทำหลายครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน ข้อดีวิธีนี้คือราคาไม่สูงชช จ็บน้อย แต่ข้อเสียคืออาจเสี่ยงทำให้ผิวไหม้ได้มากกว่า และไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม หรือขนสีอ่อน

กำจัดขนวิธีไหนดีที่สุด ?

การจะเปรียบเทียบว่าวิธีการกำจัดขนแบบไหนดีที่สุด ต้องดูจากหลายปัจจับ รวมถึงความพึ่งพอใจในแต่ละบุคคล รวมด้วย เช่น

  • ด้านลักษณะการกำจัดขน
    - หากต้องกำจัดเส้นขนที่โผล่เหนือผิว : การโกน และการใช้ครีมกำจัดขน สามารถทำได้
    - กำจัดเส้นขนออกทั้งราก : การถอน การแว็ก การเลเซอร์ขน แนะนำทำเลเซอร์จะลดผลข้างเคียงได้ดีกว่า ไม่เสี่ยง ผิวอักเสบ เกิดขนคุด ผิวหนังไก่ ตามมา

  • ด้านผลลัพธ์
    - เห็นผลลัพธ์ชั่วคราว : การโกน การถอน การแว็ก และการใช้ครีมกำจัดขน
    - เห็นผลลัพธ์ถาวร (หากทำอย่างต่อเนื่อง) : การเลเซอร์ขน

  • ด้านราคา
    - ราคาประหยัด : การโกน การถอน การแว็ก และการใช้ครีมกำจัดขน
    - มีค่าใช้จ่ายสูง : การเลเซอร์ขน

  • ด้านความเจ็บ
    ขึ้นอยู่กับความไวต่อความรู้สึก ลักษณะเส้นขนและปริมาณเส้นขนของแต่ละคน
    - ไม่รู้สึกเจ็บ : การโกน และการใช้ครีมกำจัดขน
    - รู้สึกเจ็บ : การถอน การแว็ก การเลเซอร์ขน และการทำ IPL

    สรุป

    การเลือกวิธีกำจัดขนที่ดีที่สุดนั้น ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งลักษณะผิว ความหนาแน่นของขน และงบประมาณ แต่หากมองในแง่ของผลลัพธ์และความคุ้มค่า การเลเซอร์ขนนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากสามารถกำจัดขนได้อย่างถาวร ครอบคลุมทุกบริเวณ รวมถึงไม่ทำให้เกิดขนคุด การเลเซอร์ขนจึงเป็นวิธีกำจัดขนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน
    - https://www.thaifranchisecenter.com/forumboard/index.php?action=post;board=111.0 - https://www.thaifranchisecenter.com/forumboard/index.php?action=post2;start=0;board=111

26
ในยุคสมัยที่ทุกคนต่างแสวงหาความงามและความอ่อนเยาว์ การดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการชะลอวัยและเพิ่มความสดใสให้ใบหน้าคือ การฉีด “ฟิลเลอร์ร่องแก้ม” ค่ะ

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ช่วยเติมเต็มร่องแก้มลึกได้ปลอดภัยแค่ไหน ? เหมาะกับใครบ้าง ? ที่สำคัญช่วยให้หน้าเด็ก เต่งตึง อย่างเป็นธรรมชาติ ได้จริงหรือไม่ ?  บทความนี้มีคำตอบ

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม คืออะไร ช่วยแก้ปัญหาใดได้บ้าง ?
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม (Cheek Filler) คือ การใช้สารเติมเต็ม HA ฉีดเข้าไปในบริเวณแก้มที่หย่อนคล้อยหรือมีร่องลึก เพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ใบหน้าดูอิ่มเอิบ เต่งตึง และอ่อนเยาว์ ฟิลเลอร์ช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึก ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้าซ้ำๆ และใบหน้าที่เหี่ยวย่นจากการเสื่อมสภาพของคอลลาเจนตามอายุที่เพิ่มขึ้นได้ จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการชะลอความเสื่อมของผิวและเพิ่มความกระชับให้ใบหน้า

ฟิลเลอร์ร่องแก้มช่วยทำให้หน้าเด็กลงได้อย่างไร ?
เมื่อเราอายุมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียความยืดหยุ่นและคอลลาเจน ทำให้เกิดริ้วรอยและความหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มร่องแก้มให้ตื้นขึ้น ลดเลือนริ้วรอย เพิ่มปริมาตรให้แก้มอิ่มเอิบ ใบหน้าจึงดูเด็กลง ไม่โทรม เมื่อใบหน้าได้รับการเติมเต็ม ยังส่งผลให้ใบหน้าโดยรวมดูกระชับ ยกกระชับและเต่งตึงขึ้น จึงช่วยเพิ่มความอ่อนเยาว์ และทำให้หน้าดูเด็กลงได้อย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะกับใครบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา

  • ร่องแก้มลึก แก้มตอบ  จากอายุที่มีขึ้น
  • ใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยจากวัยที่เพิ่มขึ้น จนเสียความมั่นใจ
  • ผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัด
นอกจากนี้ผู้ที่มีใบหน้าผอม แก้มลีบ หรือขาดมิติ ก็สามารถเลือกใช้วิธีนี้ในการปรับรูปหน้าให้ดูอิ่มเอิบ สดใส และอ่อนวัยได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญเห็นผลรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น
ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ปรับรูปหน้า เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ควรทำคู่กับหัตถการใด ที่ทำให้หน้าเด็ก อ่อนเยาว์
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มสามารถทำควบคู่ไปกับการฉีดฟิลเลอร์บริเวณอื่น ๆ ของใบหน้า เพื่อสร้างความสมดุลและกลมกลืน เช่น ฟิลเลอร์ขมับ ฟิลเลอร์ใต้ตา หรือฟิลเลอร์คาง ที่ช่วยปรับรูปหน้า เพิ่มความกระชับ และลดริ้วรอย
นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถทำคู่กับการรักษาอื่น ๆ เพื่อผลลัพธ์มีประสิทธิภาพ เช่น การร้อยไหม การฉีดโบท็อก การฉีดเมโสหน้าหน้าใส รวมถึงเครื่องยกกระชับอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ และระยะห่างในการทำอย่างเหมาะสม  เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื่น และอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ เท่าไร กี่ CC ?
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดร่องแก้มจะแตกต่างกันตามสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ปริมาณ 1-2 ซีซี (cc) ต่อข้าง รวมเป็น 2-4 ซีซีต่อการทำ 1 ครั้ง

ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินและแนะนำปริมาณที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงสัดส่วนใบหน้า ความสมดุล และผลลัพธ์ที่ต้องการ ควรทยอยฉีดเพื่อควบคุมปริมาณและสร้างความเป็นธรรมชาติ ไม่ควรฉีดปริมาณมากจนเกินไปในครั้งเดียว เพราะอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ และเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ยี่ห้อฟิลเลอร์ร่องแก้มที่เหมาะสม ราคาแพงไหม ?

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม มีฟิลเลอร์ให้เลือกใช้หลายยี่อห้อ เช่น Juvederm, Restylane, Belotero เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นฟิลเลอร์แบรนด์ดัง ที่แพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับ ปลอดภัย สลายได้ตามธรรมชาติ

โดยปกติแล้วราคาของการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะอยู่ในช่วง 10,000-20,000 บาทต่อ 1 ซีซี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและคลินิกที่เลือกใช้บริการ แต่เมื่อเปรียบเทียบราคากับประสิทธิภาพและความปลอดภัยแล้ว ฟิลเลอร์เหล่านี้ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน เพื่อเติมเต็มร่องแก้มและเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้ใบหน้าอย่างมั่นใจ เพราะสามารถคงผลลัพธ์ได้นาน  8-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มดีไหม ก่อนฉีดมีอะไรบ้างที่ควรรู้ ?
การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มร่องแก้มตื้น และเพิ่มความอิ่มเอิบให้ใบหน้า ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอความเสื่อมของผิวและเสริมความอ่อนเยาว์ แต่ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ สิ่งที่ควรพิจารณา คือ

  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและข้อบ่งชี้ในการฉีด
  • เลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานและเป็นยี่ห้อที่เชื่อถือได้
  • ฉีดในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
  • ทำความเข้าใจถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการบวม ช้ำ และไม่สมมาตร
  • ดูแลรักษาผิวภายหลังการฉีดตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ระวังการสัมผัสแดดจัด งดกด บีบ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เป็นต้น

สรุป

มาถึงตรงนี้จะเห็นว่าการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้คุณสามารถชะลอวัย สร้างความอ่อนเยาว์ และเติมเต็มความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งนี้ความงามที่แท้จริงเป็นสิ่งที่มาจากภายใน การเติมเต็มสุขภาพกายและใจให้สมบูรณ์ พยายามไม่เครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ก็จะช่วยให้เรามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ได้อย่างยั่งยืนค่ะ



27

ฟิลเลอร์ คือ หัตถการที่มักได้รับคำแนะนำให้ทำเป็นอย่างแรก ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้า เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? แท้จริงแล้วฟิลเลอร์ คือ ตัวช่วยชั้นดีที่สามารถลดเลือนริ้วรอย ร่องน้ำหมาก ร่องแก้ม ร่องใต้ตา แถมยังปรับเสริมเติมแต่งรูปหน้าในแบบที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะสายเกา หรือสายฝอ รับรองว่าเอาอยู่หมด

มาถึงตรงนี้ เพื่อน ๆ อาจจะมีคำถามกันแล้วว่า ฟิลเลอร์ คืออะไร ? มีข้อดีอย่างไร ? เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ? ฟิลเลอร์แท้ดูได้จากอะไร ? บทความนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปไขข้อข้องใจกันค่ะ

ฟิลเลอร์ คืออะไร ? ทำไมมักถูกแนะนำให้ทำ


อย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้นนะคะเพื่อน ๆ ว่าหัตถการอย่างแรก ๆ ที่มักได้รับการแนะนำให้ทำ คือ การฉีดฟิลเลอร์ ที่ช่วยแก้ปัญหาบนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม ปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที

ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA ที่ฉีดเสริมเข้าไปในใต้ชั้นผิว เพื่อทดแทนคอลลาเจน และอิลาสตินที่ยุบตัวลง ช่วยยกพยุงกระดูก ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาผิวที่มีริ้วรอยร่องลึกบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้าให้กลับมาเต่งตึง เปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์ ปรับรูปหน้าให้มีมิติ มีความสมดุลมากขึ้นได้

นอกจากความหมายข้างต้นแล้ว ฟิลเลอร์ยังมีความหมายในทางการแพทย์ด้วยนะคะ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะแตกต่างจากความเข้าใจเดิมของเพื่อน ๆ ได้ มาทำความรู้จักฟิลเลอร์ในความหมายอื่นไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

ฟิลเลอร์ในความหมายทางการแพทย์

ในทางการแพทย์แล้ว ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มทุกชนิดที่ฉีดเข้าร่างกาย ไม่ได้จำกัดว่าเป็นสารใดสารหนึ่งค่ะ โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

1. ประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA เป็นฟิลเลอร์ที่ทุกคนรู้จักกันอยู่แล้ว เพราะนิยมใช้กันทั่วโลกอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สามารถสลายเองได้หมดตามธรรมชาติในระยะเวลา 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และรุ่นของฟิลเลอร์นั้น ๆ โดยไม่มีสารตกค้างใดในร่างกาย

2. ประเภท Transplanted Fat หรือการฉีดไขมัน เป็นการดูดไขมันจากบางส่วนของร่างกายแล้วย้ายไปเติมในจุดที่ต้องการปรับแก้ โดยนิยมใช้กับคนที่ต้องการฉีดครั้งละมาก ๆ หรือต้องการฉีดต่อครั้ง 10-20 cc ขึ้นไป

3. ประเภท Collagen ฟิลเลอร์กลุ่มนี้จำพวกที่สกัดมาจากสัตว์ เป็นฟิลเลอร์ที่ใช้มาตั้งแต่อดีต แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้รับความนิยม เพราะมีผลข้างเคียงหลายอย่างด้วยกัน สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์ หรือทำให้เกิดอาการบวมแดงได้ง่ายด้วยค่ะ

4. ประเภท Biosynthetic polymers กลุ่มของซิลิโคนเหลว เช่น Polymethylmethacrylate ซิลิโคนเหลวกลุ่มนี้เป็นอันตรายมาก เนื่องจากไม่สามารถสลายได้หมดค้างอยู่ในชั้นผิว ไม่มีความปลอดภัย และไม่ผ่านการรับรองจากอย. ไม่แนะนำให้ใช้ฟิลเลอร์ประเภทนี้เลยนะคะน่ากลัวมาก ๆ

ฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ได้รับการรับรองจาก อย. ประเทศไทย และอนุญาตให้ฉีดเข้าสู่ร่างกายได้ คือ ฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid หรือ HA นั่นเองค่ะ

ข้อดีของการใช้ ฟิลเลอร์ คืออะไร ?

- หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ไม่ต้องพักฟื้น
- ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย ร่องลึก ในส่วนต่าง ๆ บริเวณใบหน้าได้
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีรอยแผลเป็นให้กวนใจ
- แก้ไขปัญหาจุดที่ต้องการความละเอียดสูงได้ เช่น บริเวณใต้ตา ร่องแก้ม
- แก้ไขปัญหาจุดที่มีปัญหาได้อย่างแม่นยำ ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- สามารถเติมฟิลเลอร์ได้เรื่อย ๆ หากต้องการเสริมใบหน้าตรงจุดไหนเพิ่มเติม
- มีความปลอดภัย ไม่เกิดอาการแพ้ และไม่ทิ้งสารตกค้างใด ๆ ไว้ในร่างกาย
- ไม่ต้องเสี่ยงกับยาสลบสามารถฉีดได้เลย

ฟิลเลอร์ อันตรายไหม ?

ฟิลเลอร์ไม่เป็นอันตรายค่ะ เพราะเป็นสารเติมเต็มกลุ่ม Hyaluronic Acid ที่สร้างเลียนแบบสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกาย จึงมีความปลอดภัยสูง นิยมใช้ในวงการแพทย์ และคลินิกเสริมความงามกันอย่างแพร่หลาย

วิธีดูฟิลเลอร์แท้ คืออะไร ? ดูอย่างไรไม่ให้โดนหลอก

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ต้องให้แพทย์เปิดกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้าเท่านั้น

ฟิลเลอร์แท้ คือ ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากองค์กรอาหารและยา (อย.) ไทย และ องค์การอาหารและยา (FDA) จากสหรัฐอเมริกา สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในร่างกาย

เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเอง เพื่อน ๆ ควรรู้วิธีสังเกตฟิลเลอร์ด้วยนะคะว่าเป็นของแท้หรือไม่ มีบริษัทนำเข้า และจัดจำหน่ายอย่างถูกกฎหมายหรือเปล่า โดยสังเกตได้จาก

- บนกล่องบรรจุภัณฑ์ต้องมีเลขทะเบียนอย.
- ภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ต้องมีเอกสารกำกับภาษาไทย
- เลข Lot. ของกล่อง ซอง สติ๊กเกอร์ และหลอด ทั้ง 4 จุดต้องตรงกัน
- สามารถนำเลข Lot. โทรสอบถามกับบริษัทที่นำเข้า และจัดจำหน่ายโดยตรงได้

ข้อมูลข้างต้นคือวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้คร่าว ๆ เพราะแต่ละยี่ห้อจะมีจุดสังเกตต่างกันไปเล็กน้อยค่ะ ที่สำคัญก่อนฉีดเพื่อน ๆ จะต้องให้แพทย์ทำการแกะฟิลเลอร์ออกจากกล่องต่อหน้าด้วยนะคะ เพื่อให้มั่นใจว่ากล่องฟิลเลอร์ยังไม่ถูกเปิดผนึก และได้ฟิลเลอร์แท้แน่นอนค่ะ

สรุป

เพื่อน ๆ คงได้คำตอบกันแล้วใช่มั้ยคะว่า ฟิลเลอร์ คืออะไร ? ความหมายในแบบต่าง ๆ ของฟิลเลอร์ คืออะไรบ้าง ? หากเพื่อน ๆ สนใจหัตถการนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นฟิลเลอร์กลุ่ม HA แต่เพื่อน ๆ จะต้องใช้ฟิลเลอร์แท้ เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดข้อผิดพลาด สามารถมั่นใจถึงผลลัพธ์ และความปลอดภัยได้แน่นอนค่ะ

28
ร้อยไหมก้างปลา คืออะไร ? ช่วยเรื่องอะไร ? ต่างจากไหมชนิดอื่นอย่างไร ?


“ร้อยไหมก้างปลา” เป็นเทคนิคการยกกระชับใบหน้า โดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยการใช้เส้นไหมสอดเข้าไปใต้ชั้นผิว เพื่อยกหน้าพร้อมกับกระตุ้นคอลลาเจน เห็นผลได้ทันที เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้า ให้ดูเรียว วีเชฟขึ้น อย่างเร่งด่วน

สำหรับใครที่สนใจ อยากรู้ว่าร้อยไหมก้างปลา คืออะไร ? ช่วยอะไร ? เหมาะ-ไม่เหมาะกับใคร ? ราคาเท่าไหร่ ? ร้อยไหมก้างปลา VS ร้อยไหมชนิดต่าง ๆ แตกต่างกันอย่างไร ? อาการและปัญหาที่ควรรู้ หลังร้อยไหมก้างปลา มีอะไรบ้าง ? สามารถศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำ ในบทความนี้ได้ค่ะ

ร้อยไหม คืออะไร ?


ร้อยไหม (Thread lift) คือ เทคนิคการยกกระชับใบหน้า หรือ การปรับรูปหน้า โดยใช้เส้นไหมเล็ก ๆ หลายเส้น สอดเข้าไปใต้ชั้นผิว เพื่อยกและยืดผิวหนัง รวมถึงกระตุ้นคอลลาเจนในผิวบริเวณที่ต้องการ แก้ไขปัญหาผิว เช่น ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย ยกแก้มหย่อน ลดริ้วรอย ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัด สามารถทำได้ง่าย มีความปลอดภัยสูง

ร้อยไหมก้างปลา คืออะไร ?


ร้อยไหมก้างปลา คือการร้อยไหมเงี่ยงที่มีลักษณะคล้ายก้างปลา ร้อยเข้าไปในชั้นผิวโดยการใช้เข็มนำเส้นไหม เพื่อให้ไหมเกี่ยวผิวให้ยกกระชับ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รวมถึงเส้นใยอีลาสตินขึ้นใหม่เพื่อช่วยประคองผิวให้ตึงกระชับเข้ารูป ปรับหน้าเรียว รวมถึงลดความหย่อนคล้อย

ลักษณะไหมก้างปลา


นอกจากนี้การร้อยไหมเงี่ยง ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ  เช่น ไหมก้างปลา, ไหมเงี่ยงกุหลาบ,ไหมก้างปลา 8D, ไหม Rose, ไหมฟันฉลาม, ไหมจระเข้, ไหมปิรันย่า, ไหมล็อค,ไหมค็อก ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการตั้งชื่อของแต่ละคลินิก เพื่อความแตกต่างทางการค้า

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การร้อยไหมเงี่ยงจะมีหลายชื่อ แต่ประเภทเส้นไหมทั้งหมดล้วนเป็นไหม bidirectional barbed thread ด้วยกันทั้งหมด แตกต่างกันเพียงแค่วัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหมค่ะ

วัสดุที่ใช้ ในการร้อยไหมก้างปลา

วัสดุที่ใช้ในการร้อยไหมก้างปลา จะเป็นไหมละลายที่ใช้ในทางการแพทย์  มีความปลอดภัยสูง สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่มีสารตกค้าง ผลิตมาจากวัสดุ 3 ชนิด ที่ผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผลหรือนำมาใช้ทางการแพทย์

วัสดุ 3 ชนิดที่ใช้ในการผลิตไหมก้างปลา

ขอบคุณภาพ : V Square Clinic

- วัสดุไหม PCL (Polycaprolactone) เป็นไหมสีขาว รุ่นใหม่ล่าสุด มีความยืดหยุ่นสูง แข็งทน ไม่เปราะหักง่าย อยู่ได้นานที่สุด มักถูกนำมาผสมกับไหม PLLA + PCL เพื่อให้ไหมสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี และคงอยู่ได้นานขึ้น
- วัสดุไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid) เป็นไหมสีขาว ที่ถูกพัฒนามาจาก PDO กระตุ้นคอลลาเจนได้ดี แต่ไม่ค่อยยืดหยุ่น บาง เปราะ หักง่าย จึงไม่เป็นที่นิยม
- วัสดุไหม PDO (Polydioxanone) เป็นไหมสีน้ำเงิน มีความยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ ร้อยง่าย บวมน้อย ยืดหยุ่นสูงสุดในวัสดุ 3 ชนิด

ร้อยไหมก้างปลา ช่วยอะไร ?

- ช่วยยกกระชับผิว เพิ่มความชัดให้กรอบหน้า และปรับรูปหน้าให้เรียวเล็ก
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย แก้มหย่อน
- ช่วยลดแก้มตอบ เพิ่มเนื้อแก้มตอบให้ดูเต็ม
- ช่วยเสริมจมูกให้โด่งสวย รับกับใบหน้า
- ช่วยลดริ้วรอย ให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น

รีวิวก่อนทำ-หลังทำ
ร้อยไหมหน้าเรียว ยกกระชับหน้าหย่อนคล้อย





ร้อยไหมก้างปลา บริเวณไหนได้บ้าง ?


การร้อยไหมก้างปลา สามารถนำไปร้อยได้หลายจุดบนใบหน้า ดังนี้
จมูก : เพื่อช่วยปรับทรงสันจมูกให้ดูโด่งขึ้น มีเนื้อเพิ่มขึ้น ให้ผลลัพธ์คล้ายการเสริมซิลิโคน
ร่องแก้ม : เพื่อช่วยยกแก้มให้ตึงกระชับ แก้ปัญหาแก้มตก แก้มห้อย หรือร้อยไหมเพื่อปรับรูปหน้าให้ดูเรียว V Shape
หน้าผาก : เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยหน้าผาก  หน้าผากหย่อนคล้อย แต่ไม่ค่อยนิยม เพราะไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาตรงจุด แนะนำฉีดโบท็อกลดริ้วรอย จะเห็นผลดีและตรงจุดมากกว่าค่ะ
หางตา : เพื่อช่วยยกหางตา แก้ปัญหาหนังตาตก คิ้วตก ให้ดูเฉี่ยวคมแบบ foxy eyes
มุมปาก : แก้ปัญหามุมปากตก ปากคว่ำ ตำแหน่งนี้ไม่ค่อยนิยมเช่นกัน เพราะไม่ได้ช่วยยกมุมปากได้โดยตรง เสี่ยงไหมขาดได้ง่าย ช่วยยกมุมปากได้นิดหน่อยเท่านั้น

ร้อยไหมก้างปลา เหมาะกับใคร ?

- ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ แก้มหย่อนคล้อย แก้มตก แก้มห้อย
- ผู้ที่มีปัญหาแก้มดูตอบจากความหย่อนคล้อย ผิวขาดคอลลาเจน ไขมันเนื้อแก้มน้อย หลังร้อยไหมเนื้อเยื่อจะมีการกระตุ้นคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ดูเต่งตึงขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าบาน หน้าใหญ่ ต้องการปรับหน้าเรียววีเชฟแบบเห็นผลเร่งด่วน

ร้อยไหมก้างปลา ไม่เหมาะกับใคร ?

- ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ หรือเป็นแผล บริเวณที่จะร้อยไหม
- ผู้ที่มีไขมันสะสมบนหน้าเยอะเกินไป (แนะนำให้ฉีดเมโสแฟตก่อน)
- ผู้ที่มีภาวะเลือดไหลไม่หยุด (Bleeding Disorder)
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
- ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา หรือแพ้วัสดุไหม

ร้อยไหมก้างปลา VS ร้อยไหมชนิดต่าง ๆ แตกต่างกันอย่างไร ?

ร้อยไหมก้างปลา หรือ ร้อยไหมเงี่ยง


ไหมก้างปลา/ไหมกุหลาบ/ไหมเงี่ยง (Barbed threads/ Cog threads) เป็นไหมละลายที่มีเงี่ยงยื่นออกมา เมื่อสอดเข้าไปใต้ผิว จะช่วยเกี่ยวเนื้อเยื่อผิวให้ยกกระชับขึ้นได้ดี ใช้ในการยกกระชับแก้มที่หย่อน ลดแก้มตอบ เพิ่มความคมชัดให้กรอบหน้า และเป็นที่นิยมมากที่สุด มี 2 ขนาด คือไหมเงี่ยงใหญ่ และ ไหมเงี่ยงเล็ก

ร้อยไหมคอลลาเจน หรือ ร้อยไหมทับทิม



ไหมคอลลาเจน/ไหมเรียบ/ไหมทับทิม/ไหมโมโน (Mono threads) เป็นไหมละลายที่ไม่มีเงี่ยง ลักษณะจะเป็นเกลียวเส้นเล็ก ๆ ช่วยลดริ้วรอยได้ในบางจุด และกระตุ้นคอลลาเจนคล้าย ๆ กับฟิลเลอร์ แต่ไม่สามารถช่วยดึงยกกระชับผิวได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นไหมชนิดแรกๆ ที่นำมาใช้ แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว

ร้อยไหมเทอร์โบ หรือ ร้อยไหมกรวยซิลลูเอท


ไหมเทอร์โบ หรือไหมกรวยซิลลูเอท (Silhouette Soft) เป็นไหมละลายที่มีปมติดตามเส้นไหมเป็นระยะ ๆ ลักษณะคล้ายโคนหรือกรวย ช่วยในการยกกระชับหน้า หลังทำเห็นผลทันที แต่มีโอกาสบวมช้ำสูง เพราะต้องใช้เข็มขนาดใหญ่ในการร้อย ต้องใช้เวลาพักฟิ้นนานกว่าไหมเงี่ยง

ร้อยไหมสปริง หรือ ร้อยไหมทอร์นาโด


ไหมสปริง/ไหมทอร์นาโด/ไหมเกลียว เป็นไหมละลายที่มีลักษณะเป็นเกลียว (Screw Threads /Tornado Threads) ทำจากวัสดุ PDO เส้นเรียบ 1-2 เส้น พันเป็นเกลียว ก่อนสอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นไหม ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย หรือยุบเป็นแอ่ง ให้เรียบตึงขึ้น รวมถึงช่วยปรับรูปหน้า ยกแก้มส้ม สำหรับใครที่ต้องการร้อยไหมประเภทนี้ อาจต้องระวังเรื่องการบวมช้ำหลังร้อยไหม

ร้อยไหมมิ้นท์ (Mint Lift)


ไหมมิ้นท์ (Mint Lift) เป็นไหมละลายที่ถูกพัฒนาเพื่อช่วยในเรื่องการยกกระชับหน้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเส้นไหมจะมีลักษณะพิเศษคือมีเงี่ยงทั้ง 360 องศา เพื่อช่วยในการยึดเกาะเนื้อเยื่อได้หลายทิศทาง ตัวไหมแข็งแรง ไม่เปราะง่าย เห็นผลดีในการยกกระชับหน้า ผ่าน อย.

ร้อยไหมโครงตาข่าย (Tesslift Soft)


ไหมโครงตาข่าย (Tesslift Soft) เป็นไหมละลายที่มีเงี่ยงและปกคลุมด้วยตาข่ายด้านบน ทำให้มีคุณ สมบัติเด่นเรื่องความแข็งแรงของเส้นไหม ยึดเกาะเนื้อเยื่อได้หลายทิศทางช่วยในการยกกระชับและพยุงผิวที่หย่อนคล้อยได้ดี ผ่านการรับรองจาก CE Approved (European Conformity) สามารถทนแรงต้านได้ดีกว่าไหมทั่วไปถึง 80 เท่า เพราะการใช้ไหมโครงตาข่าย 1 เส้น เทียบเท่ากับการร้อยไหม 2 เส้น

ร้อยไหมก้างปลาดีไหม ?

การร้อยไหมก้างปลา ถือเป็นหัตถการที่ดี เทียบเท่ากับการทำศัลยกรรมดึงหน้าขนาดเล็ก สามารถยกกระชับใบหน้าให้เต่งตึง หน้าเรียวขึ้น ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลชัดเจนทันทีหลังทำ  มีความปลอดภัย และไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน

ร้อยไหม แบบไหนดี ?

ในปัจจุบัน การร้อยไหมก้างปลา ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเส้นไหมสามารถยึดเกาะกับเนื้อเยื่่อผิวได้ดี หลังทำเห็นผลทันทีว่าผิวยกกระชับขึ้น และช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน

อย่างไรก็ตาม การร้อยไหมแบบไหนดี ? ไม่สามารถตอบได้อย่างแน่ชัด เนื่องจากไหมแต่ละชนิด แก้ไขปัญหาได้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ ว่าจะเลือกใช้เส้นไหมชนิดใด ให้เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันของคนไข้แต่ละเคส เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีและมีความปลอดภัยหลังร้อยไหม

ร้อยไหมก้างปลา กี่วันเห็นผล ?

หลังร้อยไหมก้างปลา สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรก และจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่หลังผ่านไป 1 เดือน อาจมีอาการช้ำและบวม 14 วันหลังร้อยไหม แต่เป็นอาการหลังร้อยไหมทั่วไปที่สามารถหายได้เอง โดยไม่เป็นอันตราย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

อาการและปัญหาที่ควรรู้ หลังร้อยไหมก้างปลา มีอะไรบ้าง ?


อาการที่อาจพบ หลังร้อยไหมก้างปลา

- หน้าบวม
หลังร้อยไหม ในช่วง 3-4 วันแรก จะมีอาการบวมมากถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นอาการบวมจึงจะค่อย ๆ ยุบลง จนหน้าเรียวเข้าที่ใน 14 วัน

หากหลัง 4 วันอาการบวมไม่บรรเทาลง แต่กลับบวมแดงและปวดมากขึ้น ต้องรีบกลับมาพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจประเมิน และรับยากลับไปรับประทานเพิ่ม

ปัญหาที่อาจพบ หลังร้อยไหมก้างปลา

- อ้าปากได้น้อย ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพราะตึงไหมที่ร้อยเข้าไป
- หน้ามีรอยบุ๋ม รอยยุบ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แล้วจะหายไปได้เอง อาการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากไหมยังไม่เข้าที่ดี (ในกรณีนี้ มักมีโอกาสเกิดกับคนที่ผิวหย่อนคล้อยมาก ๆ)
- หน้าเป็นคลื่น ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ในกรณีมีเลือดออกมาก สามารถใช้ผ้ารัดใบหน้าได้ หากแพทย์แนะนำ
- เสียวไหม จะรู้สึกแปลบ ๆ จากเส้นไหมที่ร้อยเข้าไป ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เนื่องจากไหมเสียดสีบริเวณใบหน้า
- ไหมขาด มักเกิดจากการอ้าปากกว้าง ๆ หรือแสดงสีหน้ามากเกินไป รวมถึงแพทย์ที่เลือกใช้เส้นไหมไม่ได้คุณภาพ ใช้ไหมผิดประเภท
- เป็นก้อน ไต ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพราะเส้นไหมดึงผิวที่หย่อนคล้อยไปกองรวมกัน เมื่อไหมเข้าที่ ส่วนของใบหน้าที่เป็นก้อน ไต จะหายไปได้เอง
- รู้สึกว่าหน้าเบี้ยว ในช่วง 2 ชั่วโมงแรกหลังร้อยไหม ซึ่งเกิดจากการบวมยาชา หรือบวมแรงดึงของไหมที่ยกหน้าขึ้น เป็นอาการที่จะรู้สึกเพียงชั่วคราว จะสามารถกลับมาสู่สภาวะปกติได้เองเมื่อไหมเข้าที่

ร้อยไหมก้างปลา อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ร้อยไหมก้างปลาอยู่ได้นาน ประมาณ 4-12 เดือน ขึ้นอยู่กับวัสดุไหมก้างปลา (PDO,PLLA,PCL)
ที่นำมาใช้ ซึ่งอายุของวัสดุแต่ละชนิด ได้แก่

- วัสดุไหม PDO อายุ 4-5 เดือน
- วัสดุไหม PLLA อายุ 12 เดือน
- วัสดุไหม PCL อายุ 12 เดือน

นอกจากนี้ ร้อยไหมก้างปลา อยู่ได้นานแค่ไหน ? ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพผิวเดิมก่อนร้อยไหมก้างปลา และวิธีการดูแลตัวเองหลังร้อยไหมของแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน

วิธีการดูแลตัวเอง หลังร้อยไหมก้างปลา

สิ่งที่ทำได้ หลังร้อยไหมก้างปลา
✔ สามารถล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ ได้ไม่เกิน 15 นาที
ตรงรอยเข็มที่ร้อยไหม หลังทำ  3 ชม.
✔  สามารถประคบเย็นด้วยความเบามือ หากมีจุดไหนที่ยังบวมมาก หลังทำ 6 ชม.
✔  สามารถออกกำลังกาย และ กินอาหารได้ปกติ  ถ้าหายจากการบวม หลังทำ 14 วัน
✔ นอนในห้องแอร์ที่อุณหภูมิ 18-23 °C
✔ นอนหัวสูงกว่าหน้าอกโดยการหนุนหมอนที่ศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ

สิ่งที่ควรเลี่ยง หลังร้อยไหมก้างปลา
✖ ห้ามแกะ เกา หรือกดนวด บริเวณที่ร้อยไหม
✖ หลีกเลี่ยงการทาครีม อย่างน้อย 24 ชม.
✖ หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด และงดกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น ออกกำลังกายหนัก ๆ ตากแดด ลงสระว่ายน้ำ ดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 48 ชม.
✖ ไม่ควรนอนตะแคง หรือนอนคว่ำ
✖  ใน 1 เดือนแรก ไม่ควรแสดงสีหน้ามากเกินไป หรืออ้าปากกว้าง ๆ เช่น แปรงฟันแรง ๆ เพราะอาจทำให้ไหมขาด
✖  ใน 1 เดือนแรก งดเลเซอร์ ทำ RF thermage ทำทรีตเมนต์ นวดหน้า ขัดผิวหน้า
✖  ใน 1 เดือนแรก งดทำฟัน 

ร้อยไหมก้างปลา ราคาเท่าไหร่ ?

ราคาร้อยไหมก้างปลา ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่เลือกใช้ และจำนวนเส้นไหมที่ใช้ ดังนี้

ราคาร้อยไหมก้างปลา โดยประมาณ

ไหมก้างปลา PDO (อยู่ได้ 4-5 เดือน)
- ราคา 8,900-    | 6 เส้น
- ราคา 13,000-  | 10เส้น

ไหมก้างปลา PCL (อยู่ได้ 1 ปี)
- ราคา 14,000- | 4 เส้น
- ราคา 18,000- | 6 เส้น
- ราคา 25,000- | 10 เส้น

ไหม Mint Lift (อยู่ได้ 6-8 เดือน )
- ราคา 15,000- | 4 เส้น
- ราคา 25,000- | 8 เส้น
- ราคา 35,000.- | 12 เส้น

ไหม Tesslift Soft (อยู่ได้ 8-12 เดือน)
- ราคา 20,000- | 4 เส้น
- ราคา 28,000- | 6 เส้น
- ราคา 35,000- | 8 เส้น

ไหม Tesslift Foxy Eye แก้ตาตก (อยู่ได้ 4-5 เดือน)
- ราคา 25,000.- | 2 เส้น
- ราคา 40,000.- | 4 เส้น

ไหมก้างปลา PDO ร้อยจมูก (อยู่ได้ 6-8 เดือน)
- ราคา 9,900-   | 6 เส้น
- ราคา 15,000- | 10 เส้น

สรุป

ร้อยไหมก้างปลา เป็นเทคนิคที่ปลอดภัยและเห็นผลดีในการยกกระชับใบหน้าที่หย่อนคล้อย ให้กลับมาเต่งตึงขึ้น แต่ต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ก่อนตัดสินใจทำ ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ใช้เส้นไหมคุณภาพ รวมถึงศึกษาวิธีการดูแลตัวเองหลังร้อยไหมอย่างละเอียด เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาหลังร้อยไหม

29
ฟิลเลอร์ปาก ทรงไหนดี ต่างกันอย่างไร เทคนิคเลือกทรงปากให้เข้ากับใบหน้า

ฟิลเลอร์ปาก

การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นเทรนด์ความงามที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แต่นอกจากเทคนิคและประสบการณ์ของแพทย์ที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้หลังฉีดปากมาแล้วได้ทรงสวยเข้ากับใบหน้า ยังมีเรื่องของทรงปากที่ในการเลือกทรงปากนอกจากจะเลือกแบบปากที่ชอบแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับรูปหน้าของแต่ละคนอีกด้วย

ในบทความนี้เราได้รวบรวมทรงปากที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่กำลังหา reference ทรงปากสวย ๆ มาฝาก



เลือกทรงปากอย่างไร ให้เข้ากับใบหน้า

เลือกทรงปาก ให้เข้ากับใบหน้า

การเลือกทรงปากให้เข้ากับใบหน้า ต้องดูความเหมาะสมของสัดส่วนใบหน้า เพื่อให้ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วกลมกลืนไปกับหน้า อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด โดยมีจุดที่ควรพิจารณา ดังนี้

  • ริมฝีปากบน : ล่าง มีความเหมาะสมตามสัดส่วนทองคำ (Golden Ratio) 1:1.6
  • มุมปาก (Oral Commissures) ยกขึ้น ไม่ทิ่มลง
  • ขอบปาก (Vermillion Border) มีสัดส่วนเท่ากันทั้ง 2 ข้าง
  • เนื้อปาก อวบอิ่ม เรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย
  • เมื่อมองด้านข้างแล้วลากเส้นจากปลายจมูกลงมาที่คาง ริมฝีปากล่างควรจะแตะเส้นนี้พอดี ส่วนริมฝีปากบนควรจะห่างจากเส้นนี้ 2 mm
  • มีร่องริมฝีปากบน (Philtrum) ที่เป็นรูปตัว M ควรมีขอบหยักชัดเจน มีมิติ
  • เนื้อริมฝีปากล่างไม่ควรใหญ่เกินขอบเขตของยอดตัว M ของริมฝีปากบน

1. รูปทรงปากกระจับ (Cherry Kysse)

รูปทรงปากกระจับ

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปากกระจับ สไตล์เกาหลี ถือเป็นทรงที่ได้รับความนิยมมากมาอย่างยาวนาน และถือเป็นทรงปากในฝันของหลายคน ซึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากใช้การผ่าตัดเพื่อตกแต่งริมฝีปาก การฉีดฟิลเลอร์ปากก็สามารถปรับรูปทรงปากให้เป็นกระจับสวยได้ โดยการฉีดฟิลเลอร์ให้ริมฝีปากล่างอวบอิ่มคล้ายผลเชอร์รี่ และเติมเนื้อติ่งตรงกลางปากบน ก็จะได้ปากกระจับสวยโดยไม่ต้องผ่าตัด

2. รูปทรงปากอวบอิ่ม (Sexy Kysse)

รูปทรงปากอวบอิ่ม

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปากสายฝอ แบบตะวันตก เป็นอีกทรงที่ได้รับความนิยมสำหรับสาวไทย ที่อยากเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปากทั้งบนและล่าง โดยที่ผลลัพธ์ยังดูเป็นธรรมชาติ ทรง Sexy Kysse จะฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเนื้อปากในสัดส่วน 1:1 ก็จะได้ปากเต็มสวย มีเสน่ห์แบบสายฝอ

3. รูปทรงปากธรรมชาติ (Classy Kysse)

รูปทรงปากธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ปาก ทรงธรรมชาติ มีสัดส่วนปากบนเล็กกว่าปากล่าง เหมาะกับผู้ที่มีริมฝีปากบาง เนื้อปากน้อยและต้องการเพิ่มเนื้อปากให้หนาขึ้น แต่ไม่ได้อยากให้หนาแบบทรงสายฝอ นอกจากฟิลเลอร์จะช่วยให้ปากหนาขึ้น เต็มขึ้น ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากดูสุขภาพดี กลบร่องบนริมฝีปากให้ตื้นขึ้น เวลาทาลิปจะไม่มีปัญหาลิปตกร่อง

4. รูปทรงปาก Full Lip

รูปทรงปาก Full Lip

ฟิลเลอร์ปาก ทรงหนาอวบอิ่ม เป็นทรงที่เพิ่มเนื้อปากให้หนาทั้งบนและล่างในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน จะทำให้รูปปากโดดเด่นมาก เหมาะกับคนที่มีโครงหน้าชัด หน้าคม เมื่อฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วปากจะรับกับจมูก คาง ดวงตา ทรงนี้อาจไม่ค่อยเข้ากับโครงหน้าแบบคนเอเชีย ที่ไม่ได้มีโครงสร้างคิ้วเด่น ตาโต จมูกโด่ง คางยาว หากฉีดไปแล้วอาจดูไม่เป็นธรรมชาติได้

5. รูปทรงปาก Heavy Upper Lips

รูปทรงปาก Heavy Upper Lips

ฟิลเลอร์ปาก ทรง Heavy Upper Lips เป็นทรงปากสายฝอ โดยฉีดฟิลเลอร์เพิ่มให้เนื้อปากบนหนาขึ้น มีความเต็ม อวบอิ่ม หนา มากกว่าริมฝีปากล่าง เพิ่มเสน่ห์ให้เจ้าของใบหน้าเวลาพูดหรือยิ้ม เหมาะกับการแต่งหน้าคม ๆ เน้นดวงตาให้รับกับริมฝีปาก

6. รูปทรงปาก Heavy Lower Lips

รูปทรงปาก Heavy Lower Lips

ฟิลเลอร์ปาก ทรง Heavy Lower Lips เป็นทรงสายฝอ ได้รับความนิยมมากในฝั่งอเมริกา รวมถึงสาวไทยหลายคนที่นิยมทำปากทรงนี้ โดยการฉีดฟิลเลอร์เพิ่มให้เนื้อปากล่างหนาและอวบอิ่มขึ้น โดยที่ยังเป็นทรงสวย ไม่ดูปากเจ่อเกินไป

7. รูปทรงปาก Wide Lips

รูปทรงปาก Wide Lips

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปาก Wide Lips เป็นทรงที่มีลักษณะปากกว้างกว่าทรงอื่น เนื้อปากบนและล่างมีความอวบอิ่มสมดุลกัน สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าตัวเองปากแคบ ยิ้มไม่สวย ไม่มีมุมปาก ในการฉีดฟิลเลอร์แพทย์จะใช้เทคนิคยกมุมปาก เพื่อขยายให้ทรงปากดูยาวมากขึ้น

8. รูปทรงปากปีกนก

รูปทรงปากปีกนก

ฟิลเลอร์ปาก ทรงปากปีกนก เป็นอีกทรงที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย มีต้นแบบมาจากดาราสาวหลายคน เช่น อั้ม พัชราภา ปากปีกนกเป็นทรงปากที่มีลักษณะปากบนบางเป็นกระจับ มีมุมปากยกขึ้น เวลายิ้มจะเหมือนปีกนกที่กางออก แพทย์ต้องมีประสบการณ์และเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง จึงจะได้รูปทรงปากที่สวยงามและดูเป็นธรรมชาติ



ฟิลเลอร์ปาก ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
ประโยชน์ของฟิลเลอร์ปากแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ได้แก่
  • ฟิลเลอร์ปาก แก้ไขปัญหา คืนความอ่อนเยาว์
เมื่ออายุมากขึ้น ริมฝีปากจะบางลง แห้ง เป็นร่องแตก ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย การเติมฟิลเลอร์ปากจะช่วยเพิ่มเนื้อปากและทำให้ผิวปากเต่งตึง หรือสามารถใช้แก้ไขในคนที่เกิดอุบัติเหตุแล้วทำให้ปากไม่เท่ากัน เติมเต็มให้ปากกลับมามีความสมมาตร

  • ฟิลเลอร์ปาก เสริมความงาม เสริมโหงวเฮ้ง
ฟิลเลอร์ปากที่นิยมในปัจจุบัน คือการฉีดเพื่อเสริมความงามและเสริมโหงวเฮ้ง โดยการปรับทรงปากให้เป็นในแบบที่ต้องการ เพิ่มความคมชัดของขอบปาก เพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปากไม่แห้งลอก ไม่เป็นร่อง ดูฉ่ำน้ำ แก้ทรงปากคว่ำให้ยกขึ้น ด้วยเทคนิคฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก



สรุป
สำหรับในไทยก่อนหน้าที่ทรงปากที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์ปาก คือปากทรงเกาหลี แต่ปัจจุบันการฉีดปากทรงสายฝอ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ทั้งนี้เพื่อให้ได้ทรงปากที่เหมาะสมกับโครงหน้าเดิม ไลฟ์สไตล์ การแต่งหน้า ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ สามารถออกแบบทรงปากที่เข้ากับใบหน้าของแต่ละคนได้ ทั้งนี้การฉีดฟิลเลอร์ปากแตกต่างกับการผ่าตัดปาก เพราะฟิลเลอร์สามารถฉีดเพื่อสลายหรือแก้ไขใหม่ได้โดยไม่ยุ่งยาก ต่างกับกับผ่าตัดปากที่ทำแล้วได้ผลถาวร ดังนั้นถ้าฉีดฟิลเลอร์ปากมาแล้วไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ก็สามารถฉีดแก้ไขได้โดยไม่ต้องกังวล

30

ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ (Filler) ฉีดเพื่อเติมเต็มผิวบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้น รวมทั้งเติมเต็มริ้วรอย ปรับรูปหน้าให้สมส่วน มีมิติ และลดโอกาสการเกิดริ้วรอยร่องลึกในอนาคต ซึ่งแต่ละจุด ไม่ว่าจะเป็นใต้ตา / คาง / ร่องแก้ม /ปาก / ขมับ / หน้าผาก / จมูก แต่ละเคสจะใช้ปริมาณ CC ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละเคส ซึ่งคุณหมอจะวิเคราะห์ก่อนฉีดฟิลเลอร์

ในบทความนี้จะพาไปดูว่าแต่ละจุด ควรเติมเต็มฟิลเลอร์ได้กี่ CC ถึงจะเหมาะสม ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ การรู้ปริมาณ CC จะได้ช่วยเตรียมงบประมาณในเบื้องต้น เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่สามารถแก้ปัญหาที่ตรงจุด ภายใต้งบประมาณที่กำหนดได้ 


ฟิลเลอร์ใต้ตา

  • 2-4 CC
การแก้ปัญหาใต้ตา โดยส่วนมากจะเติมฟิลเลอร์ใต้ตา 2-4 CC ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละเคส เช่น ความลึก ริ้วรอย ความคล้ำของใต้ตา

ในเคสที่มีปัญหาไม่เยอะมาก ก็สามารถเติมฟิลเลอร์ใต้ตาข้างละ 1 cc หรือแบ่งฟิลเลอร์ 1 cc สำหรับฉีดใต้ตาทั้งสองข้างได้ หรือในเคสที่มีปัญหาใต้ตาลึก กระดูกใต้ตามีการยุบตัวมาก ๆ เช่น ในเคสที่อายุมากขึ้น กระดูกเบ้าตาก็จะทรุดตัวลงมากกว่าปกติ แพทย์ก็จะพิจารณาใช้ฟิลเลอร์มากขึ้น

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือผลลัพธ์ที่ต้องออกมาดูเป็นธรรมชาติ


ฟิลเลอร์คาง

  • 1-2 CC
ส่วนใหญ่แล้วหมอจะฉีดฟิลเลอร์คาง 1 CC โดยจะเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง เพื่อคงสภาพและอยู่ทรงได้นาน

ฟิลเลอร์คาง ไม่สามารถเติมคางให้ยาวลงมาได้เกิน 1 ซม. ในแคสที่มีปัญหาคางสั้น คางตัด คางบุ๋ม ต้องการปรับแก้รูปคางให้ยาวขึ้น ปริมาณฟิลเลอร์เพียง 1 CC ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน

การฉีดฟิลเลอร์คางกับแพทย์ที่มีประสบการณ์จะช่วยคำนวนปริมาณ เลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

  • 1-3 CC
คุณหมอจะเป็นคนประเมินตามความเหมาะสม ในเคสที่อายุไม่เยอะมาก อายุ 30-40 ปี มีร่องแก้มที่ไม่ลึกมาก ส่วนใหญ่จะใช้ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ทั้ง 2 ข้างแค่ประมาณ 1-2 CC แต่ถ้าในกรณีที่คนไข้ที่อายุเยอะ เช่น 50 ปีขึ้นไป คุณหมอจะพิจารณาใช้ฟิลเลอร์จำนวนหลาย CC (บางเคสใช้ 3-4 CC)

นอกจากนี้อาจจะต้องทำ hifu หรือร้อยไหมร่วมด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หน้าเด็กลงอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด


ฟิลเลอร์ปาก

  • 1-2 CC
โดยทั่วไปการฉีดฟิลเลอร์ปากเติมเพียง 1 CC หลังฉีดก็เห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากคนที่ปากบางมาก หรืออยากได้ทรงอวบอิ่มแบบฝรั่ง ต้องการเพิ่มวอลลุ่มมาก ๆ อาจจะต้องใช้ 2 CC โดยการจะปรับทรงปากให้สวยงามเหมาะกับรูปหน้าของแต่ละคน ก็จะต้องประเมินความเหมาะสมเป็นเคส ๆ ไป


ฟิลเลอร์ขมับ

  • 2-4 CC
สำหรับฟิลเลอร์ขมับ ในเคสส่วนมากจะใช้ประมาณข้างละ 1-2 CC ขึ้นกับความลึกของขมับตอบ หมอจะช่วยประเมินและแนะนำให้ตามความเหมาะสม แพทย์ประสบการณ์สูงจะเลือกใช้ฟิลเลอร์รุ่นที่เหมาะสมกับโครงสร้างใบหน้า และผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ เติมเต็มขมับตอบ ขมับยุบ นอกจากจะเป็นการปรับรูปหน้าให้สมส่วน ยังช่วยให้ดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น รวมถึงช่วยเสริมโหงวเฮ้ง ทั้งในด้านการค้าและธุรกิจ เชื่อว่าคนที่มีขมับเต็มอิ่มจะทำให้รับทรัพย์ มีคนอุปถัมภ์ค้ำชู


ฟิลเลอร์หน้าผาก

  • 3-5 CC
เมื่ออายุมากขึ้น ในเคสที่ร่องหน้าผากบริเวณเหนือคิ้วที่ยุบตัวลง ต้องการเติมฟิลเลอร์ให้ร่องตื้นขึ้น หน้าผากเรียบเข้ารูป อยากให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ต้องการความโหนกนูน จะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ไม่มาก 1-2 CC ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนในเคสที่ต้องการเสริมโหงวเฮ้งหน้าผากให้โหนกนูน ก็สามารถเลือกรูปของคนที่หน้าผากสวย ๆ ไปให้หมอดูเป็นตัวอย่างได้ เพื่อประเมินว่าควรใช้ฟิลเลอร์กี่ cc ถึงจะเหมาะสม

ฟิลเลอร์หน้าผาก ไม่ควรฉีดเกินครั้งละ 5 CC เพราะอาจกิดการกดทับเนื้อเยื่อและบวมลงมาถึงบริเวณรอบดวงตา หมอจะจะค่อย ๆ ทยอยฉีดทีละ 3-5 CC รวม ๆ แล้วฟิลเลอร์ที่ใช้ก็จะอยู่ในช่วง 3-10 CC


ฟิลเลอร์แก้มส้ม

  • 1-2 CC
ฟิลเลอร์แก้มส้ม โดยทั่วไปใช้ข้างละ 1 CC ขึ้นอยู่กับความต้องการและปัญหาของแต่ละเคส ถ้าใบหน้ามีปัญหามาก แก้มตก แก้มแบน ร่วมกับปัญหาอื่น ๆ เช่น มีร่องใต้ตา ร่องแก้ม มุมปาก ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูโทรม ไม่สดใส แก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม

โดยจะเป็นการเติมฟิลเลอร์เข้าไปบริเวณกลางหน้าหรือพวงแก้ม ซึ่งมีการยุบตัวของกระดูก กล้ามเนื้อ ไขมัน ทำให้ผิวหย่อนคล้อย หรือเป็นร่องริ้วรอย สามารถฉีดฟิลเลอร์ร่วมกับฟิลเลอร์ใต้ตา ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อเติมเต็มร่องลึก ก็จะช่วยให้ได้แก้มส้มที่สวย ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น


สรุป

จะเห็นได้ว่าการฉีดฟิลเลอร์แต่ละจุดใช้ปริมาณ CC ที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัญหา สภาพผิว รวมถึงงบประมาณ ในการเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์และรุ่นฟิลเลอร์ที่เหมาะสม

ฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ จสามารถะวางแผนการรักษา เริ่มแก้ไขที่สาเหตุหลักก่อนตามงบประมาณและความต้องการของคนไข้เป็นหลัก เนื่องจาการฉีดฟิลเลอร์เป็นสารเติมเต็ม HA ที่มีความปลอดภัย สลายได้เอง ไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย สามารถเติมเพิ่มได้เรื่อย ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงาม คงความอ่อนเยาว์ไว้ได้เป็นธรรมชาติมากที่สุด



31
บริการทั่วไป | General Services / บริการด้านความงาม
« เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2021, 05:10:16 AM »
บริการด้านความงาม ความรู้ด้านความงาม ที่จะทำให้คุณสวยขึ้นได้อย่างทันกาล แม้เวลาจะผ่านไป แต่คุณยังคงดูดี

32
เสื้อโปโล เป็นเสื้อผ้าที่เราสามารถใส่ได้ในทุกสถานการณ์ หลายๆบริษัท หลายๆองค์กร ต่างก็มักจะนิยมหยิบยกประเภทเสื้อผ้า อย่าง เสื้อโปโล มาเป็นแบบสั่งตัดเสื้อโปโลเป็นของตนเองไม่ว่าจะสั่งตัด สั่งผลิตเป็นชุดพนักงาน ใส่ทำกิจกรรม ใส่ออกบูธ หรือแจกเป็นของขวัญในการทำกิจกรรมทางการตลาด

และถ้าเราอยากจะสั่งผลิตเสื้อโปโลกับโรงงานผลิตเสื้อโปโลสักที่ เราจะต้องรู้อะไรบ้าง ?

ลองมาดูรายละเอียดที่ต้องรู้ก่อนการสั่งผลิตเสื้อโปโลกันครับ

1.การเลือกโรงงานผลิตเสื้อโปโล

ปัจจุบันมีบริษัทหรือโรงงาน รับผลิตเสื้อโปโล อยู่เยอะมากภายในประเทศไทย แต่จะเลือกบริษัทหรือโรงงานผลิตเสื้อโปโลที่ไหนดี ที่จะได้คุณภาพ ในราคาที่สมเหตุสมผล ในส่วนนี้ อันดับแรก เราต้องเริ่มจากการหาข้อมูลกันก่อน เช่นการค้นหาผ่านทาง Google ดูว่ามีใครบ้างที่รับทำเสื้อโปโล เราอาจจะค้นหา จากคำว่า รับทำเสื้อโปโล, รับผลิตเสื้อโปโล หรือ โรงงานผลิตเสื้อโปโล เจอจ้าวไหนแล้วก็ลองอ่านรายละเอียดในเว็บไซต์ของเขาดูก่อน ถ้าจ้าวไหนมีการให้รายละเอียดที่เยอะ ครบถ้วน มีตัวอย่างงาน ผลงานจากลูกค้ามาแสดงโชว์ด้วย ให้นำมาเก็บไว้เป็นอันดับต้น สัก 3-4 ชื่อก็พอครับ

2. การออกแบบและแพทเทิร์นเสื้อของเสื้อโปโล

หลังจากได้รายชื่อโรงงานผลิตเสื้อโปโล ก็ลองมาออกแบบเสื้อโปโล ว่าเราอยากได้แบบไหน ที่จะสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้กับบริษัทหรือองค์กรของเรา เราอาจจะดูตัวอย่างจากเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมเอาไว้ข้างตน แล้วนำแต่ละแบบมา mix and match ให้ได้เป็นรูปแบบของตนเอง พร้อมกับจัดวางสีที่ต้องการ ซึ่งสียอดนิยม ก็มักจะเป็นสีกรมท่า

3. เนื้อผ้าในการสั่งผลิตเสื้อโปโล

เนื้อผ้าเสื้อโปโล ที่นิยมนำมาผลิต จะมี TK, TC, CVC, Dry-tech

ผ้าแต่ละแบบก็จะแตกต่างกันออกไปดังนี้

  • TK เป็นผ้าโพลีเอสเตอร์ 100% เป็นผ้าที่ทำมาจากเส้นใยสังเคราะห์ จึงมีราคาที่ถูกมากที่สุด แต่ใส่ไปนานๆ ตัวผ้าจะขึ้นขน สีซีด ดูไม่สดใหม่ เหมาะกับบุคคลที่ต้องการสั่งผลิตเสื้อโปโลในช่วง 6 เดือนครั้งหรือ ใส่เฉพาะกิจกรรมเป็นต้น
  • TC เป็นผ้าที่ผสมระหว่าง โพลีเอสเตอร์ กับ คอตตอน โดยจะมีส่วนผสมของ โพลีเอสเตอร์มากกว่าคอตตอน จึงทำให้ผ้ามีการระบายอากศได้ดีกว่า TK และขึ้นขนยากกว่านิดนึง ในด้านราคาก็จะแพงกว่านิดนึงด้วยเช่นกัน
  • CVC เป็นผ้าที่มีส่วนผสมของ คอตตอน > โพลีเอสเตอร์ จึงทำให้ได้ผ้าที่มีความนุ่มมากกว่าผ้า TC TK และระบายอากาศได้ดีกว่า เป็นเนื้อผ้ายอดนิยมในการสั่งผลิตเสื้อโปโล เนื่องจากได้เสื้อผ้าคุณภาพดี ในราคาปานกลาง ไม่แพงและไม่ถูกจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่ต้องการสั่งผลิตเสื้อโปโลคุณภาพดี ในระดับราคาปานกลาง
  • Dry Tech เป็นเนื้อผ้าที่เพิ่มเติมนวัตกรรมรูปแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยี ในการผลิตแบบทอสองชั้น สามารถใช้เป็นเสื้อโปโลได้ทั้งสองด้าน ด้านนึงเป็น คอตตอน และอีกด้านเป็น Micro-Fibered Polyster อยู่ที่โรงงานผลิตเสื้อโปโลว่าจะเลือกด้านใดเป็นด้านนอก และด้านใดเป็นด้านใน มีคุณสมบัติมากกว่าผ้าชนิดอื่น ยับยาก รีดง่าย ไม่หด ไม่ย้วย ไม่ร้อน ใส่ได้ตลอดทั้งวัน ในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะออกแดดหรือในร่ม สวมใส่ได้ยาวนาน เหมาะกับผู้ที่ต้องการสั่งผลิตเสื้อโปโลคุณภาพดีมาก และรับได้กับราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าผ้าชนิดอื่น

4. การปัก การสกรีน เสื้อโปโล

การปักเสื้อโปโล เราจะได้ลายที่มีความคงทน ภาพอยู่ได้นาน โดยไม่หลุดหรือลอก แต่ถ้าหาเราได้โรงปักที่ไม่ดี ก็อาจจะทำให้ด้ายที่ใช้ปักหลุดลุ่ยได้ง่าย ดังนั้นเราควรที่จะดูด้วยว่าโรงงานนั้นปักแบบใด ปักโดยใช้เครื่องจักรรึเปล่า
ในส่วนของงานสกรีน ก็จะมีราคาถูกกว่าของงานปัก แต่ภาพจะหลุด ลอก ได้ง่ายกว่า ปัจจุบัน ก็มีงานสกรีนหลากหลายแบบให้เลือก ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกแบบไหน โดยที่นิยมกันก็จะเป็น ซิลค์สกรีน, พลาสติซอล,

5. ต้นทุนในการสั่งผลิตเสื้อโปโล

มาถึงในข้อสุดท้าย ที่สำคัญมากที่สุด นั้นก็คือ ต้นทุนในการสั่งผลิตเสื้อโปโล ในกรณีที่เรามีต้นทุนการผลิตสูง เราอาจจะพิจารณาเลือกเป็นผ้า CVC หรือ ผ้า Dry Tech ที่มีคุณภาพสูง สวมใส่ได้ยาวนาน และใส่สบายกว่าผ้าชนิดอื่น
ในกรณีมีต้นทุนการผลิตต่ำ หรือมีช่วงเวลาที่ต้องการสั่งผลิตบ่อย การเลือกเนื้อผ้า TK หรือ TC ก็จะเหมาะสมมากกว่า เพราะทำให้ต้นทุนในการผลิตเสื้อโปโลถูกลง

ถีงตรงนี้ ถ้ามีคำตอบ ของทั้ง 5 ข้อ ที่ผมได้บอกไปข้างต้นก็ เริ่มนำ list รายชื่อโรงงานผลิตเสื้อโปโลที่เก็บไว้ 3 – 4 ชื่อมาสอบถามกันครับว่าแต่ละที่เสนอราคาเท่าไหร่บ้าง โดยให้รายละเอียดการออกแบบโครงเสื้อตามข้อ 2 การเลือกเนื้อผ้าตามข้อ 3 และการเลือกปัก หรือสกรีน ตามข้อ 4 นั้นเอง ถ้าจ้าวไหน พูดคุยด้วยแล้วถูกใจ ก็ Deal กับจ้าวนั้นได้เลยครับ

หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในด้านต่างๆ ก็สอบถาม ปรึกษากับ โรงงานผลิตเสื้อโปโล เก้า ห้า แวริ่ง จำกัด ได้ที่ https://ninefivewearing.com/ ที่นี่ เขามีประสบการณ์ในด้านการรับผลิตเสื้อโปโล หรือด้านงานที่เกี่ยวกับผ้ามามากกว่า 10 ปีแถมยังทำแบบครบวงจร พร้อมปัก-สกรีน ในที่เดียว มีเนื้อผ้าให้สั่งผลิตได้หลากหลายแบบมาก

การันตี ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนแน่นอนครับ

หน้า: [1]