ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - nemophilanie

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7
101
   “กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มที่จะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับพนักงานออฟฟิศทั้งหลาย เพราะช่วยกระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่า ยังช่วยให้สมองมีสมาธิจดจ่อ ทำงานยาวนานได้ตลอดทั้งวันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้หลายสำนักงานจึงมี เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ติดไว้ในห้องครัวเพื่อคอยบริการพนักงานและลูกค้า ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าควรเลือกเครื่องชงกาแฟแบบไหนให้เหมาะกับสำนักงาน

วิธีเลือกเครื่องชงกาแฟสำหรับสำนักงาน
   เครื่องชงกาแฟสด มีด้วยกันหลายราคาตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักแสน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและฟังก์ชันการใช้งาน ซึ่งวิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟให้เหมาะกับสำนักงานของเราควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. เลือกเครื่องชงกาแฟให้เหมาะกับการใช้งาน
   เครื่องชงกาแฟสำหรับสำนักงานมีด้วยกัน 3 ระบบ ได้แก่ เครื่องชงกาแฟแคปซูล (CAPSULE), เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ (ESPRESSO MACHINE) และ เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ (FULLY AUTOMATIC COFFEE MACHINE) ซึ่งแต่ละระบบก็จะมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกัน เช่น เครื่องชงกาแฟแคปซูล มีข้อดีตรงที่ราคาไม่แพง ใช้งานง่าย ชงกาแฟได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ ไม่สามารถเลือกเมล็ดกาแฟต่าง ๆ ได้ เลือกได้เฉพาะที่ผู้ผลิตวางขายเท่านั้น เป็นต้น หรือเครื่องชงแบบเอสเพรสโซ่ ที่สามารถชงกาแฟสดได้หลากหลาย แต่ข้อเสียคือมีอุปกรณ์ที่ต้องใช้หลายอย่าง มีขั้นตอนการชง และต้องอาศัยผู้ชงที่มีฝีมือและประสบการณ์
2. การดูแลรักษาในระยะยาว
   เครื่องชงกาแฟก็เป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่ง ต้องการการดูแลรักษา ทำความสะอาด รวมถึงเปลี่ยนอะไหล่เมื่อถึงเวลาอันสมควร ดังนั้น การเลือกเครื่องชงกาแฟที่หาอะไหล่ได้ง่าย มีขั้นตอนการดูแลรักษาและการทำความสะอาดที่ไม่ยุ่งยาก จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของการดูแลรักษา แม้ราคาเครื่องอาจจะแพงสักหน่อย แต่ก็ถือเป็นการลงทุนในระยะยาว
3. การรับประกันและบริการหลังการขาย
   แน่นอนว่า เครื่องชงกาแฟสำหรับสำนักงาน เครื่องหนึ่งราคาไม่ใช่ถูก ๆ ก่อนเลือกซื้อจึงควรเช็กกับผู้ขายว่ามีการรับประกันในส่วนไหนบ้าง รวมถึงมีการดูแลหลังการขายอย่างไรบ้าง เพราะหากซื้อเครื่องที่ประกันไม่ครอบคลุมการบริการล้างทำความสะอาดเครื่อง เราก็อาจจะต้องเสียเงินตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่นในการล้างเครื่องแต่ละครั้ง แต่หากเครื่องมีประกันในส่วนนี้ก็จะช่วยประหยัดเงินในระยะยาวได้

ระหว่าง “เช่า” กับ “ซื้อ” เครื่องชงกาแฟ ควรเลือกแบบไหนดี?
   ปัจจุบันมีผู้ผลิต เครื่องชงกาแฟสด หลายเจ้าที่เปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเช่า-ซื้อเครื่องชงกาแฟออฟฟิศของตัวเองได้ ซึ่งการเลือกว่าจะเช่าหรือซื้อควรคำนึงถึงลักษณะการใช้งาน ตลอดจนขนาดของสำนักงานเป็นสำคัญ ยกตัวอย่าง หากเป็นสำนักงานขนาดเล็ก พนักงานไม่เกิน 10 – 15 คน ก็อาจจะเลือกเช่าเครื่องชงกาแฟเล็กขนาด 1 ลิตร หรือเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลที่มีขนาดกะทัดรัด สามารถชงกาแฟได้สูงสุดครั้งละ 15 ถ้วย แต่หากเป็นไปได้การลงทุนซื้อเครื่องให้จบ ๆ ไปเลยก็ถือเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งก็มีราคาให้เลือกตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่น ส่วนสำนักงานที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ พนักงานตั้งแต่ 20 – 30 คนขึ้นไป ก็อาจจะเลือก เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ขนาดใหญ่แบบ 2 หัวชง ความจุตั้งแต่ 5 ลิตรขึ้นไป สามารถชงกาแฟได้ครั้งละ 20 แก้ว ไปจนถึงหลักร้อยแก้ว แม้ราคาเครื่องขนาดใหญ่แบบนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่หลักแสน แต่ก็มีผู้ผลิตหลายเจ้าที่เปิดให้เช่าเครื่องในราคาหลักพัน
   ทั้งหมดนี้คือวิธีเลือก เครื่องชงกาแฟออฟฟิศ เบื้องต้นที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถเลือกซื้อหรือเช่าเครื่องชงกาแฟที่ดีตอบโจทย์กับสำนักงานของตัวเองได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อมีเครื่องชงกาแฟในโรงแรมและสำนักงานที่ดีแล้ว ก็ต้องเลือกกาแฟที่มีคุณภาพมาใช้คู่กันเพื่อให้ได้กาแฟรสชาติอร่อยโดนใจทั้งพนักงานและแขก

102
   ยามเช้าหากสามารถจิบกาแฟอุ่น ๆ สักแก้วถือเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนพิเศษของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหนึ่งใน เมนูกาแฟ ยอดฮิตที่คอกาแฟห้ามพลาดนั่นก็คือกาแฟผสมนม เหมาะมากกับการจิบยามเช้า เนมนุ่ม ๆ จะช่วยให้อยู่ท้อง แถมความหอมของนมยังทำให้เรากระปรี้กระเปร่าพร้อมที่จะเริ่มต้นเช้าวันใหม่อย่างเต็มเปี่ยม วันนี้เราจึงมาแบ่งปัน สูตรชงกาแฟสด แบบใส่นม 2 สไตล์ latte และคาปูชิโน่มาแนะนำที่รับรองว่าทำตามง่ายไม่ยุ่งยาก
   สิ่งแรกที่เราควรมีเลยก็คือเครื่องชงกาแฟสดที่มีฟังก์ชั่นครบในการชงกาแฟอย่างเครื่องชงกาแฟสดของ Nespresso เป็นเครื่องชงกาฟแคปซูลที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ต้องเสียเวลานาน ๆ ในการรอน้ำเดือดอีกต่อไป อย่างรุ่นที่มีระบบทำฟองนมมาในตัว Gran Lattissima  ก็เพียงเติมส่วนผสมต่าง ๆ อย่างแคปซูลกาแฟ น้ำเปล่าและนมสดลงไป เพียงปลายนิ้วสัมผัสเครื่องก็จะชงกาแฟสดออกมาให้อยากสมบูรณ์แบบทั้งรสชาติและกลิ่นหอม
   สูตรชงกาแฟสด เมนูแรกที่แนะนำก็คือเมนูกาแฟลาเต้ เป็นกาแฟผสมนมที่เน้นปริมาณนมมากกว่ากาแฟ จึงให้ความนุ่มละมุนของนมเป็นหลัก ความเข้มข้นของกาแฟจะน้อย เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความเข้มขมของกาแฟเป็นอย่างมาก วิธีทำก็เริ่มต้นจากการใส่แคปซูลกาแฟ นมสด และน้ำเปล่าลงไปในเครื่องชงกาแฟ Gran Lattissima แล้วกดปุ่มฟังก์ชั่นชง เมนูกาแฟ ลาเต้ รอไม่นานแค่ 5 นาที เครื่องจะรังสรรค์กาแฟลาเต้ออกมาได้อย่างกลมกล่อมลงตัว
   แต่ถ้าใครที่อยากจะดื่มแบบเน้นความสดชื่นในรูปแบบกาแฟเย็นก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็น สูตรลาเต้เย็น ก็เติมน้ำแข็งลงไปในแก้วกาแฟตั้งแต่ต้นก่อนกดปุ่มชงกาแฟ พอช็อตกาแฟลงมาจากเครื่องก็จะผสมกับน้ำแข็งกลายเป็นเมนูลาเต้เย็นง่าย ๆ แล้ว
   ส่วนใครที่ชื่นชอบฟองนมหนา ๆ แต่เน้นความเข้มข้นของกาแฟขึ้นมาหน่อยเมนูคาปูชิโน่เป็นอะไรที่ห้ามพลาด เพราะเป็น กาแฟใส่นม ในปริมาณน้อยกว่าเมนูลาเต้ หากแต่จะเพิ่มฟองนมหนานุ่มเข้ามาแทน จึงให้ทั้งรสสัมผัสของฟองนมและความเข้มข้นของกาแฟในคราวเดียวกัน สูตรนี้ทำง่าย ๆ ใช้ส่วนผสมแบบเดียวกับเมนูลาเต้เลย ต่างกันตรงกดปุ่มฟังก์ชั่นชงเมนูคาปูชิโน่ เพียง 5 นาที ก็จะได้ เมนูกาแฟ คาปูชิโน่ไว้ดื่มแล้ว
   ใครที่ชอบการดื่ม กาแฟใส่นม อยู่แล้วลองมองหานวัตกรรมกาแฟ Nespresso แล้วนำวิธีที่เราบอกต่อในวันนี้ไปทำตามดูแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องยากแบบที่คิด

103
ด้วยคุณสมบัติของกาแฟที่ช่วยให้ตื่นตัว เพราะมีคาเฟอีนที่ช่วยการทำงานของสมองตื่นตัวมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น กาแฟยังเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยในการเข้าสังคม เหมาะใช้ทั้งในการต้อนรับลูกค้าและในการสังสรรค์พูดคุยระหว่างพนักงาน กาแฟจึงเป็นเครื่องดื่มที่จำเป็นในสำนักงาน
   การมีกาแฟรสชาติดี ๆ ไว้ให้บริการในสำนักงาน นอกจากจะช่วยให้พนักงานประหยัดค่าใช้จ่ายในการหาซื้อกาแฟเองแล้วยังช่วยสร้างแรงจูงใจในการทำงานด้วย โดยเฉพาะถ้ามี เครื่องชงกาแฟในออฟฟิศ เป็น เครื่องชงกาแฟสด

   ก่อนที่จะไปดูว่า เครื่องชงกาแฟสด แบบไหนเหมาะกับที่ทำงานของเรา มาดูกันก่อนว่าคุณสมบัติที่ เครื่องชงกาแฟสำนักงาน ต้องมี มีอะไรบ้าง
1.   ใช้งานง่าย เพื่อให้พนักงานสามารถชงกาแฟได้ด้วยตัวเองและป้องกันการทำเครื่องเสียหายโดยการใช้ที่ไม่ถูกต้อง เช่น การมีปุ่มสั่งงานปุ่มเดียว และมีหน้าจอแสดงการทำงานของเครื่อง
2.   ได้กาแฟรสชาติดี พนักงานสามารถรื่นรมย์กับรสชาติที่ชื่นชอบได้ เครื่องชงกาแฟควรให้กาแฟที่นอกจากจะได้รสชาติที่ดีแล้ว ยังต้องให้รสชาติและคุณภาพที่คงที่สม่ำเสมอเหมือนกันทุกแก้วด้วย
3.   มีเมนูกาแฟให้เลือกหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของพนักงานและผู้มาติดต่อ ช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับสำนักงาน
4.   ผู้จำหน่ายเครื่องชงกาแฟมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้มั่นใจว่ามีผู้ให้บริการกรณีเครื่องมีปัญหา ผู้จำหน่ายที่เปิดดำเนินธุรกิจด้านเครื่องชงกาแฟมานานย่อมทำให้รู้สึกอุ่นใจได้มากกว่า
5.   ปริมาณกาแฟที่ทำได้ต่อวัน เครื่องชงกาแฟต้องสามารถให้บริการพนักงานได้ทั่วถึงและทันต่อความต้องการ นอกจากปริมาณที่จะชงได้ต่อวันแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงการใช้เวลาในการชงกาแฟแต่ละแก้วด้วย เพื่อรองรับความต้องการช่วงเช้าหรือช่วงพักกลางวันได้ดี
6.   เครื่องมีการออกแบบไว้สวยงาม เข้ากับการตกแต่งสำนักงาน เมื่อวางไว้ในสำนักงานแล้วช่วยให้สำนักงานดูดีขึ้น ไม่ขัดตา
7.   คุ้มค่าในระยะยาว นอกจากจะพิจารณาค่าเครื่องและวัตถุดิบแล้ว ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง เคลื่อนย้าย และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาด้วย

จากคุณสมบัติทั้ง 7 ข้อนี้ เราขอแนะนำ เครื่องชงกาแฟแคปซูล ด้วยมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานง่ายเพียงกดปุ่มเดียวและมีหน้าจอแสดงการทำงานจนได้กาแฟสดรสชาติดีออกมา มีแคปซูลกาแฟให้เลือกหลากหลายเมนูที่มีรสชาติคงที่เหมือนกันทุกแก้ว เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก ถูกออกแบบมาอย่างสวยงาม ใช้พื้นที่ไม่มาก ติดตั้งง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก สามารถยกไปใช้ในห้องประชุม หรือย้ายไปวางสนามหญ้าเมื่อมีกิจกรรมได้ ยิ่งกว่านั้นยังช่วยให้จัดสรรงบประมาณในการซื้อกาแฟง่ายขึ้น แคปซูลกาแฟแต่ละเมนูมีความสำเร็จรูปในตัวเองแล้ว และใช้เวลาไม่นานในการชงกาแฟแต่ละแก้ว

เครื่องชงกาแฟสดออฟฟิศ เช่าหรือซื้อดี   
เครื่องชงกาแฟมีทั้งแบบซื้อและเช่า การซื้อมีข้อดีคือได้เป็นทรัพย์สินของสำนักงานและจำหน่ายเป็นเศษซากเมื่อเลิกใช้งานได้ แม้ในระยะยาวค่าใช้จ่ายจะถูกกว่า แต่อาจมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเมื่อหมดระยะเวลารับประกัน ส่วนการเช่าทำให้ได้เครื่องมาใช้งานโดยใช้งบประมาณไม่มาก ไม่ยุ่งยากในการบันทึกบัญชีเพราะลงเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ได้เครื่องรุ่นใหม่มาใช้งานและได้รับการดูแลรักษาจากผู้ให้บริการตลอดการใช้งาน โดยแลกกับค่าเช่าที่ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่าการซื้อ

   หากยังตัดสินใจเลือกไม่ได้ว่าจะเช่าหรือซื้อ เครื่องชงกาแฟแคปซูล สำหรับใช้ในสำนักงาน สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจาก Nespresso ได้ เพียงคลิกเข้าไปที่ https://www.nespresso.com/pro/th/th/professional-contactus

104
   การดื่ม กาแฟสด ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในทุก ๆ วันของพนักงานออฟฟิศ เพราะจะช่วยปลุกความสดชื่นเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้การทำงานเต็มประสิทธิภาพ จึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นเหล่าหนุ่มสาวออฟฟิศมักจะถือแก้วกาแฟสดเดินกันให้ควัก วันนี้เราเลยจะมาแนะนำนวัตกรรมกาแฟดี ๆ จาก Nespresso อย่าง เครื่องชงกาแฟสดอัตโนมัติ ที่ควรมีติดไว้
   นวัตกรรมที่ว่านั้นคงหนีไม่พ้นเครื่องชงกาแฟรุ่น Gran Lattissima เครื่องชงกาแฟสดแคปซูล อัจฉริยะที่สามารถชงกาแฟได้หลากหลายเมนู ได้ทั้งกาแฟดำและกาแฟผสมนม เรียกได้ว่าครบจบทุกเมนูกาแฟ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายในการดื่มกาแฟภายในสำนักงาน มีเครื่องเดียวสะดวกสบายใครอยากชงดื่มเมนูไหนทำได้ง่าย ๆ ใน 5 นาที ไม่ต้องต่อคิวกันนาน ไม่ต้องรอต้มน้ำให้เดือดนาน ๆ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลารบกวนเวลางานนาน ๆ โดยใช่เหตุอีกต่อไป เพราะว่า เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ของ Nespresso มีระบบทำความร้อนเร็ว
   วิธีการใช้งานเจ้าเครื่องชงกาแฟรุ่นนี้ก็ง่ายมาก ๆ ไม่ต้องตระเตรียมอะไรให้ยุ่งยากมากความ เพราะเป็นเครื่องชงกาแฟที่ใช้งานร่วมกับ กาแฟแคปซูล จึงสะดวกสบาย ไม่ต้องใช้เมล็ดกาแฟคั่วบดให้วุ่นวาย เตรียมแค่น้ำเปล่า และนมสดไว้ทำนั้นเพียงพอแล้ว วิธีใช้งานก็เริ่มจากการเตรียมส่วนผสมต่าง ๆ ใส่ในตัวเครื่องทั้ง กาแฟแคปซูล น้ำเปล่า สำหรับชงกาแฟดำ ถ้าจะชงกาแฟผสมนมก็เพิ่มส่วนผสมที่เป็นนมสดลงไปเท่านั้นเอง จากนั้นก็กดปุ่มเปิดเครื่องชงกาแฟแล้วจะมีสัญญาณให้เลือกกดฟังก์ชั่นการชงกาแฟสด
ซึ่งก็มีมาให้เลือกถึง 6 ปุ่ม ตามเมนู ได้แก่ เอสเปรสโซ ลุงโก้ ลาเต้ คาปูชิโน่ มัคคิอาโต้ และฟองนมนุ่ม อยากจะดื่มเมนูไหนก็กดเลือกได้เลย แล้วเครื่องจะชงกาแฟสดตามเมนูนั้น ๆ ออกมาให้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งกาแฟและฟองนมผสมกันออกมาอัจฉริยะโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแค่ปลายนิ้วกดปุ่มราวกับมีเวทมนตร์ก็จะได้กาแฟสดแก้วโปรดไว้ดื่มแล้ว นอกจากจะใช้งานง่ายแล้ว เครื่องทำกาแฟแคปซูล รุ่น Gran Lattissima ยังมีรูปลักษณ์ดีไซน์ที่ทันสมัย ขนาดกะทัดรัดไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บ ไม่กินไฟเพราะมีระบบตัดไฟอัตโนมัติ เหมาะกับการอยู่คู่กับออฟฟิศอันทันสมัยได้อย่างกลมกลืนลงตัว
   ออฟฟิศหรือสำนักงานไหนที่อยากมีเครื่องชงกาแฟสดตัวเก่งไว้ประจำออฟฟิศเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การดื่มกาแฟสด ของพนักงานทุกคนพลาดไม่ได้เลยที่จะมีนวัตกรรมเครื่องชงกาแฟ Gran Lattissima อันทันสมัยใช้งานง่ายจาก Nespresso แล้วออฟฟิศของคุณจะเต็มไปด้วยสีสันและคึกคัก productive ขึ้นยิ่งกว่าที่เคย

105
โดยปกติแล้วการดื่มกาแฟร้อนก็เพื่อที่จะได้สัมผัสกับรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟที่อบอวลได้ด้วยพืชพันธุ์นานาชนิดที่รายล้อม เช่น กลิ่นฟรุตตี้, กลิ่นหอมของดอกไม้ ที่กาแฟซึมซับเอาไว้ในขณะที่เป็นผลสุกก่อนที่จะนำมาหมักและคั่วเพื่อดึงความหอมเหล่านั้นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยประเทศไทยเป็นเมืองร้อนจึงมีการคิดค้น เมนูกาแฟ เพื่อตอบโจทย์คอกาแฟที่หลงใหลในความเย็น โดยวันนี้จะมาแนะนำ สูตรกาแฟเย็น ให้ทุกท่านได้นำไปลองฝึกชงกันดู
1.   ICED CHOCOLATE COFFEE
สูตรกาแฟเย็น แบบเข้มข้นถึงใจจาก Nespresso ที่จะทำให้คุณลุ่มหลงในรสชาติและความประทับใจของ กาแฟใส่นม ถ้วยโปรดแก้วนี้ เมื่อนำ กาแฟใส่นม มา Mix & Math กับไอศกรีมช็อกโกแลตในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
สิ่งที่ต้องเตรียม : กาแฟแคปซูล Kazaar เข้มถึงใจ, นม, มาการองไซรัป 2 ซล.เกร็ดน้ำแข็ง 1 ช้อนโต๊ะและพระเอกของงานที่ขาดไม่ได้ไอศกรีมช็อกโกแลต 1 สคูป
วิธีการชง : ปั่นนมจนเป็นฟองหนาแน่น ด้วยเครื่องทำฟองนม Aeroccino หรือจากหัวฉีดไอน้ำจากเครื่องชงกาแฟเนสเพรสโซ่ ปรับโหมดเย็นและปั่นจนกว่าจะได้ฟองนมหนา นุ่ม พร้อมเติม ไซรัปลงไป กดเอสเพรสโซ่ด้วยแคปซูลกาแฟ Kazssr จำนวน 40 มล. เทกาแฟที่ได้ลงในกระบอกผสมเครื่องดื่ม แล้วเติมไอศกรีมตามลงไปแล้วเขย่าให้เข้ากัน เติมเกร็ดน้ำแข็งลงในแก้ว Recipe จากนั้นเทกาแฟจากกระบอกผสมเครื่องดื่มลงไป จากนั้นตกแต่งด้วยฟองนมตามที่ต้องการ ถือเป็นอันเสร็จสิ้น สูตรชงกาแฟสด เย็น สดชื่นให้คุณได้ดื่มเพื่อดับกระหายในหน้าร้อนได้
2.   สูตรลิมิเต็ด LIEGEOIS COFFEE BARISTA
เมนูกาแฟ สูตรเด็ดจากบาริสต้าที่น้อยคนนักจะได้ดื่มกับรสชาติที่ไม่มีใครเหมือน  เพราะ สูตรชงกาแฟสด นี้มาพร้อมกาแฟเย็นแสนอร่อยกับขนมปังอบหอมกลิ่นอบเชยเสิร์ฟเป็นอาหารว่างได้ทุกเวลา
สิ่งที่ต้องเตรียม : แคปซูลกาแฟ Liegeois, วิปครีม 1 ช้อนชา, ไข่แดง 1 หน่วย, น้ำตาลทราย 1 ช้อนชาและอบเชย
วิธีการชง : กดกาแฟแคปซูล Barista Corto ปริมาณ 40 มล. พร้อมทิ้งให้เย็นตัวลง จากนั้นตักไอศกรีมที่เตรียมไว้ใส่แก้วคาปูชิโน่ที่เตรียมไว้ แล้วเทกาแฟที่เตรียมไว้ใส่แก้วที่มีไอศกรีม ใส่วิปครีมและตกแต่งตามใจชอบ  เตรียมขนมปังด้วยการอบที่ความร้อน 210 องศาเซลเซียส เพื่อให้ร้อน
จากนั้นนำออกจากเตา หันเป็นชิ้นยาวประมาณ 2 ซ.ม. ทาด้วยไข่แดงและโรยผงอบเชยและน้ำตาลตามใจชอบ  นำไปเรียงใส่ถาดเพื่ออบอีกครั้งที่ อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส 8-10 นาที ก่อนปรับลดอุณหภูมิลงและพิจารณาสีของขนมปังจนเป็นสีน้ำตาล ค่อยนำออกจากเตา นำมาเสิร์ฟคู่กับกาแฟเย็นที่เตรียมไว้
ใครที่สนใจในสูตรกาแฟ ทั้ง 2 จาก Nespresso สามารถนำไปทดลองและปรับใช้ตามรสชาติที่ต้องการได้เลย แต่หากต้องการความสะดวกและรสชาติของกาแฟที่หลากหลาย ไม่ต้องเสียเวลาไปคัดสรรเมล็ดกาแฟด้วยตนเอง ลองหันมาเลือกใช้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติดู เพราะมีรสชาติกาแฟจากทั่วโลกให้ได้ลองมากกว่า 25 รส ไม่นับกาแฟแคปซูลเป็น Limited Edition ทผลิตออกมาในปริมาณที่จำกัดแต่ละช่วงเทศกาล หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.nespresso.com/th/ แล้วมาสนุกกับการชงกาแฟสดด้วยตนเองที่บ้านได้เลย


ชมรายละเอียดเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/th/th/most-popular-coffee-recipes

https://www.nespresso.com/th/th/black-coffee

https://www.nespresso.com/th/th/most-popular-coffee-recipes

https://www.nespresso.com/th/th/most-popular-coffee-recipes

106
หลายคนใช้ชีวิตเร่งรีบจนขาดการดูแลตัวเองโดยเฉพาะปัญหาผิว การฟื้นฟูผิวแบบเร่งด่วนด้วย เซรั่มหน้าใส ช่วยคืนความหวังของสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลา เรามาลองทำความรู้จักกับเซรั่มตัวเด็ดและวิธีแก้ปัญหาผิวอย่างได้ผล
เซรั่มคือสกินแคร์บำรุงผิวที่มีความเข้มข้นของส่วนผสมมากกว่าสกินแคร์แบบอื่น ๆ การทาเซรั่มจะทำให้ผิวของคุณได้รับการบำรุงที่เพียงพอต่อการฟื้นฟูผิวเสียให้กลับมาชุ่มชื้นขึ้น ผิวหน้าที่ได้รับเซรั่มบำรุงจะมีความกระจ่างใสขึ้นจากเดิม รูขุมขนกระชับ ริ้วรอยลดลง นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่น ๆ อีกมากมาย

ข้อดีของเซรั่ม
-   ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและครอบคลุมปัญหาผิวเพราะเซรั่มมีมากมายหลายประเภท
-   ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะไว้บนผิวชั้นนอกให้เกิดความรำคาญและที่สำคัญคือไม่ทำให้ผิวมันเยิ้มจนเกิดสิว
-   ผิวชั้นในจะได้รับการบำรุงมากกว่าการทาครีมชนิดอื่น ๆ เพราะเซรั่มสามารถซึมเข้าสู่ใต้ผิวหนังได้ลึกถึงโครงสร้างผิว
-   ผิวที่ไม่ได้รับการบำรุงมาก่อนจะได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เซรั่มเป็นทางลัดที่ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการทาครีมทั่วไป
-   สามารถใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์บำรุงชนิดอื่นเพื่อเสริมเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงให้ดียิ่งขึ้น

ประเภทของเซรั่มมีอะไรบ้าง
-   Anti-Acne เซรั่มป้องกันสิว ลดรอยดำจากสิว
-   Oil Control เซรั่มควบคุมความมันส่วนเกิน
-   Exfoliating เซรั่มผลัดเซลล์ผิว
-   Brightening เซรั่มปรับผิวขาวกระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ หรือที่นิยมเรียกกันว่า เซรั่มหน้าใส ของ ELCA
-   Hydrating เซรั่มเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
-   Anti-Aging เซรั่มช่วยลดริ้วรอย
-   Renewing เซรั่มช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว
-   Pore Tightening เซรั่มกระชับรูขุมขน

บอกลาผิวหมองคล้ำ ใช้เซรั่มอย่างไรให้หน้าใส
การใช้เซรั่มให้ได้ผลควรใช้หลังล้างหน้าและก่อนลงมอยส์เจอไรเซอร์ โดย วิธีใช้เซรั่มที่ถูกต้องก็คือ
-   ใช้ปริมาณน้อย เซรั่มที่มากเกินไปอาจทำให้หน้าเป็นสิว
-   ใช้นิ้วแตะเนื้อเซรั่มแล้ววางบนจุดต่าง ๆ ตั้งแต่หน้าผาก จมูก คาง แก้ม 2 ข้าง และคอ แล้วใช้นิ้วนวดวนเบา ๆ ให้เซรั่มกระจายตัว

ใครที่มีเวลาไม่มาก อยากได้การบำรุงที่ตรงจุดและเห็นผลชัดเจน การใช้เซรั่มจึงช่วยให้ผิวสวยใสและสุขภาพดี แต่จะใช้เซรั่มตัวไหนดี ใครที่ยังมองหาอยู่และยังไม่เจอเซรั่มถูกใจ ขอแนะนำผลิตภัณฑ์ ESTEE LAUDER ที่ผลิตจากสารบำรุงสุดพรีเมียม ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก ตอบโจทย์ปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ และริ้วรอย โดยเฉพาะตัวท็อปในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Advanced Night Repair พลาดไม่ได้ เพราะเป็นไนท์ครีมขายดีอันดับ 1 ของ ESTEE LAUDER ที่ต้องลอง


ชมรายละเอียดที่
https://www.wongnai.com/highlight-products/face-serums-for-clear-skin

107
ไม่ว่าคุณจะมีสภาพผิวแบบไหน ต่างก็สามารถเกิดภาวะผิวขาดน้ำได้ทั้งนั้น หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ การบำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการกักเก็บความชุ่มชื้น จึงเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยปรับสมดุลให้ผิวแข็งแรงไม่แห้งลอกหมองคล้ำ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องผิวขาดน้ำ ไม่แข็งแรงอยู่ละก็ บอกเลยว่าห้ามพลาดบทความนี้เป็นอันขาด เพราะเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับมอยเจอร์ไรเซอร์ ตัวช่วยเด็ดเรื่องผิวขาดน้ำ ถ้าอยากรู้ว่าคืออะไร ทำไมถึงควรใช้ ตามไปดูพร้อมกันได้เลย

มอยส์เจอไรเซอร์ คือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น ช่วยฟื้นฟูผิวจากความแห้งกร้าน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญทั้งในด้านสุขภาพผิวเอง รวมถึงประโยชน์ในด้านความงามด้วย เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับการรดน้ำลงบนต้นไม้ทุกวัน เมื่อผิวได้รับน้ำเพียงพอ ก็จะดูสดใส มีชีวิตชีวา เรียบเนียน และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้อีกด้วย

ส่วนผสมหลัก ของ Moisturizer พร้อมประโยชน์เพื่อบำรุงผิวให้เปล่งเปล่งดูสวยงาม
•   น้ำ ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวมีความนุ่มขึ้น ไม่แห้งกร้าน
•   สารดูดความชื้น (Humectants) เช่น ไกลเซอรีน ไฮยาลูรอนิก ช่วยดูดจับความชื้นที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ผิว รวมถึงดึงน้ำจากชั้นหนังแท้ขึ้นมายังผิวชั้นนอกเพื่อให้ผิวดูอิ่มน้ำสุขภาพดี
•   สารที่ช่วยกักเก็บน้ำ (Occlusive) หากเติมน้ำแล้ว ดูดความชื้นเข้ามาแล้ว แต่ผิวไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร จึงต้องใส่สารเคลือบผิวชั้นนอก เช่น ปิโตรเลียมเจล ไดเมธิโคน น้ำมันต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำในผิวระเหยออกไปอีก
•   สารที่ช่วยให้ผิวนุ่ม (Emollients) เช่น เชียบัตเตอร์ สควาเรน คอลลาเจน เป็นสารที่ช่วยเคลือบผิวเหมือนกัน โดยจะเติมเต็มร่องผิวชั้นนอก จึงทำให้ผิวนุ่มลื่น เนียนเรียบ

หากไม่ได้บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ ผิวก็จะขาดความชุ่มชื้น แห้งและหยาบกร้าน อ่อนแอ หากผิวขาดสมดุล ก็ทำให้ระคายเคืองง่ายหรืออาจเป็นแผลได้ง่าย ทั้งยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ อีกด้วย ก่อนตัดสินใจว่าจะเลือก ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ยี่ห้อไหนดี นอกจากจะดูที่ส่วนผสมแล้ว ก็ต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว และบำรุงผิวอย่างต่อเนื่องด้วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยเราขอแนะนำมอยเจอร์ไรเซอร์จาก Estee Lauder Resilience Multi-Effect เป็น moisturizer แนะนํา ของ ELCA เพื่อฟื้นบำรุงและเสริมความแข็งแรงให้ผิวกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง ช่วยให้ผิวดูเนียนใส เปล่งปลั่ง ริ้วรอยร่องลึกแลดูจางลง และยังช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีอีกด้วย รู้เช่นนี้แล้วอย่ามัวรอช้า รีบไปช้อปมาลองใช้กันได้เลย!

108
หากใครกำลังหาตัวช่วยดี ๆ บอกลาปัญหารอยแดงรอยดำจากสิวแบบเร่งด่วน อย่าง รองพื้นปกปิดรอยสิว ที่จะช่วยกลบร่องรอยจากสิวชั่วพริบตา เปลี่ยนผิวให้กลับมาเนียนใส โดยตัวช่วยที่ว่านี้คือรองพื้นคุณภาพเยี่ยม นอกจากทาออกมาดูเป็นธรรมชาติแล้วยังปกปิดรอยต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม คนเป็นสิวต้องรีบหามาครอบครอง

ส่อง รองพื้นปกปิดรอยสิว เสกผิวเรียบเนียนแบบเร่งด่วน
1.   Estee Lauder Double Wear Sheer Long-Wear Makeup Foundation SPF20 PA++
คนที่ชอบลุคผิวธรรมชาติเชื่อว่าต้องถูกใจรองพื้นขวดนี้ รองพื้นสูตรน้ำ เกลี่ยง่าย เนื้อบางเบา ทาแล้วเนื้อเนียนกลืนไปกับผิว หน้าไม่แห้ง ไม่มัน ที่สำคัญไม่อุดตันรูขุมขน มาพร้อมส่วนผสมอย่างวิตามินอีช่วยบำรุงผิว สารสกัดจากผลไม้ และสารปกป้องผิวจากสารแดด SPF 20 รวมถึงแสงสีฟ้า เสกผิวให้เนียนกริบพร้อมปกป้องผิวในขั้นตอนเดียว
2.   Estee Lauder Double Wear Maximum Cover Camouflage Makeup for Face and Body Broad Spectrum SPF 15
รองพื้นเนื้อครีมเน้นปกปิด อำพรางริ้วรอย รอยสิว เส้นเลือดขอด และรอยแผลเป็นได้อย่างดีเยี่ยม ทาครั้งเดียวแต่ติดทนนานตลอดวัน ให้ลุคกึ่งแมตต์ ดูเป็นธรรมชาติ มีสารป้องกันแสงแดด SPF15 พร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะ คนเป็นสิวสามารถใช้ได้เพราะไม่อุดตันและไม่ก่อให้เกิดสิว

วิธีเลือกรองพื้นให้เหมาะกับตัวเอง
•   เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว
สภาพผิวที่แตกต่างกันแน่นอนว่าต้องเหมาะกับรองพื้นสูตรแตกต่างกัน ก่อนตัดสินใจซื้อรองพื้นควรคำนึงถึงสภาพผิวเป็นหลัก หากผิวแห้งควรเลือกรองพื้นที่มีน้ำเป็นส่วนผสม แต่หากเป็นผิวมันควรเลือกสูตรปราศจากน้ำมันเพื่อไม่ให้หน้ามันเงาระหว่างวัน
•   เลือกให้เหมาะกับโอกาส
รองพื้นแต่ละรูปแบบมาพร้อมคุณสมบัติแตกต่างกันจึงควรเลือกให้เหมาะกับโอกาสหรือกิจกรรมแต่ละวัน หากเป็นวันออกงานที่ต้องการความเนี้ยบเป็นพิเศษควรเลือกแบบเนื้อครีมที่ปกปิดดีเยี่ยม ในขณะที่รองพื้นแบบน้ำเหมาะกับวันทำกิจกรรมเบา ๆ เน้นลุคสดใส ดูเป็นธรรมชาติ
•   เลือกเฉดสีแมทช์กับผิวหน้า
การทารองพื้นให้เป๊ะปังต้องเลือกรองพื้นที่ทาแล้วกลืนไปกับผิว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหน้าลอยหรือหน้าเทาระหว่างวัน เทคนิคลองรองพื้นที่ถูกต้องควรทารองพื้นบริเวณช่วงคาง ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างผิวหน้ากับผิวคอ ไม่ควรทดลองสีบริเวณข้อมือเพราะมีโอกาสเลือกสีผิดได้ง่าย

การเลือกรองพื้นให้เข้ากับลุคช่วยเสริมบุคลิกได้ สำหรับใครที่มองหา รองพื้นยี่ห้อไหนดี ของ ELCA ที่ติดทน ปกปิดรอยสิวได้อย่างดีเยี่ยม แต่ทาแล้วไม่หนา ไม่อุดตัน ห้ามพลาดรองพื้นรุ่นยอดนิยมจาก Estee Lauder การันตีจากผู้ใช้จริงว่าปกปิดเรียบเนียนแต่ดูเป็นธรรมชาติ ให้งานผิวสวยไร้ที่ติ และเพื่อการลดปัญหาสิวในระยะยาว เมื่อทารองพื้นแล้วอย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดเสมอด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางโดยเฉพาะ ลดโอกาสการสะสมของแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว เพียงเท่านี้ก็เป็นเจ้าของผิวหน้าเนียนใส ไร้ปัญหาสิวกวนใจ

109
   ฟองนมที่เป็นเอกลักษณ์บนกาแฟ คาปูชิโน่ นั้น เกิดจากวิธีที่เรียกว่าการตีฟองนม เพื่อให้อากาศเข้าไปในนมและแยกโปรตีน ไขมัน น้ำตาลออกจากน้ำนม แล้วมาช่วยพยุงฟองอากาศไว้ ได้เป็นฟองนมนุ่มละเอียด สามารถเทลงบนกาแฟได้โดยไม่จมลงไปในน้ำกาแฟ ฟองนมช่วยให้กาแฟมีรสชาตินุ่มละมุนมากขึ้นและช่วยรักษาอุณหภูมิของกาแฟไว้ด้วย

   ถ้าเราไม่มีเครื่องทำกาแฟสดที่มีก้านสตีมมาด้วย เราก็สามารถทำฟองนมได้ ที่ทำฟองนม มีอยู่หลายแบบให้เลือกตามการใช้งาน เรามาทำความรู้จัก เครื่องทำฟองนม กันก่อนว่ามีกี่แบบเพื่อจะได้เลือกให้ได้อย่างที่ต้องการ
1.   ก้านปั่นฟองนม เป็นก้านที่มีหัวปั่นเล็ก ๆ มีทั้งแบบที่ใส่ถ่านกับแบบชาร์จไฟผ่าน USB เป็นที่ทำฟองนมที่มีวิธีใช้งานเพียงแค่จุ่มลงไปในถ้วยเตรียมฟองนม แต่ต้องจุ่มให้ถูกตำแหน่งจึงจะได้ฟองนมดี ๆ ออกมา และต้องอุ่นนมก่อนหากต้องการทำฟองนมสำหรับกาแฟร้อน
2.   เหยือกปั้มฟองนม วัสดุเหยือกเป็นสแตนเลสทนทาน วิธีการก็คือใส่นมลงในเหยือกแล้วปิดฝาที่มีก้านปั้ม จากนั้นปั้มนมจนได้ฟองนมออกมา เครื่องที่ทำฟองนม แบบนี้นอกจากต้องเตรียมนมให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการแล้ว ยังต้องเตรียมเหยือกปั้มฟองนมด้วย เมื่อต้องการทำฟองนมเย็นก็ต้องนำเหยือกไปแช่เย็นไว้ก่อน หรือจะวางเหยือกไว้ในถังน้ำแข็งหรือใส่น้ำแข็งไว้ก่อนก็ได้
3.   เครื่องที่ตีฟองนม แบบไฟฟ้าหรือเครื่องทำฟองนมอัตโนมัติ ที่เพียงแค่ใส่นมแช่เย็นเข้าไปและกดปุ่ม แค่นี้ก็จะได้ฟองนมตามที่ต้องการออกมาแล้ว ใช้นมที่เราแช่ไว้ในตู้เย็นได้เลย ไม่ต้องอุ่นนมและไม่ต้องเตรียมเครื่องให้ยุ่งยากด้วย ไม่ต้องใช้แรงในการปั่นหรือปั้ม ไม่ต้องใช้ถ้วยตวงเพื่อดูปริมาณนมที่ใส่ เพราะในเครื่องมีระดับน้ำบอกไว้ สามารถทำฟองนมได้มากและได้ฟองนมที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ ยิ่งกว่านั้น นอกจากจะทำฟองนมแล้วยังสามารถใช้อุ่นนมและทำน้ำอุ่นได้ด้วย

สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเลือกที่ทำฟองนม
1.   เลือกเครื่องทำฟองนมแบบที่เหมาะกับความต้องการ เช่น ต้องการเครื่องที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องเตรียมนมหรืออุปกรณ์ ควรเลือกเครื่องทำฟองนมแบบไฟฟ้า แต่ถ้าต้องการความคล่องตัวไม่ต้องมีการเสียบสายไฟ ควรเลือก ที่ทำฟองนม แบบก้านปั่น เป็นต้น
2.   เลือกเครื่องที่แข็งแรงทนทาน เพื่อจะได้ใช้งานได้นานและต่อเนื่อง
3.   เลือกบริษัทผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายที่มีการรับประกันเครื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าหากมีความเสียหายหรือเครื่องมีปัญหาแล้วจะมีที่ซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ได้
4.   ขนาดบรรจุของเครื่อง เพื่อให้ได้ปริมาณฟองนมเพียงพอต่อครั้งที่ต้องการ

คราวนี้ก็เลือกเครื่องทำฟองนมสำหรับ คาปูชิโน่ แก้วโปรดได้แล้วนะคะ

110
น้ำตบ ถือเป็นสกินแคร์ที่ช่วยดูแลปัญหาผิว อุดมไปด้วยสารสกัดที่เข้มข้นและมีประสิทธิภาพสูง จึงช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด แต่หลายคนคงจะสงสัยใช่ไหมว่าจะเลือกน้ำตบแบบไหนดี และมีวิธีการเลือกอย่างไร เพราะปัจจุบันมีให้เลือกหลายยี่ห้อหลายสูตรให้เห็นมากมาย และแต่ละสูตรก็ไม่เหมือนกันเลย

วันนี้เราจะมาบอกต่อวิธีการเลือกน้ำตบแบบง่าย ๆ ให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง ใน 3 ขั้นตอน ถ้าอยากรู้ว่าเลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์ ยิ่งใช้ผิวยิ่งดี ตามไปดูกันเลย

1.   ปัญหาผิว อันดับแรกให้สังเกตปัญหาผิว รวมถึงสภาพผิวของตัวเองก่อน เพราะน้ำตบแต่ละสูตรถูกออกแบบมาเพื่อการแก้ปัญหาผิวที่ต่างกัน มีทั้งสูตรที่เพิ่มความกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย ลดความมัน ฯลฯ เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกให้ถูก หรืออาจจะใช้วิธีสังเกตจากส่วนผสมเป็นหลัก
-   ผิวแห้งกร้าน ระคายเคืองง่าย ควรเลือกสูตรที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ ช่วยเติมความชุ่มชื้น
-   ผิวมัน ควรเลือกสูตรที่ช่วยลดความมันหรือควบคุมความมันระหว่างวัน และหลีกเลี่ยงสูตรที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นจำนวนมาก
-   ผิวแพ้ง่าย ควรเลี่ยงสูตรที่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอม และแอลกอฮอล์
2.   เนื้อสัมผัส ควรมีความบางเบา ซึมซาบสู่ผิวได้ง่าย ไม่ทิ้งคราบ หรือทำให้รู้สึกหนักผิว แต่หากผิวแห้งมาก ก็ควรเลือกสูตรที่มีความเข้มข้นขึ้นมาหน่อย เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น
3.   อ่อนโยน ไม่อุดตัน ไม่ว่าจะเป็นผิวประเภทไหน ก็อาจเกิดสิวได้ทั้งนั้น จึงควรเลือกเป็นสูตรที่มีความอ่อนโยน และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน

วิธีการลง น้ำตบ ให้มีประสิทธิภาพ
วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้นั้นก็ง่ายมาก ๆ โดยใช้เป็นขั้นตอนแรกหลังล้างหน้าเสร็จ เพราะเป็นช่วงที่รูขุมขนเปิด และสามารถรับสารบำรุงดี ๆ ในน้ำตบได้อย่างเต็มที่ ให้หยดเนื้อผลิตภัณฑ์ลงบนฝ่ามือ และวอร์มบนมือเบา ๆ ตบลงบนใบหน้าให้ทั่วอย่างเบามือ จนผลิตภัณฑ์ซึมเข้าสู่ผิวทั้งหมด เท่านี้ก็พร้อมสำหรับการลงสกินแคร์ในขั้นตอนต่อไปแล้ว

   แล้วจะเลือก น้ำตบยี่ห้อไหนดี นั้น ขอแนะนำ “La Mer The Treatment Lotion” โลชั่นบำรุงผิวหน้าสูตรน้ำ ที่มาพร้อมเนื้อสัมผัส Active Liquid Hydrogel เอกสิทธิ์เฉพาะของ La Mer ซึมไว ไม่เหนียว อ่อนโยน ใช้ดีแม้ผิวแพ้ง่าย ช่วยมอบความชุ่มชื้น ฟื้นปัญหาผิวแห้งเสียขาดน้ำ รู้สึกผิวชุ่มชื้นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ กระตุ้นกระบวนการสร้างผิวใหม่ตามธรรมชาติ ทำให้ผิวสุขภาพดี เปล่งปลั่ง กระจ่างใส สีผิวสม่ำเสมอ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความกระชับ และลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยให้แลดูจางลง ผิวจึงดูอ่อนเยาว์เหมือนย้อนเวลา

111
ด้วยสภาพอากาศของประเทศไทยที่ร้อนตลอดทั้งปี ทำให้คนไทยมักพบปัญหาผิวหมองคล้ำ แห้งกร้านเนื่องจากรังสียูวีและแสงแดดทำลายความชุ่มชื้นใต้ผิวหนัง รวมถึงเป็นบ่อเกิดของปัญหาริ้วรอยก่อนวัย รอยแดง ผิวอ่อนแอ การบำรุงผิวด้วย มอยส์เจอไรเซอร์ หรือ เซรั่มช่วยหน้าใส จึงเป็นสกินแคร์ที่ช่วยแก้และปกป้องผิว กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการบำรุงผิว

ความแตกต่างของ มอยส์เจอไรเซอร์ และเซรั่ม
มอยเจอร์ไรเซอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวและคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอยก่อนวัย ส่วน เซรั่มลดริ้วรอย มีคุณสมบัติคล้ายกับมอยเจอร์ไรเซอร์ แต่แตกต่างกันตรงที่เซรั่มจะสามารถซึมซาบสู่ผิวได้ล้ำลึก อีกทั้งมีส่วนผสมที่เข้มข้นกว่า
การบำรุงผิวที่ดีที่สุด คือ การใช้ทั้งเซรั่มและมอยเจอร์ไรเซอร์ควบคู่กัน โดยลงผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิดตามลำดับที่ถูกต้อง คือ หลังจากล้างทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยคลีนซิ่งที่เหมาะกับสภาพผิวและซับผิวให้แห้งแล้ว ควรเช็ดผิวด้วยโทนเนอร์เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อาจตกค้างในรูขุมขนและปรับผิวให้พร้อมรับการบำรุงอย่างล้ำลึก จากนั้นจึงทาเซรั่มให้ทั่วใบหน้าและลำคอ พร้อมนวดคลึงให้ซึมซาบลงใต้ชั้นผิว ช่วยแก้ปัญหาผิว ปิดท้ายด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

วิธีตรวจสอบปัญหาผิวหน้าด้วยตัวเอง
   หลังจากทำความสะอาดใบหน้าแล้ว ให้ตรวจสอบด้วยการสังเกต การใช้มือสัมผัส หรือให้ชัดเจนที่สุดคือการใช้กระดาษซับมัน รอหลังทำความสะอาดใบหน้าประมาณครึ่งวัน ก็ใช้กระดาษซับมันแตะไปบริเวณโซนต่าง ๆ ของใบหน้า ได้แก่ หน้าผาก จมูก ปลายคาง และแก้มทั้งสองข้าง หากทุกส่วนมีความมันเท่า ๆ กันและมันมาก ก็เป็นผิวมัน หากมีความมันเฉพาะหน้าผาก จมูก ปลายคาง หรือที่เรียกว่าทีโซน ก็จัดว่าเป็นผิวปกติหรือผิวผสม หากไม่ค่อยมีความมันมากนัก ก็เป็นแบบผิวแห้ง การรู้ปัญหาผิวหน้าไว้ก่อนจะทำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทของผิวหน้าได้ดียิ่งขึ้น

ผิวแห้ง โทรม คล้ำ จับคู่เซรั่มและมอยเจอร์ไรเซอร์แบบไหนดี
โดยเซรั่มและมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เราแนะนำควรใช้คู่กันเพื่อแก้ปัญหาผิวแห้ง โทรม คล้ำ ดังนี้
Estee Lauder Advanced Night Repair Synchronized Multi-Recovery Complex Serum เซรั่มยอดขายอันดับ 1 ในประเทศไทยและเอเชียที่ช่วยแก้ปัญหาผิว 7 ประการตั้งแต่การลดเลือนริ้วรอย การฟื้นฟูผิวให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น ปกป้องผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติภายใน 3 สัปดาห์ คู่กับ Estee Lauder Revitalizing Supreme+ Youth Power Creme Moisturizer มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นพร้อมลดเลือนริ้วรอยและช่วยปรับสภาพผิวหน้าให้เปล่งปลั่งสุขภาพดีภายใน 4 สัปดาห์ หรือใช้เซรั่ม Estee Lauder Advanced Night Repair Synchronized Multi-Recovery Complex คู่กับ Revitalizing Supreme+ Global Anti-Aging Power Soft Emulsion มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบา ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งกร้าน คล้ำเสียและเติมเต็มความชุ่มชื้นระหว่างวันโดยไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ

การฟื้นฟูผิวที่ดีที่สุด ควรใช้ทั้งเซรั่มและมอยเจอร์ไรเซอร์จาก Estee Lauder ควบคู่กัน เพราะเซรั่มจะช่วยฟื้นฟูพร้อมบำรุงผิวชั้นในให้สุขภาพดีขึ้นจากภายในสู่ภายนอก และใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ฟื้นฟู บำรุง และปกป้องผิวจากมลภาวะ ทำให้ผิวสุขภาพดี แข็งแรง เนียนนุ่มชุ่มชื้นอย่างเห็นได้ชัด

112
เคยสังเกตไหมว่า ทำไมสาวผิวสวยจึงนั่งบำรุงผิวหน้าโต๊ะเครื่องแป้งได้เป็นเวลานาน ๆ นั่นก็เพราะว่าเขามีการบำรุงผิวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และที่สำคัญก็คือใช้สกินแคร์หลายตัว เช่น เซรั่มหน้าใส มอยส์เจอไรเซอร์ เอสเซนส์ ครีมรักษาเฉพาะจุด ทุกตัวต้องมีลำดับการทาก่อนและหลังเพื่อให้เนื้อครีมแต่ละตัวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมต้องเรียงลำดับการทาครีมบำรุง
การเรียงลำดับครีมบำรุงมีความสำคัญเพราะจะทำให้สกินแคร์แต่ละตัวซึมลงถึงชั้นผิวและทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น สำหรับการบำรุงในเวลาเช้าและเย็นจะมีขั้นตอนการทาครีมที่แตกต่างกันเพราะวัตถุประสงค์ของการทาครีมต่างกัน

ขั้นตอนการทาครีมตอนเช้า
เน้นการปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากสิ่งแวดล้อมและเครื่องสำอางที่ใช้ ขั้นตอนเริ่มจาก
1.   ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนเซอร์ ถูวนบนผิวหน้าเพื่อขจัดสิ่งสกปรกและกระตุ้นต่อมน้ำเหลือง
2.   ปรับสภาพผิวด้วยโทนเนอร์หรือใช้สเปรย์ฉีดหน้าที่ช่วยปรับสมดุลผิว
3.   ลงครีมสำหรับการดูแลรักษาผิวมีปัญหาเฉพาะจุด (สำหรับผิวมีปัญหา)
4.   ทาเซรั่มบำรุงและฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้น เช่น เซรั่มลดริ้วรอย เซรั่มที่ตรงกับสภาพผิว
5.   ทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อช่วยเคลือบผิวและป้องกันผิวจากสารเคมีในเครื่องสำอางและสิ่งแวดล้อมภายนอก
6.   ทาครีมกันแดด เน้นครีมที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่า เพื่อการปกป้องอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะออกกลางแจ้งหรือไม่ก็ตาม
7.   เริ่มขั้นตอนเมคอัพที่คุณต้องการ

ขั้นตอนการทาครีมก่อนนอน
   สำหรับขั้นตอนการบำรุงผิวตอนกลางคืนเน้นการบำรุงเข้มข้นกว่า เป็นการปลอบประโลมผิวหลังจากที่เผชิญมลพิษมาทั้งวัน ขั้นตอนเริ่มจาก
1.   เช็ดคราบเมคอัพให้สะอาดด้วยคลีนซิ่ง เช่น เจล ออยล์เช็ดเครื่องสำอาง ครีมล้างหน้า
2.   ล้างหน้าให้สะอาดด้วยโฟม เจล หรือสบู่
3.   เช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์เพื่อปรับสภาพผิว
4.   ลงเอสเซนส์ที่คุณมี (ถ้าไม่มีสามารถข้ามไปได้)
5.   ถ้ามีสกินแคร์เฉพาะจุด เช่น ครีมแต้มสิว ครีมทาฝ้าให้ลงในขั้นตอนนี้
6.   ลงเซรั่มที่เลือกใช้ตามสภาพผิว
7.   ทาอายครีมบำรุงรอบดวงตา
8.   ลงมอยส์เจอไรเซอร์ทั่วใบหน้าเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ใต้ผิว

ขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้นอาจไม่จำเป็นต้องทำทุกข้อ แนะนำให้ปรับใช้ที่เหมาะกับตัวเอง บางคนอาจไม่ต้องใช้สกินแคร์ทุกตัวก็ได้แค่เน้นการเรียงลำดับสกินแคร์จากเนื้อบางเบามากที่สุดไปจนถึงสกินแคร์เนื้อเข้มข้นมากสุดก็พอ และในช่วงระหว่างสัปดาห์ควรเพิ่มการมาสก์หน้าหรือใช้ Sleeping Mask และ Lip Mask สัปดาห์ละ 2 ครั้ง สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการ เซรั่มช่วยหน้าใส มอยส์เจอไรเซอร์ หรือสกินแคร์อื่น ๆ เพิ่มเติม ขอแนะนำผลิตภัณฑ์จาก ESTEE LAUDER ผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับโลกที่พร้อมแก้ปัญหาผิวหน้า มอบความชุ่มชื้นและคอยปรนนิบัติผิวคุณทุกวันทุกเวลา

113
เมื่อสาว ๆ มีรอยสิวโผล่ขึ้นมา ทำเอาเครียดไม่อยากออกจากบ้าน รองพื้นจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปกปิดรอยสิวให้ผิวหน้าสวยเนียนเรียบได้ดั่งใจ

รองพื้นช่วยอำพรางหรือปกปิดรอยสิว รอยแผลเป็น ฝ้า กระ รูขุมขน หรือริ้วรอยแห่งวัยบนใบหน้า เพื่อให้สีผิวของใบหน้ามีความสม่ำเสมอและเนียนสวย ปัจจุบันรองพื้นมีหลายประเภท แบ่งตามลักษณะของ Texture ได้ตามนี้
•   รองพื้นเนื้อครีม (Cream Foundation) เนื้อแน่นเข้มข้น ปกปิดเรียบเนียน แต่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าจึงเหมาะสำหรับผิวแห้ง
•   รองพื้นแบบผงมิเนอรัล (Mineral Foundation) รองพื้นแบบผงซึ่งมีส่วนผสมจากแร่ธาตุธรรมชาติจึงอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย เลือกได้ทั้งแบบปกปิดบางเบาไปจนถึงปกปิดเรียบเนียน
•   รองพื้นแบบแท่ง (Stick Foundation) มีความเข้มข้นสูงจึงปกปิดและเกาะติดผิวได้ดีแต่เกลี่ยยาก และอาจจะเกิดการไหลเยิ้มระหว่างวันดังนั้นผิวมันจึงควรเลี่ยง
•   รองพื้นแบบทินท์ (Tinted Foundation) เนื้อบางเบา เน้นบำรุง ไม่เน้นปกปิด ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นฉ่ำวาวกระจ่างใส เหมาะสำหรับผิวแห้ง
•   รองพื้นเนื้อน้ำ (Liquid Foundation) เกลี่ยง่ายเพราะเป็นรองพื้นเนื้อเหลว ใช้ได้กับทุกสภาพผิว ให้เนื้อสัมผัสบางเบา มีทั้งแบบ Oil Free Liquid Foundation, Oil Base Liquid Foundation และ Moisturizing Base Liquid Foundation 
•   รองพื้นเนื้อมูส (Mousse Foundation) ด้วยลักษณะเป็นมูสนุ่มจึงเกลี่ยง่าย เติมเต็มร่องลึกทำให้ผิวเนียนเรียบ ไม่ตกร่องหรือเป็นคราบระหว่างวัน เหมาะสำหรับผิวแห้ง ผิวธรรมดา และผู้ที่ต้องการปกปิดริ้วรอย
•   รองพื้นเนื้อแป้ง (Powder Foundation) เนื้อรองพื้นจะถูกอัดให้แข็งจนมีลักษณะคล้ายแป้งฝุ่นจึงใช้งานง่าย ช่วยดูดซับความมันบนใบหน้าได้ดี เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวแห้งและผู้ที่เริ่มหัดแต่งหน้า
•   รองพื้นแบบสเปรย์ (Spray Foundation) ใช้งานง่ายด้วยการพ่นลงบนฟองน้ำแล้วเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า ปกปิดได้บางเบาจึงเหมาะกับผิวที่ไม่มีปัญหา
•   เจลรองพื้น เนื้อบางเบาติดทนนาน ให้ความสดใสฉ่ำวาว เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายเพราะไม่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรง
สำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาสิว แนะนำให้ใช้รองพื้นปกปิดรอยสิวที่ไม่สร้างปัญหาสิวเพิ่ม เป็น Liquid Foundation สูตร Non-Comedogenic ที่เข้ากับสีผิว เพราะจะช่วยปกปิดรอยนูนและรอยแดงจากสิวได้โดยไม่ก่อให้เกิดการอุดตันอันเป็นสาเหตุของสิว

เทคนิคการลงรองพื้นเพื่อปกปิดรอยสิวให้ติดทนทานและไม่เสี่ยงต่อการเกิดสิวใหม่
1.   ล้างหน้าให้สะอาดหมดจดแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
2.   หากเป็นสิวอุดตันควรใช้โทนเนอร์เช็ดซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ผิวหน้าสะอาดล้ำลึกขึ้น ทั้งยังช่วยสมานผิว และปรับสมดุลผิวให้ชุ่มชื้น กรณีที่มีหัวสิวอักเสบให้ใช้ยาแต้มสิวทาลงไปบาง ๆ แต่สำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบมากควรงดใช้โทนเนอร์และใช้เพียงเจลรักษาสิวอักเสบแต้มบริเวณหัวสิว รอให้ตัวยาซึมซาบลงผิวจึงค่อยเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
3.   ทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าแล้วทิ้งไว้สักพักเพื่อให้เซตตัว (แนะนำให้ใช้เป็นครีมกันแดดค่า SPF 40 ขึ้นไปที่มีเนื้อบางเบา ติดทนทาน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ไม่อุดตันรูขุมขน)
4.   ลงรองพื้นให้เนียนทั่วใบหน้าโดยใช้นิ้วมือเกลี่ยเบา ๆ เลี่ยงการใช้ฟองน้ำหรือแปรงลงรองพื้นเพราะก่อให้เกิดสิวได้ง่ายหากมีการใช้ซ้ำและไม่สะอาดพอ       
5.   ลงแป้งฝุ่นให้ทั่วใบหน้าเพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียนและสีผิวสม่ำเสมอขึ้น ทั้งยังช่วยดูดซับความมันส่วนเกินบนใบหน้าด้วย
6.   เติมสีสันบริเวณดวงตา แก้ม และริมฝีปากตามสไตล์ที่ต้องการ แต่ควรใช้เมคอัพเนื้อฝุ่นแทนเนื้อครีมซึ่งเสี่ยงต่อการอุดตันได้ง่าย

การใช้รองพื้นที่ดีสามารถช่วยปกปิดปัญหาสิวและเพิ่มความมั่นใจก่อนที่จะออกไปพบเจอผู้คน แล้วจะเลือกใช้รองพื้นยี่ห้อไหนดี แนะนำ ESTEE LAUDER Double Wear Stay-in-Place Makeup SPF10 / PA++ รองพื้นติดทน นานประสิทธิภาพสูง ปกปิดรอยสิว รอยดำ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสโดยไม่ทำให้เกิดสิวเพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำหอม รองพื้นยอดฮิตอันดับหนึ่งในกลุ่มรองพื้นจาก ESTEE LAUDER

114
   เครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในการประชุมสัมมนาและงานเลี้ยงย่อมต้องเป็นกาแฟ เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้หายง่วง ตื่นตัว พร้อมร่วมงานตลอดทั้งวัน ด้วยเหตุนี้ เครื่องชงกาแฟโรงแรม จึงต้องมีคุณสมบัติโดดเด่นมากกว่าเครื่องชงกาแฟทั่วไปในหลาย ๆ ด้าน แต่ควรมีคุณสมบัติไหนบ้างนั้น มาดูกันเลย

•   ชงได้หลายแก้ว
งานเลี้ยงและงานประชุมสัมมนาส่วนใหญ่เป็นงานขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมงานครั้งละหลายร้อยคน ดังนั้นเพื่อให้การชงกาแฟราบรื่นต่อเนื่องควรเลือกเครื่องชงกาแฟที่สามารถชงได้หลายแก้วต่อชั่วโมง อย่าง เครื่องทำกาแฟแคปซูล จาก Nespresso รุ่น AGUILA 220 ที่สามารถชงกาแฟได้จำนวน 200 แก้วต่อชั่วโมง ภาชนะเก็บแคปซูลใช้แล้วได้ถึง 125 ชิ้น ทำให้เสิร์ฟกาแฟหอมกรุ่นได้อย่างต่อเนื่อง
•   ใช้งานง่าย
เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนจะมีความรู้เรื่องกาแฟและชงกาแฟจากเครื่องชงกาแฟสดได้ ดังนั้น เครื่องชงกาแฟโรงแรม จึงต้องมาพร้อมการใช้งานที่ง่ายและขั้นตอนน้อย ต่อให้เป็นพนักงานทั่วไปก็สามารถเรียนรู้และทำตามขั้นตอนได้โดยไม่ต้องมีบาริสต้ามืออาชีพดูแลทุกขั้นตอน ซึ่งเครื่องชงกาแฟที่ตอบโจทย์มากที่สุดนั้นหนีไม่พ้น  เครื่องทํากาแฟสดแคปซูล ที่เพียงแค่เสียบปลั๊ก เปิดเครื่องรอน้ำร้อน ใส่กาแฟแคปซูลลงไป กดปุ่มเลือกเมนูกาแฟ จากนั้นไม่ถึงนาทีก็ได้กาแฟแสนอร่อยเสิร์ฟให้กับลูกค้าแล้ว
•   รสชาติหลากหลาย
ยิ่งคนจำนวนมากความชื่นชอบก็ยิ่งหลากหลาย การเสิร์ฟกาแฟเอสเพรสโซ่ อเมริกาโน่ ลาเต้ มอคค่า มัคคิอาโต้ แบบเดิม ๆ อาจไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้มาร่วมงานได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งในกรณีที่เลือกใช้ เครื่องชงกาแฟแคปซูล ควรเลือกแบรนด์ที่มีกาแฟแคปซูลให้เลือกหลากหลายรสชาติ นำเข้ากาแฟจากต่างประเทศ มีระดับความเข้ม ความขม และความหอมให้เลือกหลายระดับ จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาใช้บริการทุกคน
•   ดีไซน์ต้องสวย
ใครที่คิดว่าแค่ฟังก์ชันครบ ชงได้เยอะ มีเมนูกาแฟให้เลือกเยอะเป็นคุณสมบัติที่ครบแล้วสำหรับเครื่องชงกาแฟที่ใช้ในโรงแรม แต่ดีไซน์และความสวยงามก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเครื่องชงกาแฟก็เปรียบเสมือนของตกแต่ง หากมาพร้อมดีไซน์โดดเด่น ผลิตจากวัสดุชั้นเยี่ยม รับรองว่าจับวางไว้มุมไหนของห้องจัดเลี้ยงหรือห้องประชุมก็สวยสะดุดตา
•   ซื้อดีกว่าเช่า
หากถามว่าธุรกิจโรงแรมควรซื้อหรือ เช่าเครื่องชงกาแฟสดอัตโนมัติ คำตอบคือซื้อเลยย่อมดีกว่าในด้านการใช้งานและงบประมาณ เพราะธุรกิจโรงแรมย่อมต้องใช้เครื่องชงกาแฟทุกครั้งที่มีงานเลี้ยงหรืองานประชุมสัมมนา หากเลือก เช่าเครื่องชงกาแฟ ก็ต้องเสียเวลารอให้ร้านเช่ามาติดตั้งเครื่อง ต้องดูแลรักษาเครื่องชงกาแฟตามเงื่อนไข และยังเป็นการเพิ่มงบประมาณในการจัดงานอีกด้วย
   
เป็นอย่างไรบ้างสำหรับคุณสมบัติ เครื่องชงกาแฟโรงแรม ที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งบอกเลยว่าถ้าเช็กลิสต์ตามนี้ได้เครื่องชงกาแฟถูกใจเหมาะสำหรับใช้งานในโรงแรมแน่นอน

115
   น้ำตบเป็นสกินแคร์รูปแบบน้ำหรือกึ่งน้ำ โดยคำเรียกว่า น้ำตบ นั้นมาจากลักษณะของสกินแคร์ที่เป็นน้ำ และเรียกตามการใช้งานที่ต้องใช้มือกดลงบนใบหน้าเบา ๆ เพื่อให้สกินแคร์ซึมลงสู่ผิว ช่วยเติมความชุ่มชื้นและเตรียมผิวให้พร้อมต่อการบำรุงในขั้นตอนต่อไป ใช้หลังทำความสะอาดผิวใหม่ ๆ โดยใช้หลังโทนเนอร์ และก่อนเซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด แต่ทั้งนี้ก็มีคำเรียกอื่น ๆ ด้วย เช่น Lotion, Essence Lotion, Water Essence, Pre Serum เป็นต้น   
   น้ำตบได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าจะเลือก น้ำตบยี่ห้อไหนดี วันนี้เรามาหาคำตอบกันว่า ทำไมใคร ๆ ก็ใช้น้ำตบบำรุงผิวกัน
1.   ซึมลงสู่ผิวได้ง่าย ด้วยโมเลกุลน้ำที่มีขนาดเล็ก ทำให้ซึมลงสู่ผิวได้ง่ายและรวดเร็ว
2.   ใช้งานสะดวก เพียงแค่เทน้ำตบลงบนฝ่ามือ วอร์มเล็กน้อย และนำฝ่ามือมากดลงบนผิวหน้าเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า
3.   ให้ความชุ่มชื้น พร้อมมีสารบำรุงผิวอื่น ๆ ด้วย นอกจากความชุ่มชื้นที่ได้ น้ำตบยังมีคุณค่ากับผิวด้วยสารบำรุงผิวต่าง ๆ ที่มีผสมอยู่ในน้ำตบด้วย
4.   ใช้ร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นได้ ด้วยความที่น้ำตบซึมลงสู่ผิวได้รวดเร็ว ทำให้สามารถใช้ร่วมกับสกินแคร์ตัวอื่นได้
5.   ช่วยให้สกินแคร์ตัวอื่นซึมลงสู่ผิวได้ง่ายขึ้น เพราะผิวที่ชุ่มชื้นจะดูดซึมสารบำรุงได้ดีขึ้น

หลังจากรู้เหตุผลที่ใคร ๆ ก็ใช้น้ำตบกันแล้ว เรามาดูกันต่อว่าจะใช้น้ำตบอย่างไรเพื่อให้ได้รับคุณค่าจากน้ำตบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
หลังทำความสะอาดผิวหน้าและตามด้วยโทนเนอร์เรียบร้อยแล้ว ก็สามารถใช้น้ำตบได้เลย ถึงแม้วิธีการใช้น้ำตบตามที่บอกไว้ข้างต้นว่าให้เทน้ำตบลงบนฝ่ามือและใช้ฝ่ามือมากดลงบนผิวหน้า แต่หากเป็นน้ำตบที่อุดมไปด้วยสารบำรุงผิวและซึมลงสู่ผิวได้ง่ายมากอย่าง La Mer The Treatment Lotion ที่เพียงหยดน้ำตบลงบนปลายมือและนำมากดลงบนผิวหน้าให้ทั่ว แค่นี้ผิวหน้าก็จะชุ่มชื้นขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ เปิดผิวเพื่อรับการบำรุงในขั้นตอนถัดไป
กับคำถามที่ว่า น้ำตบยี่ห้อไหนดี เราก็อดไม่ได้ที่จะแนะนำ La Mer ด้วยคุณภาพที่มีอย่างต่อเนื่องมายาวนาน ด้วยความใช้ง่าย ใช้ในปริมาณไม่มาก และที่สำคัญเหมาะกับผิวแพ้ง่ายด้วย โดย La Mer The Treatment Lotion น้ำตบ ที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิว ด้วยสารสกัดอันทรงคุณค่าจากท้องทะเล สูตรลับเฉพาะของลาแมร์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น สีผิวสม่ำเสมอและดูกระจ่างใส

สัมผัสผิวที่ชุ่มชื้นสุขภาพดีที่รู้สึกได้ตั้งแต่การใช้ครั้งแรก กับน้ำตบขายดี La Mer The Treatment Lotion ที่ https://www.lamer.co.th หรือพูดคุยกับที่ปรึกษาความงามได้ที่เคาน์เตอร์ลาแมร์ทั่วประเทศ

116
หลายครั้งเรามักจะเห็นร้านขายกาแฟแทรกตัวในทุกพื้นที่ และไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น เพราะกาแฟ ถือเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก นอกจากเสน่ห์คือเรื่องกลิ่นหอมที่เพิ่มความสดชื่นทุกครั้งที่ได้ดื่มแล้ว รสชาติที่แตกต่างกันของแต่ละแหล่งปลูกก็ดูเหมือนจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ตกหลุมรักเครื่องดื่มชนิดนี้ แต่ก่อนจะมาเป็นเมล็ดพร้อมชง แน่นอนว่าต้องผ่านกรรมวิธีการคั่ว ระดับการคั่วของกาแฟแบ่งเป็น กาแฟคั่วเข้ม กาแฟคั่วกลาง รวมถึงคั่วอ่อน และสำหรับใครที่ชื่นชอบรสชาติแบบดั้งเดิม ต้องบอกว่าเมล็ดแบบคั่วอ่อน คือตัวเลือกที่ห้ามพลาดเลยทีเดียว
กาแฟคั่วอ่อน คืออะไร มีเทคนิคการชงอย่างไรให้อร่อย
เมล็ดกาแฟจะต้องผ่านขั้นตอนการคั่วก่อนจะนำไปชงกาแฟจนเป็นสีน้ำตาลที่เราคุ้นตากัน สำหรับ กาแฟคั่วอ่อน จะเป็นการคั่วที่ใช้เวลาน้อยที่สุด เมล็ดจะมีสีน้ำตาลอ่อน และด้วยความที่ผ่านขั้นตอนการคั่วน้อย รสชาติที่ได้จึงคงไว้ซึ่งรสธรรมชาติมากที่สุด รสค่อนข้างเปรี้ยว และอาจมีกลิ่นผลไม้หรือกลิ่นดอกไม้แทรกอยู่ด้วย สำหรับเทคนิคการชงคือควรชงด้วยเทคนิคการดริป เพื่อให้น้ำที่ไหลผ่านได้นำรสชาติกาแฟแท้ออกมาให้มากที่สุด หรืออาจใช้เทคนิคการชงแบบเอสเพรสโซ่ รวมถึง americano ก็ได้เช่นกัน อีกหนึ่งเทคนิคการชงให้อร่อยคือไม่ควรเพิ่มนมหรือน้ำตาล เนื่องจากจุดเด่นของเมล็ดคั่วอ่อนคือรสชาติดั้งเดิมที่จะทำให้คุณได้สัมผัสรสกาแฟแท้อย่างเต็มอิ่ม
นอกจากเมล็ดแบบคั่วอ่อนแล้วยังมีรูปแบบการคั่วเข้มและคั่วกลางอีกด้วย สำหรับ กาแฟคั่วเข้ม คือ การคั่วที่ใช้เวลานานที่สุด เอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟรูปแบบนี้คือจะมีสีน้ำตาลเข้ม ผิวเมล็ดค่อนข้างมัน รสชาติที่ได้จะเข้มข้น ไม่เปรี้ยว และอาจมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากการคั่วรวมอยู่ด้วย ด้าน กาแฟคั่วกลาง จะใช้เวลาคั่วน้อยกว่าแบบคั่วเข้ม แต่รสชาติจะกลมกล่อมที่สุด ไม่หวานหรือไม่เปรี้ยจนเกินไปและยังคงไว้ซึ่งรสความเป็นธรรมชาติในระดับหนึ่ง เมล็ดแบบคั่วกลางจึงได้รับความนิยมจากคอกาแฟเช่นกัน
สำหรับใครที่ชื่นชอบกาแฟรสชาติดั้งเดิมเอาไว้มากที่สุด แน่นอนว่า กาแฟ แบบคั่วอ่อนคือตัวเลือกที่ตอบโจทย์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหากใช้เทคนิคการชงแบบดริป รวมถึง americano เพราะทุกครั้งที่ดื่มจะได้สัมผัสถึงรสชาติที่ปราศจากการปรุงแต่ง และหากกำลังมองหาตัวช่วยเพื่อให้การชงกาแฟเป็นเรื่องง่าย ขอแนะนำเครื่องชงจาก Nespresso ที่มีให้เลือกหลายรูปแบบทั้งการชงแบบเริ่มต้นและการชงแบบมือโปร มาพร้อมแคปซูลรสชาติต่าง ๆ เพื่อให้เลือกดื่มได้แบบไม่มีเบื่อ รวมถึงยังมีอุปกรณ์เสริมเพื่อการชงแบบมืออาชีพ รับรองว่าการชงกาแฟของคุณจะเป็นเรื่องง่ายและสนุกกว่าที่เคย

ชมรายละเอียดเพิ่ม
https://www.nespresso.com/th/th/coffee-roast-levels

117
การเป็นเจ้าของผิวหน้าชุ่มชื้น ไม่แห้งตึง นอกจากทำให้แต่งหน้าง่ายขึ้น เครื่องสำอางติดทนแล้วยังทำให้หน้ายืดหยุ่น ริ้วรอยเกิดยาก แถมยังทำให้ผิวเกิดสมดุลดูอ่อนเยาว์สุขภาพดี สำหรับตัวช่วยในการเปลี่ยนผิวแห้งกร้านให้กลับมาชุ่มชื้นยืดหยุ่น นั่นคือ การทา มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมบำรุงผิวขั้นพื้นฐานที่ควรหมั่นทาเป็นประจำ แต่เพราะมอยส์เจอไรเซอร์มีหลายแบบ แต่ละแบบเหมาะกับสภาพผิวแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจซื้อมอยเจอร์ไรเซอร์ยี่ห้อไหนดี ของ ELCA จึงต้องมั่นใจว่าเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวคุณจริง ๆ

ทำความรู้จัก มอยส์เจอไรเซอร์ คืออะไร
ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นพร้อมกักเก็บน้ำในผิวไม่ให้ระเหยออกไป มีให้เลือกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเนื้อครีม แบบเจล แบบโลชั่น ฯลฯ เมื่อใช้มอยส์เจอไรเซอร์แล้วผิวจะไม่แห้งตึงเพราะมอยส์เจอไรเซอร์ช่วยกักเก็บน้ำในผิว และเมื่อผิวกักเก็บน้ำได้ดีแล้วปัญหาผิวแห้งตึงจะไม่มากวนใจ ริ้วรอยเกิดขึ้นยาก นอกจากมีประโยชน์ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวแล้วยังช่วยเปลี่ยนผิวแห้งกร้านให้นุ่มนวล ผิวดูเรียบขึ้น แต่งหน้าง่ายขึ้นและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สุขภาพผิวดี

เลือกมอยส์เจอไรเซอร์อย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิว
1.   ผิวแห้ง
เรียกว่าเป็นประเภทผิวที่ต้องการมอยส์เจอไรเซอร์เป็นที่สุด เพราะนี่คือตัวช่วยให้หน้าไม่แห้งกร้าน เมื่อใช้เป็นประจำใบหน้าจึงค่อย ๆ มีน้ำมีนวล มอยส์เจอไรเซอร์ประเภทที่เหมาะสมกับคนผิวแห้งมากที่สุดคือแบบที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ทำหน้าที่กักเก็บน้ำในผิวให้ดียิ่งขึ้น มอบความชุ่มชื้น คืนความยืดหยุ่นให้ผิวอีกครั้ง
2.   ผิวผสม
คนผิวผสมคือคนที่ผิวหน้าแห้งเป็นบางจุด ในขณะเดียวกันผิวหน้าบางจุด เช่น T-Zone กลับมีความมันมากกว่าส่วนอื่น แนะนำให้เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของน้ำและน้ำมันในอัตราส่วนใกล้เคียงกันหรือควรเลือกแบบที่บนฉลากเขียนว่าเหมาะกับผิวผสม
3.   ผิวมัน
แม้ผิวมันแต่ก็สามารถทามอยส์เจอไรเซอร์ได้ เพียงแต่เลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีน้ำเป็นส่วนผสมหลัก ส่วนผสมที่ต้องหนีให้ไกลคือน้ำมัน เพราะยิ่งใช้จะทำให้ยิ่งหน้ามันเยิ้มระหว่างวัน

เมื่อมอยส์เจอไรเซอร์มีอยู่ด้วยกันหลายแบบ แต่ละแบบเหมาะกับสภาพผิวหน้าที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นก่อนจะใช้จึงต้องดูให้ดีว่ามอยส์เจอไรเซอร์ที่กำลังตัดสินใจซื้อเหมาะกับสภาพผิวหรือไม่ เพื่อผลลัพธ์ที่ผิวสวย แนะนําmoisturizer ได้แก่ Estee Lauder รุ่น Revitalizing Supreme+ Youth Power Soft Creme Moisturizer ตัวช่วยดูแลผิวเปล่งประกาย คืนความชุ่มชื้น เสริมเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรง ที่สำคัญมีส่วนผสมของคอลลาเจน เปลี่ยนผิวให้เนียนละเอียด ตอบโจทย์คนอยากเป็นเจ้าของผิวสวยดูอ่อนเยาว์เสมอ

118
   เครื่องชงกาแฟสด ในท้องตลาดมีหลายแบบตามลักษณะการทำงาน แต่ละแบบมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบ ดีไซน์ การใช้งาน รวมไปถึงงบประมาณ ซึ่งมีตั้งแต่รุ่นพื้นฐานราคาเริ่มต้นตั้งแต่หลักพันไปจนถึงเครื่องที่มีฟังก์ชันพิเศษ ราคาก็ขยับไปหลักแสนบาทก็มี เครื่องชงกาแฟที่ราคาไม่แพง แต่วัตถุดิบที่ใช้ในการชงกาแฟเครื่องนั้นอาจมีราคาต่อแก้วแพงกว่า โดยเฉพาะเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ที่เป็นเครื่องที่มีเทคโนโลยีในการผลิตสูงกว่าเครื่องชงกาแฟประเภทอื่น ต้องคำนึงเรื่องฟังก์ชั่น แรงดันน้ำ อุณหภูมิน้ำ ระบบหัวชง ฯลฯ ก่อนเลือกซื้อ
   ถ้าเรามองหา เครื่องชงกาแฟสดออฟฟิศ หรือไว้ใช้งานในบ้านเพื่อความสะดวกในการชงกาแฟ เครื่องแบบที่เหมาะคือ เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ หรือ เครื่องชงกาแฟแคปซูล ส่วนเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ที่มีราคาค่อนข้างสูง จะเหมาะกับร้านกาแฟ หรือร้านอาหารมากกว่า โดยเครื่องทั้งสองแบบนั้นก็มีลักษณะเด่นและการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยมีข้อสังเกตสำหรับพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ดังนี้
•   เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ เป็น เครื่องชงกาแฟสด ที่ชงกาแฟได้คุณภาพและรสชาติใกล้เคียงกับเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ แต่มีขั้นตอนการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ใช้งานง่ายขึ้น เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติความสดของกาแฟ ต้องการลองกาแฟจากเมล็ดกาแฟที่หลากหลาย เหมาะกับผู้ที่ต้องการงบประมาณกาแฟต่อแก้วที่ไม่สูงนัก ข้อดีคือเลือกเมล็ดกาแฟที่ชื่นชอบได้ ได้รสชาติกาแฟสดเพราะชงสดจากเมล็ดกาแฟบดแก้วต่อแก้ว ทำเมนูกาแฟเอสเพรสโซ่รสชาติเข้มข้นได้ตามต้องการ และมีการตีฟองน้ำเพื่อเป็นเมนูคาปูชิโน่หรือลาเต้ ราคาเครื่องชงกาแฟชนิดนี้จะสูงกว่าแบบแคปซูล เพราะเทคโนโลยีการผลิตเครื่องซับซ้อนกว่า แต่ราคาต่อแก้วของเครื่องดื่มจะถูกกว่ากาแฟแคปซูล การใช้งานเครื่องชงกาแฟง่ายพอ ๆ กันกับแบบแคปซูล ใช้เวลาไม่กี่นาทีสำหรับการชงกาแฟต่อแก้ว
•   เครื่องชงกาแฟแคปซูล มีราคาเริ่มต้นไม่แพงประมาณหลักพันบาท เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องชงกาแฟเล็ก ใช้งานง่าย สะดวก ราคาประหยัด ชงกาแฟต่อแก้วได้เร็ว ใช้เวลาไม่กี่นาที ต้นทุนกาแฟต่อแก้วของกาแฟจะสูงกว่าเครื่องชงอัตโนมัติ แต่สำหรับคนที่ซื้อกาแฟสดจากร้านค้าทั่วไปดื่มทุกวันในราคาแก้วละ 50 บาทขึ้นไปอยู่แล้ว เมื่อเปรียบเทียบกันกาแฟแคปซูลจะคุ้มกว่า เพราะต้นทุนอยู่ที่ 20-40 บาท/แก้ว เครื่องชงกาแฟชนิดนี้ต้องใช้แคปซูลกาแฟในการชงเท่านั้น ได้รสชาติหอมกรุ่นกาแฟแท้ ละใช้งานควบคู่กับแคปซูลกาแฟมี่มีรสชาติหลากหลาย มีกลิ่นหอมและความกลมกล่อม ทั้งยังสามารถนำกาแฟที่ได้ไปปรุงเป็นเมนูกาแฟที่ชื่นชอบได้ เหมาะกับการตั้งใช้งานที่บ้านหรือเครื่องชงกาแฟในออฟฟิศ
   
จากข้อมูลข้างต้น หวังว่าหลายท่านคงได้ข้อมูลเพียงพอในการเลือกซื้อระหว่าง เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ กับ เครื่องชงกาแฟแคปซูล ซึ่งทั้งสองแบบก็มีจุดเด่นแตกต่างกัน เลือกได้จากความสะดวกและงบประมาณที่เหมาะสม

ชมรายละเอียดที่
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro

119
การชงกาแฟต้องใช้ทักษะในการดึงรสชาติและกลิ่นอันซับซ้อนให้โดดเด่นออกมาอย่างสมดุล เพิ่มเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาแฟสด ทั้งความกลมกล่อมของรสชาติที่เข้มข้นผสมผสานความนุ่มนวลอย่างลงตัวและกลิ่นหอมทำให้คอกาแฟทั่วโลกต่างหลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องดื่มชนิดนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าปัจจุบันมีคาเฟ่มากมายอยู่ทุกมุมเมืองจึงหากาแฟดื่มได้ง่ายขึ้น แต่ก็จะดีกว่ามากหากสามารถชงดื่มได้เองทุกเวลาที่ต้องการโดยไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก สำหรับคนที่กังวลใจว่ากาแฟสดชงยากและกลัวไม่อร่อย ขอแนะนำ กาแฟแคปซูล ทางเลือกใหม่ของคอกาแฟตัวจริง

ทำความรู้จักกับ กาแฟแคปซูล กาแฟสดเทรนด์ใหม่เพื่อชีวิตทันสมัย
กาแฟแคปซูล คือ กาแฟที่ผ่านการคั่วบดแล้วและถูกบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายถ้วยขนาดเล็ก ปิดสนิทด้วยฝาฟอยล์ซึ่งช่วยกักเก็บรสชาติและความหอมของกาแฟสดไว้ได้นานไม่จางหาย แพ็กเกจที่ปรากฏจึงอยู่ในรูปแบบของแคปซูล โดยหนึ่งแคปซูลใช้ได้หนึ่งครั้งและต้องใช้คู่กับเครื่องชงกาแฟเท่านั้น ด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัยทำให้กาแฟแคปซูลยังคงรักษาคุณค่าทางอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับ ประโยชน์ของกาแฟ อย่างเต็มที่ ทั้งยังเก็บรักษาง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน

กาแฟแคปซูล ชงง่ายตอบทุกไลฟ์สไตล์คอกาแฟ
ไม่ว่าชอบดื่มอเมริกาโน่ เอสเพรสโซ่ มอคค่า ลาเต้ หรือเมนูอื่นใด ไม่ว่าจะต้องการความเข้มขม ความเปรี้ยวหรือชอบกลิ่นแบบไหน เพียงเลือก แคปซูลกาแฟ ที่ตรงกับใจแล้วนำมาใส่ในเครื่องชงกาแฟ กดเลือกเมนูที่ต้องการ รอประมาณ 1 นาที ก็จะได้ดื่มกาแฟแก้วโปรดทันที ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน ไม่เสียเวลา เหมือนมีบาริสต้าส่วนตัวที่พร้อมชงกาแฟแสนละมุนกลมกล่อมให้ดื่มตลอดเวลา     

ข้อดี / ประโยชน์ของกาแฟ แคปซูล
-   ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับคุณภาพของกาแฟที่ได้รับกับราคากาแฟสดที่จำหน่ายทั่วไป ทั้งนี้ แคปซูลกาแฟ มีราคาเริ่มต้นไม่ถึง 30 บาท 
-   ชงง่ายด้วยขั้นตอนเดียวเพียงแค่กดปุ่มเลือกเมนู ต่างจากการชงกาแฟสดแบบอื่นซึ่งต้องใช้เวลา
-   สะดวกกว่าเพราะอุปกรณ์หลักมีเพียง แคปซูลกาแฟ และเครื่องชงเท่านั้นจึงไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมอุปกรณ์ก่อนชงหรือการเก็บล้างหลังจากชงเสร็จ
-   มีกาแฟให้เลือกมากมาย สามารถเลือกดื่มได้ตามต้องการจึงไม่จำเจกับกาแฟรสชาติเดิม ๆ เช่น ช่วงเช้าดื่มกาแฟเข้มข้นกลมกล่อมเพื่อปลุกร่างกายและสมองให้ตื่นตัว ช่วงบ่ายอาจจะเลือกเป็นกาแฟที่มีกลิ่นและรสเปรี้ยวของผลไม้เพื่อชาร์จพลังงาน เติมความสดชื่น 
-   คอกาแฟสามารถเลือกดื่มกาแฟที่มีคุณภาพดีทั่วทุกมุมโลกได้ตามใจในราคาจับต้องได้

ส่วนข้อเสียของกาแฟแคปซูลคือต้องใช้คู่กับเครื่องชงกาแฟแคปซูลเท่านั้น แต่เมื่อเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยแล้วก็ต้องยอมรับว่ากาแฟแคปซูลคือไอเทมที่ทำให้คอกาแฟรุ่นใหม่สามารถดื่มกาแฟสดง่ายและได้อรรถรสมากขึ้น ทั้งยังสะดวกเพราะปัจจุบันสามารถเลือกซื้อกาแฟแคปซูลแบบออนไลน์ หรือจะแวะมาที่ Nespresso Boutique ณ ห้างสรรพสินค้าทันสมัยใกล้บ้านก็ได้เช่นกัน

ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/th/th/order/capsules/vertuo
https://www.nespresso.com/th/th/order/capsules/vertuo

120
             กาแฟสด ถือเป็นเครื่องดื่มที่นิยมในหมู่หนุ่มสาวในวัยทำงาน เพราะนอกจากช่วยเรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ทั้งวันแล้ว กาแฟยังเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วย เครื่องชงกาแฟ สดจึงเป็นอุปกรณ์คู่ครัวที่นิยมมีติดตั้งไว้ที่บ้านจะได้ปรุงกาแฟไว้ดื่มคู่กับอาหารเช้าด้วยรสชาติที่ไม่ซ้ำวัน ดังนั้นวันนี้จะมาแชร์ วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ง่าย ๆ ที่จะ ทำให้การชงกาแฟสดดื่มเอง เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างสะดวกสบายในทุกวัน
 
            แม้ว่าในปัจจุบันคอกาแฟสามารถเลือกซื้อ กาแฟสด ได้จากร้านกาแฟแบรนด์ดังหรือตามคาเฟ่ที่มีตั้งอยู่ทั่วไปได้ไม่ยาก ทว่าการจะเสาะหาบาริสต้าที่สามารถชงกาแฟได้ถูกปากทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแถมยังต้องเสียค่ากาแฟไม่ต่ำกว่าแก้วละ 50 บาทอีก ดังนั้น เครื่องชงกาแฟ จึงกลายเป็นอุปกรณ์คู่ครัวที่คนส่วนใหญ่นิยมติดตั้งไว้ที่บ้าน โดยเฉพาะแบรนด์ Nespresso ที่ได้พัฒนาให้มี วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ที่สะดวกและมีขั้นตอนง่าย ๆ อีกทั้งมีเครื่องชงกาแฟแบบอัตโนมัติให้เลือกหลากหลายรุ่น อย่างเช่น เครื่องชงกาแฟ Nespresso INISSIA C40 สีแดง และเครื่องตีฟองนม Aeroccino 3 ก็เป็นที่นิยมไม่น้อยเนื่องจากน้ำหนักเบาเพียง 2.4 กิโลกรัม สามารถทำความร้อนได้ภายใน 25 วินาที แถมยังชงกาแฟได้หลากหลายรสชาติ เพิ่มความแปลกใหม่ไม่จำเจ ซึ่งจะทำให้มีกาแฟดื่มได้ทุกวันอย่างไม่น่าเบื่อ วันนี้เราจะมาแนะนำ 2 สูตรที่ควรลองกัน

•   สูตร CAFFÉ LATTE CHOCOLATE COOKIE
   เป็นสูตรกาแฟที่ผสมผสานกับคุกกี้ช็อกโกแลตได้อย่างลงตัวกับวัตถุดิบคือ แคปซูลกาแฟ VIVALTO LUNGO หรือ VIVALTO LUNGO DECAFFEINATO นมสด 200 มล. คุกกี้ 1 ชิ้น และไซรัปคุกกี้ช็อกโกแลต 10 มล. ไปเริ่มทำกันเลย
1.                  ชงกาแฟโดยใส่ แคปซูลกาแฟ ในช่องใส่แคปซูล กดปุ่มสกัดกาแฟจนได้ปริมาณกาแฟร้อนที่กำหนด แล้วพักไว้
2.                  ทำฟองนมจากที่ทำฟองนม Aeroccino หรือตีฟองนมจากหัวฉีดไอน้ำของเครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็ได้
3.                  เทไซรัปคุกกี้ช็อกโกแลตลงในถ้วยกาแฟ ตามด้วยกาแฟที่ชงไว้ ถัดมาให้เทนมสดตามและท้อปปิ้งด้วยฟองนมที่ตีไว้ ตกแต่งหน้ากาแฟด้วยคุกกี้
 
•   สูตร ALMOND ORGEAT CAPPUCCINO
   กาแฟสดผสมอัลมอนด์ที่จะทำให้ได้รสชาติของกาแฟที่กลมกล่อมหอมอร่อยขึ้น วัตถุดิบคือ แคปซูลกาแฟ Livanto 2 แคปซูล นมสด 130 มล. น้ำเชื่อมรสอัลมอนด์หรือน้ำข้าวบาร์เล่ย์อัลมอนด์ ผงโกโก้ สารสกัดอัลมอนด์ ¼ ช้อนชา และบิสกิตอัลมอนด์ สามารถปรุงได้โดย
1.                  เทน้ำเชื่อมรสอัลมอนด์หรือน้ำข้าวบารเล่ย์อัลมอนด์ 2 ช้อนชาลงในถ้วยกาแฟที่เตรียมไว้
2.                  ชงกาแฟ 2 แคปซูลโดยใส่ แคปซูลกาแฟ ในช่องใส่แคปซูล กดปุ่มทำงานจะได้กาแฟปริมาณ 80 มล. เทตามลงไปในถ้วยกาแฟ
3.                  ทำฟองนมโดยผสมสารสกัดอัลมอนด์กับนมสดในเครื่องทำฟองนมหรือจะตีฟองนมจากหัวฉีดไอน้ำของเครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็ได้ จากนั้นให้ตักฟองนมปาดลงบนหน้ากาแฟ
4.                  ท้อปปิ้งด้วยผงโกโก้ ตามด้วยบิสกิตอัลมอนด์ จะได้ ALMOND ORGEAT CAPPUCCINO รสชาติกลมกล่อม
 
วิธีการชงกาแฟที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหลังจากได้เริ่มใช้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติของ Nespresso ได้แล้ว ก็จะสามารถรังสรรค์เมนูอื่น ๆ ที่ชื่นชอบได้อีก โดยสามารถเลือกจากแคปซูลกาแฟหลากหลายรสชาติ เพื่อให้การดื่มกาแฟในแต่ละวันเต็มไปด้วยความน่ารื่นรมย์

121
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องริ้วรอยไม่ได้ เพราะการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวลดลง ผิวจึงหย่อนคล้อยได้ง่าย เซรั่มลดริ้วรอย ของ ELCA เป็นสกินแคร์ที่พัฒนามาช่วยฟื้นบำรุงและแก้ไขปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด เพราะเซรั่มมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ(Active Ingredients) สูง จึงมีประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมในการฟื้นฟูบำรุงผิวได้ล้ำลึก
เซรั่มลดริ้วรอยที่ดีควรมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่พร้อมเสริมความยืดหยุ่นให้ผิวกระชับขึ้น ซึ่งอาจจะมีส่วนผสมของเรตินอล เปปไทด์ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดการใช้เซรั่มลดริ้วรอยให้ได้ผลดีนั้นควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวของเราด้วย

ผิวแห้ง
เลือกใช้เซรั่มเนื้อบางเบาไม่เหนียวเหนอะหนะ มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เลี่ยงเซรั่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นกว่าเดิม
ผิวมัน
เพื่อลดปัญหาการอุดตันของรูขุมขนต้นเหตุสำคัญของสิวอักเสบจึงควรเลี่ยงเซรั่มที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ให้ใช้เซรั่มที่มีเนื้อบางเบาซึมซาบง่าย และควรมีคุณสมบัติช่วยควบคุมปริมาณน้ำมันส่วนเกินบนใบหน้า ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบในรูขุมขน และช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว         
ผิวแพ้ง่าย
หากผิวระคายเคืองง่ายให้เลี่ยงเซรั่มที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารเคมีสังเคราะห์อื่น ๆ ที่เสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เลือกใช้เซรั่มที่มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง  เพิ่มความชุ่มชื้น ปลอบประโลม และให้การปกป้องเซลล์ผิวหน้าจากสิ่งแปลกปลอมภายนอกได้

นอกจากเลือกใช้เซรั่มให้เหมาะกับสภาพผิวแล้ว การใช้เซรั่มอย่างถูกวิธีจะช่วยให้เห็นประสิทธิภาพชัดเจนมากขึ้น โดย
1.   หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าเรียบร้อยแล้ว  ใช้เซรั่มบำรุงผิว
2.   ควรใช้เซรั่มในขณะที่ผิวหน้ายังคงมีความชื้นอยู่เพราะจะช่วยให้สารบำรุงต่าง ๆ ซึมลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
3.   ใช้เซรั่มเพียง 2 - 3 หยด ทาให้ทั่วผิวหน้าโดยใช้ปลายนิ้วเกลี่ยพร้อมนวดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้เซรั่มซึมเข้าสู่ผิวทั่วใบหน้าได้เร็วขึ้น   
4.   หลังจากลงเซรั่มแล้ว 5 นาที จึงค่อยตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์หรือสกินแคร์ตัวถัดไป

เมื่อ เซรั่มช่วยลดริ้วรอย จึงควรเลือกใช้ด้วยความพิถีพิถัน นอกจากต้องเหมาะกับสภาพผิวหน้าของเราแล้ว ยังต้องให้ประสิทธิภาพสูงเพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยได้อย่างเห็นผล หากถามว่า เซรั่มตัวไหนดี ขอตอบตรงนี้เลยว่า THE CONCENTRATE จาก La Mer เป็นการลงทุนเพื่อผิวหน้าที่คุ้มค่าสุด ด้วยเนื้อสัมผัสบางเบาแต่มีความเข้มข้นสูง พร้อม Concentrated Miracle Broth ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายในการฟื้นบำรุง ดูแล และปลอบประโลมผิว ช่วยคืนสมดุลให้ผิวสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังปกป้องผิวจากมลภาวะที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย พิสูจน์พลังแห่งการปรนนิบัติผิวจาก THE CONCENTRATE เซรั่มฟื้นบำรุงผิวยอดขายอันดับ 1 ของ La Mer ได้ที่เคาน์เตอร์ La Mer หรือคลิก www.lamer.co.th/

ชมรายละเอียดที่
https://th.hellomagazine.com/beauty-health/top-facial-serum-brands/

122
   มือใหม่ที่เริ่มหันมาดูแลผิวอาจจะมีการเลือกใช้สกินแคร์ไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับผิวตนเอง กลัวซื้อมาแล้วไม่เหมาะกับผิว ใช้แล้วเกิดอาการแพ้ ไม่ตอบโจทย์ แถมแต่ละชิ้นราคาไม่ใช่ถูก ๆ อีกด้วย ใครที่กำลังกลุ้มใจกับการเลือกซื้อ มอยส์เจอไรเซอร์ อยู่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะวันนี้เรามีเทคนิคง่าย ๆ ในการเลือกใช้ให้เหมาะกับผิว และ moisturizer แนะนํา ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปดูกันได้เลย!

เทคนิคเลือก มอยส์เจอไรเซอร์ ให้เหมาะกับผิว!
การเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวมีอยู่หลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือส่วนผสมที่ดูแลผิว เพื่อให้ได้สูตรที่ตอบโจทย์กับผิวมากที่สุด
-   ผิวแห้ง ควรเลือกแบบเนื้อครีมมอยส์เจอไรเซอร์ เนื่องจากจะมีความหนาแน่นและสารให้ความชุ่มชื้นที่เข้มข้น เพื่อให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำและมีความชุ่มชื้นขึ้นมาได้
-   ผิวมัน ควรเลือกแบบเนื้อเจล เซรั่ม หรือเนื้อแบบอิมัลชัน เนื่องจากคุณสมบัติซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะมากจนเกินไป ช่วยปรับสภาพผิวให้คงสมดุลน้ำและลดความมันลงได้
-   ผิวแพ้ง่าย สามารถเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ได้ทุกแบบ แต่ควรเลือกสูตรที่ไม่มีส่วนผสมของพาราเบน น้ำหอมและแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการระคายเคือง
-   ผิวผสม สามารถเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ได้ทุกแบบเช่นเดียวกับผิวแพ้ง่าย

เคล็ดลับลงมอยส์เจอไรเซอร์อย่างไรให้ได้ผล
1.   ทำความสะอาดมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคมารบกวนผิวและขัดขวางการทำงานของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
2.   ลงผลิตภัณฑ์ทันทีหลังจากล้างหน้าเสร็จไม่เกิน 3 นาที เนื่องจากหลังล้างหน้ารูขุมขนจะเปิดกว้างใน 2-3 นาทีแรก และผิวหน้าจะมีความชุ่มชื้นหลงเหลืออยู่ พร้อมรับการบำรุงได้อย่างเต็มที่
3.   นวดให้ซึมเข้าสู่ผิว โดยการใช้นิ้วมือบวดเบา ๆ เป็นวงกลมให้ทั่วผิวหน้าและลำคอ เพื่อช่วยให้เนื้อผลิตภัณฑ์ซึมได้ง่ายขึ้น
4.   ใช้เป็นประจำเช้า-เย็น เพื่อการบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพควรใช้เป็นประจำ ไม่ทิ้งช่วง และไม่เปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อย ๆ

การเลือก Moisturizer ให้เหมาะกับผิวไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เริ่มที่การสังเกตสภาพผิวของตนเองก่อน จากนั้นเลือกในแบบที่เราแนะนำ และพิจารณาส่วนผสมของผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมว่ามีสารสกัดหรือส่วนผสมใดที่แพ้หรือไม่ สำหรับใครที่ยังเลือกไม่ได้ว่า มอยเจอร์ไรเซอร์ตัวไหนดี ที่จะตอบโจทย์และเห็นผลลัพธ์ได้จริง moisturizer แนะนํา ของ ELCA CRÈME DE LA MER จากเคาน์เตอร์แบรนด์ดังอย่าง La Mer ผลิตภัณฑ์ที่คัดสรรส่วนผสมของสารสกัดอันทรงคุณค่า ช่วยให้ผิวได้รับการดูแลอย่างล้ำลึกที่แท้จริง ผลิตภัณฑ์เป็นเนื้อครีม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง สภาพเซลล์ผิวเสื่อมโทรมดูไม่มีชีวิตชีวา มีริ้วรอยดูไม่เปล่งปลั่ง สามารถใช้ได้แม้ผิวแพ้ง่าย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง


ชมเพิ่มเติมที่
https://praew.com/praew-special/518840.html
https://paplearn.wixsite.com/home/post/รวม-10-มอยส์เจอร์ไรเซอร์-สำหรับผิวแพ้ง่ายใช้ได้

123
คุณกำลังประสบปัญหาผิวลอกหรือแห้งเป็นขุยโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวใช่หรือไม่
ผิวที่แห้งและคันเป็นสิ่งที่คุณมักเจอเสมอในแต่ละวันใช่หรือไม่
ถ้าใช่! คุณควรหันมาดูแลสุขภาพผิวให้ดีขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่เป็นผิวหน้า เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแลจะทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย ปัญหาความหมองคล้ำ และทำให้ดูแก่ก่อนวัยได้ ซึ่งตัวช่วยสำคัญสำหรับการบำรุงผิวก็คือผลิตภัณฑ์ มอยส์เจอไรเซอร์ นั่นเอง

มอยส์เจอไรเซอร์ คืออะไร
     มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer) เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทาผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น มีทั้งแบบที่เป็น ครีม เจล โลชั่น และขี้ผึ้ง โดยสารเหล่านี้จะทำหน้าที่เคลือบผิวเพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำ ซึ่งจะมีผลให้ผิวเกิดความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น ผิวจึงดูเรียบเนียน เต่งตึง แข็งแรง และมีสุขภาพดี
โดยส่วนผสมสำคัญที่อยู่ในมอยส์เจอไรเซอร์และคอยทำหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวนั้นแยกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1.   ประเภทที่มีคุณสมบัติทำให้ผิวฉ่ำน้ำ จะมีสารที่ช่วยดูดซับน้ำจากชั้นลึกของผิวหนังกำพร้าให้ขึ้นถึงผิวชั้นบน ให้ความชุ่มชื้นบริเวณผิวหนังกำพร้าหรือผิวหนังชั้นบนสุด และช่วยปกป้องผิวหนังจากเชื้อโรคและสารเคมีด้วย สารในกลุ่มนี้ เช่น กลีเซอรีน ไฮยาลูรอนิค ยูเรีย เป็นต้น
2.   ประเภทที่มีคุณสมบัติช่วยเคลือบผิว กลุ่มนี้จะใช้หลักการทำงานโดยสร้างฟิล์มบาง ๆ ที่ชั้นบนสุดของผิวเพื่อชะลอการสูญเสียน้ำ กลุ่มสารที่มีคุณสมบัตินี้ เช่น น้ำมันมะกอก ซิลิโคน ลาโนลิน เป็นต้น
3.   ประเภทที่มีคุณสมบัติทำให้ผิวนุ่ม มักจะเป็นกลุ่มสารไขมันที่สามารถดูดซึมได้ ซึ่งจะทำให้ผิวมีความนุ่ม เรียบเนียน และประสานผิวที่ตกสะเก็ด สารในกลุ่มนี้ เช่น เชียบัตเตอร์ คอลลาเจน สควาเรน เป็นต้น

ควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ตัวไหนดี
การเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์นั้นควรต้องพิจารณาให้มีความเหมาะสมกับสภาพผิวเป็นหลัก โดยมีแนวทางการเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ ดังนี้
-   หากเป็นคนที่มีผิวมัน โดยเฉพาะผิวหน้าที่มักเป็นสิวง่าย ควรเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีความมันน้อย เนื้อบางเบาหรือเนื้อเจลที่แห้งเร็ว ซึมเข้าสู่ผิวได้ง่าย โดยเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำหรือ Water Based ซึ่งมักอยู่ในรูปครีมเหลว
-   กรณีผิวแห้ง ควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์แบบเนื้อครีม ซึ่งจะเข้มข้นและช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ยาวนานขึ้น โดยเป็นกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำมัน หรือ Oil Based
-   กรณีผิวปกติ สามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบฐานน้ำและน้ำมัน แต่ควรเลือกปรับเปลี่ยนตามสภาพอากาศ เช่น ช่วงฤดูหนาวควรเลือกใช้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ฐานน้ำมันเพื่อให้ความชุ่มชื้นกับผิวมากขึ้นกว่าปกติ
-   กรณีผิวผสม ควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนของน้ำและน้ำมันในสัดส่วนที่เท่ากัน เพื่อคงความสมดุลของสภาพผิวไว้อย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ในการดูแลผิวนั้น สามารถใช้ได้ทั้งช่วงเช้าและก่อนนอน แต่กรณีที่ต้องอยู่ในสภาพอากาศแห้งตลอดเวลา เช่น ทำงานในห้องปรับอากาศทั้งวันควรเติมมอยส์เจอไรเซอร์ให้ผิวในระหว่างวันด้วย

แต่หากต้องการการบำรุงที่เข้มข้นพร้อมประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย แนะนำ Crème de la Mer มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวหน้าจาก La Mer ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวทันทีที่ใช้และยังช่วยให้ริ้วรอยจากผิวที่แห้งกร้านแลดูจางลงได้ภายใน 7 วัน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://praew.com/praew-survey/518840.html และ https://praew.com/praew-survey/518840.html

124
ปัญหาผิวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นสะสมมาจากหลายปัจจัย เช่น พักผ่อนน้อย ดื่มน้ำน้อย รังสี UV ในแสงแดด ความเครียด การแก้ไขที่ปลายเหตุอย่างเดียวจึงอาจจะไม่เพียงพอ แต่ต้องบำรุงผิวควบคู่กันไปด้วย ผิวจะได้แข็งแรงไม่เสียง่าย แต่จะเลือกบำรุงด้วย ครีมมอยส์เจอไรเซอร์ หรือเซรั่มดี วันนี้จะมาตอบชัด ๆ ให้หายสงสัยกัน

เซรั่ม และ มอยเจอร์ไรเซอร์ คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร
เซรั่ม และ มอยเจอร์ไรเซอร์ ถึงจะช่วยดูแลผิวเหมือนกัน แต่ไม่สามารถใช้แทนกันได้ เพราะคุณสมบัติของเซรั่ม คือเนื้อสัมผัสที่บางเบา จึงบำรุงได้ล้ำลึก เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น เซรั่มลดริ้วรอย เซรั่มเพิ่มความกระจ่างใส เซรั่มลดสิว ฯลฯ ส่วน มอยเจอร์ไรเซอร์ เนื้อสัมผัสจะหนัก และเน้นเรื่องความชุ่มชื้นเป็นหลัก มีหลายแบบให้เลือกเพื่อเหมาะกับประเภทผิว ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำหรือผิวไร้สมดุลไม่แนะนำห้ขาดการบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์
ถ้าถามว่าจะเลือกใช้อะไรดี ต้องบอกว่าสกินแคร์ทั้งสองอย่างสำคัญทั้งคู่ เพราะเซรั่มจะช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ จุดด่างดำ รอยสิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ในขณะที่มอยเจอร์ไรเซอร์ จะช่วยมอบความชุ่มชื้น ลดความหยาบกระด้างในชั้นผิว ทำให้ผิวเนียนนุ่มน่าสัมผัส ไม่แห้งกร้าน เพราะผิวแห้งขาดน้ำก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและใบหน้าดูมีอายุได้เช่นกัน ฉะนั้นใครที่ไม่อยากดูแก่ก่อนวัยหรือหน้าหมองคล้ำ มอยเจอร์ไรเซอร์ก็ถือเป็นสกินแคร์ช่วยบำรุงผิวที่ดีที่ไม่ควรมองข้าม

เลือก เซรั่ม และ มอยเจอร์ไรเซอร์ แบบไหนดี
การจะเลือกเซรั่มและ มอยส์เจอไรเซอร์ อย่างไรดีนั้น ก็ควรเช็กสภาพผิวของตนเองก่อนเพื่อเลือกสูตรที่เหมาะสม โดยการเช็กสภาพผิวนั้นก็ไม่ยากเลย หลังจากทำการล้างหน้าให้สะอาดแล้ว ให้ใช้ผ้าซับผิวหน้าเบา ๆ และทิ้งไว้ 30 นาทีจากนั้นให้ลองใช้กระดาษซับมันซับบริเวณแก้มหรือบริเวณทีโซน หากมีความมันออกมาในปริมาณมาก หมายความว่าเราอาจมีสภาพผิวมันได้ หากมีบ้างเล็ก ๆ หมายความว่าเราอาจจะมีผิวผสม แต่หากซับความมันแทบไม่มีเลย หรือผิวแห้งผาก หมายความว่าเรามีสภาพผิวแห้งนั่นเอง

สกินแคร์ทั้งหลายควรเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น คนผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นสูง ส่วนคนผิวมันเป็นสิวง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เนื้อบางเบา หลีกเลี่ยงส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันการอุดตัน แต่สำหรับ Estee Lauder Perfectionist Pro สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ให้ผิวสว่างมีออร่า และยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ ทำให้รูขุมขนแลดูเล็กลงด้วย เมื่อใช้คู่กับ Estee Lauder Resilience Multi-Effect ก็จะยิ่งทำให้ขาวไว เพราะมีส่วนผสมของ Tri-Peptide Complex ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้ดูเนียนสวย สุขภาพดี และยังมี SPF 15 ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วย

125
ปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวหย่อนคล้อย ทำให้สาว ๆ หมดความมั่นใจที่จะออกไปพบเจอผู้คน กลุ้มใจว่าควรใช้อะไรดี ลองมาดู เซรั่มหน้าใส และเซรั่มที่ช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย เซรั่มทั้งสองชนิดนี้ช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร เรามาดูกัน

เซรั่ม คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมเข้มข้นแต่มีเนื้อสัมผัสบางเบา เพราะมีโครงสร้างโมเลกุลเล็กมาก สามารถแทรกซึมเข้าสู่ใต้ผิวหนังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้การผลิตเซรั่มยังมีออกมาหลายสูตรเพื่อช่วยแก้ทุกปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด แต่ละสูตรจึงเน้นส่วนผสมที่ต่างชนิดกัน

ส่วนผสมที่สำคัญของเซรั่มมีอะไรบ้าง
โดยทั่วไปแล้วเซรั่มจะมีส่วนผสมหลัก ๆ ได้แก่
-   Hyaluronic Acid กรดไฮยาลูรอนิก มีคุณสมบัติในการปกป้องและรักษาความชุ่มชื้นใต้ชั้นผิว
-   Niacinamide ช่วยแก้ปัญหารอยสิวและปัญหารูขุมขนกว้าง ปรับสมดุลของน้ำมันบนชั้นผิวหนัง    
-   Tea Tree Oil เป็นออยล์ที่มีคุณสมบัติควบคุมความมันและช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ด้วย
-   AHA คือ กรดผลไม้ที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่
-   BHA (กรดซาลิซิลิก) เป็นสารที่ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เซรั่มหน้าใส ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมนี้อยู่ด้วย
-   Vitamin C เป็นสารสำคัญที่ทำให้ผิวหน้าขาวใส
-   Retinol เป็นส่วนผสมที่สำคัญต่อการลดริ้วรอย เร่งสร้างคอลลาเจนในชั้นใต้ผิวหนัง
-   Antioxidant เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวที่มีริ้วรอย

เซรั่มชนิดไหนเหมาะกับผิวเราที่สุด เลือกอย่างไรดี
แต่ละคนมีปัญหาผิวและสภาพผิวหน้าที่แตกต่างกัน แล้วเราควรจะใช้เซรั่มตัวไหนดี  การเลือกใช้เซรั่มให้ได้ผลควรเลือกดูที่ส่วนผสมให้เหมาะกับผิวหน้าของเรา
-   ผิวมัน เป็นสิว ส่วนผสมในเซรั่มที่เหมาะกับผิวมันควรเป็น Tea Tree Oil, กรดซาลิซิลิก (BHA)
-   ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ควรเลือกเซรั่มที่มีส่วนผสมของ Vitamin C และ AHA
-   ผิวแห้ง มีริ้วรอย ควรเลือกเซรั่มที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic Acid และ Retinol เพิ่มความชุ่มชื้น อิ่มน้ำ
-   ผิวบอบบาง แพ้ง่าย สำหรับผู้ที่มีผิวหน้าบอบบางแพ้ง่ายควรเลือกใช้เซรั่มที่มีส่วนผสมของ Niacinamide หรือวิตามินบี 3 เสริมความแข็งแรงให้ผิว

ทาเซรั่มอย่างไรให้บำรุงล้ำลึก
การทาเซรั่มควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อให้เนื้อเซรั่มซึมดี บำรุงถึงผิวชั้นใน
-   ล้างหน้าให้สะอาดไม่ให้มีสิ่งสกปรกใด ๆ ตกค้าง
-   หลังล้างหน้ารีบทาเซรั่มขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เซรั่มจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดี
-   หลังจากทาเซรั่มให้พักไว้สักครู่ รอให้เซรั่มซึมลงผิวแล้วจึงทาครีมบำรุงอื่น ๆ

หากเราเข้าใจสภาพผิวของตัวเราเองและเลือกใช้เซรั่มที่ตรงจุด หากยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะใช้ เซรั่มตัวไหนดี แนะนำเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดเข้มข้นเพื่อการบำรุงล้ำลึกสำหรับแต่ละสภาพผิวได้จาก ESTEE LAUDER ผลิตภัณฑ์ที่ทั่วโลกให้ความไว้วางใจ

126
หากให้เลือกเครื่องสำอางชิ้นโปรด เชื่อว่าหนึ่งในตัวเลือกคือ รองพื้น เพราะแค่รองพื้นกระปุกเดียวสามารถเนรมิตผิวเนียนใส ไร้จุดบกพร่อง ออกแบบผิวหน้าให้เนียนกริบได้ทันตา นี่จึงกลายเป็นเครื่องสำอางที่หลายคนขาดไม่ได้ หากไม่ได้ทาแล้วรู้สึกไม่มั่นใจโดยเฉพาะคนมีปัญหาสิว เพราะคงไม่ดีแน่หากมีร่องรอยสิวกวนใจ นอกจากทำให้หมดความมั่นใจแล้วยังส่งผลต่อบุคลิก และสำหรับใครที่มีปัญหาสิวคงมีคำถามว่า รองพื้นยี่ห้อไหนดี ของ ELCA ที่เป็นตัวเลือกที่ใช่และจัดการปัญหาสิวได้อย่างอยู่หมัด

ทำความรู้จักรองพื้นแต่งหน้าคืออะไร
รองพื้น คือ เครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่ใช้กับใบหน้า ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของซิลิโคนผสมเม็ดสีและน้ำมันแร่ ซึ่งของเหลวที่อยู่ในน้ำมันคือรองพื้นเฉดสีต่าง ๆ แต่ละแบรนด์มักออกแบบเฉดสีรองพื้นมาค่อนข้างหลากหลายเฉดสีเพื่อให้สาว ๆ เลือกใช้ให้แมทช์กับผิวหน้า โดยการเลือกซื้อรองพื้นอันดับแรกต้องเลือกจากเฉดสีรองพื้นที่ต้องเข้ากับเฉดสีผิว รวมถึงต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผิวมัน ผิวผสม และผิวแห้ง ที่สำคัญคือการปกปิด เพราะยิ่งรองพื้นปกปิดได้ดีเท่าไหร่ ริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าจะถูกอำพรางได้ดีมากขึ้นเท่านั้น สำหรับรูปแบบของรองพื้นมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบน้ำ แบบแท่ง หรือแบบครีม สามารถเลือกใช้ได้ตามใจชอบ

รองพื้นยี่ห้อไหนดี ช่วยกลบปัญหาสิวได้อย่างอยู่หมัด
สำหรับคนที่มีปัญหาสิวแน่นอนว่าต้องตามหารองพื้นที่ตอบโจทย์เรื่องการปกปิด แต่ในขณะเดียวกันต้องทาแล้วเบาสบาย ไม่ทำให้ผิวอุดตันจนเป็นสิวหนักขึ้น รองพื้นที่แนะนำ ได้แก่ Estee Lauder Double Wear Stay-in-Place Makeup Foundation SPF10 PA++ รองพื้นตัวดัง ยอดขายอันดับ 1 ของ Estee Lauder รองพื้นรูปแบบเนื้อครีม ออกแบบมาเพื่อการปกปิดระดับปานกลางและปกปิดอย่างเต็มที่ กลบปัญหาสิวได้อย่างมั่นใจ เมื่อทาแล้วรู้สึกเบาสบาย ไม่หนักหน้า ไม่อุดตัน ทาแล้วติดทนนานแม้ต้องทำกิจกรรมต่อเนื่องตลอดวัน เนื้อกึ่งแมตต์ทำให้ลุคธรรมชาติ มีสารปกป้องผิวจากแสงแดด ที่สำคัญไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม น้ำมัน ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผิวหนัง ผิวบอบบางใช้ได้

ใครที่มีปัญหาสิวแต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกรองพื้นยี่ห้อไหนดี แถมยังเป็น รองพื้นติดทน กลบปัญหาสิวได้อย่างอยู่หมัด ห้ามพลาดเป็นเจ้าของรองพื้น Estee Lauder Double Wear Stay-in-Place Makeup Foundation SPF10 PA++ ที่สุดของรองพื้นที่เน้นความเบาสบาย แต่ทาแล้วปกปิดร่องรอยบกพร่องบนใบหน้าได้อย่างดีเยี่ยม ที่สำคัญติดทนนานตลอดวัน ไม่หวั่นแม้วันที่อากาศร้อนชื้นหรือวันที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง บอกเลยว่านี่คือรองพื้นที่สาว ๆ ต้องมี เพื่อการเป็นเจ้าของผิวสวยไร้ที่ติ

127
เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร โดยมากแล้วผู้คนนิยมขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ซึ่งการขอสินเชื่อแต่ละครั้งผู้ยื่นกู้ต้องจัดเตรียมเอกสารมากมาย พร้อมกับคำถามในใจว่าการยื่นกู้จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ หาก  ขอสินเชื่อไม่ผ่านทำไงดี ไม่มีสลิปเงินเดือนจะขอกู้ได้ไหม เราลองมาดู 5 วิธีขอสินเชื่อเงินด่วน ของ KTB ให้ผ่านฉลุยกัน

ประวัติการเงินดี มีสิทธิ์ได้รับการอนุมัติสูง
สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อแพลนที่จะขอสินเชื่อคือตรวจสอบประวัติการเงินของตนเองโดยเฉพาะเครดิตบูโร หากพบว่าติดแบล็กลิสต์หรือมีประวัติค้างชำระควรต้องจัดการปัญหาให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยยื่นกู้

เบิกทางยื่นกู้ให้ดี ต้องมีเอกสารพร้อม
อีกประการที่จะต้องเตรียมคือเอกสารต่าง ๆ ต้องพร้อมก่อนยื่นกู้ ซึ่งนอกจากทำให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติสูงแล้วยังไม่เสียเวลาในการดำเนินการด้วย โดยเอกสารที่ต้องใช้มี 3 กลุ่ม ได้แก่                                                                                                                 
1.   เอกสารข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, บัตรข้าราชการ ทั้งของตนและคู่สมรส (ถ้ามี)                                                                                                                                                 
2.   เอกสารค้ำประกัน เช่น สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ สำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย หลักฐานการจ่ายชำระเงินดาวน์ หากขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจต้องเตรียมแผนธุรกิจมายื่นด้วย
3.   เอกสารแสดงรายได้
•   สำหรับมนุษย์เงินเดือนหรือผู้มีรายได้ประจำไม่ค่อยจะมีปัญหาเนื่องจากมีสลิปเงินเดือน แต่ควรจะมีเงินเหลือติดบัญชีอยู่บ้างไม่ใช่ว่าพอเงินเดือนโอนเข้าแล้วถอนออกทันทีไม่มีเหลือ โดยเอกสารที่ต้องใช้ ได้แก่ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองการทำงาน สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน และสำเนาหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
•   สำหรับผู้ที่ทำงานอิสระจำเป็นต้องมีเอกสารทางการเงินแทนสลิปเงินเดือนเพื่อยืนยันกับทางธนาคารว่าตลอด 6 - 12 เดือน ที่ผ่านมามีรายรับเข้าตลอด
•   สำหรับเจ้าของกิจการหรือประกอบธุรกิจส่วนตัวต้องใช้เอกสารสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียน ใบทะเบียนการค้า สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีชื่อผู้กู้และผู้กู้ร่วม สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน (ทั้งในนามบุคคลและกิจการ) ซึ่งกรณีนี้การเดินบัญชีถือเป็นเรื่องสำคัญต้องมีเงินเข้าสม่ำเสมอทุกเดือนเพื่อให้ธนาคารเห็นว่ามีรายได้มากพอที่จะชำระหนี้ได้

เคลียร์หนี้เก่าให้เบาบาง เพื่อขยับทางให้หนี้ใหม่
การขอสินเชื่อ ให้ผ่านแบบง่าย ๆ นั้นผู้ยื่นกู้ควรมีภาระหนี้สินไม่เกิน 30% ของรายได้ต่อเดือน หากเกินกว่านี้สถาบันการเงินจะมองว่ามีโอกาสในการผิดชำระหนี้สูงจึงมักไม่ค่อยปล่อยอนุมัติ ดังนั้นถ้าสำรวจตนเองแล้วพบว่าต้องจ่ายทั้งค่าบ้าน ค่ารถ ค่าบัตรเครดิต ผ่อนของ หรืออื่น ๆ รวมแล้วเกินกว่า 30% ควรต้องวางแผนจัดการเรื่องเงินใหม่ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและพยายามเคลียร์หนี้ให้เหลือยอดน้อยที่สุดแล้วค่อยยื่นกู้

ขอสินเชื่อให้ดูดี ไม่ควรยื่นขอถี่จนเกินไป
บางคนเลือกแก้ปัญหาด้วยการยื่นขอสินเชื่อถี่ ๆ เมื่อขอสินเชื่อไม่ผ่าน คิดว่าไม่เป็นอะไรสักวันคงได้รับการอนุมัติ แต่ในความเป็นจริงแล้วการขอสินเชื่อบ่อย ๆ สถาบันการเงินจะมองว่าเรากำลังร้อนเงินและส่งผลต่อเนื่องไปถึงการขอสินเชื่อในครั้งต่อไป เนื่องจากเมื่อเราสมัครขอสินเชื่อข้อมูลทุกอย่างที่ยื่นจะถูกดึงเข้าระบบของสถาบันการเงิน ทั้งนี้ผู้กู้สามารถสอบถามได้ว่าติดขัดปัญหาอะไร แล้วค่อยหาทาง แก้ไขหรือเว้นระยะห่างสักประมาณ 1 เดือน แล้วค่อยเดินเรื่องใหม่ จำไว้ว่าการยื่นขอสินเชื่อบ่อยไม่ได้อยู่ในเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติของธนาคาร

อนุมัติง่ายหากเลือกสินเชื่อที่เหมาะกับวัตถุประสงค์และความสามารถในการชำระหนี้
สินเชื่อแต่ละประเภทถูกกำหนดวัตถุประสงค์การใช้งานแตกต่างกัน ทั้งยังมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันด้วย เช่น สินเชื่อเพื่อธุรกิจ SME สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน เป็นต้น ซึ่ง การขอสินเชื่อเงินด่วน ของ KTB ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นและความสามารถในการชำระหนี้คืน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ธนาคารจะอนุมัติวงเงินให้ไม่เกิน 40% ของรายได้ นั่นหมายความว่าจำนวนเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติให้นั้นจะมียอดผ่อนชำระไม่เกิน 40% ของรายได้ในแต่ละเดือน

และนี่คือวิธีขอสินเชื่อเพื่อให้อนุมัติง่ายและไวขึ้น อย่างไรก็ตามผู้กู้ต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติของแต่ละธนาคารด้วยเพราะบางแห่งกู้ยาก บางแห่งอาจกู้ง่าย บางแห่งดอกเบี้ยสูง บางแห่งดอกเบี้ยต่ำ ที่สำคัญควรศึกษาและวางแผนให้ดีก่อนยื่นขอสินเชื่อในแต่ละครั้ง

128
   สินเชื่อ ก็คือเงินกู้หรือเงินยืมที่ต้องจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ยซึ่งเป็นผลตอบแทนให้แก่สถาบันทางการเงินที่เราได้ยืมกู้มา ดังนั้นก่อนจะยื่นกู้ควรศึกษารายละเอียดสินเชื่อแต่ละประเภทของให้ดีเสียก่อน  โดยสินเชื่อทั่วไปนั้นสามารถแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่
1.   สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นที่นิยมเนื่องจากไม่ต้องมีหลักประกันและนำเงินไปใช้ได้อเนกประสงค์ วงเงินกู้ 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน ผ่อนชำระในอัตราที่เท่ากันทุกเดือน
2.   บัตรเครดิต เป็นการยืมเงินจากอนาคตมาใช้ในการซื้อสินค้าหรือบริการ เมื่อครบกำหนดชำระหากจ่ายไม่ครบจำนวนหรือจ่ายเพียงขั้นต่ำ ทางสถาบันการเงินหรือธนาคารจะคิดดอกเบี้ยตามอัตรากำหนด
3.   บัตรกดเงินสด สามารถกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มด้วยวงเงินเฉลี่ยตามรายได้ สะดวก สมัครใช้บริการง่าย ไม่ต้องมีหลักประกันหรือบัญชีเงินฝากกับทางธนาคาร แต่จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่ออื่น ๆ
4.   สินเชื่อบ้าน คือการกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินสำหรับการซื้อบ้าน ใช้ระยะเวลาการผ่อนชำระยาวนานกว่าสินเชื่อประเภทอื่น ทั้งยังเป็นสินเชื่อที่ต้องใช้หลักประกันซึ่งอาจจะเป็นตัวบ้านหรือที่ดินที่ขอกู้
5.   สินเชื่อธุรกิจ เหมาะสำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่อง หรือขยายกิจการ
   สำหรับคนที่ต้องการเงินสักก้อนมาใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล ต่อเติมบ้าน ซ่อมรถ ลงทุนทำธุรกิจ ขยายธุรกิจขนาดเล็ก หรือใช้ในชีวิตประจำวันอื่น ๆ แนะนำ “สินเชื่อส่วนบุคคล” น่าจะตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็น สินเชื่อเงินกู้ด่วนอนุมัติไว ทั้งยังสมัครขอสินเชื่อได้ง่าย เพียงมีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีขึ้นไป หากเป็นพนักงานประจำต้องมีอายุงานมากกว่า 1 ปี และเงินเดือน 15,000 บาทขึ้นไป ซึ่งในปัจจุบันการทำธุรกรรมการเงินนั้นไม่จำเป็นต้องไปที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินแล้ว ทุกอย่างสะดวกสบายด้วยความทันสมัยของโลกยุคดิจิทัล การ กู้เงินออนไลน์ ก็เช่นกัน หากต้องการ สินเชื่อเงินด่วนอนุมัติเร็ว สามารถขอ เงินกู้ฉุกเฉิน ได้ทางแอปพลิเคชันธนาคาร ยกตัวอย่างเช่น  Krungthai NEXT ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันของธนาคารกรุงไทยที่ให้บริการธุรกรรมทางการเงินครบถ้วนในที่เดียว รวมทั้งการ กู้เงินออนไลน์ ด้วย โดยมีขั้นตอนง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันและสมัครเปิดใช้บริการ เข้าไปที่คำสั่ง “บริการ” แล้วกดสมัครสินเชื่อ เลือกประเภทสินเชื่อที่ต้องการ ระบบจะช่วยคำนวณการผ่อนชำระเพื่อประกอบการตัดสินใจ จากนั้นกรอกข้อมูลส่วนตัว วงเงินที่ต้องการ ระยะเวลาในการผ่อนชำระ ทำตามขั้นตอนไปเรื่อย ๆ เมื่อครบถ้วน ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอีกครั้งแล้วกด “ส่งใบสมัครขอสินเชื่อ ”
   หาก สินเชื่อด่วน ที่สมัครผ่านการอนุมัติ เลือก  “ยอมรับข้อเสนอ” จากนั้นระบุบัญชีที่ต้องการรับเงินและผ่อนชำระ เลือกวันผ่อนชำระ ยืนยันข้อมูลอีกครั้ง อ่านรายละเอียดสัญญาให้ครบถ้วนก่อนกดปุ่ม “ยอมรับเงื่อนไขสัญญา ” เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการธนาคารจะโอนเงินเข้ามายังบัญชีที่ได้แจ้งไว้ในขั้นตอนการสมัคร ซึ่ง เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จาก Krungthai NEXT อนุมัติเร็ว ให้วง เงินกู้ด่วน 5 เท่าของรายได้ แต่รวมแล้วไม่เกิน 1 ล้านบาท ไม่ต้องค้ำ ไม่มีบัญชีเงินเดือนกับกรุงไทยก็ใช้บริการได้
   แต่เมื่อได้รับสินเชื่อตามที่ขอกู้แล้วภาระหนี้สินย่อมเกิดขึ้น ผู้กู้ต้องมีวินัย มีความรับผิดชอบในการผ่อนชำระ และวางแผนการเงินให้ดีเพื่อจะได้ไม่มีหนี้เพิ่ม

ชมรายละเอียดที่
https://sunroomsmd.com/index.php?topic=9870.new#new
https://sunroomsmd.com/index.php?topic=9870.new#new

129
บัตรกดเงินสด ผลิตภัณฑ์การเงินที่นอกจากจะช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินของทุกคนได้เป็นอย่างดีแล้วยังขึ้นชื่อว่าสมัครง่าย อนุมัติไว มีวงเงินสำรองใช้พกติดตัวไปตลอดอีกด้วย แต่ก่อนจะ กู้เงิน ด้วยบัตรกดเงินสดมีสิ่งที่ควรรู้อยู่ 5 ข้อหลักดังต่อไปนี้

1.   จุดประสงค์การใช้เงินกู้ของผู้ สมัครสินเชื่อเงินเร่งด่วน บัตรกดเงินสด
หากผู้กู้ต้องการใช้เงินกู้ในวงเงินไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน และประเมินว่าสามารถชำระหนี้ได้ครบตามกำหนดหรือเร็วกว่ากำหนด บัตรกดเงินสดคือหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจเนื่องจากวงเงินกู้สูงสุดของบัตรกดเงินสดมักจะอยู่ที่ 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน สมัครง่าย เงื่อนไขไม่ยุ่งยาก อนุมัติไวเมื่อเทียบกับสินเชื่อเงินสดประเภทอื่น ๆ เช่น สินเชื่อบุคคล แต่เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของบัตรกดเงินสดมักสูงกว่าสินเชื่อเงินสดประเภทอื่นจึงควรปิดหนี้ให้เร็วที่สุด เหมาะกับการใช้งานเป็นวงเงินสำรองฉุกเฉิน แก้ไขปัญหาสภาพคล่องในระยะเวลาสั้น ๆ
2.   ปิดบัญชีหนี้แล้ววงเงินยังคงอยู่
ซึ่งบัตรกดเงินเหมาะกับการใช้เป็นวงเงินสำรองฉุกเฉิน ส่วนหนึ่งเพราะการ สมัครสินเชื่อ บัตรกดเงินสดทำได้ง่าย และทำเพียงครั้งเดียวก็ได้วงเงินกู้ติดตัวไปตลอดอายุบัตร ยกตัวอย่างเช่น ผู้กู้ถือบัตรกดเงินสดวงเงิน 50,000 บาท กดเงินออกมาใช้ 20,000 บาท ยังมีวงเงินเหลือใช้อีก 30,000 บาท เมื่อปิดบัญชีหนี้วงเงิน 20,000 บาทแล้ว บัตรกดเงินสดก็จะกลับมามีวงเงิน 50,000 บาทเหมือนเดิม สามารถกดออกมาใช้ได้อีกตลอดอายุบัตร
3.   นอกจากดอกเบี้ยยังมีค่าธรรมเนียมต้องพิจารณา
บัตรกดเงินสดมักมีค่าธรรมเนียมยิบย่อยซ่อนอยู่ ก่อนสมัครจึงควรเปรียบเทียบอัตราค่าธรรมเนียมของแต่ละบัตรโดยละเอียดก่อน เช่น ค่าธรรมเนียมกดเงินสด ค่าธรรมเนียมรายปี การเลือกบัตรกดเงินสดที่ฟรีค่าธรรมเนียมรายปีหรือคิดค่าธรรมเนียมกดเงินสดน้อยกว่าจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
4.   บัตรกดเงินสดใช้งานอย่างอื่นได้
บัตรกดเงินสดในปัจจุบันถูกออกแบบให้ใช้งานได้หลากหลาย นอกจากใช้กดเงินสดจากวงเงินกู้ออกมาใช้จ่ายได้แล้ว บัตรบางใบก็ยังสามารถใช้ซื้อของออนไลน์ ใช้ผ่อนชำระสินค้า 0% ยาวนาน 12 เดือนได้อีกด้วย ผู้กู้จึงมีทางเลือกมากขึ้น สามารถเลือกสมัครบัตรที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย
5.   เครดิตผู้กู้ต้องดีมีความสามารถในการชำระหนี้
แน่นอนว่าการขอ กู้เงินด่วนธนาคาร หรือการขอ สินเชื่อ ผู้กู้จำเป็นต้องแสดงให้สถาบันการเงินเห็นว่าผู้กู้มีความสามารถในการชำระหนี้ ดังนั้นผู้กู้จึงควรประเมินสถานะการเงินของตนเองก่อนสมัครด้วยว่าพร้อมหรือไม่ เช่น มีรายได้ประจำมาเกิน 3 - 6 เดือนหรือยัง รายได้ขั้นต่ำถึงเกณฑ์ที่สถาบันการเงินกำหนดหรือไม่ ซึ่งการสมัครบัตรกดเงินสดมีเงื่อนไขรายได้ขั้นต่ำแตกต่างกันไป บางแห่งไม่กำหนดรายได้ขั้นต่ำต่อเดือน บางแห่งกำหนดว่าต้องมีรายได้ต่อเดือน 10,000 บาทขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้กู้ไม่ควรค้างชำระหนี้ในระบบของผลิตภัณฑ์การเงินอื่น ๆ มาก่อน เช่น ค่ารถ ค่าบ้าน ค่าบัตรเครดิต เพราะจะทำให้สถาบันการเงินมองว่าประวัติทางการเงินของผู้กู้ไม่น่าเชื่อถือ อาจไม่ได้รับอนุมัติวงเงิน

แต่ก่อนจะทำการ กู้เงินธนาคาร นั่นคือวินัยทางการเงิน หากผู้กู้รู้จุดประสงค์ของการใช้เงินกู้อย่างชัดเจน มีวินัยในการใช้จ่าย และชำระหนี้ตามเงื่อนไข บัตรกดเงินสดและสินเชื่อเงินสดต่าง ๆ ก็จะกลายเป็นเครื่องมือเสริมสภาพคล่องทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ

130
   หลายคนมองว่าการทำประกันชีวิตเป็นเรื่องไม่จำเป็น แต่ที่จริงแล้วการทำประกันถือเป็นการลดความเสี่ยง หากวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเจ็บป่วย หรือเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างการเสียชีวิต เราและคนข้างหลังจะได้รับการดูแลจากประกันที่ซื้อไว้ และที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ ประกันชีวิตแบบไหนดี2566 สามารถนำมา “ลดหย่อนภาษีได้” ซึ่งวันนี้เราจะมาเฉลยว่า ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่

1.   ประกันชีวิตทั่วไป
   ประกันชีวิตแบบทั่วไปมีสิทธิประโยชน์หลายอย่างให้กับผู้ทำประกัน มีทั้งแบบตลอดชีพ, แบบชั่วระยะเวลา, แบบสะสมทรัพย์ และแบบควบการลงทุน
   1.1 ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เน้นคุ้มครองในระยะยาว จ่ายเบี้ยเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น จ่ายเบี้ยแค่ 20 ปีแรก แต่คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี
   1.2 ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา เน้นคุ้มครองระยะเวลาสั้น ๆ หากครบกำหนดแล้วผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ได้รับทุนประกันคืน
   1.3 ประกันแบบสะสมทรัพย์ เน้นเรื่องการออมเงิน ได้ผลตอบแทนตามอัตราที่กำหนดไว้ซึ่งจะมากกว่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป
   ประกันทั้ง 3 ประเภทนี้สามารถ ลดหย่อนภาษี2566 ได้ตามจำนวนที่จ่ายเงิน สูงสุด 100,000 บาท (ประกันต้องมีระยะเวลาคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป) และหากมีประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ก็จะลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
   1.4 ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน เน้นให้ความคุ้มครองชีวิตพร้อมกับให้โอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุน เบี้ยประกันจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของบริษัทประกัน, ส่วนความคุ้มครอง และส่วนที่นำไปลงทุน โดย ประกันลดหย่อนภาษี เฉพาะค่าใช้จ่ายส่วนที่ 1 และ 2 สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท (ต้องมีระยะเวลาความคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป) แต่ส่วนที่ 3 ที่นำไปลงทุนจะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้

2.   ประกันชีวิตบำนาญ
   เป็นประกันที่เน้นความคุ้มครองในรูปแบบรายได้หลังเกษียณ ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยไปจนถึงอายุที่กำหนด แล้วบริษัทประกันจะจ่ายเงินให้เราเมื่อเราเกษียณ โดยสามารถใช้ ลดหย่อนภาษีประกันชีวิต ได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่มากสุดไม่เกิน 200,000 บาท รวมสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ เช่น กองทุน RMF, กองทุน SSF ฯลฯ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
   
การเลือกซื้อประกันชีวิตให้เหมาะกับความต้องการของตัวเองโดยดูจากระยะเวลาคุ้มครองและผลตอบแทนที่จะได้รับเป็นสิ่งที่คสรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก แต่สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันชีวิตที่ไว้ใจได้ เราขอแนะนำ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ สมาร์ท เซฟเวอร์ 15/5 จากธนาคารกรุงไทย ที่เป็น ประกันลดหย่อนภาษีปี 2565 ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าตลอดทั้งสัญญาสูงสุด 587.5% ของทุนประกัน จ่ายเบี้ยประกันเพียง 5 ปี ก็ได้รับความคุ้มครองยาว ๆ 15 ปี

131
   ลิปบาล์มมีจุดเด่นในเรื่องการบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้น แก้ปัญหาปากคล้ำดำ ให้ริมฝีปากสุขภาพดี ในขณะเดียวกันก็มีทั้งสูตรที่เพิ่มสีสันและไม่มีสีให้ได้เลือกใช้ตามใจ
   แม้ว่าลิปสติกจะมีสีสันให้เลือกมากมาย แต่อย่างวันพักผ่อนหรือวันสบาย ๆ ไม่ได้แต่งหน้าอะไรมาก ก็ไม่อยากจะใช้เครื่องสำอางมาก อยากคงความเป็นธรรมชาติเอาไว้ การทาเพียงลิปมันก็ช่วยให้โดดเด่นขึ้นมาทันที เพียงแค่ต้องเลือกทาลิปมันประจำ จะเป็นสูตรไหนก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติบำรุงให้ชุ่มชื้น หรือหากใครมีปัญหาปากคล้ำมาก แนะนำลองให้ใช้ ลิปมันมีสี ให้ใบหน้าดูสดใสขึ้นมาบ้างพร้อมกับได้รับการบำรุงไปในตัว ถือเป็นประโยชน์ของลิปประเภทนี้เลยล่ะ ฉะนั้นเพื่อให้เหล่าคนรักสวยรักงามได้คำตอบที่ชัดเจนว่าควรเลือกใช้ลิปบาล์มยี่ห้อไหนดี และทั้งสองแบบนี้ต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยกัน

เทียบ ลิปมันมีสี และลิปมันทั่วไปต่างกันอย่างไร
•   ลิปบาล์มมีสีจะให้สีตรงตามเนื้อลิปแบบไม่ผิดเพี้ยนมาก
•   ลิปบาล์มมีสีบางสูตรแท่งสีขาว แต่เมื่อทาไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีอื่น
•   ลิปมันบางสูตรจะไม่มีสี มีเพียงความมันวาวและกลิ่นหอม

   แต่ทั้งสองให้การบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากได้ดีเหมือนกัน ยิ่งใช้ต่อเนื่องจะทำให้ริมฝีปากเป็นสีชมพูแบบธรรมชาติ ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามใจชอบ แต่เพื่อให้คุณตัดสินใจง่ายมากขึ้น เราไปดูกันว่าลิปแต่ละแบบมีคุณสมบัติและมีความน่าสนใจที่ต่างกันอย่างไร

คุณสมบัติและจุดเด่นของลิปมันแบบมีสี
   ทำความสะอาดได้ง่าย แม้ว่าลิปมันมีสีจะเพิ่มสีสันให้ริมฝีปาก แต่เมื่อต้องการลบหรือทำความสะอาด ก็สามารถเช็ดหรือล้างออกได้ง่ายโดยไม่ต้องถูแรง ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการเกิดผิวระคายเคือง
   มีสีสันพร้อมทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น เพื่อให้ใบหน้าของคุณดูดีมีสุขภาพ การเลือกทาลิปมันแบบมีสีช่วยได้มากทีเดียว เพราะคุณสมบัติเด่นไม่เพียงให้สีสันแบบธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ยิ่งหมั่นทาบ่อย ๆ ยิ่งส่งผลดีต่อริมฝีปาก
   ใช้แทนหรือใช้ร่วมกันกับการทาลิปสติกได้ ในบางครั้งลิปมันแบบมีสีมีตัวเลือกน้อย หากต้องการความหลากหลายของเฉดสีสามารถใช้ร่วมกับลิปสติกได้โดยที่สีไม่ผิดเพี้ยน นอกจากจะให้สีที่ถูกใจแล้ว ยังส่งผลดีต่อริมฝีปากในระยะยาวอีกด้วย
   สีที่มากับลิปมันให้เฉดสีที่ทำให้ใบหน้าโดดเด่นขึ้นได้ เช่น สีพีช ชมพู แดง เป็นต้น แม้ว่าลิปประเภทนี้จะให้สีอ่อน แต่หากคุณแต่งหน้าเบา ๆ ในวันสบาย ๆ ก็จะได้ลุคผิวดูมีสุขภาพดี

   การเลือกใช้ลิปมันแบบมีสีตอบโจทย์คนที่ต้องการความสดใสแบบธรรมชาติได้ดีทีเดียว และหากใครยังไม่แน่ใจว่า ลิปบาล์มมีสียี่ห้อไหนดี เราขอแนะนำลิปบาล์มมีสีจากแบรนด์ Bobbi Brown รุ่น EXTRA LIP TINT มีประสิทธิภาพในการบำรุงให้ความชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน พร้อมกับให้สีอย่างเป็นธรรมชาติ


ชมรายละเอียดที่
https://women.kapook.com/view274438.html
https://women.kapook.com/view274438.html

132
เครื่องดื่มยอดฮิตที่ครองใจคนแทบทุกเพศทุกวัยอย่างกาแฟ ตื่นเช้ามาต้องได้ดื่มกาแฟสักหนึ่งแก้วเพื่อความกระปรี้กระเปร่า  ซึ่งกาแฟที่ได้รับความนิยมก็มีทั้ง กาแฟดำ เอสเพรสโซ่ คาปูชิโน่ ลาเต้ และอเมริกาโน่ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ชนิดของกาแฟก็คือ ถ้วยกาแฟ ที่เหมาะสมกับกาแฟชนิดนั้น ๆ ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า รูปทรง วัสดุ และสีสันของถ้วยกาแฟมีผลต่อกลิ่นและรสชาติของกาแฟอย่างไรบ้าง

วัสดุของแก้วกาแฟ
   แก้วกาแฟ ที่วางขายอยู่ทั่วไปส่วนใหญ่ใช้วัสดุ 4 ชนิด ได้แก่ พลาสติก สแตนเลส เซรามิก และแก้ว ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีผลต่อกลิ่นและรสชาติของกาแฟที่แตกต่างกัน 
1.   แก้วพลาสติก มีราคาถูก หาซื้อง่าย และมีความทนทานในระดับหนึ่ง แต่ข้อเสียคือ หากนำไปใส่กาแฟดื่ม พลาสติกจะดูดซับกลิ่น สี และรสชาติของกาแฟเข้าไป นานเข้าก็จะทำให้รสและกลิ่นของกาแฟปะปนกันไปหมด
2.   แก้วสแตนเลส มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงทนทาน ไม่เป็นสนิม แต่ข้อเสียคือ หากนำไปใส่กาแฟดื่มอาจจะไม่ได้อรรถรสจากกลิ่นของกาแฟเพราะอาจมีกลิ่นของโลหะ และหากเป็นแก้วที่ไม่ได้มาตรฐานก็อาจทำให้รสชาติของกาแฟผิดเพี้ยนไปเพราะเกิดการทำปฏิกิริยาระหว่างโลหะ
3.   แก้วเซรามิก เป็นภาชนะที่มีความเป็นกลางที่สุด ไม่ดูดซับกลิ่นและรสชาติของกาแฟ ทั้งยังดูดซับความร้อนได้ดี รักษาอุณหภูมิและกลิ่นของกาแฟได้ยาวนาน ทำให้การดื่มกาแฟมีอรรถรสมากขึ้น
4.   แก้วใส เก็บความร้อนได้ดี แต่ไม่เท่าแก้วเซรามิก เหมาะสำหรับกาแฟที่มีสีสันหรือต้องการโชว์ชั้นเลเยอร์ของกาแฟ มีความเป็นกลาง ไม่ดูดซับกลิ่นและรสชาติ

รูปทรงและสีสันของแก้วกาแฟ
   แม้ว่า แก้วกาแฟ ของ Nespresso จะมีให้เลือกมากมายหลากหลาย แต่รูปทรงที่ได้รับความนิยมสำหรับใช้ใส่กาแฟนั้นมีด้วยกัน 3 รูปทรงหลัก ๆ ซึ่งแต่ละรูปทรงก็จะมีผลต่อรสชาติของกาแฟที่แตกต่างกันและเหมาะจะใช้กับกาแฟต่างชนิดกันด้วย
1.   แก้วเอสเพรสโซ่ เป็นแก้วขนาดเล็กเตี้ย มีหูจับ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “แก้วช็อต” จุกาแฟได้เพียง 2 – 3 ออนซ์ จุดเด่นคือ เก็บความร้อนได้ดี ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมของกาแฟ อีกทั้งก้นแก้วที่เป็นรูปวงกลมยังช่วยให้ “ครีม่า” ที่เป็นชั้นโฟมหนานุ่มคงรูปสวยงามได้อีกด้วย เหมาะสำหรับกาแฟเอสเพรสโซ่ที่ใช้วิธีชงแบบ กาแฟดำ ไม่ใส่น้ำหรือนม ให้รสชาติที่เข้มและหนักแน่น
2.   แก้วลาเต้/คาปูชิโน่ แก้วขนาดกลาง ความจุ 6 – 8 ออนซ์ มีหูจับ ก้นแก้วโค้งมน ปากแก้วกว้าง เนื้อแก้วจะมีความหนาราว 5 มิลลิเมตร ช่วยให้จิบกาแฟพร้อมฟองนมได้สะดวก เพิ่มความกลมกล่อมและความอร่อยให้กาแฟ เหมาะสำหรับใช้กับลาเต้ร้อนและคาปูชิโน่ร้อน
3.   แก้วมัค แก้วทรงสูง มีหูจับ ความจุ 12 ออนซ์ จับถือได้ถนัดมือ ยกดื่มง่าย นิยมใช้เสิร์ฟกาแฟร้อนอย่างอเมริกาโน่ร้อนและลาเต้ร้อน
   นอกจากรูปทรงแล้วมีผลการวิจัยพบว่าสีสันของแก้วยังมีผลต่อรสชาติของกาแฟด้วยเช่นกัน โดยแก้วสีขาวขุ่นจะให้รสชาติที่ขมกว่า ส่วนแก้วสีฟ้าจะให้รสชาติที่หวานกว่าแก้วสีขาวถึง 5% ขณะที่แก้วใสจะให้รสชาติขมจาง ๆ มีความหวานมากกว่า
   
ทั้งหมดนี้คือสาระความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ถ้วยกาแฟ ชนิดต่าง ๆ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ แม้ว่ามันอาจจะฟังดูเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ สำหรับคนบาง แต่สำหรับคนที่มีใจรักในการดื่มกาแฟแล้ว นี่ถือเป็นสิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยหากต้องการดื่มกาแฟให้ได้อรรถรสทั้งรสชาติ กลิ่น และสีสัน แถมยังแสดงให้เห็นถึงรสนิยมในการดื่มกาแฟที่มีระดับอีกด้วย

133
   หากคนเป็นคนยุคใหม่ที่รักความสะดวกแถมยังเป็นคอกาแฟตัวยงคงไม่มีอะไรจะโดนใจคุณไม่มากกว่านวัตกรรม เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดอัจฉริยะช่วยให้การชงกาแฟสดกลายเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมที่ว่านี้ของ Nespresso กัน
   นวัตกรรมสุดทันสมัยของ Nespresso เป็น เครื่องชงกาแฟสดอัตโนมัติ ที่ออกแบบมาเพื่อการชงกาแฟสดคุณภาพด้วย กาแฟแคปซูล ที่คัดสรรเมล็ดพันธุ์กาแฟ กรรมวิธีการคั่วบดและคำนวณปริมาณของเมล็ดกาแฟคั่วบดที่เหมาะสมมาให้อย่างลงตัว สะดวกสบายต่อการใช้งานเป็นที่สุด ไม่ต้องมานั่งกะตักผงกาแฟใส่แก้วเองแบบผิด ๆ ถูก ๆ อีกต่อไปเพียงแค่ใส่แคปซูลกาแฟลงเครื่องเป็นอันเสร็จ ประหยัดขั้นตอนการชงกาแฟไปได้เยอะทีเดียว
   ส่วน วิธีการใช้เครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็ง่ายมาก เพียงแค่ใส่ กาแฟแคปซูล เติมน้ำเปล่าลงในแท็งก์เป็นอันเสร็จขั้นตอนแรกสำหรับเครื่องชงกาแฟดำแบบคลาสสิก แต่ถ้าเป็นรุ่นที่มีระบบสตรีมนมมาในตัวแล้วเกิดอยากจะชงกาแฟผสมนมอย่างลาเต้หรือคาปูชิโน่ดื่มก็เพียงเติมนมสดลงไปเท่านั้นเอง จากนั้นก็กดปุ่มเปิดการทำงานของตัว เครื่องชงกาแฟแคปซูล ของ Nespresso ซึ่งจะใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการเซตเครื่อง เพราะด้วยเทคโนโลยีที่มีระบบทำความร้อนเร็วและแรงดันน้ำสูงถึง 19 บาร์ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอต้มน้ำเดือดนาน ๆ อีกต่อไป
   หลังจากที่เครื่องพร้อมใช้งานเราก็เพียงแค่กดปุ่มเลือกเมนูกาแฟที่ต้องการได้เลย ในรุ่นคลาสสิกจะมี 2 ฟังก์ชั่นให้เลือกนั่นก็คือชงได้ทั้งแบบเอสเปรสโซ่และลุงโก้ ส่วนในรุ่นที่มีระบบสตรีมนมจะมีฟังก์ชั่นให้เลือกมากมายถึง 6 เมนู เพียงแค่เรากดตามเมนูที่ต้องการ ใช้เวลารอ 5 นาที เครื่องชงกาแฟแคปซูล Nespresso ก็จะรังสรรค์เมนูกาแฟนั้น ๆ ออกมาให้เราอย่างสมบูรณ์แบบทั้งรสชาติ รูปลักษณ์ สีและกลิ่นได้อย่างลงตัวโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
   นวัตกรรมเครื่องชงกาแฟสด Nespresso จึงเหมาะมาก ๆ กับคอกาแฟยุคใหม่ที่ต้องการความง่ายและความสะดวกในการชงกาแฟสดดื่มเอง แถมยังลูกเล่นด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ตัวเครื่องที่โดดเด่นทันสมัย เหมาะกับการวางเป็นของตกแต่งบ้านไปในตัวช่วยให้บ้านดูมีอะไรขึ้นมาทันที
   ด้วยความอัจฉริยะและ วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ที่ง่ายแถมยังดีไซน์สวยทันสมัยจึงทำให้นวัตกรรมเครื่องชงกาแฟ Nespresso ตอบโจทย์คอกาแฟรุ่นใหม่ที่รักในความเรียบง่ายสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่งจึงไม่ควรพลาดที่จะมีติดบ้านไว้ด้วยประการทั้งปวง

ชมข้อมูลเพิ่ม
https://www.nespresso.com/th/th/order/machines/vertuo

134
หลายคนที่พบเจอปัญหาสิว แม้จะหายแล้วก็มักจะทิ้งรอยดำรอยแดงเอาไว้กวนใจเสมอ ๆ สามารถแก้ได้โดยการใช้รองพื้นปกปิดรอยสิว ที่สามารถปกปิดและเนรมิตผิวสวยในเวลาไม่กี่นาที หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่ารองพื้นคืออะไร เลือกใช้อย่างไร และเลือกอย่างไรให้เหมาะกับผิว ลองตามมาดูกันได้เลยค่ะ

รองพื้น คืออะไร
รองพื้น คือเครื่องสำอางที่ใช้ปรับผิวให้ดูเรียบเนียน สม่ำเสมอ และช่วยอำพรางจุดบกพร่อง เช่น รอยแดง รอยสิว หรือจุดด่างดำ มีให้เลือกหลายเนื้อสัมผัส ทั้งเนื้อครีม เนื้อน้ำ เนื้อเจล แบบแท่ง ฯลฯ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกัน และเหมาะสำหรับสภาพผิวที่ต่างกันด้วย

คนมีสิว เลือกรองพื้นแบบไหน ต้องดูจากส่วนประกอบสำคัญ
สำหรับคนที่ผิวเป็นสิว ควรเลือกที่เป็น Water-Based Foundations หรือรองพื้นที่มีเบสเป็นน้ำ เนื้อสัมผัสจะบางเบา สบายผิว แต่ให้การปกปิดดี กลบรอยดำรอยแดงได้ในระดับหนึ่ง พยายามหลีกเลี่ยง รองพื้นปกปิดรอยดำ ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะนอกจากเนื้อสัมผัสจะหนักแล้ว ยังทำให้เกิดการอุดตันเป็นต้นเหตุของสิวต่อไป นอกจากนี้ควรเลือกสูตรที่เป็น Non-comedogenic ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ดี

เลือกสีรองพื้นอย่างไรให้เหมาะกับตนเอง
การเลือกสีรองพื้นนั้น หลายคนมักจะเทียบกับผิวที่มือ แต่สีผิวที่มือกับหน้าของเราอาจจะไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรลองกับใบหน้าโดยตรงจะดีที่สุด โดยเลือกสีให้ใกล้เคียง หรือเข้มกว่าเล็กน้อย เวลาลงแป้งเพิ่มจะได้ดูไม่ลอย และที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมทาบริเวณคอด้วยเช่นกัน

หากเรารู้จักเลือกรองพื้นให้เหมาะกับผิวของตนเองแล้ว งานผิวสวยใส สุขภาพดีก็เป็นเรื่องง่าย  และยังให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย สำหรับใครที่มีปัญหาผิวเป็นสิวและลังเลว่าควรใช้รองพื้นยี่ห้อไหนดี ขอแนะนำ Double Wear รองพื้นที่ขายดีอันดับ 1 ของ Estee Lauder รองพื้นติดทน ตลอดวัน ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำหอม ไม่ก่อให้เกิดสิว จะรอยไหนก็ปกปิดได้หมด ผิวจึงดูเนียนสวยแบบไร้ที่ติ ใครที่มีปัญหาสิวหรือรอยสิวดำฝังลึก แต่งหน้าอย่างไรก็ไม่มั่นใจเพราะรอยสิวตัวดี ต้องลองตัวนี้เลย!


ชมรายละเอียดที่
https://sistacafe.com/summaries/95902
https://sistacafe.com/summaries/95902
https://sistacafe.com/summaries/95902

135
ปัจจุบันการดื่มกาแฟสดกำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะการชงกาแฟสดสำหรับดื่มเองจากที่บ้านและที่ทำงาน เพราะลดเวลาการเดินทางแถมยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายกาแฟที่ซื้อนอกบ้าน เนื่องจากราคากาแฟสดมีราคาปรับตัวขึ้นค่อนข้างสูง จึงเป็นที่มาว่าทำไมต้องรู้จัก เครื่องชงกาแฟสด เราจะขอพาทุกท่านมาดูกันว่าเทรนด์ยุคนี้มีความนิยมเครื่องชงกาแฟแบบใดบ้าง

เครื่องชงกาแฟสด ที่เป็นกระแสในปัจจุบัน
1.   เครื่องชงกาแฟ เอสเพรสโซ่
เป็นเครื่องชงที่พบได้ทั่วไปตามร้านคาเฟ่หรือร้านกาแฟชั้นนำ มีราคาให้เลือกใช้งานตั้งแต่หลักหมื่นจนไปถึงหลักแสน ยังไม่รวมถึงอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ต้องใช้ในการชงกาแฟออกมา เช่น เครื่องบดเมล็ดกาแฟ, ก้านชง, เทมเปอร์ ซึ่งเป็นเครื่องที่มีอุปกรณ์จำนวนมากที่สุดในบรรดาเครื่องชงกาแฟทั้งหมด แต่ใช่ว่ามีอุปกรณ์มากกว่าแล้วจะสามารถชงกาแฟสดได้อร่อยเสมอไป เพราะต้องอาศัยการคั่วเมล็ดกาแฟ, การบดที่ได้ขนาด และฝีมือในการชงด้วย
2.   เครื่องชงกาแฟแคปซูล
เป็นเครื่องชงกาแฟที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด มีราคาในช่วงหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น สามารถชงกาแฟสดได้ไม่แพ้เครื่องชงกาแฟแบบเอสเพรสโซ่ ในกระบวนการชงกาแฟจะต้องมีแคปซูลกาแฟสำเร็จรูปที่บรรจุผงกาแฟที่ผ่านการคั่วบดเป็นผงแล้วปิดผนึกด้วยพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อรักษากลิ่นและรสชาติไว้ วิธีใช้งานเพียงนำแคปซูลกาแฟใส่ลงในเครื่อง เมื่อน้ำเดือดถึงอุณหภูมิตามที่กำหนด ระบบจะดันน้ำให้เจาะทะลุพลาสติกที่ปิดแคปซูลออกมาเป็นกาแฟ เหมาะสำหรับคนที่เร่งรีบในตอนเช้าและต้องการกาแฟสดเพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองและสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกาย ราคาต่อแก้วค่อนข้างถูก ได้รสชาติที่แน่นอน มีกาแฟให้เลือกหลากหลายรสชาติ
3.   เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ
เป็นเครื่องชงกาแฟที่เห็นวางจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าหรือย่านชุมชนที่มีคนอาศัยจำนวนมาก ลักษณะเครื่องจะเป็นตู้ พร้อมเมนูหน้าเครื่องให้ผู้ซื้อได้เลือก การชงมีทั้งแบบกาแฟสดและกาแฟผง ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันและการใช้งาน ลักษณะการทำงานจะเหมือนเครื่องชงเอสเพรสโซ่ร่วมกับ เครื่องชงกาแฟแคปซูล เพียงแต่เปลี่ยนจากคนชงมาเป็น เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ ของ Nespresso ข้อดีคือสะดวก รวดเร็ว เครื่องมีเมนูให้เลือกได้หลากหลาย ส่วนข้อเสียราคาเครื่องค่อนข้างแพง เพราะลักษณะการผลิตออกในเชิงพานิชย์ ทำให้ราคากาแฟต่อแก้วอาจสูงกว่ากาแฟชนิดอื่น ๆ วัตถุดิบภายในเครื่องต้องมีคนคอยเปลี่ยนและตรวจเช็กตลอดเวลา ในเวลาเร่งรีบอาจค่อนข้างหาดื่มได้ยาก

เครื่องทำกาแฟสด ของ Nespresso ทั้ง 3 ชนิด มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันก็คือเอาใจคอกาแฟให้ได้ลิ้มรสชาติกาแฟแท้ที่ชื่นชอบ หวังว่าทุกท่านจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจที่จะเลือกซื้อไม่มากก็น้อย แนะนำให้พิจารณาเพิ่มเติมถึงพื้นที่ในการใช้งาน ราคา การบริการหลังการขายและความสะดวกในการใช้งาน

136
กาแฟเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก เพราะมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะความหอมและรสชาติที่จะมีลักษณะพิเศษตามพื้นที่ในการปลูก ทำให้คนจำนวนมากหลงใหลในรสชาติของกาแฟ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยต่าง ๆ ว่า การดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าและมีความสดชื่นแล้ว ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากที่หลายคนไม่เคยรู้ โดยเฉพาะ ประโยชน์ของกาแฟดำ ที่ปราศจากสารปรุงแต่ง

ประโยชน์ของกาแฟดำ ด้านสุขภาพ
1.   กาแฟดำช่วยลดน้ำหนัก
ต้องบอกว่า กาแฟดำประโยชน์ เป็นตัวช่วยในเรื่องของการกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญในร่างกายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการดื่มกาแฟดำก่อนออกกำลังกาย 1- 2 ชั่วโมง หรือใช้ กาแฟแคปซูล ที่เป็นกาแฟดำ ยิ่งถ้าได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนาน 30 นาทีติดต่อกัน จะยิ่งช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเพิ่มมากขึ้น
2.   กาแฟดำประโยชน์ ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง
เนื่องจากกาแฟมีสารต้านอะนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง แต่ต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ หรือไม่เกินวันละ 2 แก้วโดยประมาณ โดยจะต้องเป็นกาแฟดำเท่านั้น หากดื่มกาแฟที่ใส่น้ำตาลหรือครีมเทียมที่มากเกินไป ก็อาจทำให้เป็นผลเสียมากกว่าผลดี
3.   ช่วยกระตุ้นความทรงจำ
เคยสังเกตกันหรือไม่ว่าทำไม่ในช่วงเช้าหลายคนจึงเลือกที่จะดื่มกาแฟ เพราะสารคาเฟอีนในกาแฟจะส่งผลต่อการกระตุ้นสมองและความทรงจำยามเช้าได้อย่างดีเยี่ยม
4.   กาแฟดำช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
ในกาแฟมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า นิโคติน ซึ่งเป็นวิตามินบีรวมชนิดหนึ่ง ที่ช่วยในเรื่องของการลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ จึงทำให้คนป่วยหรือคนทั่วไปที่ดื่มกาแฟดำ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดน้อยมาก แต่ทั้งนี้ในคนที่เป็นโรคหัวใจก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ
5.   ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวาน
กาแฟดำแบบที่ทั้งมีและกาแฟไร้คาเฟอีน จะช่วยในเรื่องของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดมีระดับที่เหมาะสม อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการสร้างสารอินซูลินอีกด้วย
6.   กาแฟช่วยลดความเครียด
ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงแค่การดื่มกาแฟระหว่างวันในช่วงเวลาทำงาน นอกจากจะช่วยกระตุ้นในเรื่องของสมอง เพิ่มความสดชื่นตื่นตัวแล้ว ยังช่วยลดความเครียด ช่วยให้ผ่อนคลายลงได้ เพราะตัวกาแฟเองไปช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขให้หลั่งออกมา

แม้กาแฟจะมีศิลปะการชงให้มีหลายรสชาติ หากต้องการที่จะดื่มกาแฟเพื่อประโยชน์หลาย ๆ อย่าง ควรเลือกดื่มกาแฟดำ เพราะมีประโยชน์มากกว่า โดยเฉพาะกาแฟสดที่นอกจากจะหอมกรุ่นในขั้นตอนการชงแล้ว ยังได้สารอาหารที่มีประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน แค่ถ้าช่วงเช้า ๆ ใครที่หากาแฟสดไม่ได้ ยังมีทางเลือกคือเครื่องชง กาแฟแคปซูล ที่มีแคปซูลกาแฟให้เลือกหลายรส จากหลายแหล่งปลูกชื่อดังจากทั่วโลก เพื่อคงความเป็นรสชาติกาแฟแท้ รวมถึงกาแฟไม่มีคาเฟอีน ของ Nespresso เพียงใช้เวลาไม่นานด้วยระบบชงอัตโนมัติที่ทั้งสะดวกและมีคุณภาพ ก็ทำให้ได้กาแฟสดที่หอมกรุ่นได้ในทุกเช้า

137
แม้ เมนูกาแฟ ดำจะเป็นที่โปรดปรานคนที่ชอบกาแฟเข้มข้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมนูกาแฟ ใส่นม ก็เป็นตัวเลือกที่หลาย ๆ คนสนใจไม่แพ้กัน ด้วยความหวานกลมกล่อมดื่มง่าย และสำหรับใครที่เป็นคอกาแฟสายนี้ บอกเลยว่าต้องไม่พลาดกับหลากหลายเมนูที่รับรองว่าไม่ขม แถมยังรสชาติอร่อยโดนใจ
3 เมนู กาแฟใส่นม ที่สายหวานต้องลอง
1. Mild Cappuccino
หากพูดถึง เมนูกาแฟ ผสมนมที่ได้รับความนิยม ต้องมีคาปูชิโน่อย่างแน่นอน สำหรับเมนูนี้เริ่มต้นจากการเตรียมฟองนมด้วยเครื่อง Nespresso Aeroccino เมื่อได้ฟองนมแล้วให้เทฟองนมลงแก้วที่เตรียมไว้ จากนั้นเป็นขั้นตอนชงกาแฟด้วยเครื่องจาก Nespresso ใส่กาแฟแคปซูล Chiaro จากนั้นให้นำกาแฟที่ได้ผสมกับฟองนม สำหรับแก้วนี้ นอกจากรสชาติอ่อนนุ่มแล้ว ยังคงไว้ซึ่งความเข้มข้นของกาแฟ รับรองว่าถ้าได้ลองต้องมีติดใจ
2. Iced Chocolate Coffee
เอาใจคนรักช็อกโกแลต กาแฟแก้วนี้ไม่ได้มีจุดเด่นแค่กลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้นของกาแฟเท่านั้น แต่ยังผสมผสานด้วยรสช็อกโกแลต และความเย็นชื่นใจ เริ่มต้นความอร่อยด้วยการเตรียมฟองนมจากเครื่อง Aeroccino และแยกฟองนมไว้ จากนั้นเลือกแคปซูลกาแฟ Kazaar ก่อนเติมน้ำแข็งลงไปตามเหมาะสม และไฮไลต์คือการเติมไอศกรีมสัก 1-2 ลูกลงไป ตามด้วยฟองนมนุ่ม ๆ กาแฟเย็น ของ Nespresso ที่ทำง่ายและหอมอร่อยสดชื่นแบบนี้ ดื่มเมื่อไหร่ก็อารมณ์ดีขึ้นแน่นอน
3. Latte Macchiato
เพียงมีเครื่องชงกาแฟ Nespresso ก็สามารถเนรมิตกาแฟลาเต้เย็น ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที รสชาติที่โปรดปรานได้ตามต้องการ รสชาติไม่เป็นรองแก้วอื่น สูตรลาเต้เย็น และลาเต้ร้อนแก้วนี้ทำได้ง่าย ๆ เริ่มต้นจากการเตรียมฟองนมด้วยเครื่อง Aeroccino และแยกฟองนมไว้ ตามด้วยการกดกาแฟแคปซูลรสชาติที่ชื่นชอบปริมาณ 1.5 ออนซ์ และค่อย ๆ เทกาแฟใส่ในแก้วที่มีฟองนม หากต้องการเติมความหวาน ก็สามารถเติมน้ำตาลเพิ่มได้ หรือหากต้องการรสชาติแปลกใหม่ ก็สามารถเติมคาราเมลลงไปเพื่อเพิ่มความกลมกล่อมได้เช่นกัน
สำหรับใครที่ไม่ชอบดื่มกาแฟที่มีความขมติดปาก แต่นิยมกาแฟรสกลมกล่อม กาแฟใส่นม ถือเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะนอกจากรสชาติถูกปากแล้ว ยังได้สัมผัสรสชาติเมล็ดกาแฟสุดพรีเมียมจาก Nespresso ที่มีกลิ่นหอมและมอบความกลมกล่อม เพราะฉะนั้นหากอยากลิ้มลองรสชาติแปลกใหม่แบบไม่มีซ้ำ แนะนำให้หาเครื่องชงกาแฟสด Nespresso ไว้ติดบ้านหรือสำนักงาน รับรองว่าจะได้ลิ้มรสกาแฟได้แบบไม่มีเบื่อ

ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/th/th/nespresso-iced-coffee
https://www.nespresso.com/th/th/order/machines/vertuo

138
กาแฟคั่วอ่อน เป็นกาแฟที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นในคนไทย กาแฟร้อนที่บาริสต้าชงด้วยความพิถีพิถันใช้เวลานานมีความขมน้อย รสเปรี้ยวโดด ติดหวานเล็กน้อย เป็นรสชาติที่ควรลิ้มลองดูสักครั้ง เหมาะกับคนที่ไม่ชอบ กาแฟ สายขม
เมล็ดกาแฟต้องผ่านการคั่วบดก่อนจึงนำมาชงสกัดได้ โดยระดับการคั่วกาแฟมีหลายแบบ โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ กาแฟคั่วอ่อน, กาแฟคั่วกลาง และ กาแฟคั่วเข้ม เริ่มจากกาแฟคั่วแบบอ่อนซึ่งผ่านความร้อนไม่นาน ยังคงมีรสเปรี้ยวและหวานของผลไม้หลงเหลืออยู่ กลายเป็นคาแรกเตอร์เฉพาะตัวที่แสดงความเป็นกาแฟแท้ออกมามากที่สุด นิยมชงกาแฟดริปและชงแบบร้อนอร่อยที่สุด ส่วน กาแฟคั่วกลาง ใช้ความร้อนนานขึ้น ลดความเปรี้ยวลง รสสัมผัสหนักขึ้น ทั้งขมและหอมมากขึ้น สุดท้ายเป็น กาแฟคั่วเข้มคือ เมล็ดกาแฟที่คั่วนานจนไม่เหลือความเปรี้ยวแล้ว กลิ่นหอมไหม้โดดเด่น ระดับความเข้มของกาแฟ ของ Nespresso ทั้งขมและเข้มข้น เหมาะกับการชงกาแฟเย็นผสมนมและครีมอร่อยหวานมัน
หากไม่มีเวลาปลีกตัวไปนั่งชิมกาแฟดริปในร้าน เราแนะนำขั้นตอนการทำ กาแฟคั่วแบบอ่อน แบบกาแฟดริปร้อน ๆ ชงได้ง่าย มาฝากกันดังนี้
อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบด้วย    
- ดริป : ทรงกรวยหรือทรงสี่เหลี่ยมคางหมู
- เหยือกปากกว้างใช้กรองน้ำกาแฟจากดริปเปอร์
- กระดาษกรองแบบฟอกขาว
- กาน้ำร้อนสำหรับดริปกาแฟ
- เครื่องบดเมล็ดกาแฟ แบบเครื่องบดอัตโนมัติหรือแบบมือหมุนก็ได้
- ตาชั่งกาแฟและนาฬิกาจับเวลา
- น้ำชงกาแฟ
- เมล็ดกาแฟคั่วแบบอ่อน
วิธีทำ เริ่มจากการต้มน้ำร้อนอุณหภูมิ 92-95 องศาเซลเซียส สัดส่วนกาแฟ 1 กรัม ต่อน้ำ 15 กรัม โดยใช้กาแฟ 20 กรัม และน้ำ 300 กรัม สามารถปรับสัดส่วนน้ำได้ให้รสชาติบางหรือเข้มขึ้น ควรบดเมล็ด กาแฟ ระหว่างรอน้ำเดือดเพื่อให้กลิ่นหอมของกาแฟยังคงชัดเจน จากนั้นนำกระดาษกรองมาพับขอบสวมบนดริปเปอร์แล้ววางเหยือกรองน้ำกาแฟด้านล่าง
เทผงกาแฟที่บดแล้วบนดริปเปอร์และเทน้ำรอบแรกลงไป ใช้ปริมาณน้ำเป็น 2 เท่าของผงกาแฟ เทวนลงไปช้า ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ จับเวลาประมาณ 30 วินาที จากนั้นเทน้ำที่เหลือรวมเวลาทั้งหมด 3 นาที เมื่อน้ำไหลลงเหยือกด้านล่างทั้งหมดแล้ว ใช้ช้อนคนน้ำกาแฟและทิ้งไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย หากกาแฟรสเบาไป ให้ต้มน้ำร้อนขึ้นหรือบดละเอียดขึ้น ถ้ากาแฟรสเข้มไปให้ปรับตรงข้ามกัน การดริปกาแฟจะใช้ กาแฟคั่วกลาง ก็ได้ ควรปรับอุณหภูมิน้ำเป็น 85-89 องศาเซลเซียสจะเหมาะสมกว่า ส่วน กาแฟคั่วเข้ม ไม่แนะนำเพราะรสชาติขมมากเกินไป
การดริปกาแฟต้องใช้ความละเมียดละไมและความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน หากชิมรสชาติแล้วไม่ถูกใจ ลองปรับสูตรตัวแปรไปทีละอย่าง เช่น สัดส่วนของกาแฟต่อน้ำ ระดับการบดกาแฟ และอุณหภูมิ เพื่อให้ได้รสชาติตรงกับความต้องการ การดริปกาแฟกินเองที่บ้านเลือกเมล็ด กาแฟคั่วอ่อน ได้ตามชอบ คุณเองก็ทำได้ ลองแล้วจะติดใจ

139
รองพื้นมีประโยชน์ที่ช่วยทำให้สีผิวสม่ำเสมอ ช่วยอำพรางรอยสิว รอยดำ รอยแดง รอยแผล กระ ปาน ทำให้ผิวเรียบเนียน ช่วยลดความเสื่อมสภาพของผิว รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาของสภาพผิวด้วย จากประโยชน์ของรองพื้นที่กล่าวมาทำให้การเลือกรองพื้นให้เหมาะกับตัวเองนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

รองพื้น คือ เครื่องสำอางที่ใช้ปรับผิวหน้าก่อนการแต่งหน้า มีส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ น้ำหรือน้ำมัน ขี้ผึ้ง เม็ดสี และส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติของรองพื้น เช่น ช่วยให้ รองพื้นติดทนนาน ช่วยให้รองพื้นเกลี่ยง่าย ช่วยป้องกันแสงแดด ช่วยบำรุงผิว เป็นต้น

แนะวิธีเลือกรองพื้นให้เหมาะกับตัวเอง
รองพื้นมีหลากหลายเนื้อสัมผัสและมีระดับการปกปิดที่แตกต่างกัน เรามาดูวิธีการเลือกรองพื้นให้เหมาะกับตัวเองกัน โดยการตอบคำถามต่อไปนี้ก่อนที่จะไปดูว่า ควรเลือก รองพื้นยี่ห้อไหนดี
1.   สีผิวที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร
   สีผิวที่แท้จริงหรือ Undertone เป็นสีผิวชั้นในที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ วิธีที่จะรู้โทนสีผิวของตัวเองทำได้ด้วยการหงายมือและดูสีของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง
-   หากเส้นเลือดเป็นสีเขียว-เขียวเข้ม Undertone คือ Warm Tone
-   หากเส้นเลือดเป็นสีน้ำเงิน-ม่วง Undertone คือ Cool Tone
-   หากเส้นเลือดเป็นสีน้ำเงิน-เขียว Undertone คือ Neutral Tone
   การรู้ Undertone จะทำให้เลือกสีของรองพื้นที่เข้ากับสีผิวของตัวเอง เมื่อใช้แล้วผิวจะดูเป็นธรรมชาติ
2.   สภาพผิวเป็นอย่างไร
โดยทั่วไปเนื้อสัมผัสของรองพื้นที่เหมาะกับสภาพผิวแต่ละประเภท ได้แก่
-   Liquid Foundation รองพื้นเนื้อเหลวเหมาะกับทุกสภาพผิว รวมถึงผิวที่มีปัญหาสิว
-   Cream Foundation รองพื้นเนื้อครีมเหมาะกับผิวแห้งและผิวที่มีปัญหาสิว
-   Mousse Foundation รองพื้นเนื้อมูสเหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวแห้งและผิวที่มีปัญหาริ้วรอย
-   Powder Foundation รองพื้นเนื้อแป้งเหมาะกับทุกสภาพผิว ยกเว้นผิวแห้ง
3.   ต้องการระดับการปกปิดแค่ไหน
ระดับการปกปิดของรองพื้นแบ่งได้ดังนี้
-   ปกปิดระดับสูงสุด (Full Coverage) เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปกปิดปัญหาผิวที่มีอยู่ค่อนข้างมาก ถ้าอยากได้รองพื้นปกปิดรอยดำรอบสิวแบบแน่น ๆ ก็ต้องเป็นระดับ Full Coverage นี้เลย
-   ปกปิดระดับปานกลาง (Medium Coverage) เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปกปิดปัญหาผิวระดับปานกลาง เช่น รอยแดง รอยดำ รอยสิว
-   ปกปิดระดับบางเบาถึงปานกลาง (Sheer to Medium Coverage) เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวน้อย
-   ปกปิดระดับบางเบา (Sheer Coverage) เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีปัญหาผิว
4.   ทดลองทาสีรองพื้นอย่างไร
เมื่อรู้สีผิวที่แท้จริง รู้สภาพผิว และรู้ความต้องการการปกปิดของตัวเองแล้ว ขั้นต่อมาคือการทดลองทาสีรองพื้น โดยเลือกสีรองพื้นมาทดลองทา 3 สี ได้แก่ สีที่ตรงกับสีผิวของตัวเอง สีที่เข้มกว่าสีผิวของตัวเอง 1 ระดับ และสีที่สว่างกว่าสีผิวของตัวเอง 1 ระดับ นำมาทาบริเวณคางและกราม โดยให้อยู่ในที่ที่มีแสงธรรมชาติ จากนั้นเลือกสีที่เหมาะกับทั้งผิวหน้าและลำคอ

การเลือกรองพื้นที่เหมาะกับตัวเองช่วยให้สีผิวดูเป็นธรรมชาติ ช่วยแก้ไขปัญหาผิว แล้วควรเลือก รองพื้นยี่ห้อไหนดี ถ้าไม่อยากเสียเงินซื้อรองพื้นผิดมาไม่เข้ากับผิว เราขอแนะนำรองพื้นจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง ESTEE LAUDER ที่ช่วยให้เลือกรองพื้นที่ใช่ได้ง่ายมาก เพียงเข้าไปที่ https://m.esteelauder.co.th/foundation-finder แล้วตอบคำถามไม่กี่ข้อ คุณก็จะได้รองพื้นที่เหมาะกับตัวเอง
ESTEE LAUDER รองพื้นในตำนานที่ช่วยปกปิดรอยสิว รอยแดง รอยดำ และริ้วรอยได้เป็นอย่างดี รองพื้นติดทน ตั้งแต่เช้าถึงเย็น มีหลายเฉดสีให้เลือก เหมาะกับการแต่งหน้าออกงานและแต่งหน้าประจำวัน รองพื้นที่ช่วยให้ผิวหน้าสวยเนียนได้อย่างเป็นธรรมชาติแม้ไม่ใช่อาชีพ ทดลองของจริงได้ที่เคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แล้วคุณจะหลงรักผิวหน้าของตัวเอง


ชมรายละเอียดเพิ่ม
https://sistacafe.com/summaries/95902

140
สำหรับหลาย ๆ คนแล้ว กาแฟสด สามารถปลุกความสดชื่นในแต่ละวันได้ดี ยิ่งหากคุณเป็นคอกาแฟที่ต้องดื่มเป็นประจำแล้วล่ะก็การได้ลิ้มลองกาแฟรสชาติใหม่ ๆ ถือเป็นการแสวงหารสชาติที่ใช่เลยทีเดียว

ใครที่เริ่มคิดอยากมีเครื่องชงกาแฟไว้ที่บ้านหรือเอาเครื่องชงกาแฟสำนักงาน แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่รู้ วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ ราคาหลักหมื่นเพราะมีขั้นตอนมาก หากไม่เชี่ยวชาญมากพอรสชาติกาแฟที่ได้อาจผิดไปจากที่คิด วิธีแก้ไขปัญหาอย่างง่าย ๆ ก็คือลองมาเปิดใจให้กับเครื่องชงกาแฟแบบใช้ แคปซูลกาแฟ จาก Nespresso นั่นเอง
โดยมี วิธีใช้เครื่องชงกาแฟ แคปซูล Nespresso ได้ง่าย ๆ ดังนี้
ขอยกตัวอย่าง วิธีใช้เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก รุ่น Essenza Mini รุ่น Inissia และรุ่น Pixie ซึ่งเป็น 3 รุ่นยอดนิยมที่มีขนาดกะทัดรัดและใช้งานง่ายด้วย 2 ปุ่มกด
1.   เติมน้ำสะอาดใส่แท็งก์ให้ถึงระดับที่กำหนดไว้
2.   เสียบปลั๊ก กดปุ่มเปิดเครื่องแล้วรอจนกว่าสัญญาณไฟนิ่ง ระหว่างนี้หา ถ้วยกาแฟ ตามขนาดเมนูที่ต้องการชง เช่น เมนูเอสเพรสโซ่ใช้ ถ้วยกาแฟ ขนาดมากกว่า 40 มล. และเมนูลุงโกใช้ ถ้วยกาแฟ ขนาดมากกว่า 110 มล.
3.   ใส่ แคปซูลกาแฟ ลงในช่องบรรจุ กดปุ่มให้เครื่องทำงาน สำหรับเมนูกาแฟร้อนเมื่อเครื่องทำงานเสร็จกาแฟพร้อมเสิร์ฟได้ทันที สำหรับเมนูกาแฟเย็นให้นำกาแฟที่ได้ผสมน้ำเย็นเล็กน้อยแล้วเทลงในแก้วทรงสูงที่ใส่น้ำแข็งไว้เต็ม เพียงแค่นี้จะได้ดื่มกาแฟเมนูโปรดง่ายและรวดเร็ว
สำหรับเมนูกาแฟนมสามารถใช้เครื่องทำฟองนมรุ่น Aeroccino 3 ได้ด้วยการกดปุ่มเดียว โดยรุ่นนี้สามารถทำฟองนมได้ทั้งสูตรร้อนและสูตรเย็น น้ำหนักเบาเพียง 0.7 กรัม และยังใช้ทำฟองนมได้มากถึง 120 มล. เลยทีเดียว

เนื่องจากเครื่องชงกาแฟแคปซูลจาก Nespresso มีหลายรุ่นมาก ๆ เพราะต้องการตอบโจทย์คนที่ใช้งานหลาย ๆ แบบ การเลือกซื้อจึงควรเริ่มจากการกำหนดเมนูกาแฟสุดโปรดกับ ปริมาณการชงต่อวันให้ได้เสียก่อน เช่น สมาชิกในบ้านมีทั้งหมด 4 คน ดื่มกาแฟดำ 2 คน ดื่มกาแฟนม 2 คน ปริมาณการชงต่อวันอยู่ที่ 4 - 5 แก้ว เครื่องชงกาแฟรุ่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้มีมากมาย เช่น Nespresso Atelier, New Lattissima One และ Creatista Plus ช่วงราคาของทั้ง 3 รุ่น อยู่ระหว่างหลักพันถึงหลักหมื่น โดยจับคู่การใช้งานกับ แคปซูลกาแฟ จาก Nespresso ราคาเฉลี่ยประมาณ 22 บาท ต่อแคปซูล ซึ่งมีจำนวนสูตรให้เลือกมากกว่า 30 สูตรด้วยกัน จึงเชื่อว่าคนรักกาแฟจะสนุกกับการได้ลิ้มลองกาแฟสูตรใหม่ ๆ ไปพร้อมกับเครื่องชงกาแฟจาก Nespresso อย่างแน่นอน


ชมเพิ่มเติมที่
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/order/machines/pro
https://www.nespresso.com/pro/th/th/office-coffee-machines

141
   ริมฝีปากเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ควรใส่ใจดูแลให้ชุ่มชื้นและอวบอิ่มอยู่ตลอด เพราะหากริมฝีปากแห้งลอกเป็นขุยแล้วละก็ดูป่วยไม่สบายไม่สดใสเลยทีเดียว ดังนั้นลิปบาล์มติดตัวไว้เติมระหว่างวันจึงต้องพกอยู่เสมอ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีทั้งแบบลิบบาล์มธรรมดาและ ลิปบาล์มมีสี แล้วเราจะเลือกแบบไหนดี มาดูกัน

ลิปบาล์มมีสี กับลิปบาล์มทั่วไปต่างกันอย่างไร
   ลิปบาล์มหรือลิปมันนั้นคือขี้ผึ้งหรือน้ำมันสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว เช่น วิตามินอี วิตามินบี เชียร์บัตเตอร์ ฯลฯ โดยประโยชน์ของลิปบาล์มนั้นจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น บำรุงริมฝีปากให้ริมฝีปากอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันลิปบาล์มก็จะมีในรูปแบบทั้งที่เป็นลิปสติกแท่ง ตลับ เป็นเนื้อครีม ขึ้นอยู่กับความชอบและความสะดวกของแต่ละบุคคล
   นอกจากลิปบาล์มหรือลิปมันแบบธรรมดาแล้ว ก็ยังมีลิปบาล์มหรือ ลิปมันมีสี อีกแบบ ให้สีที่สวยงามเหมือนกับการทาลิปทินท์หรือลิปมีสีแบบทั่วไปเลย แต่คุณสมบัติทั่วไปก็คือลิปมัน ใช้แล้วปากชุ่มชื้น เคลือบริมฝีปากให้เงาและอวบอิ่ม พร้อมฟื้นบำรุงให้ริมฝีปากสุขภาพดีไม่แห้งกร้านและลอกเป็นขุย

จุดเด่นของลิปบาล์มแบบมีสีที่แตกต่างจากลิปบาล์มทั่วไป
   ซึ่งลิปบาล์มมีสีสันต่างจากลิปบาล์มทั่วไปตรงที่ให้สีสันสวยสดใสเป็นธรรมชาติ ปากไม่ได้มันวาวอย่างเดียว แต่จะมีสีระเรื่อ ๆ ตามแต่เฉดสีที่เลือก โดยส่วนใหญ่จะเป็นสีชมพู สีแดง สีส้ม สีพีช ทาแล้วปากไม่ซีด หลาย ๆ คนอาจจะไม่ชอบทาลิปมันธรรมดาเพราะกลัวว่าปากจะมันแผลบเหมือนไปกินอะไรมา ลิปบาล์มมีสีจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะทาแล้วปากจะดูชุ่มชื้นพอดีมีสีสันที่สวยใสสุขภาพดี ดูเป็นธรรมชาติ
   การมีลิปบาล์มมีสีติดไว้ใช้สักอันจะช่วยเพิ่มสีสันให้แม้ในวันที่ไม่ได้แต่งหน้าแบบจัดเต็ม อีกทั้งช่วยบำรุงริมฝีปากให้สุขภาพดีอวบอิ่ม เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ลิปบาล์มมีสี BOBBI BROWN EXTRA LIP ช่วยบำรุงฟื้นฟูริมฝีปากให้ชุ่มชื้น ลดปัญหาปากแห้ง ริมฝีปากสวยดูสุขภาพดี แถมยังมีหลายสีให้เลือกใช้ พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่สำคัญยังติดทน แห้งเบาสบายไม่เลอะริมฝีปาก

   ใกล้หน้าหนาวเข้ามาแล้ว ลิบบาล์มเป็นไอเทมจำเป็นที่ต้องมีไว้ใช้ดูแลริมฝีปากให้ชุ่มชื้นไม่แห้งกร้านหรือลอกเป็นขุย ใครยังไม่มีรีบไปหามาใช้กันให้ทันก่อนความหนาวมาเยือน


ชมข้อมูลเพิ่มเติมที่
https://women.kapook.com/view274438.html
https://women.kapook.com/view274438.html

142
เมนูกาแฟผสมนมอย่างคาปูชิโน่และ ลาเต้ จัดว่าเป็นเมนูกาแฟยอดฮิตของคนรักกาแฟเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นกาแฟขายดีอันดับต้น ๆ ของร้านกาแฟแทบจะทุกแห่ง ซึ่งแต่ละร้านมักจะมีสูตรเด็ดเป็นซิกเนเจอร์ของร้านไว้ดึงดูดคอกาแฟ แต่จะดีกว่าไหมถ้าหากเราจะชงกาแฟนมทั้ง 2 เมนูนี้ไว้ดื่มเองที่บ้านด้วยนวัตกรรมกาแฟจาก Nespresso ซึ่งวันนี้นำไอเดีย สูตรชงกาแฟ ของ Nespresso คาปูชิโน่และลาเต้แบบง่าย ๆ มาฝาก

•   สูตรชงกาแฟสดแรกที่จะนำมาแชร์ในวันนี้นั่นก็คือ “เมนูลาเต้” ซึ่งเป็นกาแฟสดผสมนมในอัตราส่วนที่นมและฟองนมมากกว่ากาแฟ จึงทำให้เอกลักษณ์ของกาแฟมีความเข้มข้นน้อยแต่จะหนักไปที่ความหอมหวานของนมและรสสัมผัสนุ่ม ๆ ของฟองนมเนื้อเนียนละเอียดแทน วิธีทำก็ง่ายมาก ๆ เริ่มจากเตรียมฟองนมโดยใช้นมสดปริมาณ 120 มิลลิลิตร มาตีด้วย เครื่องตีฟองนม Aeroccino 3 จนขึ้นฟูเนื้อเนียน จากนั้นเตรียมชงกาแฟด้วย เครื่องชงกาแฟ แคปซูลจาก Nespresso แนะนำให้เลือกใช้แคปซูลกาแฟในคอลเลกชั่น Barista Creations รุ่นไหนก็ได้ เพราะเป็นคอลเลกชั่นที่ออกแบบกาแฟมาให้เหมาะกับการชงผสมนม เมื่อได้ช็อตกาแฟออกมาแล้วจะเติมไซรัปหรือน้ำตาลเพิ่มความหวานเล็กน้อยก็ได้ ก่อนผสมนมสดและตักฟองนมนุ่ม ๆ โป๊ะปิดท้ายจะได้เมนูกาแฟ ลาเต้ แก้วโปรดสุดพิเศษแล้ว
•   สูตรกาแฟสด ต่อมาก็คือ “เมนู คาปูชิโน่ ” เมนูนี้ไม่ได้มีความแตกต่างจากเมนูลาเต้เท่าไรนัก เพราะเป็นกาแฟที่มีฟองนมแต่จะให้ความเข้มข้นของกาแฟมากกว่าลาเต้ วันนี้เราจะเพิ่มความพิเศษให้คาปูชิโน่แก้วนี้ด้วยการเพิ่มผงเฮเซลนัทลงไปด้วย เริ่มจากการเตรียมฟองนมก่อนเช่นเดิม จากนั้นชงช็อตเอสเพรสโซ่ด้วย แคปซูลกาแฟ Livanto ซึ่งเป็นแคปซูลกาแฟที่ได้แรงบันดาลใจจากอิตาลีตอนเหนือ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของคาราเมลและธัญพืชเข้ากันได้ดีกับเฮเซลนัท หลังจากที่ชงช็อตเอสเพรสโซ่ออกมาแล้วเพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลเล็กน้อย จากนั้นให้ตักฟองนมที่เตรียมไว้ออนท็อปแล้วตามด้วยผงเฮเซลนัทเป็นอันเสร็จ จะได้เฮเซลนัท คาปูชิโน่ รสกลมกล่อมสุดคลาสสิกราวกับว่ามีบาริสต้ามาชงให้ดื่มกันถึงที่เลยทีเดียว

ทั้ง 2 สูตรกาแฟ ของ Nespresso คาปูชิโน่และ ลาเต้ ที่เรานำมาฝากไม่ยากจนเกินไป ทำได้ที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องง้อร้านกาแฟอีกต่อไปเพราะแค่มีนวัตกรรมกาแฟจาก Nespresso ติดบ้านไว้ใคร ๆ ก็สามารถเป็นบาริสต้าได้ง่าย ๆ ใช้เวลาไม่กี่นาทีคุณจะมีกาแฟสดดี ๆ ไว้ดื่มแล้ว

143
แม้ เมนูกาแฟ แบบร้อนจะได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับเลยว่ากาแฟเย็นก็ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะความเย็นจากน้ำแข็งช่วยให้ปลุดความสดชื่นได้เป็นอย่างดี และตอนนี้ได้เวลาเติมความสดชื่นให้ร่างกายด้วย สูตรกาแฟเย็น ที่เพิ่มความเฟรชรีเซ็ตร่างกาย นอกจากชงง่ายแล้วยังอร่อย หอมเมล็ดกาแฟ เติมเต็มวันใหม่ให้สมบูรณ์แบบ เพียงมีตัวช่วยเป็นเครื่องชงกาแฟ Nespresso และเครื่องทำฟองนม Aeroccino
1. Latte Macchiato
สูตรลาเต้เย็น ที่ชงง่ายใช้เวลาไม่นาน แต่รสชาติอร่อยจนเหมือนมีบาริสต้ามาชงให้ที่บ้าน สำหรับสูตรนี้เริ่มต้นด้วยการเตรียมฟองนมก่อน โดยใช้เครื่องทำฟองนม Aeroccino ที่สามารถทำฟองนมได้มากสุดครั้งละ 240 มิลลิลิตร โดยเมนูนี้ต้องทำฟองนมเตรียมไว้ประมาณ 40 มิลลิลิตร จากนั้นนำใส่ไว้ในแก้ว เพื่อเตรียมสกัดกาแฟแคปซูลต่อไป
สำหรับขั้นตอนการเตรียมเมนูนี้ เพียงเลือกกาแฟแคปซูลรสชาติโปรด เมื่อสกัดกาแฟแล้วให้เทกาแฟลงในแก้วฟองนมที่เตรียมไว้ เติมน้ำแข็งในปริมาณที่ต้องการ เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ ลาเต้เย็น แสนอร่อย โดยสามารถเติมน้ำตาลเพิ่มความหวานได้ หรือหากต้องการให้มีกลิ่นช็อกโกแลตเล็กน้อยก็สามารถโรยผงช็อกโกแลตเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
2. Fizzy India
อีกหนึ่งสูตรกาแฟที่บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มองหารสชาติแปลกใหม่ แต่สามารถเติมความสดชื่นได้เป็นอย่างดีสำหรับแก้วนี้จะคล้าย ๆ อเมริกาโน่เย็น แต่มีลูกเล่นด้วยกลิ่นหอมจากกระวานและน้ำเลมอน เริ่มต้นด้วยการเตรียมเมล็ดกระวานประมาณ 4-5 เมล็ดลงในแก้วกาแฟ จากนั้นให้สกัดกาแฟจากเครื่องชงกาแฟ Nespresso และด้วยความที่เป็นเมนู Fizzy India จึงขอแนะนำให้เลือกกาแฟจากกลุ่ม Master Origin ซึ่งเป็นกลุ่มกาแฟอินเดีย เมื่อสกัดกาแฟเรียบร้อยแล้วให้ใส่ลงไปในแก้วที่มีเมล็ดกระวาน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เมล็ดกระวานนุ่มขึ้นและส่งกลิ่น
ได้เวลาเติมความหวานต่อด้วยการเติมน้ำเชื่อมลงไปในปริมาณที่ต้องการ ตามด้วยน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับ เมนูกาแฟ จากนั้นเติมน้ำเลมอนและน้ำมะนาวโซดาลงไป อย่าลืมตกแต่งด้านบนด้วยเปลือกเลมอนสักนิดรับรองว่ากาแฟจะดูน่าดื่มยิ่งขึ้น ทำง่ายขนาดนี้วันไหนเบื่อจาก อเมริกาโน่เย็น และอยากลิ้มลองรสชาติใหม่ ๆ แนะนำให้เลือกออกแบบเมนูนี้เลย
เครื่องชงกาแฟ Nespresso และเครื่องทำฟองนม Aeroccino เป็นตัวช่วยให้การชงกาแฟง่ายและรวดเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นใครอยากมีสักเครื่องไว้ติดบ้าน ควรหามาครอบครอง โดยเครื่องชงกาแฟ Nespresso มีให้เลือกหลายรุ่น มาพร้อมดีไซน์ร่วมสมัย และคุณสมบัติในการชงกาแฟให้อร่อยเหมือนมีบาริสต้าชงให้ที่บ้าน อีกทั้งยังมีแคปซูลกาแฟให้เลือกหลากหลายรสชาติ เชื่อว่าการออกแบบ สูตรกาแฟเย็น  และสูตรกาแฟร้อนต้องสนุกอย่างแน่นอน


ชมรายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.nespresso.com/th/th/nespresso-iced-coffee

144
   เวลาแต่งหน้าออกจากบ้าน สาว ๆ หลายคนประสบกับปัญหาทาลิปสติกแล้วสีไม่อยู่ทน โดยเฉพาะเวลาที่ใส่และถอดแมสก์ระหว่างวันที่มักทำให้ริมฝีปากซีดอยู่เสมอ วันนี้ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปกับเทคนิคทาลิปสติกให้ติดทน เพื่อริมฝีปากสีสวยตลอดวัน
ก่อนทาลิปการบำรุงริมฝีปากเป็นประจำสำคัญมาก
   เพื่อให้ทาลิปติดทน ริมฝีปากจะต้องได้รับการบำรุงให้มีความชุ่มชื้น ไม่แห้งลอก สาว ๆ จำเป็นต้องดูแลริมฝีปากด้วยการสครับปาก แนะนำใช้ลิปสครับหรือใช้แปรงขัดเบา ๆ บริเวณริมฝีกปาก เพื่อช่วยกำจัดขุยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วที่ริมฝีปากให้หมดจด ทำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง และทาลิปบาล์มบำรุงก่อนนอนเพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ก่อนทาลิปสติกให้ใช้ลิปบาล์มที่ไม่มันมากจะทำให้ลิปสติกติดทน และยังช่วยให้ริมฝีปากอิ่มสวยอีกด้วย เอาละมาลองติดตามเทคนิคทาลิปเนื้อแมทกัน
1.   ใช้ลิปไพร์เมอร์ให้ริมฝีปากเรียบเนียน
   ลิปไพร์เมอร์ใช้กับริมฝีปากโดยเฉพาะ จะช่วยเตรียมริมฝีปากให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น ไม่ตกร่อง ช่วยล็อคลิปสติกให้ติดทนขึ้นด้วย
2.   ลงลิปคอนซีลเลอร์สำหรับริมฝีปากหมองคล้ำ
   ทาลิปแล้วสีเพี้ยน เกิดจากสีปากที่หมองคล้ำ แนะนำให้ลงลิปคอนซีลเลอร์ จะช่วยกลบสีปากคล้ำให้อ่อนลง ทา ลิปเนื้อแมท ของ ELCA สีไหน ๆ ก็คมชัดและตรงเฉดมากขึ้น
3.   ใช้ลิปไลน์เนอร์เขียนขอบปาก
   ใช้ลิปไลเนอร์วาดลงบนขอบ จะทำให้ขอบปากดูคมชัด มีมิติ แล้วยังช่วยให้ลิปสติกติดทน ไม่ทำให้ลิปสติกไหลเลอะไปตามมุมปากอีกด้วย
4.   เลือกทาลิปสติกเนื้อแมทและไม่ทาจนเยิ้ม
   แนะนำให้ใช้พู่กันค่อย ๆ ทาเนื้อลิปสติกแล้วค่อย ๆ เกลี่ยเนื้อลิปสติกให้ทั่วเนื้อปาก อย่าจุ่มสีมากจนเกินไปเพราะหากทาจนเยิ้มลิปส่วนเกินจะติดแมสก์ได้ง่าย เทคนิคนี้นอกจากจะทำให้ลิปติดทนแล้ว ยังทำให้สีลิปที่อยู่บนปากมีความเนียนสวย ไม่อยากให้ลิปสติกเลอะหน้ากากอนามัยจนเป็นคราบ และแนะนำว่าควรเลือก ลิปเนื้อแมท ที่มีเม็ดสีเข้มข้น ทาแล้วจะทำให้สีสันติดทนบนริมฝีปาก
5.   ล็อกลิปสติกให้ติดทนด้วยแป้งฝุ่น พร้อมทาลิปสติกอีกรอบ
   สำหรับเทคนิคนี้เป็นการใช้กระดาษทิชชูแผ่นบางวางทางลงบนริมฝีปาก จากนั้นใช้แป้งฝุ่นโปร่งแสงค่อย ๆ ปัดลงบนทิชชูแล้วทาลิปสติกสีเดิมทับลงไปอีกหนึ่งรอบ เพื่อทำให้ลิปแมทติดทนนานตลอดวัน ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเติมปากทั้งวัน
   หมั่นบำรุงริมฝีปาก เลือกใช้ลิปเนื้อแมทดี ๆ และทำตามเทคนิคที่บอกไว้ เท่านี้ลิปก็ติดทน ไม่ติดแมสก์ มีสีสวยตลอดวันแล้ว ส่วน ลิปยี่ห้อไหนดี ต้องไอเทมนี้เลย MAC MATT LIPSTICK ลิปเนื้อแมท เนื้อสีแน่นติดทน สีปากชัด ไม่มีความวาว ลิปเนื้อ แมทรุ่นฮิตจาก MAC

145
เมื่อออกไปข้างนอกเพื่อทำกิจกรรมชีวิตประวัน อยากแต่งหน้าให้เนียน ๆ เรียกความมั่นใจกลับมาจาก ผิวที่เป็นสิว เรื่องนี้ง่ายมาก ๆ วิธีแก้ไขก็คือการใช้ รองพื้นปกปิดรอยสิว ให้หน้าเนียนไร้ที่ติ
รองพื้นเป็นเครื่องสำอางที่ช่วยปรับสภาพผิวให้หน้าเนียนขึ้น มีสีให้เลือกตั้งแต่เฉดสีอ่อนไปจนถึงเฉดสีเข้ม โดยการเลือกให้ใกล้เคียงกับผิวของเราจะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

รองพื้นมีแบบไหนบ้าง
รองพื้นแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะที่แตกต่างกันของเนื้อรองพื้น ดังนี้
1.   รองพื้นชนิดเจล
รองพื้นมีเนื้อเบาสบาย เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันและดีต่อผิวแพ้ง่าย ควรเลือกชนิดที่มีคุณสมบัติเป็น รองพื้นติดทน เพื่อเพิ่มความมั่นใจตลอดวัน
2.   รองพื้นชนิดน้ำ
เป็นรองพื้นที่เหมาะกับผิวมีสิวมากที่สุด เพราะไม่อุดตันรูขุมขน และถ้าจะให้ดีควรเลือกสูตร Oil-free เพื่อคุมความมันได้ดียิ่งขึ้น
3.   รองพื้นชนิดครีม
เนื้อรองพื้นมีความข้นและหนากว่าชนิดน้ำจึงปกปิดดีกว่า แต่คนเป็นสิวควรระวังเรื่องการอุดตันรูขุมขน รองพื้นชนิดนี้มีความมันเหมาะกับคนผิวแห้งมากกว่า
4.   แป้งผสมรองพื้น
จัดเป็นรองพื้นชนิดหนึ่งในรูปของแป้งอัดแข็ง แต่ไม่เหมาะใช้กับผิวที่มีสิวเยอะ เพราะเนื้อแป้งอาจจะไปอุดตันรูขุมขนได้ หรือหากผิวแห้งจากการใช้ยาสิวก็อาจจะทำให้หน้าดูแห้ง

ใช้รองพื้นปกปิดรอยสิวอย่างไรให้ผิวเนียน
การใช้รองพื้นสำหรับคนเป็นสิวต้องระวังอย่าให้ผิวอุดตัน เพราะอาจทำให้สิวเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ขั้นตอนการลงรองพื้นเริ่มจาก
1.   เตรียมผิวด้วยโทนเนอร์ ยกเว้นถ้าสิวกำลังอักเสบมาก ๆ ให้ใช้ยาแต้มสิวแทน โดยทายาทิ้งไว้สักพักให้ตัวยาซึมลงผิวจึงค่อยเริ่มการแต่งหน้า
2.   ทาครีมกันแดด สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลือกใช้ครีมกันแดดเนื้อบาง เพื่อไม่ให้อุดตันรูขุมขน เกลี่ยเนื้อครีมให้ทั่วแล้วทิ้งไว้สักพัก
3.   คนเป็นสิวควรลงรองพื้นชนิด Non-Comedone และใช้แปรงที่สะอาดในการเกลี่ยรองพื้น อาจใช้นิ้วมือก็ได้แต่ควรล้างมือให้สะอาดป้องกันสิ่งสกปรกซึ่งอาจก่อสิวเพิ่มขึ้น
4.   ลงคอนซีลเลอร์ในจุดที่ต้องการปกปิดเป็นพิเศษ โดยเลือกใช้คอนซีลเลอร์แบบ Non-Comedone เช่นเดียวกัน
5.   หลังจากเกลี่ยเนื้อรองพื้นทั่วแล้ว ใช้นิ้วหรือพัฟที่สะอาดกดเบา ๆ ให้ รองพื้นปกปิดรอยสิว ได้เนียนเรียบและให้รองพื้นเข้ากับผิวได้ดีขึ้น หากต้องการรองพื้นยี่ห้อไหนดี ๆ สักตัว ลอง Double Wear Stay-in-Place ที่มีเนื้อบางเบา แต่ปกปิดได้ดีและยาวนาน แม้ผิวเป็นสิวก็ไม่ต้องกังวลเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก ESTEE LAUDER

หลังจากลงรองพื้นแล้วแนะนำลงแป้งฝุ่นทับบาง ๆ อีกชั้นเพื่อเซ็ตตัวรองพื้น พร้อมแต่งหน้าในส่วนอื่น ๆ และอย่าลืมพกแป้งฝุ่นไว้สำหรับคุมมันระหว่างอยู่นอกบ้าน เพื่อความสวยนวลเนียนตลอดวัน

146
กาแฟดำ ถือเป็นเมนูเครื่องดื่มสุดฮิตทั้งเมนูร้อนและแบบเย็น และยังสามารถสร้างสีสันด้วยกลิ่นและรสชาติหลากหลายหากเลือกเป็น กาแฟแคปซูล ซึ่งให้ความสะดวกรวดเร็วและกลายเป็นทางเลือกใหม่ของคอกาแฟในปัจจุบัน
ไม่ใช่แค่รสชาติที่หอมเข้มข้นเท่านั้น หากแต่ยังมี ประโยชน์ของกาแฟดำ อีกมากมายที่โดนใจคนรักสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านการควบคุมน้ำหนัก

เปิดลิสต์คุณ ประโยชน์ของกาแฟดำ ต่อสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก
กาแฟดำเป็นเครื่องดื่มที่มีแคลอรีต่ำกว่ากาแฟนมจึงให้พลังงานน้อยกว่า อีกทั้งคุณประโยชน์ของกาแฟดำยังมีส่วนช่วยให้การลดน้ำหนักและการเผาผลาญพลังงานของร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
โดยมีงานวิจัยพบว่า ประโยชน์กาแฟดำช่วยกระตุ้นระบบประสาทและช่วยให้ร่างกายสามารถดึงเซลล์ไขมันไปสร้างเป็นพลังงานได้มากขึ้น และยังช่วยในการเพิ่มระดับอะดรีนาลีนในเลือด ซึ่งเมื่ออะดรีนาลีนเพิ่มขึ้นจะทำให้สามารถออกกำลังกายได้นาน นอกจากนี้กาแฟดำยังมีส่วนช่วยการเผาผลาญของร่างกายให้ดีขึ้นด้วย การดื่มกาแฟดำก่อนออกกำลังกายจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
นอกจากการควบคุมน้ำหนักและการเผาผลาญพลังงานแล้ว กาแฟดำยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายด้านที่สายเฮลตี้ควรต้องรู้ ได้แก่
-   ช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำ ทั้งนี้เนื่องจากกาแฟดำมีสารกระตุ้นจิตประสาท ซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับร่างกายจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำได้ดีขึ้น
-   ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากสารประกอบในกาแฟดำจะช่วยลดการติดเชื้อในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง
-   มีสารต้านอนุมูลอิสระ ในกาแฟประกอบไปด้วยวิตามินบี 2 บี 3 บี 5 แมงกานีส โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยลดการเสื่อมของเซลล์ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน จึงส่งผลให้ช่วยเสริมสร้างร่างกาย
-   ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและกรดยูริก ซึ่งการควบคุมน้ำตาลในเลือดเท่ากับเป็นการช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเบาหวาน ทั้งยังช่วยเพิ่มการสร้างอินซูลินไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า หากดื่มกาแฟดำมากกว่าวันละ 4 แก้ว ไม่ว่าจะเป็นกาแฟแบบสำเร็จรูป กาแฟสด หรือ กาแฟแคปซูล ก็ตาม จะช่วยให้ระดับของกรดยูริกลดลง จึงช่วยบรรเทาอาการของโรคเกาต์ได้
-   ลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด การดื่มกาแฟดำเป็นประจำวันละ 1 – 2 แก้ว จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งยังช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและลดการอักเสบในร่างกายได้ด้วย
-   ช่วยให้อารมณ์คงที่ เพิ่มสารแห่งความสุข ลดความเครียด การดื่มกาแฟดำช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยรักษาระดับอารมณ์ให้คงที่ รวมถึงช่วยเพิ่มสารแห่งความสุข ลดอาการเหนื่อยล้า ลดอาการเครียดสะสม และยังมีส่วนช่วยลดภาวะซึมเศร้าด้วย

ปัจจุบันผู้คนหันมาดื่มกาแฟดำแบบ แคปซูลกาแฟ กันมากขึ้น เพราะนอกจากจะสะดวกรวดเร็วแล้ว ยังมีกลิ่นและรสชาติที่หลากหลาย นั่นจึงทำให้ แคปซูลกาแฟ เป็นตัวช่วยใหม่สำหรับการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักของผู้คนในยุคนี้อย่างแท้จริง

147
            มอยส์เจอไรเซอร์ คืออะไร หลายคนที่เป็นสายดูแลตัวเองอาจจะเคยใช้แต่อาจไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ไหนคือมอยส์เจอไรเซอร์ วันนี้เรามาทำความรู้จักมอยส์เจอไรเซอร์กันว่าดีอย่างไร และควรใช้ตอนไหนถึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เรามาหาคำตอบกัน
 
มอยเจอไรเซอร์คืออะไร
            มอยส์เจอไรเซอร์ คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณสมบัติในการช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ในมอยส์เจอไรเซอร์ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยส่วนผสมตัวหลัก 3 กลุ่มคือ สารที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว สารป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำหรือเป็นตัวกักเก็บน้ำไม่ให้ระเหยออกจากผิว และสารช่วยบำรุงผิวให้มีความนุ่มชุ่มชื้น ซึ่งนอกจากสาร 3 กลุ่มนี้แล้ว ในครีมมอยส์เจอไรเซอร์ยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการดูแลผิว เช่น วิตามินซี สารกลุ่มไวเทนนิ่ง สารควบคุมความมันบนผิว เป็นต้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสูตรของแบรนด์นั้น ๆ
 
มอยส์เจอไรเซอร์ ดีอย่างไร
•       ทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้ง เป็นขุย
•       ช่วยลดริ้วรอย ผิวที่อิ่มน้ำทำให้ผิวไม่แห้งกร้าน อันเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยได้ง่าย
•       ช่วยกักเก็บน้ำให้ผิว ช่วยให้ผิวตึงกระชับ
•       ทำให้ผิวนุ่มและเรียบเนียน
•       ทำให้ผิวกระจ่างใส
•       แต่งหน้าติดทนนาน เพราะผิวมีความชุ่มชื้นและฉ่ำน้ำ
 
ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ตอนไหน
            มอยเจอร์ไรเซอร์ล้วนอุดมไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผิว เราสามารถใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เวลาไหนก็ได้ตามที่ต้องการ แต่ในชีวิตประจำวัน เราไม่อาจจะทามอยเจอร์ไรเซอร์ตลอดทั้งวันได้แบบนั้น โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรทามอยเจอร์ไรเซอร์หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง เพราะเป็นช่วงเวลาที่รูขุมขนกำลังเปิดพร้อมรับการบำรุง และควรทามอยเจอร์ไรเซอร์หลังจากล้างหน้าภายใน 3-5 นาที ซึ่งถือเป็นช่วงนาทีทองของการดูแลผิว หากมีสกินแคร์หลายตัว ก็ควรเรียงลำดับของการใช้เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ในกลุ่มไหน รวมทั้ง moisturizer แนะนำ ว่าให้เรียงลำดับจากเนื้อของสกินแคร์จากเนื้อบางเบาไปหาเนื้อหนัก คือ เริ่มต้นจากเนื้อเอสเซนส์หรือน้ำตบ-เนื้อเซรั่มหรือเนื้อเจล-เนื้อโลชั่น-เนื้อครีม-เนื้อบาล์ม และเนื้อน้ำมัน
 
สำหรับใครที่อยากให้ผิวหน้านุ่มฉ่ำน้ำ และกำลังมองใช้มอยเจอร์ ไรเซอร์ตัวไหนดี มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหน้าจาก La Mer ที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น พร้อมบำรุงผิว ช่วยต่อต้านริ้วรอย มีให้เลือกใช้ตามสภาพผิวถึง 5 เนื้อสัมผัส เนื้อครีมเข้มข้นสำหรับคนผิวแห้ง เนื้อครีมสูตรบางเบาสำหรับผิวแห้งหรือผิวผสม เนื้อโลชั่นสูตรบางเบาเหมาะกับทั้งผิวมันและผิวผสม เนื้อครีมเจลสูตรเย็นเหมาะสำหรับคนผิวผสมหรือผิวมัน สามารถหาซื้อได้จากเคาน์เตอร์แบรนด์ La Mer ในห้างสรรพสินค้าและทุกช่องทางออนไลน์


ชมเพิ่มเติมที่
https://praew.com/praew-survey/518840.html

148
   หนึ่งในไอเทมที่ไม่มีไม่ได้สำหรับหน้าหนาวก็คือลิปมันหรือลิปบาล์ม ตัวช่วยป้องกันไม่ให้ริมฝีปากแห้งกร้านลอกเป็นขุย แต่ใครที่ใช้ลิปมันธรรมดาแล้วรู้สึกว่าใบหน้าดูซีดไร้สีสันไม่มีชีวิตชีวา เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ ลิปมันมีสี เป็นตัวเลือก บทความนี้จึงจะมาพาทุกคนไปทำความรู้จักกับลิปมันมีสีว่าแตกต่างจากลิปมันหรือลิปบาล์มทั่วไปยังไง แล้วเราจะเลือกใช้แบบไหนให้จึ้งดี
   ลิปมันมีสีคืออะไร
   ลิปมันมีสีก็คือลิปมันหรือลิปบาล์ม ที่ช่วยเคลือบริมฝีปากเพื่อเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก ลิปมันหรือลิปบาล์มจึงแตกต่างจากลิปสติกทั่วไปตรงที่ไม่เน้นความคมชัดของสี แต่ช่วยเรื่องการบำรุงให้ชุ่มชื้นและอวบอิ่ม ซึ่งการทาลิปมันธรรมดาก็อาจจะทำให้ปากดูมันวาวแต่ไร้สีสัน สีปากคล้ำอยู่แล้วยังคงดูคล้ำ ด้วยเหตุนี้จึงมีบิ้วตี้ไอเทมอย่าง ลิปบาล์มมีสี เป็นลิปมันที่มีการเติมเม็ดสีลงไป ทำให้พอทาไปแล้วริมฝีปากจะเปลี่ยนสีตามเฉดต่าง ๆ หากแต่ยังคงความชุ่มชื้นที่เคลือบริมฝีปากเอาไว้ หลายคนจึงนิยมหันมาใช้แบบมีสีเพราะครบทั้งการบำรุงและให้สีสันสดใส
   ข้อดีของการทาลิปมันมีสี
   1. ช่วยให้ปากชุ่มชื้น
   ลิปมันมีสีมีคุณสมบัติช่วยบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื้น ด้วยการสร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ เคลือบริมฝีปากป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้น ป้องกันไม่ให้ปากแห้งลอกเป็นขุย
   2. ช่วยให้ปากอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ
   ลิปมันมีสีจะช่วยแต่งแต้มริมฝีปากให้มีสีระเรื่อเป็นธรรมชาติ ให้ปากมีสีสันไม่ซีดเซียวเหมือนคนป่วย ที่สำคัญยังทาแล้วทำให้ปากดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลแลดูสุขภาพดี
   3. พกพาง่าย
   ลิปมันมีสีส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบแท่งขนาดกะทัดรัดสามารถพกพาติดตัวไปใช้ได้สะดวกทุกที่ สามารถใช้เติมระหว่างวันได้

   ถ้าคุณกำลังตัดสินใจมองหาลิปมันหรือลิปบาล์มมีสีมาใช้ส่วนตัวสักแท่งแล้วไม่รู้จะเลือก ลิปบาล์มมีสียี่ห้อไหนดี นั้น เราขอแนะนำ BOBBI BROWN EXTRA LIP TINT ลิปมันสีสันธรรมชาติที่ช่วยแต่งแต้มริมฝีปากให้เปล่งประกายพร้อมคืนความชุ่มชื้นตลอดวัน แก้ปัญหาปากลอก ปากแห้งเป็นขุยได้ดีรุ่นนี้เป็นลิปมันมีสีทาบำรุงได้ทั้งกลางวันและกลางคืนจากแบรนด์ดังคุณภาพ Bobbi Brown

149
หากกล่าวถึงเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมสำหรับวัยทำงาน แน่นอนว่าต้องพูดถึงกาแฟด้วย เพราะกาแฟหนึ่งแก้วสามารถเพิ่มความสดชื่น แถมกลิ่นหอมยังทำให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนทำกิจกรรมในวันนั้น ๆ และสำหรับใครที่เป็นคอกาแฟและอยากออกแบบ เมนูกาแฟ ตามใจตัวเอง แค่มีเครื่องทำกาแฟ Nespresso และแคปซูลกาแฟรสชาติที่ชื่นชอบก็สามารถสร้างสรรค์เมนูได้เอง เรามีสูตรกาแฟร้อนและ สูตรกาแฟเย็น 3 แบบ 3 สไตล์ที่ห้ามพลาดมาแนะนำ
1. Latte Macchiato
เมนูลาเต้ กาแฟใส่นม รสชาติไม่ธรรมดา ทำให้มีความพิเศษยิ่งขึ้น โดยชง Latte Macchiato เริ่มจากการเตรียมฟองนมด้วยเครื่องทำฟองนม Nespresso Aeroccino จากนั้นเทใส่แก้วที่เตรียมไว้ เลือกกาแฟแคปซูลรสชาติที่ชื่นชอบ ในปริมาณ 1.5 ออนซ์ จากนั้นให้เทลงในแก้วที่เตรียมฟองนมไว้แล้ว โดยการเติมความพิเศษด้วยฟองนมอุ่น ๆ จะช่วยออกแบบรสชาติให้กลมกล่อม เพิ่มความนุ่มละมุนของรสชาติได้เป็นอย่างดี
2. Hot Americano & Iced Americano
อีกหนึ่งเมนูยอดฮิตที่ถูกปากคนรักกาแฟ นั่นคือ อเมริกาโน่ร้อน และอเมริกาโน่เย็น แม้จะเป็นเมนูง่าย ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเมนูยอดนิยมสำหรับคนชอบดื่มกาแฟ เพราะจะได้ลิ้มรสชาติกาแฟสุดเข้มข้นที่เสิร์ฟพร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ โดยสูตรกาแฟแก้วนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงเลือกแคปซูลกาแฟอย่าง Kazaar จำนวน 2 แคปซูล จากนั้นนำใส่ลงเครื่องทำกาแฟ Nespresso รอไม่นานเครื่องทำกาแฟจะผลิต เมนูกาแฟ อเมริกาโน่ออกมาที่ทั้งหอมและเข้มข้น หากรสชาติเข้มเกินไป ก็สามารถเติมน้ำเปล่าได้ตามเหมาะสม หรือหากไม่อยากดื่ม อเมริกาโน่ร้อน แนะนำให้เติมน้ำแข็ง เพื่อเป็นกาแฟเย็น ได้เช่นกัน
3. Flat White
Flatwhite เป็นกาแฟใส่นมผสมฟองนมขาวละมุนกลมกลิ่ม โดยการทำ flatwhiteคือ ของ Nespresso ชงง่ายด้วยการกดกาแฟแคปซูลปริมาณ 1.5 ออนซ์ จากนั้นเทนมเย็นประมาณ 100 มิลลิลิตร ลงในเครื่องทำฟองนม เมื่อได้ฟองนมสีขาวน่าทานแล้ว ให้เทฟองนมลงในแก้วกาแฟ จุดเด่นของเมนูนี้คือนอกจากได้ลิ้มรสฟองนมนุ่มละมุนลิ้นแล้ว ยังได้ลิ้มรสชาติกาแฟที่เข้มข้นมาพร้อมกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟ นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งเมนูที่คอกาแฟห้ามพลาด
แค่มีเครื่องทำกาแฟ Nespresso และแคปซูลกาแฟรสชาติโปรดปรานก็สามารถออกแบบหลากหลาย เมนูกาแฟ ได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว และนอกจาก 3 เมนูนี้แล้ว เครื่องทำกาแฟ Nespresso ก็ยังสามารถชงกาแฟรสชาติอื่นได้ แต่ละเมนูมาพร้อมรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ เพราะเลือกใช้เมล็ดกาแฟเกรดพรีเมียมจากแหล่งปลูกที่ได้คุณภาพ

150
การได้ใช้เวลาสบาย ๆ ในวันหยุดโดยไม่ต้องเร่งรีบ สามารถพักผ่อนได้เท่าที่ต้องการ มีเวลาชงกาแฟหอม ๆ ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือจะดูซีรีส์เรื่องโปรด เป็นความสุขที่หลาย ๆ คนต้องการ สำหรับคอกาแฟนมหากมีเครื่องชงกาแฟและ เครื่องตีฟองนม ในบ้าน มาลองเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านให้เป็นคาเฟ่เนรมิตเมนูกาแฟง่าย ๆ ที่ใครชงก็อร่อย

เมนูกาแฟทุกเมนูมีเอสเพรสโซ่ช็อตเป็นตัวตั้งต้น แนะนำให้ใช้เป็นกาแฟอาราบิก้าคั่วกลางเข้มบด 1 ช็อต หรือหากใช้กาแฟแคปซูลก็สามารถเลือกรสชาติได้ตามชอบ ไม่ควรเติมหวานด้วยน้ำเชื่อมหรือไซรัป แต่ปรับรสชาติหวานได้ด้วยน้ำตาลทราย 
1.   มอคค่าร้อน กาแฟผสมโกโก้หรือช็อกโกแลต ลงตัวด้วยความหอม เข้มข้น กลมกล่อม
สูตรที่ 1 สำหรับเครื่องชงกาแฟทั่วไป   
ส่วนผสม : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (30 มล.) โกโก้ผสม 30 มล. และนมสดรสจืด 60 - 90 มล. (โกโก้ผสม เตรียมได้จากการผสมผงโกโก้ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำร้อน 4 ออนซ์ และนมผสม 2 ออนซ์ สำหรับนมผสมเตรียมได้จากการผสมนมข้นหวานและนมข้นจืดในอัตราส่วน 2:1 โดยทั้งโกโก้ผสมและนมผสมสามารถทำเก็บไว้ใช้กับเมนูอื่นได้)
วิธีการชง : กดช็อตเอสเพรสโซ่ใส่แก้วกาแฟ ตามด้วยโกโก้ผสม ส่วนนมสดรสจืดนั้นนำไปเป่าร้อนด้วย เครื่องทำฟองนม แล้วเทใส่แก้วกาแฟ ตกแต่งด้วยผงโกโก้เล็กน้อย
สูตรที่ 2 สำหรับเครื่องชงกาแฟแคปซูล   
ส่วนผสม : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (40 มล. / แนะนำให้ใช้กาแฟแคปซูล Livanto) นมสดเย็น 20  มล. นมร้อน 80 มล. ผงช็อกโกแลต 8 กรัม และผงโกโก้
วิธีการชง : นำนมสดเย็นทั้งหมดมาทำฟองนมเตรียมไว้ก่อนโดยใช้ เครื่องตีฟองนม จากนั้นสกัดช็อตเอสเพรสโซ่ในถ้วยกาแฟที่มีผงช็อกโกแลตอยู่ เทนมร้อนแล้วตักฟองนมวางด้านบน ตกแต่งด้วยผงโกโก้ พร้อมเสิร์ฟ

2.   คาปูชิโน่ ร้อน กาแฟนมรสชาติกลมกล่อม เน้นฟองนมนุ่มละมุนลิ้น 
ส่วนผสม : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (30 มล.) นมร้อนครึ่งแก้ว และฟองนมครึ่งแก้ว
วิธีการชง : กดช็อตเอสเพรสโซ่ใส่แก้ว คาปูชิโน่ ตามด้วยนมร้อน ½ แก้ว และท็อปด้วยฟองนมด้านบนอีก ½ แก้ว โรยผงโกโก้เพื่อตกแต่ง หากใช้เครื่องชงกาแฟแคปซูลจะได้ช็อตกาแฟ 40 มล. เมื่อสกัดกาแฟช็อตลงถ้วยกาแฟเรียบร้อยแล้วตามด้วยฟองนม เพิ่มรสชาติด้วยน้ำตาลทราย ปิดท้ายด้วยการโรยผงโกโก้เพื่อตกแต่ง

3.   ลาเต้ กาแฟนมรสชาติเบา ฟองนมไม่มากเท่าคาปูชิโน่ รสชาติขมอ่อนกลมกล่อมด้วยนม
ส่วนผสมทำกาแฟลาเต้ : เอสเพรสโซ่ 1 ช็อต (30 มล.) นมร้อนเกือบเต็มแก้ว และฟองนม
วิธีการชง : กดช็อตเอสเพรสโซ่ใส่แก้ว ตามด้วยนมร้อนเกือบเต็มแก้ว จากนั้นตักฟองนมท็อปด้านบนด้วยความหนาไม่เกิน 1 เซนติเมตร ตกแต่งทำลาเต้อาร์ตได้ตามชอบ หากใช้เครื่องชงแคปซูลแนะนำให้เลือกเป็นกาแฟลุงโกซึ่งจะได้ลาเต้แก้วใหญ่จุใจเพราะเมื่อสกัดแล้วให้น้ำกาแฟมากถึง 110 มล. หรือ 4 ออนซ์ จากนั้นเติมนมร้อนประมาณ 220 มล. ท็อปด้วยฟองนมบาง ๆ สามารถต่อยอดทำสูตรลาเต้เย็นเพิ่มความสดชื่นได้

เมนูกาแฟนมชงง่ายมากกว่าที่คิด แค่มีเครื่องชงกาแฟและ เครื่องทำฟองนม ที่บ้านไว้ก็สะดวกขึ้นมาก หากฝึกมือจนคล่องขึ้นแล้วรับรองอร่อยจนลืมกาแฟร้านข้างนอกแน่นอน

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7