ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - สิริ พร

หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 7 ... 15
51
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFold6 (12GB/1TB)
78,900 บาท

ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFold6 (12GB/1TB)
พกขุมพลัง PC ไว้ได้ในกระเป๋าของคุณด้วย Galaxy Z Fold6 ที่ทรงพลังมากกว่าที่เคยเป็นในรูปลักษณ์อันบางเฉียบซึ่งมีหน้าจอที่สามารถใช้ทำอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย พร้อมการเสริมพลังด้วย Galaxy AI สำหรับอุปกรณ์หน้าจอพับได้

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น         ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFold6 (12GB/1TB)
   ราคากลาง        78,900 บาท
   จำนวนซิม        2 ซิม (Nano Sim Nano-SIM (4FF), Embedded-SIM)
   แบบดีไซน์       จอสัมผัส
   สี             Silver(Silver Shadow), White, Black(Crafted Black), Blue(Navy), Pink
   ความถี่-เครือข่าย
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก             ยาว 153.5 x กว้าง 132.6 x หนา 132.6 มม., น้ำหนัก 239 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)    1000 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ     ความจุแบตเตอรี่ 4,400 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                จอสัมผัส (Dynamic AMOLED 2X)
   ความละเอียด           7.6 นิ้ว, 1,856 x 2,160 px

   รายละเอียดอื่น
Size (Main_Display) : 193.2mm (7.6" full rectangle) / 192.5mm (7.6" rounded corners)
Resolution (Main Display) : 2160 x 1856 (QXGA+)
Technology (Main Display) : Dynamic AMOLED 2X
Color Depth (Main Display) : 16M
Max Refresh Rate (Main Display) : 120 Hz
Size (Sub_Display) : 158.9mm (6.3" full rectangle) / 158.1mm (6.2" rounded corners)
Resolution (Sub Display) : 968 x 2376 (HD+)
Technology (Sub Display) : Dynamic AMOLED 2X
Color Depth (Sub Display) : 16M

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด           กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (10 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                   -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)        Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 Octa Core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)   Adreno 750
   หน่วยความจำ (RAM)          12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก         USB(Type-C 3.2 Gen 1), Bluetooth(v5.3), NFC, Wi-Fi(802.11a/b/g/n/ac/ax 2.4GHz+5GHz+6GHz, HE160, MIMO, 1024-QAM)
   ระบบรับส่งข้อความ              -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต         3G, WiFi, 4G, 5G

52
จัดฟันบางนา: เตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับ การจัดฟัน

การเข้ารับการจัดฟัน ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของการเรียงตัวของฟันที่ไม่สมดุลกัน ให้เรียงตัวกันอย่างเหมาะสม สบฟันได้ตามปกติ รวมทั้งตำแหน่งขากรรไกรมีความเหมาะสม ไม่เพียงเท่านั้นการจัดฟันยังเป็นการป้องกันความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับช่องปากในอนาคตได้ด้วย เนื่องจากฟันของแต่ละคนมีขนาด รูปร่าง และการเรียงตัวที่แตกต่างกัน บางครั้งฟันอาจเรียงตัวไม่เหมาะสมจนเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก เช่น ทำความสะอาดฟันลำบาก มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยว เป็นต้น

การจัดฟันจะช่วยทำให้สุขภาพช่องปากดีขึ้น เพราะผู้ที่เข้ารับการจัดฟันจะต้องดูแลรักษาความสะอาดสุขภาพช่องปากและฟันมากเป็นพิเศษ และในเรื่องของการรับประทานอาหาร ก็จะช่วยให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดฟันผุ หรือโรคเหงือกได้ด้วย นอกจากนี้การจัดฟันยังช่วยแก้ปัญหาช่องปากอื่นๆ ได้อีก เช่น เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคปากแหว่งเพดานโหว่ หรือช่วยในเรื่องภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยทันตแพทย์จะใส่เครื่องมือในช่องปากเพื่อให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นและไม่ถูกอุดกั้นขณะหลับนั่นเอง

สำหรับขั้นตอนการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ที่มีความต้องการเข้ารับการจัดฟัน อย่างแรกเลยก็คือ ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันให้สะอาด และการจัดฟันนั้น มีปัจจัยเสี่ยงหลายๆอย่าง เนื่องจากการจัดฟันจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดปัญหาฟันผุ หรือปัญหาสุขภาพช่องปากอื่นๆ ได้ หากผู้เข้ารับการรักษาไม่มีวินัยในการดูแลรักษาความสะอาด ดังนั้นก่อนการจัดฟันทุกครั้ง ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันอย่างละเอียดโดยทันตแพทย์ ถ้ามีฟันผุต้องอุดเสียก่อน จากนั้นทันตแพทย์จะขัดหินปูนและเคลือบร่องฟันที่มีหลุมลึกเพื่อป้องกันฟันผุในขณะจัดฟัน หากมีโรคเหงือกต้องรีบรักษาก่อนเข้ารับการจัดฟัน


บางกรณีอาจต้องถอนฟันบางซี่ออกเพื่อปรับตำแหน่งฟันให้สมมาตรกันทั้งบนและล่างรวมทั้งเพื่อรูปร่างที่ดีของฟันเคียงข้างด้วย นี่ก็เป็นวิธีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้ารับการจัดฟัน หากคุณมีความต้องการเข้ารับการจัดฟัน สามารถเข้าให้ทันตแพทย์ตรวจประเมินช่องปากเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการจัดฟันได้ที่คลีนิกทางเรายินดีที่จะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและข้อปฏิบัติในขณะจัดฟันด้วย

สำหรับภายหลังจากการจัดฟันนั้นผู้เข้ารับการรักษาก็ต้องดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากให้มากเป็นพิเศษ หลังจากนั้นทุกๆ เดือนอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจช่องปาก ทันตแพทย์จะนัดปรับเครื่องมือจัดฟันภายในช่องปาก เพื่อให้แนวฟันค่อยๆ เคลื่อนเข้าในจุดที่ต้องการ และการปฏิบัติตัวภายหลังจากการติดเครื่องมือภายในช่องปากแล้วก็มีความสำคัญ เพราะผู้เข้ารับการรักษาจะต้องระมัดระวังในเรื่องของการรับประทานอาหารให้มากขึ้น เพราะอาหารบางชนิด ผู้เข้ารับการรักษาควรจะหลีกเลี่ยงเช่นอาหารที่มีความแข็ง เหนียว และกรอบ เช่น น้ำแข็ง ปลาหมึก ถั่ว ลูกอม และหมากฝรั่ง ฯลฯ รวมไปถึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวานๆ หรือเครื่องดื่มอัดลม ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เคี้ยวง่ายๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาในเรื่องของเครื่องมือการจัดฟันหลุดขณะรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นปัญหาที่มักพบได้บ่อย


อย่างไรก็ตามภายหลังจากรับประทานอาหาร ผู้เข้ารับการรักษาควรทำความสะอาดช่องปากและฟันทันที เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เศษอาหารเข้าไปติดค้างอยู่ภายในเครื่องมือ ควรแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร ในระหว่างจัดฟันควรพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟันใหม่ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้หากมีความสนใจเข้ารับการจัดฟัน สามารถขอคำปรึกษาจากทางคลีนิกได้ ทางเรามีทีมทันตแพทยน์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟัน สามารถทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน และยังช่วยให้คุณมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติได้

53
แนะนำอาชีพเสริม เมนูข้าวผัดเบคอน ง่ายๆ เพื่อความสบายใจเพราะมีรสชาติดี

กำลังมองหาอาหารมื้อด่วนรสชาติดีที่ปรุงด้วยวัตถุดิบง่ายๆ อยู่หรือเปล่า ข้าวผัดเบคอนคือคำตอบ เพราะมีรสชาติดี ทำง่าย และเหมาะกับการใช้ข้าวที่เหลือ ไม่ว่าคุณจะทำอาหารให้ตัวเองหรือครอบครัว อาหารจานนี้รับรองว่าจะต้องถูกใจทุกคน ข้าวผัดเบคอนเป็นเมนูเด็ดที่ใครๆ ก็อยากกิน เบคอนผัดข้าวหอมๆ พร้อมเสิร์ฟแล้ว! มาดูวิธีทำง่ายๆ กันเลย:

ส่วนผสม:
ข้าวสวย 2 ถ้วย (ควรใช้ข้าวเย็นหรือข้าวเหลือ)

เบคอนหั่นชิ้น 4–5 ชิ้น

กระเทียมสับ 2 กลีบ

หัวหอม 1/2 หัว หั่นเต๋า

ไข่ 1 ฟอง (ไม่จำเป็น แต่แนะนำ)

ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ

ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้เพื่อเพิ่มรสชาติ)

พริกไทยดำป่นเล็กน้อย

ต้นหอมหรือผักชีฝรั่งสำหรับตกแต่ง (ไม่จำเป็น)

คำแนะนำ:
เตรียมส่วนผสม
หั่นเบคอน หั่นหัวหอมเป็นลูกเต๋า และสับกระเทียม หากข้าวติดกันเป็นก้อน ให้บี้ด้วยช้อนหรือมือ

ตั้งกระทะ
หรือกระทะจีนขนาดใหญ่บนไฟปานกลาง ใส่เบคอนสับลงไปแล้วผัดจนกรอบ เอาไขมันส่วนเกินออกบางส่วนหากต้องการ แต่เหลือไว้เล็กน้อยเพื่อปรุงรส

ใส่กระเทียมและหัว
หอมลงไป ผัดกระเทียมสับและหัวหอมสับละเอียดลงไป ผัดจนหอมและหัวหอมใส

ตัวเลือก: ตีไข่
ดันส่วนผสมทั้งหมดไปไว้ด้านหนึ่งของกระทะ ตอกไข่ลงไปแล้วตีอย่างรวดเร็ว ผสมกับส่วนผสมที่เหลือเมื่อสุกแล้ว

ใส่ข้าว
ใส่ข้าวสวยลงในกระทะ คนให้เข้ากันจนส่วนผสมเข้ากัน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้าวเคลือบด้วยไขมันเบคอนและรสชาติอย่างทั่วถึง

ปรุงรส
ด้วยซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม (ถ้ามี) และพริกไทยดำ ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน

ตกแต่งและเสิร์ฟ
โรยต้นหอมซอยหรือผักชีฝรั่งด้านบนเพื่อเพิ่มความสดชื่น เสิร์ฟร้อนๆ และอร่อยได้เลย!

???? เคล็ดลับ:
ข้าวเก่าหนึ่งวันใช้ได้ดีที่สุด เนื่องจากมีความเหนียวน้อยกว่าและทอดได้ดีกว่า
คุณสามารถใส่ผัก เช่น ถั่ว แครอท หรือข้าวโพด เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและสีสันได้
ปรุงรสตามชอบใจ—เพิ่มพริกเกล็ดถ้าชอบเผ็ดนิดหน่อย

ข้าวผัดเบคอนเป็นเมนูเด็ดที่ใครๆ ก็อยากกินเมื่ออยากกินอะไรแซ่บๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาในครัวมากนัก ลองทำดูวันนี้ คุณอาจเพิ่มเมนูนี้ลงในเมนูประจำของคุณก็ได้

54
Doctor At Home: โรคแอดดิสัน (Addison’s disease)

โรคแอดดิสัน หมายถึง ภาวะพร่องฮอร์โมนสเตียรอยด์เรื้อรัง (chronic adrenocortical insufficiency)* เป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก พบมากในคนอายุ 30-50 ปี เป็นโรคที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

* ส่วนภาวะพร่องฮอร์โมนสเตียรอยด์เฉียบพลัน (acute adrenocortical insufficiency) มักเกิดจากการหยุดยาสเตียรอยด์ทันที ในผู้ป่วยที่กินยาสเตียรอยด์ติดต่อกันมานาน ซึ่งผู้ป่วยมักจะมีภาวะต่อมหมวกไตฝ่อ (หรือภาวะพร่องฮอร์โมนสเตียรอยด์) จากยาสเตียรอยด์ที่ใช้มานาน เมื่อหยุดยา ร่างกายก็เกิดภาวะพร่องฮอร์โมนสเตียรอยด์อย่างเฉียบพลัน อาจทำให้เกิดภาวะช็อกถึงตายได้ เรียกว่า ภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis) ดูเพิ่มเติมใน “ภาวะช็อก” และ “โรคคุชชิง”

สาเหตุ

เกิดจากต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์ได้น้อยกว่าปกติ ตรงกันข้ามกับโรคคุชชิงที่สร้างฮอร์โมนมากกว่าปกติ

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากต่อมหมวกไตส่วนเปลือกถูกทำลายหรือฝ่อ เนื่องมาจากปฏิกิริยาภูมิต้านทานตนเอง อาจพบร่วมกับต่อมไทรอยด์อักเสบ ภาวะขาดพาราไทรอยด์ เบาหวาน ผมร่วงเป็นหย่อมไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น

ส่วนน้อยอาจเกิดจากเป็นวัณโรคของต่อมหมวกไต หรือมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากที่อื่น (เช่น ปอด เต้านม) โรคติดเชื้อราของต่อมหมวกไต (ในผู้ป่วยเอดส์) หรืออาจเกิดจากยา (เช่น คีโตโคนาโซล ไรแฟมพิซิน) เป็นต้น

อาการ

มักจะค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ ด้วยอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด (ผอมลง) อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

อาจมีอาการท้องเดินบ่อย ท้องอืดเฟ้อ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ในผู้หญิงอาจมีอาการขาดประจำเดือน

บางรายผิวหนังอาจมีรอยด่างขาวร่วมด้วย

ผู้ป่วยมักมีความดันต่ำ ทำให้มีอาการหน้ามืด วิงเวียนเวลาลุกขึ้นเร็ว ๆ

ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์อ่อนไหว ซึมเศร้า หรือมีอาการของโรคจิต

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้าเป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะต่อมหมวกไตวายเฉียบพลัน (acute adrenal failure) หรือภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ ซึ่งอาจพบขณะเป็นโรคติดเชื้อ ได้รับบาดเจ็บ ขณะผ่าตัด ตั้งครรภ์ใกล้คลอด มีภาวะเครียดทางร่างกาย หรือขาดยาสเตียรอยด์ทันทีทันใด ทำให้มีไข้สูง ซึม ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ความดันต่ำ ช็อก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งที่ตรวจพบ ดังนี้

ผิวหนังจะมีสีดำคล้ำในบริเวณที่มีรอยถูไถ เช่น ข้อเข่า ข้อพับ ข้อศอก ที่หน้า หัวนม ลายมือ รอยแผล ผ่าตัด เป็นต้น และบริเวณเยื่อเมือกในช่องปาก (เหงือก ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น) อาจมีรอยตกกระดำ ๆ อาจพบภาวะซีด ความดันต่ำ ขนรักแร้และขนในบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ร่วง ซึ่งจะเห็นชัดในผู้หญิง

แพทย์จะทำการวินิฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (พบระดับคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนสตีรอยต์ต่ำ ระดับโซเดียมในเลือดต่ำ ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ) เอกซเรย์ปอด (เพื่อตรวจดูการติดเชื้อวัณโรคหรือเชื้อรา หรือมะเร็ง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคนี้) ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (เพื่อดูลักษณะผิดปกติของต่อมหมวกไต) และถ้าจำเป็นอาจต้องตรวจพิเศษ อื่น ๆ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้กินสเตียรอยด์ทดแทน เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) หรือเพร็ดนิโซโลน

ในรายที่มีภาวะโซเดียมในเลือดต่ำร่วมด้วย ให้กินยาเพิ่มอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone)

แพทย์จะนัดผู้ป่วยเพื่อติดตามผลการรักษาโดยการตรวจเลือดเป็นระยะ และปรับขนาดยาตามความเหมาะสม ในช่วงที่ผู้ป่วยมีการติดเชื้อ ได้รับบาดเจ็บหรือการผ่าตัด อาจจำเป็นต้องเพิ่มขนาดยาให้สูงขึ้นตามความต้องการของร่างกาย

นอกจากนี้ ถ้าพบว่ามีสาเหตุของการเกิดโรคนี้ชัดเจน เช่น การติดเชื้อวัณโรคหรือเชื้อรา ก็จำเป็นต้องให้ยารักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามืด วิงเวียนเวลาลุกขึ้นเร็ว ๆ มีสีดำคล้ำที่ผิวหนังในบริเวณที่มีรอยถูไถและบริเวณเยื่อเมือกในช่องปาก ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคแอดดิสัน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรกินอาหารให้เค็มจัด เพราะต้องการเกลือโซเดียมมากขึ้น และควรกินอาหารพวกโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) ให้มาก ๆ ควรกินบ่อยมื้อกว่าปกติ
    ควรพกสมุดหรือบัตรติดตัวเป็นประจำ เขียนบอกถึงโรคที่เป็น และยาที่ใช้รักษา หากเกิดภาวะต่อมหมวกไตวายเฉียบพลันในเวลาใดเวลาหนึ่ง ผู้พบเห็นและแพทย์จะได้ให้ความช่วยเหลือได้ถูกต้อง โดยให้น้ำเกลือและฉีดไฮโดรคอร์ติโซน เข้าทางหลอดเลือดดำทันที

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วไม่ทุเลา หรือ มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้ ซึม ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น หรือตั้งครรภ์
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลเต็มที่ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากสาเหตุหลายอย่าง

อาจป้องกันได้สำหรับส่วนที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น การรักษาโรคติดเชื้อ (เช่น วัณโรค เชื้อรา) ของต่อมหมวกไต การรักษามะเร็งของอวัยวะส่วนอื่นไม่ให้แพร่กระจายมาที่ต่อมหมวกไต การระมัดระวังในการใช้ยา (เช่น คีโตโคนาโซล ไรแฟมพิซิน)

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีทางรักษาให้มีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติ แต่ต้องกินยาทุกวัน อย่าได้ขาด

2. ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคติดเชื้อ ตั้งครรภ์ หรือมีอาการไม่สบายอื่น ๆ อาจทำให้อาการกำเริบมากขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ อาจต้องเพิ่มขนาดของยาไฮโดรคอร์ติโซน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะต่อมหมวกไตวายเฉียบพลัน

55
วัดโคกสมานคุณสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระปรางค์สามยอดเหมาะใส่ชุดขาว เจาะลึกความเข้าใจในธรรมะ

วัดโคกสมานคุณ ตั้งอยู่ท่ามกลางความงามอันเงียบสงบของจังหวัดสงขลาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเงียบสงบสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรมและดื่มด่ำกับคำสอนของพระพุทธศาสนา วัดแห่งนี้มีบรรยากาศเงียบสงบและเงียบสงบเหมาะแก่การใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดโคกสมานคุณ การไตร่ตรองทำสมาธิและเติบโตทางจิตวิญญาณ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม

ที่มีประสบการณ์และผู้เริ่มต้นที่ต้องการเจาะลึกความเข้าใจในธรรมะ วัดโคกสมานคุณเป็นวัดที่มีความสวยงามและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัดนี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในพื้นที่และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดสงขลา

ภาพรวมของวัด
วัดโคกสมานคุณขึ้นชื่อในเรื่องความเรียบง่ายและธรรมชาติโดยรอบ วัดแห่งนี้รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและทิวทัศน์ที่สวยงาม มอบบรรยากาศสงบที่ส่งเสริมการทำสมาธิและการทำสมาธิอย่างสงบ ความงดงามของบริเวณวัดได้รับการเสริมแต่งด้วยสถาปัตยกรรมไทยแบบดั้งเดิม โดยมีวิหารหลักเป็นศูนย์กลางสำหรับกิจกรรมทางจิตวิญญาณ

ปฏิบัติธรรม ณ วัดโคกสมานคุณ
วัดแห่งนี้จัดปฏิบัติธรรมและปฏิบัติธรรมเป็นประจำ โดยมีพระภิกษุผู้มีประสบการณ์ซึ่งอุทิศตนเพื่อแบ่งปันภูมิปัญญาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติธรรมเหล่านี้เน้นที่การมีสติ สมาธิ และการทำสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมฝึกฝนจิตใจให้สงบและแจ่มใส คำสอนครอบคลุมหลักธรรมสำคัญของพุทธศาสนา เช่น อริยสัจสี่และมรรคมีองค์แปด ซึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดำเนินชีวิตที่มีความหมายและสมดุล

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มฝึกสมาธิหรือฝึกมาหลายปีแล้ว วัดโคกสมานคุณยินดีต้อนรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาสุขภาพจิตวิญญาณ พระสงฆ์ที่วัดจะให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลเพื่อช่วยให้ทุกคนก้าวหน้าในเส้นทางธรรมะ ทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนสามารถเข้าถึงการฝึกสมาธิได้

การพักผ่อนทางจิตวิญญาณ
การไปเยี่ยมชมวัดโคกสมานคุณถือเป็นโอกาสพิเศษที่จะได้หลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวันและกลับมาเชื่อมต่อกับตัวตนภายในของคุณอีกครั้ง บรรยากาศที่เงียบสงบช่วยให้สามารถนั่งสมาธิได้อย่างไม่สะดุด จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการไตร่ตรองทางจิตวิญญาณ นอกจากนี้ วัดยังเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมของชาวพุทธ ฝึกปฏิบัติธรรมอย่างมีสติ และสัมผัสกับความสงบอันล้ำลึกที่การปฏิบัติธรรมสามารถมอบให้ได้

สำหรับผู้ที่ต้องการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน วัดโคกสมานคุณจัดเตรียมเครื่องมือและคำสอนที่เป็นประโยชน์ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้แม้หลังการปฏิบัติธรรมหรือการเยี่ยมชมสิ้นสุดลง การเน้นที่การมีสติและความเมตตาทำให้ผู้มาเยี่ยมชมรู้สึกมีจุดมุ่งหมายและมีความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณมากขึ้น

สำรวจสงขลา
หลังจากปฏิบัติธรรมที่วัดแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถสำรวจวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์และความงามทางธรรมชาติของจังหวัดสงขลาได้อีกด้วย ตั้งแต่สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ไปจนถึงชายหาดที่สวยงาม สงขลาจึงเป็นสถานที่ที่สมดุลอย่างลงตัวระหว่างการสำรวจจิตวิญญาณและกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ จังหวัดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องตลาดที่คึกคัก อาหารท้องถิ่นที่อร่อย และการต้อนรับที่อบอุ่น ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพักผ่อนและเพลิดเพลินกับเสน่ห์ภาคใต้ของประเทศไทย

วัดโคกสมานคุณในจังหวัดสงขลาไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นสวรรค์สำหรับผู้ที่แสวงหาความสงบภายในและการเติบโตทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณจะมาเยี่ยมชมเพื่อเข้าร่วมการปฏิบัติธรรมหรือเพียงแค่ต้องการใช้เวลาในสมาธิอันเงียบสงบ วัดแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่น่าดึงดูดสำหรับทุกคน การปฏิบัติธรรมช่วยให้ผู้เยี่ยมชมสามารถฝึกสติ เข้าใจคำสอนของพุทธศาสนา และสัมผัสกับความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับตนเองและโลกที่อยู่รอบตัว หากคุณกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบและโอกาสในการเสริมสร้างการปฏิบัติธรรม วัดโคกสมานคุณคือจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบ

56
จัดฟันบางนา: สัญญาณเตือน ควรรักษารากฟัน

การรักษารากฟัน ก็คือการรักษาการติดเชื้อที่เกิดขึ้นกับโพรงประสาทฟันจากแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก โดยการตัดโพรงประสาทฟัน หรือเนื้อเยื่อขนาดเล็กที่อยู่ใจกลางฟัน เมื่อทำการตัดส่วนที่ติดเชื้อหรืออักเสบเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จะทำความสะอาด จัดรูปทรงและอุดปิด การรักษารากฟันจะช่วยให้ไม่ต้องทำการถอนฟันจริงตามธรรมชาติออก เพราะผลกระทบจากการถอนฟันนั้นมีมากมายกว่าการรักษาให้แข็งแรงต่อไปแน่นอน

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับ การรักษารากฟันเบื้องต้น และสัญญาณเตือนอันตรายว่าเมื่อไหร่ที่ท่านควรรักษารากฟัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


สัญญาณอันตราย เตือนรักษารากฟัน

ก่อนอื่นเลยต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า การจะรักษารากฟันนั้นส่วนใหญ่จะทำก็ต่อเมื่อ โพรงประสาทฟันเกิดการติดเชื้อ ซึ่งอาจจะรุนแรงถึงขั้นมีหนองที่ปลายรากฟัน ผลที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดอย่างยิ่ง และยังสามารถลุกลามไปยังฟันซี่อื่นๆได้อีกด้วย ถ้าหากเป็นในสมัยก่อนทันตแพทย์จะมีทางเดียวคือ ต้องถอนฟันซี่นี้ออกเพื่อไม่ให้เกิดการลุกลามและใส่ฟันปลอม แต่ในสมัยนี้ที่ทันตกรรมพัฒนาไปอย่างรวดเร็วทันตแพทย์ส่วนใหญ่จึงจะเลือกการรักษารากฟันแทนการถอนเพื่อเก็บฟันแท้ตามธรรมชาติไว้คือทางออกที่ดีที่สุด

ส่วนสัญญาณที่ทำให้ท่านทราบว่าโพรงประสาทกำลังมีความเสียหายหรืออักเสบ มีดังต่อไปนี้

– เจ็บปวดทุกครั้งเมื่อทำการบดเคี้ยวหรือกัดอาหารในจุดที่โพรงประสาทเกิดการอักเสบ

– ในทุกครั้งที่ดื่มเครื่องดื่มร้อนจัด หรือเย็นจัด จะมีโอกาสที่จะเกิดการเสียวฟัน

– เมื่อมีอาการรุนแรงเพิ่มมากขึ้นฟันซี่ที่รากฟันเกิดการติดเชื้อหรืออักเสบฟันซี่ดังกล่าวจะเริ่มมีการโยกคลอน

– บริเวณเหงือกที่ติดเชื้อจะมีอาการบวมและนิ่มลง

– มีน้ำหนองไหลจากฟันที่ติดเชื้อ หรือมีตุ่มหนองบวมขึ้นบนเหงือกบริเวณที่ติดเชื้อ

– สีของฟันเริ่มมีอาการคล้ำลงในบริเวณฟันซี่ที่รากฟันติดเชื้อ

– เมื่อมีการอักเสบมากๆหน้าในบริเวณที่รากฟันติดเชื้อจะเริ่มมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งหากว่าเริ่มมีอาการต่างๆตามที่กล่าวมานี้ ให้นึกไว้ก่อนเลยว่าอาจเป็นเหตุมาจากรากฟันอักเสบ ให้รีบทำการเข้าพบทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะหากว่ารากฟันอักเสบในระยะแรกยังสามารถรักษาให้หายได้รวดเร็ว แต่หากว่าปล่อยทิ้งไว้นานไม่รีบทำการรักษา ก็อาจจะเกิดการก่อตัวที่ปลายรากฟันในกระดูกขากรรไกร ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดเป็นฝีได้ และกระดูกรอบๆฟันจะถูกทำลายทำให้เกิดอาการปวดบวมอย่างรุนแรง


การรักษารากฟันทำได้ทุกกรณีหรือไม่ ?

เชื่อว่ามีหลายๆท่านยังเกิดความสงสัยว่า การรักษารากฟันมีข้อจำกัดอย่างไรบ้าง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการรักษารากฟันจะสามารถทำได้เกือบทุกกรณี ยกเว้นในกรณีที่ทันตแพทย์ไม่สามารถเข้าถึงบริเวณรากฟันได้ หรือรากฟันแตกหักอย่างรุนแรง รวมถึงการมีโรคปริทันต์ร่วมด้วย ทันตแพทย์จะทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดรากฟัน หรือถ้ามีอาการที่หนักจริงๆก็จำเป็นที่จะต้องทำการถอนฟันออก

สาเหตุส่วนใหญ่ที่โพรงประสาทฟันถูกทำลายหรือตาย ได้แก่

– เกิดอุบัติเหตุกระทบกระแทกบริเวณฟันอย่างรุนแรง ทำให้รากฟันเกิดความเสียหาย

– ฟันแตกจากการรับประทานอาหาร ใช้ฟันบดเคี้ยวอย่างรุนแรง

– มีอาการฟันผุ และไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กระทั่งเกิดการรุกรามของเชื้อแบคทีเรียเป็นวงกว้างแทรกเข้าไปที่รากฟันจนเกิดอาการอักเสบและถูกทำลายในที่สุดหากไม่ได้รับการแก้ไข

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คือสัญญาณในการตรวจเช็คว่าท่านผู้อ่านกำลังมีอาการของรากฟันอักเสบหรือไม่ หากว่ามีอาการตรงตามที่ได้กล่าวมาสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาเวลาไปพบทันตแพทย์ ยิ่งเร็วยิ่งดีรักษาตั้งแต่ยังมีอาการไม่มากก็จะสามารถหยุดยั้งอันตรายต่างๆไม่ให้กระจายตัวเป็นวงกว้างได้นั่นเอง

57
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไข้หวัดใหญ่ (Influenza/Flu)

ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย พบได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีอุบัติการณ์สูงในช่วงฤดูฝน (มิถุนายนถึงตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคมถึงมีนาคม) บางปีอาจพบมีการระบาดใหญ่

พบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลันร่วมกับการปวดเมื่อยตามตัวที่พบในคนทั่วไป


สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) เชื้อนี้จัดอยู่ในกลุ่มไวรัสที่เรียกว่า orthomyxovirus
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เอ บี และ ซี

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ มักก่อให้เกิดอาการรุนแรง อาจพบระบาดได้กว้างขวาง และสามารถกลายพันธุ์แตกแขนงเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ ได้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดบี ก่อความรุนแรงและการระบาดของโรคได้น้อยกว่าเอ สามารถกลายพันธุ์ได้แต่ไม่มากเท่าชนิดเอ ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดซี มักก่อให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยและไม่ค่อยพบระบาด

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ สามารถพบได้ทั้งในคนและสัตว์ (ส่วนอีก 2 ชนิดพบเฉพาะในคนเท่านั้น) แบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ โดยมีชื่อเรียกตามชนิดของโปรตีนที่พบบนผิวของเชื้อไวรัส โปรตีนดังกล่าวมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ฮีแม็กกลูตินิน (hemagglutinin เรียกย่อว่า H) ซึ่งมีอยู่ 16 ชนิดย่อย และนิวรามินิเดส (neuraminidase เรียกย่อว่า N) ซึ่งมีอยู่ 9 ชนิดย่อย ในการกำหนดชื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ จึงใช้ตัวอักษร H ควบกับ N โดยมีตัวเลขกำกับท้ายตัวอักษรแต่ละตัว ตามชนิดของโปรตีน เช่น

    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 (สายพันธุ์เก่า) เป็นต้นเหตุของการระบาดใหญ่ทั่วโลกในปี พ.ศ. 2461-2462 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 20-40 ล้านคน เนื่องจากมีต้นตอจากสเปน จึงมีชื่อว่า ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) และกลับมาระบาดใหญ่อีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2520 เนื่องจากมีต้นตอจากรัสเซียจึงเรียกว่า ไข้หวัดใหญ่รัสเซีย

ในปี พ.ศ. 2552 มีการระบาดใหญ่ทั่วโลกของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 สายพันธุ์ใหม่ (สายพันธุ์ 2009)* ซึ่งมีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เก่า มีต้นตอจากประเทศเม็กซิโก**

    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H2N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่เอเชีย ในปี พ.ศ.2500-2501 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 1 ล้านคน
    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 เป็นต้นเหตุการระบาดของไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ในปี พ.ศ.2511-2512 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนราว 7 แสนคน
    ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H5N1 เป็นต้นเหตุของไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก หรือไข้หวัดนก

วิธีการแพร่เชื้อ เชื้อไข้หวัดใหญ่จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อ แบบเดียวกับไข้หวัด

นอกจากนี้ เชื้อไข้หวัดใหญ่ยังสามารถแพร่กระจายทางอากาศ (airborne transmission) กล่าวคือ เชื้อจะติดอยู่ในฝอยละอองขนาดเล็ก (ขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน) เมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อสามารถกระจายออกไประยะไกลและแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนอื่นสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไปโดยไม่จำเป็นต้องไอหรือจามรดใส่กันตรง ๆ ก็สามารถติดโรคได้ ดังนั้น โรคนี้จึงสามารถระบาดได้รวดเร็ว
ระยะฟักตัว 1-4 วัน (ส่วนน้อยอาจนานเกิน 7 วัน)

*เป็นสายพันธุ์ H1N1 ที่กลายพันธุ์ ประกอบด้วยสารพันธุกรรมของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่พบในหมู สัตว์ปีกและคน
**เชื้อสามารถแพร่กระจายตั้งแต่ 1 วัน ก่อนมีอาการ แพร่ได้มากสุดใน 3 วันแรกของการเจ็บป่วย และอาจแพร่ได้ถึงวันที่ 7 ของการเจ็บป่วย

อาการ

มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก (โดยเฉพาะที่กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน

แต่บางรายก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้ มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่ไข้หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก

อาการไข้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-7 วัน (ที่พบบ่อยคือ 3-5 วัน)

อาการไอ และอ่อนเพลีย อาจเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่น ๆ จะทุเลาแล้วก็ตาม

บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วอาจมีอาการบ้านหมุน เนื่องจากอาการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน

ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อน เช่น มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว ปวดหู หูอื้อ หายใจหอบเหนื่อย เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมพอง

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดจากแบคทีเรียพวกนิวโมค็อกคัส หรือสแตฟีโลค็อกคัส (เชื้อชนิดหลังนี้ มักจะทำให้เป็นปอดอักเสบร้ายแรงถึงตายได้) บางรายก็อาจจะเกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่

นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) สมองอักเสบ หลอดเลือดดำอักเสบร่วมกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thrombophlebitis) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น ปอดอักเสบ) มักจะเกิดในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 2 ปี), ผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปี), หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดไม่เกิน 14 วัน, คนอ้วน (มีดัชนีมวลกายมากกว่า 30 กก./เมตร2), เด็กที่มีพัฒนาการช้าหรือมีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง, ผู้ที่เป็นเบาหวาน มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคตับเรื้อรัง หรือโรคไตเรื้อรัง, ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้ง ๆ ที่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ)

ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่น ๆ ยกเว้นในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ก็อาจตรวจพบอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น แพทย์ทำการฟังปอดได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ในผู้ที่เป็นปอดอักเสบ เสียงอึ๊ด (rhonchi) ในผู้ที่เป็นหลอดลมอักเสบ เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัดด้วยการตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในน้ำมูก หรือเสมหะในจมูกหรือคอหอย

ในรายที่จำเป็นต้องทำการวินิจฉัยโรคนี้ให้แน่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง จะทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจหาเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จากสารคัดหลั่งที่จมูกหรือในลำคอ ซึ่งเก็บตัวอย่างโดยการใช้ไม้ป้ายจมูก/คอ (nasal/throat swab)


การรักษาโดยแพทย์

1. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ (มีอาการหายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก), ค่าระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 95%, กินได้น้อยจนมีภาวะขาดน้ำ, ซึมมากหรือมีอาการทางระบบประสาท เป็นต้น แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

2. ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เพื่อลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส-โอเซลทามีเวียร์ทุกรายในทุกระยะของโรค รวมทั้งผู้ที่มีอาการมานานกว่า 48 ชั่วโมง ถ้าหลังให้ยารักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการรุนแรงขึ้น แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

3. สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง (ยังกินอาหาร ดื่มน้ำ และเดินเหินได้เป็นปกติ) ซึ่งมักหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้การรักษาดังนี้

    ให้ยาบรรเทาตามอาการ เช่น พาราเซตามอลบรรเทาไข้ ยาแก้ไอ
    ในรายที่มีอาการไข้มานานไม่เกิน 48 ชั่วโมง (โดยแพทย์ตรวจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือวินิจฉัยจากอาการและจากประวัติการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่) แพทย์จะพิจารณาให้ยาโอเซลทามีเวียร์เพื่อขจัดเชื้อไวรัส ช่วยให้อาการหายเร็วขึ้น แต่ถ้ามีอาการนานเกิน 48 ชั่วโมง ก็จะให้ยาบรรเทาตามอาการเท่านั้น เพราะการให้ยาต้านไวรัสไม่ได้ช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น
    ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ (มีอาการปวดหัวคิ้วหรือโหนกแก้ม) หูชั้นกลางอักเสบ (มีอาการปวดหู หูอื้อ) เป็นต้น แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ (โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากไวรัส ยาปฏิชีวนะซึ่งใช้ขจัดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังอาจเกิดโทษจากผลข้างเคียงของยาได้อีกด้วย)
    ถ้ามีไข้เกิน 4 วัน หรือหลังให้ยาต้านไวรัสแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง หรือมีอาการเจ็บหน้าอกมาก หอบหรือหายใจเร็ว* หรือสงสัยปอดอักเสบ โดยเฉพาะถ้าพบในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หรือผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น ถ้าพบว่าเป็นปอดอักเสบก็ให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ และรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

4. ถ้าสงสัยเป็นโรคอุบัติใหม่ (เช่น โรคโควิด-19 ไข้หวัดนก) แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ถ้าเป็นจริงก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ บางกรณีอาจต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ หรือให้ยาต้านไวรัสสำหรับกลุ่มเสี่ยง มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งเมื่อให้ยาปฏิชีวนะรักษาก็หายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ มีน้อยรายที่อาจเป็นปอดอักเสบ หรือมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

*มีเกณฑ์ที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยมีอาการหอบหรือหายใจเร็ว ดังนี้ เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที, 2 เดือน-1 ปี มากกว่า 50 ครั้งต่อนาที, 1-5 ปี มากกว่า 40 ครั้งต่อนาที, > 5 ปี มากกว่า 30 ครั้งต่อนาที, เด็กโตและผู้ใหญ่มากกว่า 24 ครั้งต่อนาที


การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการไข้หรือไข้หวัด แต่มีไข้สูง เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัวมาก ต้องนอนพัก หรือมีคนข้างเคียงเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดนก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ดังนี้

    นอนพักมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนัก
    ห้ามอาบน้ำเย็น
    ดื่มน้ำมาก ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    กินอาหารอ่อน (ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มนม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้มาก ๆ
    ดูแลรักษาและใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ

ควรกลับไปพบแพทย์ เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว
    มีอาการปวดไซนัส (บริเวณโหนกแก้ม หรือหัวคิ้ว) หรือปวดหู หูอื้อ
    เจ็บหน้าอกมาก หรือหายใจหอบเหนื่อย
    เบื่ออาหาร ดื่มน้ำได้น้อย อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดินมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    มีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว หรือมีเลือดออก หรือสงสัยเป็นไข้เลือดออก
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

1. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3-4 สายพันธุ์ที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ (H1N1 และ H3N2) และชนิดบี 1-2 สายพันธุ์ มักจะฉีดในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของเชื้อเหล่านี้

โดยทั่วไป ถ้าไม่มีการระบาดก็ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนแก่คนทั่วไป ยกเว้นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่จะเดินทางไปในถิ่นที่มีการระบาดของโรค ผู้ที่มีกิจกรรมจำเป็นที่ไม่อาจจะหยุดงานได้ (เช่น ตำรวจ นักแสดง นักกีฬา นักเดินทาง) ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปีที่ต้องกินแอสไพรินเป็นประจำ

การฉีดวัคซีนแต่ละครั้ง สามารถป้องกันได้นาน 1 ปี ถ้าจำเป็นควรฉีดปีละครั้งในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน

2. หมั่นดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าตรากตรำงานหนักเกินไป ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเย็น

3. ในช่วงที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรปฏิบัติดังนี้

    หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนแออัด เช่น สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า งานมหรสพ ห้องประชุม โรงพยาบาล เป็นต้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย
    อยู่ห่างจากผู้ที่มีไข้ ไอ จาม หรือน้ำมูกไหล มากกว่า 1-2 เมตร
    หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่นาน 20 วินาที แล้วใช้กระดาษเช็ดให้แห้ง หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์ เจลแอลกอฮอล์ หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ (ที่มีแอลกอฮอล์เข้มข้นมากกว่าร้อยละ 70) แล้วปล่อยให้ระเหยแห้งเอง โดยไม่ต้องใช้กระดาษเช็ด
    หลีกเลี่ยงการใช้มือจับตามใบหน้า ขยี้ตา แคะไชจมูก ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรล้างมือให้สะอาดเสียก่อน
    อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์
    อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ เครื่องใช้ โทรศัพท์ ของเล่น เป็นต้น) ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือผู้ป่วย
    ผู้ป่วยควรแยกตัวออกห่างจากผู้อื่น เวลาเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ควรสวมหน้ากากอนามัย อย่านอนปะปนหรือคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามควรใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู หรือใช้ข้อศอกปิดปากและจมูก

ข้อแนะนำ

1. สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพแข็งแรง ส่วนมากให้การดูแลรักษาตามอาการ ไข้มักหายได้เองภายใน 3-5 วัน หรือไม่เกิน 7 วัน ข้อสำคัญต้องนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ และห้ามอาบน้ำเย็น ถ้าไข้ลดลงแล้วควรอาบน้ำอุ่นอีก 3-5 วัน

ผู้ป่วยบางรายหลังจากหายตัวร้อนแล้ว อาจมีอาการไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อยเป็นสีขาวอยู่เรื่อย ๆ อาจนานถึง 7-8 สัปดาห์ เนื่องจากเยื่อบุทางเดินหายใจถูกทำลายชั่วคราว ทำให้ไวต่อสิ่งระคายเคือง (เช่น ฝุ่น ควัน) ให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง

สำหรับผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ที่สำคัญได้แก่ ปอดอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

2. อาการไข้สูงและปวดเมื่อย โดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจน อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ในระยะเริ่มแรกก็ได้ เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส ตับอักเสบจากไวรัส ไข้เลือดออก หัด มาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น จึงควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการอื่น ๆ ปรากฏให้เห็น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจรักษาที่เหมาะสม

3. ผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่มักมีไข้ไม่เกิน 7 วัน ผู้ป่วยที่สงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่หากมีไข้เกิน 7 วัน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อค้นหาสาเหตุจากโรคอื่น เช่น ไทฟอยด์ สครับไทฟัส มาลาเรีย วัณโรคปอด เป็นต้น (ตรวจอาการไข้ และไข้ร่วมกับน้ำมูกหรือไอ ประกอบ)

4. ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ บางครั้งอาจมีอาการคล้ายกันมาก แต่ไข้หวัดใหญ่มักมีไข้สูง ปวดเมื่อยมาก นอนซม เบื่ออาหาร หากสงสัยเป็นไข้หวัดใหญ่ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

5. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

58
มอเตอร์ไซด์ใหม่ 2025 ฮอนด้า Honda PCX 160 (Standard) ปี 2025
96,000 บาท 

ฮอนด้า Honda PCX 160 (Standard) ปี 2025
Honda PCX 160 รุ่น Standard เสริมเอกลักษณ์แห่งความภูมิใจด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ ทรง Victory Shape พร้อมไฟเลี้ยว LED เพิ่มการส่องสว่าง และไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตพรีเมียม ทั้งนี้ มาพร้อมพลังขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาล์ว 157 ซีซี. ให้สมรรถนะแรงต่อเนื่อง ส่งเต็มกำลัง สมูท ลื่นไหล ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบเบรก ABS ล้อหน้าที่มาพร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน นอกจากนั้นยังมีพื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่จุได้ 30 ลิตร และกุญแจรีโมตอัจฉริยะ Honda SMART KEY & CONTROLLER ที่สั่งงานง่ายเพียงบิดสวิตช์ มีวางจำหน่ายทั้งหมด 3 เฉดสีใหม่ ได้แก่ สีดำ Matt Gunpowder Black, สีน้ำเงิน-ดำ Victory Blue และสีเทา-ดำ Pearl Smoky Gray ราคาแนะนำที่ 96,000 บาท

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์            Honda
   รุ่น                 ฮอนด้า Honda PCX 160 (Standard) ปี 2025
   ประเภทรถ        รถครอบครัวแบบสกู๊ตเตอร์
   ปีที่เปิดตัว         2025
   ราคา             96,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์               เกียร์ออโต้
   ระบบเกียร์                 V-Matic แบบสายพาน (V-Belt)
   รายละเอียดเครื่องยนต์   SOHC แบบซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์
   ระบบระบายความร้อน     น้ำ
   ระบบสตาร์ท               สตาร์ทเท้าพร้อมไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)   156.93 CC
   แบบเครื่องยนต์           4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด            Full Transistorized
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง         เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, แก๊สโซฮอล์ E20, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                  หัวฉีด (PGM-Fi)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)         8.1 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน                ล้อหน้า เทเลสโคปิค, ล้อหลัง ยูนิตสวิง
   ระบบเบรค                       ล้อหน้า ดิสก์เบรก (Combi Brake), ล้อหลัง ดรัมเบรก ()
   แบบวงล้อ                       แมกซ์
   ขนาดยาง                        ล้อหน้า 110/70-14 M/C 50P Tubeless, ล้อหลัง 130/70-13 M/C 63P Tubeless
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)     1,936 X 742 X 1,123 มม.
   น้ำหนักตัวรถ                       133.00 กก.

59
คอนโดติดรถไฟฟ้า แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา (Chapter One ALL Ramintra)
เริ่มต้น 2.09 ลบ.

แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา (Chapter One ALL Ramintra)
ทางเลือกการเดินทางที่สะดวกสบายในระยะเดินถึง 250 ม. เชื่อมกับ MRT ลาดปลาเค้า เพียง 1 สถานีถึงเซ็นทรัลรามอินทรา

ยกระดับการใช้ชีวิตของคุณด้วยกลิ่นอายของการแสดงออกทางศิลปะ การจัดวางยูนิตพร้อมการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่เหมาะกับทุกความต้องการ สิ่งอำนวยความสะดวก 8+1 ชั้นเชื่อมต่อกับสิ่งอำนวยความสะดวกบนชั้นดาดฟ้า

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               แชปเตอร์วัน ออล รามอินทรา (Chapter One ALL Ramintra)
 เจ้าของโครงการ          พฤกษา เรียลเอสเตท
 ราคา                      เริ่มต้น 2.09 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                     คอนโดในเมือง, คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด                   Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี                  1 ห้องนอน, 1 Bed Plus
 ขนาดห้องที่มี                     ตั้งแต่ 24.00 ถึง 34.96 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                     5 ไร่ 65 ตร.ว.
 จำนวนตึก                        3 อาคาร
 จำนวนชั้น                         8 ชั้น
 จำนวนห้อง                       631 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค                 สระว่ายน้ำ (Scenic Skypool), ฟิตเนส (Functional Training Room), อื่นๆ (Living Lounge, Connecting Lounge (Bld.B/C), Multiplay Space, Entertainment Space, Workshop Space, Lifestyle Kitchen, Live Studio, Semi-Outdoor BBQ, Active Space, Step Garden, Rooftop, Urban Farming, Jogging Track), Co-Working Space, Sky Garden

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน               แจ้งวัฒนะ, หลักสี่, ดอนเมือง, บางเขน
 ที่ตั้ง              ถ.รามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                 ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีชมพู, สถานี(แคราย - มีนบุรี)(ลาดปลาเค้า)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง

ห้างสรรพสินค้า

Central รามอินทรา
Foodland รามอินทรา
Big C รามอินทรา
Ease Park
The Jas รามอินทรา
Lotus’s หลักสี่


สถานศึกษา

ม.ศรีปทุม
ม.เกริก
ม.ราชภัฏพระนคร
ม.ศรีปทุม
ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน


สถานพยาบาล

รพ.จุฬาภรณ์
รพ.ซีจีเอช
รพ.สินแพทย์ รามอินทรา

60
ไม่ควรรอช้า ! จัดฟันเด็กเล็ก ดีกว่าจัดฟันตอนโต !

มีความเชื่อมากมายของคนในอดีตเกี่ยวกับการจัดฟัน เช่น ไม่ควรจัดฟันตอนเด็ก เพราะ จะทำให้ช่องปากมีปัญหา บ้างก็ว่าจัดตอนเด็กโตไปก็ต้องจัดใหม่อีกรอบอยู่ดี บ้างก็มองถึงความไม่เหมาะสม แต่ในความเป็นจริงแล้ว การพัฒนาด้านทันตกรรม และการศึกษาที่มากขึ้นจากทั่วโลกทำให้ทราบแล้วว่า การจัดฟันควรทำก่อน อายุ 13 ปี นอกจากจะทำให้ฟันเข้ารูปเรียงตัวกันสวยงามตามธรรมชาติได้ง่ายกว่าในวัยเจริญเติบโตแล้ว ยังทำให้ใบหน้าเข้ารูปสวยงามได้อีกด้วย ซึ่งต่างจากการจัดฟันตอนที่อยู่ในช่วงใกล้หยุดเจริญเติบโต หรือในช่วงเด็กโตเนื่องจากฟันจะเข้ารูปยากกว่าแถมไม่ช่วยเรื่องโครงหน้าอีกด้วย

โดยในวันนี้จะพาคุณผู้อ่านที่กำลังสนใจจะให้บุตรหลานทำการจัดฟัน มาทำความรู้จักกับ EF Line อุปกรณ์จัดฟันเด็กเล็กนวัตกรรมทางทันตกรรมที่ได้รับการลองรับจากทั่วโลก ดังต่อไปนี้

จัดฟันในเด็กเล็กควรเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

เด็กเล็กสามารถจัดฟันได้ตั้งแต่ฟันยังเริ่มเป็นฟันน้ำนม หรือจะรอให้ฟันแท้ขึ้นครบก่อนก็ได้ แต่ควรเริ่มจัดฟันในระยะแรกเมื่อฟันแท้ขึ้นครบ เพราะจะทำให้รักษาได้ง่าย ค่าใช้จ่ายจึงน้อยลงตามไปด้วย และที่สำคัญคือ ผลการรักษาที่ออกมามีประสิทธิภาพและยั่งยืนกว่ามาทำตอนที่โตแล้วมาก

สาเหตุที่ส่งผลให้ฟันแท้เรียงตัวผิดปกติไม่สวยงามตามธรรมชาติ ?

     พันธุกรรม
     การดูแลฟันน้ำนมไม่ดีพอ จนทำให้ต้องถอนก่อนกำหนด ทำให้ฟันแท้เกิดการล้มเกได้ง่าย
     พฤติกรรมต่างๆในวัยเด็ก เช่น ดูดนิ้ว กัดเล็บ ติดจุกนมปลอม หายใจทางปาก และ กัดริมฝีปาก
     ปัญหาด้านสุขภาพต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ

EF Line อุปกรณ์จัดฟันเด็กเล็ก ?

จากการศึกษาในปัจจุบันทำให้ทราบได้ว่า กล้ามเนื้อใบหน้า และ ลิ้น มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า จึงได้ทำการคิดค้นเครื่องมือที่ช่วยในเรื่องการปรับปรุงแก้ไขกล้ามเนื้อขากรรไกร รวมถึงจัดฟันที่ผิดปกติให้กลับเข้าที่ได้ด้วยในเวลาเดียวกัน เพราะทุกส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างอัศจรรย์ โดยเรื่องมือนี้คือ EF Line

โดย EF Line สามารถเริ่มใช้ได้ตั้งแต่เด็กเล็กอายุประมาณ 4 ปี จนถึงอายุ 15 ปี ซึ่งเครื่องมือ EF Line นี้สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ปัญหารูปทรงใบหน้าที่ไม่เข้ารูป คางยื่น คางยุบ ให้กลับเข้าสู่สภาพโครงหน้าปกติ รวมถึงเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันที่เรียงตัวผิดปกติซึ่งส่งผลถึงปัญหามากมายในอนาคต

ซึ่ง EF Line จัดเป็นงานการประยุกต์และปรับปรุงการเจริญเติบโตซึ่งจะได้ผลดีเมื่อเริ่มในเด็ก ในผู้ป่วยที่สบฟันแบบ ฟันบนยื่นมาก โดยสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 6-9 เดือนเท่านั้นเอง ต่างกับการที่ไปรอจัดฟันในช่วงเด็กโต เพราะอาจจะต้องใช้ระยะเวลาจัดฟันเป็นปีกว่าจะเข้ารูปสวยงาม ทำให้การจัดฟันในเด็กเล็กมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าอีกด้วย

EF Line กระบวนการจัดฟันปรับโครงหน้าเด็ก สามารถแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?

     ฟันล่างสบคร่อมฟันบน
     ฟันสบลึก
     ฟันสบเปิด
     นิสัยผิดปกติของเด็ก
     การกลืนผิดปกติ
     การวางลิ้นผิดปกติ
     การหายใจทางปาก
     คางเบี้ยว
     นอนกรน

วิธีการใช้งาน อุปกรณ์ EF Line อย่างถูกต้อง !

     ก่อนที่จะทำการใช้เครื่องมือ EF Line ควรพาเด็กเล็กที่ต้องการใส่อุปกรณ์ ไปพบทันตแพทย์เพื่อให้ตรวจสอบวินิจฉัย
     ต้องอยู่ในความดูแลของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตลอดการจัดฟัน เพื่อได้รับคำแนะที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
     เมื่อได้อุปกรณ์จัดฟันเด็ก EF Line มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องให้เริ่มทำการใส่โดยตอนกลางคืนให้เด็กๆใส่นอนไว้เลยเป็นเวลาประมาณ 10 ชั่วโมง และในเวลากลางวันเมื่อเด็กตื่นนอนให้ใส่ติดปากไว้ ประมาณ 2 ชั่วโมง และในขณะที่ใส่อุปกรณ์ ห้ามให้เด็กเคี้ยวอะไรเล่น พยายามให้พูดน้อยที่สุด และปิดปากให้สนิทที่สุดเท่าที่จะทำได้
     ในขณะที่ใส่อุปกรณ์อยู่พยายามให้เด็กดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความชุ่มชื่นในปาก ลดการระคายเคืองในช่องปากที่ก่อให้เกิดแผลจากการเสียดสี
     ไม่ว่าเด็กจะขอถอดออกอย่างไรก็ห้ามตามใจจนกว่าจะครบกำหนดเวลา เพราะในการใส่อุปกรณ์ช่วงแรก เด็กจะรู้สึกไม่สบายปาก ระคายเคือง และอาจจะมีอาการเหมือนอยากอาเจียนบ้าง แต่เมื่อนานไปเด็กจะสามารถใส่ได้นานขึ้นหลังจากเคยชิน
     สุดท้ายคือ ห้ามละเลยกับการพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการวิเคราะห์ตรวจวินิจฉัยถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ


61
ฉนวนกันความร้อน อยากได้บ้านเย็นถึงใจ จำเป็นต้องทำอะไรบ้าง?

บ้านร้อน ถือเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกบ้านในประเทศไทย เพราะด้วยสภาพอากาศที่โดดเด่นเรื่องความร้อนจึงทำให้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ต้องการอยากให้บ้านเย็น อยู่สบายนั้น ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแต่เราต้องทราบก่อนว่า ความร้อนในบ้านนั้นเกิดมาได้จากหลายๆ ช่องทาง อาทิ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านเข้ามาทางหลังคา ฝ้าเพดาน กระจก หน้าต่าง ผนังบ้าน ตลอดจน เกิดจากความร้อนของเครื่องใช้ไฟฟ้า ภายในบ้านเองด้วย ดังนั้น หากต้องการให้ได้บ้านเย็นถึงใจจริงๆ ล่ะ เราจำเป็นต้องแก้ปัญหาบ้านร้อนให้ครอบคลุมรอบด้าน ด้วยแนวทาง ดังต่อไปนี้


1.ใช้หลังคากันกัน UV สะท้อนความร้อน

เนื่องจากหลังคาคือส่วนบนสุดของบ้านที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นจุดรับความร้อนแรกที่จะส่งผ่านต่อมายังส่วนต่างๆ จนทำให้บ้านร้อนอบอ้าว ดังนั้น การเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ ให้กลายเป็นหลังคาที่มีคุณสมบัติกันความร้อน สะท้อน UV นั้นถือว่ามีส่วนสำคัญในการเป็นด่านแรกของการทำให้บ้านเย็นได้มากขึ้นเป็นอย่างดี


2.ติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ฝ้าเพดาน เพิ่มความต้านทานความร้อนให้บ้าน

ถัดจากหลังคา ก็คือ ฝ้า เพดาน ที่เป็นจุดสะสมความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเราสามารถแก้ปัญหาได้โดยการติดตั้งฉนวนกันความร้อน ซึ่งควรใช้เป็นฉนวนใยแก้ว เพราะนอกจากจะมีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้ดีแล้ว ยังไม่ลามไฟ และไม่มีสารก่อมะเร็ง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่าติดแล้วนอกจากบ้านเย็นแล้ว ยังปลอดภัยต่อชีวิตและสุขภาพมากขึ้นด้วย


3.ติดฟิล์มกันความร้อนที่กระจกหน้าต่างหรือประตู

เราต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่า หน้าต่าง และ ประตู ก็เป็นทางผ่านของความร้อนจากภายนอกเข้ามาในบ้านได้เช่นกัน ดังนั้น การติดฟิล์มกันความร้อน สะท้อน UV ที่หน้าหน้าและประตูกระจกในบ้านนั้น ก็จะช่วยทำให้ความร้อนเข้าสู่บ้านเราได้ยากขึ้น และทำให้บ้านเย็นขึ้นได้นั่นเอง


4.ทำช่องระบายอากาศที่เหมาะสมและพอเพียง

การต่อเติมวัสดุกันความร้อนต่างๆ นั้น ช่วยให้ความร้อนภายนอกเข้ามาไม่ได้ก็จริง แต่ในทางกลับกันก็ทำให้ความร้อนในบ้านระบายออกไปได้ยากขึ้นด้วย ดังนั้น หากบ้านเราเปิดไฟเยอะ ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเยอะ ทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความร้อนเยอะขึ้น ก็จะส่งผลทำให้แม้ติดฉนวนกันความร้อนแล้ว แต่บ้านก็ยังร้อนอยู่ได้ ถ้า “ระบบระบายอากาศ” ในบ้านไม่ดีพอ ดังนั้น ช่องระบายอากาศบริเวณหลังคา การมีระแนงไม้ระบายอากาศ การมีประตู หน้าต่าง ที่เพียงพอต่อขนาดความใหญ่ของบ้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับการใส่ใจและดูแลให้เหมาะสม เพื่อให้ความร้อนในบ้านระบายออกได้ดี ส่งผลทำให้บ้านเย็นได้มากขึ้น


5.ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาบังแดด

ถือเป็นวิธีทางธรรมชาติที่ได้ผลอย่างชัดเจน เพราะต้นไม้สามารถทำให้เกิดร่มเงาที่ช่วยสร้างความเย็นให้แก่บ้านได้โดยตรง ดังนั้น หากเราดูแลติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ทำช่องระบายอากาศได้อย่างดีแล้ว การปลูกต้นไม้เสริมบริเวณรอบบ้าน ก็จะยิ่งช่วยให้บ้านเย็นมากขึ้น และทำให้เรามีบริเวณที่เป็นร่มเงาไว้ให้พักพิงอิงแอบอย่างสงบอีกด้วย

การติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณฝ้าเพดานนั้น ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุด สำหรับการแก้ไขปัญหาบ้านร้อน ซึ่งแน่นอนว่าก็เป็นวิธีที่ได้ผล หากแต่บ่อยครั้ง ถ้าลักษณะของบ้านหลังใด มี “ต้นทาง” ของการเป็นทางผ่านของแสงแดดมากกว่าที่ฝ้าเพดาน หรือมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความร้อนสะสมในบ้านได้มากกว่า 1 ข้อขึ้นไป บางทีการติดตั้งฉนวนกันความร้อนอย่างเดียว ก็อาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้บ้านเย็นขึ้นมาได้อย่างที่เราต้องการ ดังนั้น สำหรับการปรับปรุงต่อเติมเพื่อ “สร้างบ้านเย็น” นั้น การใช้บริการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้เราดำเนินการปรับปรุงต่อเติมเพียงครั้งเดียว ในงบประมาณที่เหมาะสมไม่บานปลาย แล้วได้บ้านที่อยู่แล้วเย็นกายเย็นใจอย่างแท้จริง

62
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ไส้เลื่อน (Hernia)

ไส้เลื่อน หมายถึง ภาวะที่มีลำไส้บางส่วนเคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนมาตุงที่ผนังหน้าท้อง เห็นเป็นก้อนนูนตรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของหน้าท้อง พบบ่อยที่บริเวณสะดือ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดช่องท้อง*

โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากรทุกกลุ่มอายุ สำหรับกลุ่มอายุมากกว่า 45 ปีพบได้ประมาณร้อยละ 4

ไส้เลื่อน แบ่งออกเป็นหลายชนิดตามสาเหตุและตำแหน่งที่พบ อาทิ

    ไส้เลื่อนสะดือ (umbilical hernia) หรือ สะดือจุ่น พบบ่อยในทารก มักมีอาการตั้งแต่แรกเกิด เมื่อเด็กร้องไห้จะเห็นสะดือโป่ง ส่วนใหญ่จะหายได้เองก่อนอายุได้ 1-2 ปี ส่วนน้อยจะหายเมื่ออายุได้ 2-5 ปี

ไส้เลื่อนสะดือ ก็อาจพบในผู้ใหญ่ได้ เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้หน้าท้องบริเวณรอบสะดืออ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง มักจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    ไส้เลื่อนขาหนีบ (inguinal hernia) นับเป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด (ประมาณร้อยละ 70 ของไส้เลื่อนทั้งหมด) พบในเด็กโตและผู้ใหญ่ และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 10 เท่า (พบว่าในชั่วชีวิตของทุกคนมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนประมาณร้อยละ 27 สำหรับผู้ชาย ร้อยละ 3 สำหรับผู้หญิง) จะพบอาการมีก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ในผู้ชายบางรายอาจมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ถุงอัณฑะ เรียกว่า "ไส้เลื่อนลงอัณฑะ"

ผู้ป่วยอาจมีหน้าท้องตรงบริเวณขาหนีบอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด แต่อาการของไส้เลื่อนมักจะปรากฏเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน บางรายอาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นในภายหลัง เนื่องจากมีภาวะที่ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแอและเกิดแรงดันในช่องท้องสูง

    ไส้เลื่อนต้นขา (femoral hernia) พบที่บริเวณต้นขาด้านใน ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าขาหนีบ พบได้ประมาณร้อยละ 3 ของไส้เลื่อนทั้งหมด พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
    ไส้เลื่อนรอยแผลผ่าตัด (incisional hernia) พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของไส้เลื่อนทั้งหมด เนื่องจากผนังหน้าท้องในบริเวณแผลผ่าตัดมีความอ่อนแอกว่าปกติ ทำให้ลำไส้ไหลเลื่อนเป็นก้อนนูนที่บริเวณนั้น

*นอกจากนี้ยังมีไส้เลื่อนที่เกิดขึ้นภายในช่องท้อง ที่พบบ่อยได้แก่ ไส้เลื่อนกะบังลม (hiatal hernia/diaphragmatic hernia) ซึ่งเป็นภาวะที่กระเพาะอาหารบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนได้


สาเหตุ

เกิดจากผนังหน้าท้องบางจุดมีความอ่อนแอ (หย่อนยาน) ผิดปกติ ทำให้ลำไส้ที่อยู่ข้างใต้เคลื่อนตัวหรือไหลเลื่อนเข้าไปในบริเวณนั้น ความบกพร่องดังกล่าวอาจมีมาแต่กำเนิด หรืออาจเกิดขึ้นในภายหลังเมื่ออายุมากขึ้นก็ได้

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดไส้เลื่อน ได้แก่

    การมีประวัติคนในครอบครัวเป็นไส้เลื่อน
    การมีประวัติเป็นไส้เลื่อนในวัยเด็กหรือเคยผ่าตัดไส้เลื่อนมาก่อน
    การมีประวัติผ่าตัดช่องท้องมาก่อน
    ผู้สูงอายุ ซึ่งมีการเสื่อมของผนังหน้าท้อง
    ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักตัวน้อย ซึ่งผนังหน้าท้องส่วนที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังยังไม่เจริญแข็งแรงเต็มที่
    ไอเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมอักเสบ หรือถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งเกิดจากการสูบบุหรี่
    ท้องผูกเรื้อรัง ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ
    ต่อมลูกหมากโต ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูงจากการเบ่งถ่ายปัสสาวะเป็นประจำ
    การมีบุตรหลายคน เนื่องจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรบ่อยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแอ และมีแรงดันในช่องท้องสูง
    ภาวะอ้วน การยกของหนักเป็นประจำ การมีน้ำในช่องท้อง (เช่น ในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง) และการล้างไตผ่านทางช่องท้อง (ในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง) ทำให้มีแรงดันในช่องท้องสูง


อาการ

ทารกที่สะดือจุ่น จะมีอาการสะดือโป่งชัดเจนเวลาร้องไห้ โดยเด็กสบายดี และไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด

ในผู้ใหญ่ หากไส้เลื่อนมีขนาดเล็ก อาจไม่มีอาการชัดเจน เช่น ในผู้หญิงที่เป็นไส้เลื่อนต้นขา มักไม่พบก้อนนูนที่บริเวณต้นขา แต่อาจมีอาการปวดบริเวณต้นขาเป็นครั้งคราวโดยไม่ทราบสาเหตุ จนกว่าก้อนมีขนาดโตขึ้นจึงจะเห็นก้อนนูนได้ชัด

ในรายที่มีไส้เลื่อนขนาดใหญ่ จะมีอาการเป็นก้อนนูนตรงบริเวณที่เป็นไส้เลื่อน (สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) สำหรับไส้เลื่อนขาหนีบซึ่งพบมากในผู้ชาย หากมีลำไส้เลื่อนไหลลงมาที่ถุงอัณฑะ จะพบว่ามีก้อนนูนที่ถุงอัณฑะ ทำให้อัณฑะบวมโตกว่าอีกข้างที่ปกติ

ก้อนนูนของไส้เลื่อนมักจะเห็นชัดขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย เวลานอนหงายก้อนจะเล็กลงหรือยุบหายไป ก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด (นอกจากในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน อาจมีอาการปวดไส้เลื่อนอย่างฉับพลัน หรือปวดท้องรุนแรง)

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้จนไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะมีลำไส้ไหลเลื่อนลงมาที่ผนังหน้าท้องจำนวนมากขึ้น จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ กล่าวคือ ไส้เลื่อนอาจเกิดการติดค้างอยู่ที่บริเวณผนังหน้าท้อง (เช่น สะดือ ขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด) ไม่สามารถไหลกลับเข้าช่องท้องได้ตามปกติ เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดติดคา (incarcerated hernia) ซึ่งอาจทำให้มีอาการของลำไส้อุดกั้น คือปวดท้องรุนแรง อาเจียนบ่อย ไม่ผายลม ไม่ถ่ายอุจจาระ

ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้ลำไส้ส่วนที่ติดค้างอยู่ถูกบีบรัดจนบวมและขาดเลือดไปเลี้ยง ในที่สุดเนื้อเยื่อลำไส้จะตายเน่า (gangrene) เรียกว่า ไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด (strangulated hernia) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง ก้อนไส้เลื่อนปวดเจ็บมาก และผิวหนังบริเวณนั้นมีสีแดงหรือสีคล้ำ ต่อมาลำไส้ที่ตายเน่าเกิดการทะลุก็จะกลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งจะตรวจพบสะดือโป่ง หรือก้อนนูนที่บริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด

บางรายแพทย์อาจวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

1. สะดือจุ่นในเด็กเล็ก แนะนำให้สังเกตอาการโดยไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ แพทย์จะทำการผ่าตัดแก้ไขเมื่อสะดือจุ่นมีอาการปวด, มีอาการปวดท้องและอาเจียนรุนแรง (จากภาวะลำไส้อุดกั้นแทรกซ้อน), สะดือจุ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1-2 ซม., เมื่อครบอายุ 2 ปีแล้วสะดือจุ่นขนาดยังไม่เล็กลง หรือเมื่ออายุครบ 5 ปีแล้วยังไม่ยุบหายดี

2. สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไส้เลื่อนสะดือ แพทย์จะพิจารณาผ่าตัดแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการปวดหรือก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น

3. ไส้เลื่อนที่พบบริเวณขาหนีบ ต้นขา หรือรอยแผลผ่าตัด ถ้ามีขนาดเล็กและไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการ และนัดมาตรวจเป็นระยะ หากพบว่าก้อนมีขนาดใหญ่หรือมีอาการปวด หรือผู้ป่วยมีความวิตกกังวล แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดแบบไม่เร่งด่วน คือ นัดให้มารับการผ่าตัดเมื่อสะดวกและมีความพร้อม

4. ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง หรือก้อนติดคา แพทย์จะทำการผ่าตัดแบบเร่งด่วน

ผลการรักษา สำหรับไส้เลื่อนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน การผ่าตัดช่วยให้หายเป็นปกติได้เป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีไส้เลื่อนเกิดขึ้นใหม่ในเวลาต่อมาได้

ในรายที่ปล่อยไว้จนกลายเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา และเกิดภาวะลำไส้อุดกั้น และ/หรือเป็นไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด ถ้าได้รับการผ่าตัดอย่างทันท่วงทีก็จะปลอดภัยและหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าได้รับการรักษาล่าช้าไป ก็อาจได้รับอันตรายถึงเสียชีวิตได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการก้อนนูนที่บริเวณหน้าท้อง ขาหนีบ หรือต้นขาเป็นครั้งคราวขณะลุกขึ้นยืน ยกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไส้เลื่อน ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด สำหรับกรณีต่อไปนี้

    ในรายที่ยังไม่ได้รักษาด้วยการผ่าตัด และแพทย์แนะนำให้สังเกตอาการ หรือรอนัดผ่าตัด หากมีอาการไส้เลื่อนติดค้างอยู่ข้างนอก ไม่ไหลกลับเข้าไปในช่องท้องอย่างที่เคย ก้อนไส้เลื่อนมีอาการปวดเจ็บ หรือมีอาการปวดท้องรุนแรง หรืออาเจียนมาก ควรไปพบแพทย์โดยด่วน
    ในรายที่แพทย์รักษาด้วยการผ่าตัด และกลับมาพักฟื้นที่บ้าน หากมีอาการผิดปกติ (เช่น มีไข้ ปวดท้อง อาเจียน กินอาหารไม่ได้ แผลอักเสบ เป็นต้น) มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา หรือมีความวิตกกังวล ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว


การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากผู้ป่วยไส้เลื่อน (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไส้เลื่อนขาหนีบ ไส้เลื่อนสะดือ) มักเกิดจากการมีความอ่อนแอของผนังหน้าท้องมาแต่กำเนิด

อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดแรงดันในช่องท้องสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนและการกำเริบซ้ำของโรคนี้     

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ไม่สูบบุหรี่ เพื่อป้องกันโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและถุงลมปอดโป่งพอง (ซึ่งทำให้มีอาการไอเรื้อรัง)
    ป้องกันท้องผูกด้วยการกินอาหารที่มีกากใยมาก และดื่มน้ำมาก ๆ
    หลีกเลี่ยงการยกของหนัก
    หากมีอาการไอเรื้อรัง ท้องผูก ต่อมลูกหมากโต ควรรีบดูแลรักษาให้อาการทุเลาลง

ข้อแนะนำ

1. ควรอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจถึงสาเหตุและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นของโรคไส้เลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไส้เลื่อนที่ขาหนีบ ซึ่งพบว่าบางคนรู้สึกว่าการมีก้อนนูนที่ขาหนีบเป็นสิ่งที่น่าละอาย และไม่กล้าไปพบแพทย์

2. การรักษาไส้เลื่อนให้หายขาดมีอยู่ทางเดียวคือการผ่าตัดซ่อมแซมผนังหน้าท้องให้แข็งแรง ซึ่งแพทย์จะนัดทำในเวลาที่เหมาะสม ระหว่างที่รอนัดมาผ่าตัด (ซึ่งอาจนานเป็นแรมปี) ผู้ป่วยควรสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง ถ้าหากมีอาการปวดท้อง อาเจียน หรือความผิดปกติอื่น ๆ ก็ควรไปโรงพยาบาลโดยเร็ว

3. ในปัจจุบันการผ่าตัดมีหลายวิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย นอกจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (open surgery) ซึ่งทำกันมาแต่เดิมแล้ว ยังมีวิธีใหม่ ๆ อาทิ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (laparoscopic surgery) และการใช้แขนกลช่วยผ่าตัดด้วยระบบดาวินชี (robotic-assisted da Vinci surgical system) ซึ่งการผ่าตัดด้วยวิธีใหม่ ๆ ให้ผลดีกับผู้ป่วยหลายประการ เช่น รอยแผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมากและเจ็บแผลน้อย เสียเลือดน้อย เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดน้อย อยู่โรงพยาบาลเพียงไม่กี่วัน และฟื้นตัวได้เร็ว

63
โรคความดันโลหิตสูงอย่าปล่อยไว้ อันตรายกว่าที่คิด

ความดันโลหิตสูงเป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แต่เป็นโรคสำคัญที่ควรได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในอนาคต เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตวายระยะสุดท้าย พื้นฐานการดูแลสุขภาพที่สำคัญในการควบคุมความดันโลหิต ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพของตนเอง และการรักษาโดยการรับประทานยา ซึ่งจะช่วยให้ความดันโลหิตกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสม ลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ และดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข

 
ความดันโลหิตสูงมีกี่ชนิด

ความดันโลหิตสูง สามารถจำแนกตามสาเหตุการเกิดได้เป็น 2 ชนิด คือ

    ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (primary or essential hypertension) พบได้ประมาณ 95% ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั้งหมด ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการประเมินและรักษาโรคความดันโลหิตสูงของสหรัฐอเมริกาพบว่า มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ กรรมพันธุ์ ความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูง การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด การไม่ออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความเครียด อายุที่มากขึ้น และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
    ความดันโลหิตสูงชนิดที่ทราบสาเหตุ (secondary hypertension) พบได้น้อย คือประมาณ 5-10% ส่วนใหญ่เกิดจากการมีพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยจะส่งผลให้เกิดแรงดันเลือดสูง ส่วนใหญ่อาจเกิดจากพยาธิสภาพที่ไต ต่อมหมวกไต โรคหรือความผิดปกติของระบบประสาท ความผิดปกติของฮอร์โมน โรคของต่อมไร้ท่อ โรคครรภ์เป็นพิษ การบาดเจ็บของศีรษะ การใช้ยาและการถูกสารเคมี เป็นต้น

ทั้งนี้เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเกิดจากสาเหตุใด การรักษาที่สาเหตุก็จะทำให้ระดับความดันโลหิตจะลดลงเป็นปกติได้

 
อาการของโรคความดันโลหิตสูง

อาการของโรคความดันโลหิตสูง ปรากฏได้หลายอย่าง ดังนี้

    ปวดศีรษะ
    เวียนศีรษะ (dizziness) มักพบว่าเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ
    เลือดกำเดาไหล (epistaxis)
    เหนื่อยหอบขณะทำงาน หรือมีอาการเหนื่อยหอบจนนอนราบไม่ได้ แสดงถึงการมีภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลว
    อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วม ได้แก่ อาการเจ็บหน้าอกสัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากการมีเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวมากจากภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมานานๆ

 
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง

เมื่อมีความดันโลหิตสูง มักเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้ เช่น

    หัวใจ อาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว มีอาการหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ มีอาการขาบวม
    ไต อาจเป็นโรคไตเรื้อรัง มีอาการขาบวม ซีด ผิวแห้ง
    สมอง อาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง อาการที่แสดงออก คือ มีอาการปากเบี้ยว อ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก หรืออาจมีภาวะสมองเสื่อม
    ตา อาจเกิดความผิดปกติที่จอประสาทตา

 
ความดันโลหิตสูงต้องระวัง และควรพบแพทย์

ผู้ที่มีภาวะใดภาวะหนึ่ง หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงดังต่อไปนี้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงก่อนออกกำลังกาย

    มีค่าความดันโลหิต SBP ≥ 180 มม.ปรอท หรือ DBP ≥ 110 มม.ปรอท
    มีอาการเจ็บหน้าอกหรือหายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะเมื่อออกแรงเล็กน้อยหรือขณะพัก
    มีความเสี่ยง หรือเคยมีภาวะหัวใจล้มเหลว
    มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    มีโรคเบาหวานที่ยังควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี
    มีภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันอื่นๆ
    เป็นผู้สูงอายุ
    มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่จัด


64
รีวิวบ้านใหม่ 2025: บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi)

บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern British Luxury อีกหนึ่งโครงการ จาก ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บนพื้นที่โครงการกว่า 99 ไร่ ไม่ไกลจากทางด่วน Central Village และสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการที่ว่านี้ คือ บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi) ให้คุณได้ใช้ชีวิตไปกับธรรมชาติ ด้วยสวนขนาดใหญ่ถึง 2 จุด พร้อมสนามเทนนิส และสนามบาสเกตบอล Clubhouse 2 ชั้น ที่มีทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส CO-WORKING SPACE และยังได้อยู่ในบ้านที่ทันสมัยด้วย Smart Home Automation ที่ทางโครงการติดตั้งให้ในทุกหลัง แค่เกริ่นนำก็น่าสนใจแบบนี้ ลองไปชมรายละเอียดโครงการกันเลยค่ะ

ข้อมูลโครงการ
เจ้าของโครงการ : บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
ที่ตั้งโครงการ : ถนนวัดบางบ่อ ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ สมุทรปราการ 10560
ขนาดพื้นที่โครงการ : 99-0-02 ไร่
จำนวนบ้าน : 485 หลัง
ปัจจุบันมีแบบบ้านทั้งหมด 4 แบบ
ขนาดที่ดิน : ตั้งแต่ 35.5 ตร.ว. ขึ้นไป
ขนาดพื้นที่ใช้สอย : 145 - 245 ตร.ม.
สิ่งอำนวยความสะดวก : คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนต, ห้องสตรีม, Kid Room, Co-Working Space, Shop, สวนสาธารณะ 2 จุด พร้อมสนามเทนนิส สนามบาส เข้า-ออกระบบ Easy Pass เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. และ CCTV
ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท

ทำเลที่ตั้ง และการเดินทาง
โครงการตั้งอยู่ถนนวัดบางบ่อ (บางนา-ตราด กม.26) ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ สมุทรปราการ 10560 ถนนเทพารักษ์, ถนนบางบ่อ-คลองด่าน, และถนนบางนา-ตราด

แผนที่โครงการบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ

ตำแหน่งโครงการจาก Google Maps
1. เดินทางโดยรถยนต์
ขาเข้าโครงการเส้นทางที่ 1 : จากทางด่วนบางนา - ตราด

ขาเข้าโครงการเส้นทางที่ 2 : จากถนนเทพารักษ์

ขาออกโครงการเส้นทางที่ 1 : ออกไปขึ้นทางด่วนบางนา-ตราด (ขาเข้า)

ขาออกโครงการเส้นทางที่ 2 : ไปสนามบินสุวรรณภูมิ

สภาพแวดล้อมใกล้เคียง
โครงการ บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi) ตั้งอยู่บนถนนวัดบางบ่อ ซึ่งเป็นถนนสวนกันสองเลน ตัวถนนเชื่อมกับถนนหลักในตัวอำเภอบางบ่อ ซึ่งเชื่อมกับถนนบางนา-ชลบุรีอีกที สภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยในแนวราบ และพื้นที่ว่างเปล่า ณ ปัจจุบันมีการเปิดหมู่บ้านจัดสรรบริเวณถนนเส้นนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร ในอนาคตอาจจะมีการพัฒนาพื้นที่ดินที่ว่างเปล่านี้เพิ่มมากขึ้น สำหรับร้านค้า ร้านอาหารส่วนใหญ่ จะอยู่บริเวณตัวอำเภอบางบ่อ ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการเพียง 1 กม. มีทั้งตลาด ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา โรงเรียน และโรงพยาบาล อยู่ในละแวกใกล้ๆ กัน สำหรับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในแถบนี้จะมี เยส บางพลี ซึ่งอยู่ตรงแยกถนนเทพารักษ์

แผนที่แสดงให้เห็นตำแหน่งโครงการ และสถานที่ใกล้เคียง

ฝั่งตรงข้ามเยื้องโครงการมีคลีนิค และร้านอาหาร ห่างจากโครงการประมาณ 100 ม.

MZ Arena ห่างจากโครงการประมาณ 350 ม.

CJ Mart ห่างจากโครงการประมาณ 350 ม.

7-11 ห่างจากโครงการประมาณ 400 ม.

Family Mart หน้าปากซอยเทศบาล 11 ห่างจากโครงการประมาณ 450 ม.

Family Mart หน้าปากซอยเทศบาล 13 ห่างจากโครงการประมาณ 500 ม.

โรงเรียนอนุบาลชุมชนบางบ่อ ห่างจากโครงการประมาณ 1.1 กม.

โรงเรียนวัดบางบ่อ ห่างจากโครงการประมาณ 1.2 กม.

โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ห่างจากโครงการประมาณ 1.3 กม.

ที่ว่าการอำเภอบางบ่อ ห่างจากโครงการประมาณ 1.3 กม.

สถานีตำรวจอำเภอบางบ่อ ห่างจากโครงการประมาณ 1.3 กม.

โรงพยาบาลบางบ่อ ห่างจากโครงการประมาณ 1.5 กม.

ตลาดเสริมสุข ห่างจากโครงการประมาณ 1.6 กม.

โลตัส เอ็กซ์เพรส ตลาดบางบ่อ ห่างจากโครงการประมาณ 1.6 กม.

โรงพยาบาลรวมชัยประชารักษ์ ห่างจากโครงการประมาณ 2.5 กม.

ท็อปส์ เดลี่ ห่างจากโครงการประมาณ 2.9 กม.

ตลาดนัดจตุจักร บางบ่อ ห่างจากโครงการประมาณ 2.9 กม.

โรงพยาบาลบางนา 2 ห่างจากโครงการประมาณ 6.5 กม.

เยส บางพลี  ห่างจากโครงการประมาณ 6.7 กม.
แบบบ้าน และตัวโครงการโดยรวม
บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi) บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ขนาด 2 ชั้น ย่านบางนา-สุวรรณภูมิ มีจำนวนบ้านรวมทั้งหมด 485 หลัง สร้างอยู่บนแปลงที่ดินขนาด 99-0-02 ไร่ ล้อมรอบไปด้วยที่อยู่อาศัยในแนวราบ และพื้นที่ว่างส่วนบุคคล มีพื้นที่ส่วนกลางเป็นสวนสาธารณะสีเขียว 2 จุด พร้อมคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ สไตล์ BRITISH LUXURY พร้อมสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และ CO-WORKING SPACE ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าติดกับทางเข้าของโครงการ ส่วนทางเข้า - ออกหลัก มีทางเดียวคือ ติดหน้าถนนวัดบางบ่อ รั้วรอบโครงการมีความสูงอยู่ที่ 2.5 เมตร พร้อมเหล็กแหลม ถนนหลักกว้าง 16 เมตร และถนนซอยกว้าง 8 เมตร

Master Plan ของบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ แสดงให้เห็นขอบเขตของโครงการโดยรวม
ทางเข้าโครงการ Sales Gallery บ้านตัวอย่าง สวนสาธารณะ และคลับเฮ้าส์

ซุ้มประตูทางเข้าโครงการขนาดใหญ่ สไตล์ BRITISH หรูหรามาก ด้านซ้ายมือที่ติดกับทางเข้าคือ คลับเฮ้าส์
ด้านข้างทั้งสองฝั่ง มีทางเดินสำหรับคนเดินเข้าให้ด้วย

จากภาพนี้จะเห็นคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ได้ชัดเจนขึ้นนะคะ ปัจจุบันทางโครงการกำลังก่อสร้างอยู่ค่ะ
ฝั่งขวาของประตูทางเข้ามีป้ายชื่อโครงการขนาดใหญ่

ประตูทางเข้าแยกระหว่างลูกบ้าน (Resident) กับคนภายนอก (Visitor) ที่มาติดต่อ ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีนะคะ เพราะทำให้คนที่อาศัยภายในโครงการมีความสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ต้องเสียเวลารอคนภายนอกที่กำลังแลกบัตร

ทางเข้าสำหรับคนที่มาติดต่อ หากมองตรงเข้าไปตรงพื้นที่ที่กำลังก่อสร้างจะเป็นประตูอีกชั้น

ฝั่งคนภายนอกที่มาติดต่อ สามารถแลกบัตรได้ที่ รปภ. และมี CCTV ติดไว้ 2 จุด

ที่ซุ้มประตูมี รปภ. ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติ CCTV บริเวณที่สแกนคีย์การ์ดเข้า-ออกโครงการ มีห้องสำหรับรปภ.
กั้นตรงกลางระหว่างทางเข้าและทางออก

ถ่ายย้อนกลับไปซุ้มประตูทางเข้า

ผ่านซุ้มประตูเข้ามาฝั่งซ้ายมือจะเป็น Sales Gallery และบ้านตัวอย่าง

Sales Gallery คือหลังแรกจากขวามือ ถัดจากนั้นเป็นบ้านตัวอย่าง

ถนนแต่ละซอยกว้าง 8 เมตร
แบบบ้านและ Floor Plan ภายในโครงการมี 4 แบบ
1. NEW BROMPTON - บ้านแฝด 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 35.5 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 145 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 Living Room, Dining Area, 1 Working Corner, 1 Kitchen, ที่จอดรถ 2 คัน

แบบบ้าน NEW BROMPTON
 
คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
2. REGENT - บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50.6 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 Living Room, Dining Area, 1 Working Corner, 1 Kitchen, ที่จอดรถ 2 คัน

แบบบ้าน REGENT
 
คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
3. CAMBRIDGE - บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 54.5 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 205 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 Living Room, Dining Area, 1 Working Corner, 1 Kitchen, ที่จอดรถ 2 คัน

แบบบ้าน CAMBRIDGE
 
คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
4. MAYFAIR - บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 61.5 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 245 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 Living Room (Double Volume), Dining Area, 1 Kitchen, 1 Maid Room ที่จอดรถ 2 คัน

แบบบ้าน MAYFAIR

คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก
CLUB HOUSE
KIDS ROOM
STEAM ROOM
FITNESS
CO-LIVING SPACE
CO-WORKING SPACE
RETAIL SHOP
SWIMMING POOL
KIDS POOL

อาคารคลับเฮ้าส์ 2 ชั้น ขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ มีขนาด 8 x 20 เมตร ลึก 1.2 เมตร
ปัจจุบันกำลังก่อสร้าง คาดว่าจะเสร็จประมาณกลางปี 63

CO-WORKING SPACE ด้านนอก

CO-WORKING SPACE ในตัวอาคาร

CO-WORKING SPACE ในตัวอาคาร

CO-WORKING SPACE ชั้นบน

MEETING ROOM

KIDS ROOM

FITNESS พร้อมเครื่องเล่นมาตรฐาน

FITNESS

ห้องน้ำผู้ชาย

ห้องน้ำผู้หญิง

London Tower Bridge

หอนาฬิกาภายในโครงการ
GARDEN REST ZONE
BLUE LAGOON (Lake/Garden/Tree)
SEATING AREA
GAZEBO
PLAYGROUND

BLUE LAGOON (Lake/Garden/Tree)

GAZEBO
GARDEN ACTIVE ZONE
FULL-COURT TENNIS
FULL-COURT BASKETBALL
PLAZA
SEATING AREA
EXERCISE ZONE

EXERCISE ZONE

SEATING AREA

EXERCISE ZONE

EXERCISE ZONE

FULL-COURT BASKETBALL

FULL-COURT TENNIS


แบบบ้านภายในโครงการมีทั้งหมด 4 แบบ คือ แบบบ้าน MAYFAIR, CAMBRIDGE, REGENT, NEW BROMPTON สำหรับแบบบ้านที่ทางทีมงาน Checkraka.com ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมและเก็บภาพมาฝากกันในครั้งนี้ คือแบบบ้านที่มีชื่อว่า MAYFAIR ซึ่งเป็นบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโครงการ และอีกแบบคือ แบบบ้านที่มีชื่อว่า REGENT ค่ะ ไปชมบ้านตัวอย่างกันเลย
สำหรับที่นี่ บ้านทุกแบบที่ใช้ส่งมอบลูกค้า เป็นบ้าน Smart Home Automation ซึ่งจะติดตั้ง
- Digital Door Lock ที่สามารถควบคุมระบบล็อกประตู ผ่าน APPLICATION ได้
- Magnetic Sensor ที่ประตูและหน้าต่าง
- IP Camera 2 ตัว เป็นกล้องวงจรปิดภายในบ้าน สามารถดูผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือของเราได้
- USB Outlet ติดตั้งเตรียมไว้ให้ทุกจุดสำคัญภายในบ้าน
แบบบ้าน - MAYFAIR
สำหรับแบบบ้าน MAYFAIR เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 61.5 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 245 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 Living Room (Double Volume), Dining Room, 1 Kitchen, 1 Maid Room ที่จอดรถ 2 คัน

มาชมแปลนบ้านชั้น 1 กันก่อนเลยค่ะ

แบบบ้าน MAYFAIR ที่เราจะพาไปชมวันนี้ เป็นบ้านตัวอย่างที่ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ให้ทั้งหลัง และบางรูปจะเปรียบเทียบให้ดูบ้านเปล่าด้วยค่ะ จะสังเกตเห็นว่าประตูและหน้าต่างของที่นี่บานใหญ่ เน้นเรื่องแสงภายในบ้าน บ้านที่นี่สร้างแบบ
 Pre-Cast ค่ะ

เปรียบเทียบกับบ้านเปล่ามาตรฐาน จะเห็นว่าอยู่คนละฝั่งกัน แต่ฟังก์ชันเหมือนกันทุกอย่างเลย สำหรับบ้านเปล่าจะมีรั้วกั้นบ้านให้ทุกหลัง สูง 1.5 เมตร พร้อมประตูเหล็กบานเลื่อน

บ้านหลังนี้สามารถจอดรถได้ 3 คัน มีประตูทางเข้าตรงที่จอดรถ และประตูตรงกลางอีก 1 บาน ซึ่งบานกลางนี้จะ
ติดตั้ง Digital Door Lock มาให้ทุกหลัง และด้านข้างที่จอดรถยังมีที่เก็บของพร้อมประตูเปิดบานใหญ่มาให้ด้วย

เปรียบเทียบกับบ้านเปล่ามาตรฐาน พื้นที่จอดรถเป็นพื้นซีเมนต์ฉาบเรียบ ทำทางเดินลาดสำหรับรถเข็นไว้ให้
เผื่อบ้านไหนมีผู้สูงอายุจะได้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้นค่ะ

สำหรับบ้านเปล่ามาตรฐาน ทางโครงการจัดสวนปูหญ้ามาให้ทุกหลัง

ประตูทางเข้าหลัก และประตูตรงกลางที่ติดตั้ง Digital Door Lock

ประตูทางเข้าหลักเป็นประตูบานเลื่อนคู่ กระจกเขียวตัดแสง กรอบประตู Aluminium อบสีดำ เฉลียงหน้าบ้านปูกระเบื้อง
40 x 40 ซม. ทำที่นั่งด้านข้างให้

เข้ามาที่โถงชั้น 1 ส่วนแรกถูกจัดเป็นส่วนพักผ่อนรับแขก

เปรียบเทียบกับบ้านเปล่ามาตรฐาน ชั้นนี้มีความสูง 2.6 เมตร พื้นปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ 60 x 60 ซม.

สำหรับบ้านหลังนี้ โซนรับแขกจะเป็นแบบ Double Volume Living พื้นที่ส่วนนี้มีความพิเศษคือ
มีความสูงจากพื้นชั้น 1 ถึงเพดานของชั้น 2 เลยทีเดียว และกำแพงด้านข้างยังติดกระจกบานสูงโดยรอบ
ทำให้พื้นที่ตรงนี้โล่งโปร่งมากทีเดียว

ด้านหลังโซฟาเป็นหน้าต่างบานเลื่อน ทำให้มุมนี้ได้รับแสงธรรมชาติทั้งจากหน้าต่างและจากประตูด้านหน้าบ้าน

ถัดจากพื้นที่พักผ่อนรับแขก เป็นโต๊ะรับประทานอาหาร สามารถวางโต๊ะอาหารขนาด 6 ที่นั่งได้พอดี

ถัดจากส่วนรับประทานอาหารจะเป็นเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร และเคาน์เตอร์ครัว พร้อมตู้วางของด้านบน

เปรียบเทียบกับบ้านเปล่ามาตรฐาน ทางโครงการให้ตามนี้ทั้งหมดเลยค่ะ

ตรงส่วนครัวจะมีประตูเปิดออกไปด้านข้างบ้าน

เปิดออกมาจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวไทยพร้อมซิงค์ล้างจาน และพื้นที่ซักล้าง

มาดูด้านหลังบ้านกันค่ะ ด้านหลังนี้จะมีห้องนอนแม่บ้าน ห้องน้ำ และห้องเก็บของ ตรงหน้าห้องแม่บ้านลาดซีเมนต์ขัดเรียบให้ บ้านที่นี่ให้ฟรี ปั๊มน้ำ ถังเก็บน้ำ

ห้องเก็บของ

ห้องน้ำแม่บ้าน ภายในมีโถสุขภัณฑ์ ฝักบัว

ภายในห้องแม่บ้านจะเป็นห้องแบบตัว L

กลับเข้ามาชมด้านในบ้าน และฟังก์ชันส่วนที่เหลือกันต่อ

ถัดจากส่วนรับประทานอาหาร ด้านหน้าจะเป็นประตูตรงกลางที่ติดตั้ง Digital Door Lock ถัดจากนั้นคือประตู
ที่เปิดออกไปที่จอดรถ

ฟังก์ชันทางฝั่งนี้จะมี ห้องเก็บของ บันไดทางขึ้นชั้น 2 ห้องอเนกประสงค์ (ห้องนอนชั้นล่าง) และห้องน้ำชั้นล่าง

ห้องเก็บของอยู่ติดกับบันไดทางขึ้นชั้น 2

เข้ามาชมห้องนอนชั้นล่างกันค่ะ ห้องนี้เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ เพราะอยู่ติดห้องน้ำ สะดวก ไม่ต้องเดินไกล และไม่ต้องเดินขึ้นชั้นบน ส่วนถ้าบ้านไหนไม่มีผู้สูงอายุ ก็สามารถปรับเป็นห้องทำงาน หรือห้องโฮมเธียเตอร์เล็กๆ ก็ได้ ถือว่าห้องนี้ใช้เป็นห้องอเนกประสงค์ได้เลยค่ะ

มีประตูบานเลื่อน และหน้าต่างบานกระทุ้งรับแสงภายนอก ทำให้ห้องไม่ทึบเกินไป

ประตูบานเลื่อนเปิดออกไปด้านข้างบ้านได้

ติดกับห้องนอนเป็นห้องน้ำ มีเครื่องสุขภัณฑ์ให้ครบครัน ทั้งอ่างล้างมือ กระจกบานใหญ่ และโถสุขภัณฑ์ ของ Cotto
ก่อธรณีกั้นแยกส่วนเปียก/แห้งให้ ติดตั้งฝักบัวอาบน้า และมีหน้าต่างบานกระทุ้งระบายอากาศ 1 บาน

บันไดทางขึ้นของที่นี่จะวางตัวอยู่ตรงกลางบ้านเลย เป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นบันไดไม้สำเร็จรูป
มีชานพักตรงกลางให้ 1 จุด

ตรงบันไดมีกระจกรับแสงบานใหญ่ ทำให้ตอนกลางวันแสงธรรมชาติเข้าส่วนนี้ได้โดยไม่ต้องเปิดไฟ ช่วงล่างเป็นบานเลื่อนเปิดระบายอากาศได้

แปลนบ้านชั้น 2

ขึ้นมาที่ชั้น 2 จะเจอกับฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เรามาชม 2 ห้องแรกกันก่อน

ห้องนอนที่ 3 ห้องนี้ตกแต่งเหมือนห้องลูกๆ สามารถวางเตียงขนาดใหญ่ 5-6 ฟุต ได้สบาย ภายในห้องมีหน้าต่างบานเลื่อน
1 บาน และบานกระทุ้ง 1 บาน

วางตู้เสื้อผ้า โต๊ะ และยังมีห้องน้ำในตัวด้วย

เปรียบเทียบกับบ้านเปล่ามาตรฐาน

พื้นที่วางตู้อยู่ติดกับประตูทางเข้าห้อง

ห้องน้ำมีเครื่องสุขภัณฑ์ให้ครบครัน ทั้งอ่างล้างมือ กระจกบานใหญ่ และโถสุขภัณฑ์ของ Cotto เหมือนชั้นล่าง

ติดกับห้องนอน 3 คือ Master Bedroom ซึ่งวางตัวอยู่ด้านหน้าบ้าน ห้องนี้มีฟังก์ชันใช้งานที่ครบครันมาก ทั้งพื้นที่วางเตียงขนาดใหญ่ ประตูบานเลื่อน ระเบียง หน้าต่างบานกระทุ้ง Walk-in Closet และห้องน้ำในตัว

อีกฝั่งหนึ่งเป็น Walk-in Closet และห้องน้ำในตัว

เปรียบเทียบกับบ้านเปล่ามาตรฐาน

ระเบียงด้านนอกมีความยาวเท่าความกว้างของห้อง ออกมาชมวิวด้านหน้าบ้าน หรือจะนำเก้าอี้มานั่งพักผ่อนในช่วงที่
อากาศดีๆ ก็ได้ค่ะ

มีราวกันตกเป็น Tempered Glass หรือกระจกนิรภัย ซึ่งถือว่าใส่ใจทั้งความสวยงามและความปลอดภัยของลูกบ้าน
อย่างดีทีเดียว

 Walk-in Closet และห้องน้ำในตัว

มุมนี้บิวท์อิน เฟอร์นิเจอร์มาให้ดูเป็นตัวอย่าง

สำหรับบ้านเปล่ามาตรฐานจะให้เฟอร์นิเจอร์มาหน้าตาแบบนี้เลยค่ะ

ห้องน้ำของห้องนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด มีสุขภัณฑ์ภายในให้ครบครัน เหมือนห้องน้ำห้องที่ผ่านมา บ้านที่ส่งมอบลูกค้าจริงก็ให้หน้าตาแบบนี้เลย

ส่วนอาบน้ำ

ส่วนที่เหลือของชั้น 2 จะเป็นห้องนอน 2 และโถงพักผ่อน

โถงพักผ่อนชั้น 2 หรือพื้นที่อเนกประสงค์นั่นเอง สามารถวางเก้าอี้แบบนี้ หรือจะจัดวางตู้โชว์ก็ได้

มองลงไปจะเป็น Living ของชั้น 1 สวยงาม หรูหรามากทีเดียว

ห้องนอน 2 ห้องนี้วางตัวอยู่ฝั่งหลังบ้าน ภายในห้องมีห้องน้ำในตัวให้

เปรียบเทียบกับบ้านเปล่ามาตรฐาน

มีเครื่องสุขภัณฑ์ให้ครบครัน เหมือนห้องน้ำห้องที่ผ่านมา

ภายในห้องมีพื้นที่ให้จัดวางของได้ครบ จะวางเตียงขนาด 5-6 ฟุต ก็ยังเหลือพื้นที่วางของข้างหัวเตียงได้อีกเล็กน้อย
สำหรับพื้นที่ปลายเตียงยังเหลือกว้างเดินได้สะดวก

ประตูบานเลื่อนเปิดออกไปที่ระเบียงส่วนตัว

มีระเบียงขนาดใหญ่ ที่สามารถใช้เป็นพื้นที่ส่วนพักผ่อนได้สบายเลย

ถ่ายย้อนกลับไปด้านในห้อง
แบบบ้าน - REGENT
REGENT - บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50.6 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม. ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 Living Room, Dining Area, 1 Working Corner, 1 Kitchen, ที่จอดรถ 2 คัน

มาชมแปลนบ้านชั้น 1 ของแบบบ้าน Regent กัน

บ้านหลังนี้ เป็นบ้านตัวอย่างที่ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลัง จัดสวนปูหญ้าให้ มีระเบียงด้านหน้า เน้นกระจกบานใหญ่ ติดตั้งระบบ Home Automation ให้ทุกหลัง มีฟังก์ชันเหมือนกับ New Brompton แต่พื้นที่ใช้สอยใหญ่กว่า 15 ตร.ม. และตัวบ้านไม่ติดกับหลังอื่น เพราะมีพื้นที่เป็นแบบบ้านเดี่ยว เดินได้รอบๆ บ้าน

ส่วนด้านข้างบ้านที่เห็นจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวไทยที่ยื่นออกมา ซึ่งส่วนนี้ถ้าหากเป็นบ้านแฝดจะเป็นส่วนที่ติดกับหลังอื่น
แต่หลังนี้มีพื้นที่แบบบ้านเดี่ยวคือ 50.6 ตร.ว. ขึ้นไป ทำให้มีพื้นที่ด้านข้างแบบที่เห็นค่ะ

จอดรถได้ 2 คัน พื้นที่จอดรถจะเป็นซีเมนต์ขัดเรียบลาดยาวจนถึงประตูรั้วบ้าน ไฟด้านหน้าเป็นไฟ LED Auto Switch
มีห้องเก็บของขนาดย่อมพร้อมประตูให้เรียบร้อย

มีพื้นที่ด้านข้างๆ บ้านมากน้อยไม่เท่ากัน แล้วแต่พื้นที่จัดสรร จัดสวน ปูหญ้าให้

ประตูทางเข้าหลักเป็นประตูบานเลื่อนคู่ กระจกเขียวตัดแสง กรอบประตู Aluminium อบสีดำ ทำที่นั่งด้านข้างสำหรับนั่ง
ใส่รองเท้าหรือถอดรองเท้า

เฉลียงหน้าบ้านปูกระเบื้อง 40 x 40 ซม. ยกสูงขึ้นมาจากพื้นปกติเล็กน้อย

เข้ามาส่วนรับแขกจัดวางอยู่ด้านหน้า พื้นชั้นล่างปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ 60 x 60 ซม. ไฟด้านล่างเป็นไฟ LED
มีความสูงจากพื้นถึงเพดานถึง 2.6 เมตร

สามารถวางโซฟาขนาด 3 ที่ และโต๊ะวางของแบบนี้ หรือจะปรับเป็นโซฟารับแขกตัว L ก็ได้ ด้านหลังโซฟาจะเป็นหน้าต่างบานเลื่อนเปิดรับลมระบายอากาศหรือเปิดรับแสงธรรมชาติก็ได้ ถัดจากหน้าต่างจะมีประตูบานเลื่อนเปิดออกไป
ด้านข้างบ้านได้

ฝั่งตรงข้ามโซฟารับแขก เป็นพื้นที่สำหรับจัดวางทีวี หรือตกแต่งเป็นชั้นวางของก็ได้ พื้นที่กว้างทีเดียว

ถัดจากพื้นที่รับแขก จะเป็นพื้นที่สำหรับจัดวางโต๊ะรับประทานอาหาร สามารถวางโต๊ะได้ 4 ที่พอดี ส่วนห้องที่เห็นนั้น
ทางโครงการกั้นเพิ่มขึ้นมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ตัวบ้านเปล่ามาตรฐานที่ส่งมอบจะไม่ได้กั้นห้องให้แบบนี้
แต่จะเป็นพื้นที่โล่งๆ ยาวไปจนสุดผนังแทนค่ะ

ถ้าหากกั้นห้องแบบนี้แล้ว จะมีพื้นที่ตรงหน้าห้องสำหรับจัดเป็นส่วนพักผ่อน นั่งเล่นได้อีกส่วนเลย แต่ถ้าหากอยากได้พื้นที่โต๊ะรับประทานอาหารที่ใหญ่ขึ้น ก็เลื่อนมาใช้พื้นที่ส่วนนี้แทนได้เลยค่ะ

เข้ามาดูภายในห้องที่ถูกกั้นไว้ สามารถวางเตียงขนาดเล็กได้

มีหน้าต่างบานเลื่อน และบานกระทุ้งรับแสงภายนอกถึง 2 บาน ทำให้ห้องไม่ทึบเกินไป เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ เพราะไม่ต้องเดินขึ้นชั้นบน หรือจะปรับเป็นห้องทำงานชั้นล่างก็ยังได้

มาดูฟังก์ชันส่วนที่เหลือของชั้น 1 จะประกอบไปด้วย ห้องน้ำ ห้องครัว และประตูเปิดออกไปเคาน์เตอร์ครัวไทย

ห้องน้ำชั้น 1 สำหรับบ้านเปล่ามาตรฐาน ก็ให้ห้องน้ำหน้าตาแบบนี้เลย สุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำมีอ่างล้างมือ กระจก โถสุขภัณฑ์ ติดตั้งฝักบัวอาบน้ำมาให้ สุขภัณฑ์ทั้งหมดเป็นของ Cotto

ติดกับห้องน้ำ คือ ทางเข้าห้องครัว ซึ่งครัวที่นี่ทางโครงการไม่ได้ติดตั้งประตูปิดมาให้ เพราะจะมีครัวไทยแยกส่วน
ให้ที่ด้านนอกอยู่แล้ว

มีหน้าต่างบานเลื่อน 1 บาน ไว้เปิดระบายอากาศ ส่วนประตูด้านหลังเป็นประตู UPVC ผิวเรียบ สามารถเปิดออกไปลานซักล้างและครัวไทยด้านข้างบ้านได้

เคาน์เตอร์ครัวไทยพร้อมซิงค์ล้างจาน และพื้นที่ซักล้างหลังบ้าน จะเทคอนกรีตลงเสาเข็ม 6 เหลี่ยมให้ค่ะ

พื้นที่ข้างบ้าน และหลังบ้าน

กลับเข้ามาดูด้านในบ้าน บันไดทางขึ้นของที่นี่จะวางตัวอยู่ตรงกลางบ้านเลย บันไดเป็นโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมช่องแสงที่ทางขึ้นบันได

มีชานพักสี่เหลี่ยม 1 จุด และสามเหลี่ยมถัดกันอีกจุด ตรงชานพักมีหน้าต่างบานเลื่อนเปิดรับแสง ระบายอากาศได้

แปลนบ้านชั้น 2

ฟังก์ชันบ้านของชั้น 2 มีห้องต่างๆ ตามรูป เริ่มจากฝั่งซ้ายมือ คือห้องนอน 3 ติดกันคือ Master Bedroom ถัดจากนั้นเป็น ห้องน้ำ และฝั่งขวาสุดคือ ห้องนอน 2 พื้นชั้น 2 เป็นพื้นลามิเนต ความสูงจากพื้นถึงเพดาน 2.6 เมตร

มาชมห้องแรกที่ติดกับบันไดกันก่อน ห้องนอนที่ 2 สามารถวางเตียงนอนขนาดเล็ก โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้าได้พอดี มีหน้าต่างบานเลื่อน และบานกระทุ้งอย่างละบาน

วางเตียงแล้วมีพื้นที่ปลายเตียงเหลือเล็กน้อย

ติดกันคือห้องน้ำของชั้น 2 ใช้แชร์กันระหว่างห้องนอน 2 และห้องนอน 3 มีสุขภัณฑ์ให้ครบของ Cotto

Master Bedroom ห้องนี้มีขนาดใหญ่ที่สุด กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นนี้เลย สามารถวางเตียงขนาดใหญ่ ชั้นวางของ
Walk-in Closet มีห้องน้ำในตัว และยังมีประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่เพื่อเปิดออกไปยังระเบียงห้องได้อีกด้วย

จากมุมนี้จะเห็นประตูบานเลื่อนบานใหญ่ เปิดออกไประเบียงได้

มีระเบียงส่วนตัวเปิดออกไปชมวิวหน้าบ้าน หรือจะปลูกไม้กระถางเพื่อความสวยงามก็ได้ค่ะ

ระเบียงด้านนอกก็มีความยาวเท่ากับความกว้างของตัวห้อง มีราวเหล็กกันตกให้

ภายในห้องมีขนาดใหญ่ อีกฝั่งหนึ่งจะเป็น Walk-in Closet และมีห้องน้ำในตัว

มุมนี้จัดวางตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้งได้พอดี มีบานกระทุ้งรับแสงและเปิดระบายอากาศให้ 1 บาน

ห้องน้ำส่วนตัวของห้องนี้ มีสุขภัณฑ์มาให้ครบ ก่อธรณีและกำแพงกั้นแยกส่วนเปียก/แห้งให้ ห้องนี้จะติดตั้งจุดสำหรับ
ต่อเครื่องทำน้ำอุ่นมาให้ด้วยค่ะ

ห้องนอน 3 ทางโครงการตกแต่งเป็นห้องนอนเด็ก วางเตียง วางตู้ และโต๊ะอ่านหนังสือได้พอดี แต่หากบ้านไหน
มีสมาชิกไม่มาก ก็ปรับเป็นห้องทำงานหรือห้องอ่านหนังสือได้

ปรับพื้นที่เป็นโต๊ะอ่านหนังสือแบบยาว
ราคาและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยประมาณ (ณ วันที่ 18 พ.ย. 62 )
ตัวอย่างค่าใช้จ่าย
NEW BROMPTON ราคา 4.59 ล้าน ราคาพิเศษ 4.29 ล้าน
REGENT ราคา 5.49 ล้าน ราคาพิเศษ 4.99 ล้าน
CAMBRIDGE ราคา 7.49 ล้าน ราคาพิเศษ 6.99 ล้าน
MAYFAIR ราคา 9.39 ล้าน ราคาพิเศษ 8.69 ล้าน
บ้านเดี่ยว 2 ชั้น แบบบ้าน Regent เนื้อที่บ้าน 50.8 ตร.ว. ส่วนลด 5 แสน = ราคา 4,990,000 บาท
- เงินจอง + ทำสัญญา (ณ วันจอง) 10,000 บาท
- ฟรีดาวน์
เงื่อนไข
1. ทำสัญญาภายใน 7 วัน นับจากจ่ายเงินจอง
2. ค่าส่วนกลาง 28 บาท/ตร.ว. (เก็บล่วงหน้า 1 ปี)
3. ผู้จะซื้อเป็นผู้ชำระค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า มิเตอร์น้ำ และค่าติดตั้ง ณ วันโอนกรรมสิทธิ์
4. ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดิน ผู้ซื้อและผู้ขาย ชำระคนละครึ่ง
5. ค่าจดจำนอง 1% จากยอดกู้ (กรณีลูกค้ากู้ธนาคาร) ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระ
6. ที่ดินเพิ่ม-ลด ตารางวาละ 68,000 บาท
7. บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ ไม่คืนเงินทุกกรณี
8. ใบเสนอราคานี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง โดยมิต้องแจ้งล่วงหน้า

65
บริการด้านอาหาร: เมนูอาหารเช้าโปรตีนสูง กินง่าย อิ่มอยู่ท้องนาน

มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ เราควรจะต้องกินทุกวันเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานคุณภาพ โดยเฉพาะคนที่กำลังลดน้ำหนัก คุมอาหาร หรืออยากสร้างกล้ามเนื้อ ลองมาดูเมนูอาหารเช้าโปรตีนสูง อิ่ม อร่อย มีประโยชน์ และอยู่ท้องนาน ลดอาการหิวบ่อย

 
1. ขนมปังโฮลวีตทาเนยถั่ว + นม หรือน้ำเต้าหู้
เช้า ๆ ยังไม่ค่อยหิว ไม่อยากกินอาหารหนัก ขอแนะนำเป็นขนมปังโฮลวีตทาเนยถั่วเพิ่มโปรตีน มื้อนี้จะได้ทั้งคาร์บ ไฟเบอร์จากธัญพืชเล็กน้อย และแค่เพียง 2 ช้อนโต๊ะก็จะได้โปรตีนจากเนยถั่วประมาณ 7.68 กรัม พร้อมกันนั้นเนยถั่วยังอุดมไปด้วยกรดไขมันดี ที่ช่วยลดไขมันเลวในร่างกาย พ่วงด้วยประโยชน์อีกเพียบเลยด้วย

 อ้อ ! สำหรับคนที่อยากให้มื้อนี้โปรตีนสูงขึ้นไปอีกควรเลือกดื่มนม หรือน้ำเต้าหู้ แต่ถ้าไม่ซีเรียสมาก จะกินคู่กับกาแฟก็ตามสะดวกเลย


2. แซนด์วิชอกไก่, ทูน่า หรือไข่ต้ม + นม หรือน้ำเต้าหู้
ถ้ามีเวลาพอจะทำอาหารเช้าง่าย ๆ หรือไปเดินซื้อของกินในตลาด ร้านสะดวกซื้อได้ ลองจับคู่แซนด์วิชอกไก่ แซนด์วิชทูน่า หรือแซนด์วิชไข่ต้ม มากินคู่กับนม น้ำเต้าหู้ หรือกาแฟสักแก้ว โดยเมนูนี้อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลาย ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีนจากอกไก่ ทูน่า หรือไข่ต้ม วิตามิน แร่ธาตุจากผักในแซนด์วิช ส่วนเครื่องดื่มอย่างนมกับน้ำเต้าหู้ก็อุดมไปด้วยโปรตีนดีเช่นกัน ที่สำคัญเมนูนี้ยังทำง่าย หาซื้อก็ง่าย เหมาะกับช่วงเช้าที่เร่งรีบ

 
3. โจ๊กไข่ขาว, โจ๊กปลา + นม หรือน้ำเต้าหู้
ถ้าเน้นโปรตีนแบบจัดเต็ม แนะนำให้ลุกมาทำโจ๊กไข่ขาว ใส่เนื้อปลา หมูสับ หรืออกไก่ลงไปเพิ่มโปรตีนด้วยก็ได้ และเพื่อให้รู้สึกอิ่มมากขึ้น ก็เลือกดื่มนม น้ำเต้าหู้ หรือกาแฟตบท้ายไปด้วย แต่จะดียิ่งขึ้นไปอีกหากมีผลไม้ไว้กินล้างปาก และเพิ่มความอิ่มให้มื้อเช้าอีกสักหน่อย อย่างฝรั่ง หรือกล้วย ก็เป็นผลไม้โปรตีนสูง แคลอรีต่ำ


4. ไข่กระทะ + นม หรือน้ำเต้าหู้
อีกหนึ่งเมนูอาหารเช้าทำง่าย แต่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารมากมายจากไข่ไก่ หมูสับ และเครื่องที่ใส่ในไข่กระทะ แต่ถ้าใครกลัวจะไม่อิ่ม ก็ปิ้งขนมปังโฮลวีตมากินคู่กับไข่กระทะก็ได้ จิบกาแฟ นม หรือน้ำเต้าหู้แก้ฝืดคอสักหน่อย ก็ได้มื้อเช้าที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายแบบทริปเปิลเลยล่ะ

 
5. ไข่คน + ข้าวหรือขนมปังปิ้ง + นม หรือน้ำเต้าหู้
ไข่คนก็เป็นอาหารที่ทำง่าย อร่อย กินได้ไม่เบื่อ แถมยังราคาถูกอีกด้วย แต่ทั้งนี้เพื่อให้โปรตีนสูง แต่แคลอรีต่ำ ก็ควรเลือกเนื้อสัตว์เป็นเนื้อไม่ติดมัน ซึ่งใส่ได้ทั้งหมูสับ ไก่สับ ปลา หรือแม้แต่กุ้งก็น่าสนใจ กินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ หรือขนมปังปิ้งหอม ๆ แค่คิดก็ฟินแล้ว


6. ข้าวต้มปลา
อาหารเข้าแบบไทย ๆ อย่างข้าวต้มยังเป็นที่นิยม และเดี๋ยวนี้หากินได้ง่าย ๆ ในรูปอาหารแช่แข็งที่อุ่นร้อนแป๊บเดียวก็ได้กิน สามารถซื้อมาเก็บไว้แล้วอุ่นกินได้ไม่ยาก เหมาะมากสำหรับอาหารเช้าของคนที่ต้องรีบไปเรียน ไปทำงาน และเมนูนี้ต้องบอกว่าอิ่มอยู่ท้องแบบสบาย ๆ เพราะปลาเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย แถมยังให้โปรตีนและกรดไขมันดีกับร่างกายด้วย

 
7. อกไก่นุ่ม + ข้าว
เดี๋ยวนี้มีอกไก่นุ่มสำเร็จรูปวางจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อ และซื้อได้ง่ายขึ้นด้วยนะคะ ดังนั้นเช้าวันไหนที่คิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็หยิบอกไก่นุ่มมาอุ่น กินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ ตบท้ายด้วยผลไม้เพิ่มไฟเบอร์ให้ร่างกายอีกนิด ก็พร้อมสำหรับการออกไปใช้ชีวิตประจำวันแล้ว

 
8. เกี๊ยวอกไก่ หรือเกี๊ยวหมู
เมนูอิ่มเบา ๆ แต่โปรตีนหนักมากอย่างเกี๊ยวอกไก่  หรือเกี๊ยวหมู ไม่ได้ดีตรงที่อร่อย โปรตีนแน่นเท่านั้น แต่ยังทำง่ายด้วยแหละ แค่ห่อแผ่นเกี๊ยวกับอกไก่หรือหมูเก็บไว้ ตอนเช้าก็เอามาต้ม ใส่ผัก ปรุงรสอีกสักนิด หรือใครจะใช้วิธีนึ่งเกี๊ยวแทนก็ได้ เป็นอีกหนึ่งเมนูอร่อยยามเช้าที่น่าจะถูกใจคนทุกวัยเลยด้วย

 
9. สุกี้ไก่น้ำ
เนื้อไก่และไข่ไก่เป็นอาหารที่ให้โปรตีนคุณภาพดี และสำหรับคนที่อยากได้เมนูเบา ๆ แคลต่ำ มีผักเยอะ มีคาร์บดีอย่างวุ้นเส้น ก็จัดสุกี้น้ำเป็นมื้อเช้าเลยก็ได้ ที่สำคัญยังเป็นอาหารที่ทำเองได้ง่าย ๆ ด้วยเนอะ อ้อ ! แต่ถ้าใครกลัวไม่อิ่ม กินไข่ต้มเป็นเครื่องเคียงอีก 1 ฟองก็ได้นะ

 
10. ต้มเลือดหมู + ข้าว
เมนูนี้เราจะได้โปรตีนจากเนื้อหมู เครื่องในหมู เลือดหมู และตำลึงในต้มเลือดหมู นอกจากนี้ต้มเลือดหมูยังเป็นเมนูแคลอรีไม่มาก 1 ชาม จะได้พลังงานประมาณ 216 กิโลแคลอรี กินกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือข้าวกล้องก็จะได้ประโยชน์มากขึ้น

 
11. ผัดถั่วลันเตากุ้งใส่เต้าหู้และเห็ด + ข้าว
สายผักที่ไม่อยากเน้นเนื้อสัตว์ มารับโปรตีนจากถั่วลันเตาแทนก็ได้ค่ะ โดยเราขอแนะนำเป็นเมนูผัดถั่วลันเตากุ้งใส่เต้าหู้ ที่จะได้รับโปรตีนทั้งจากถั่วลันเตา เห็ดและเต้าหู้ กินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ ก็อิ่มอร่อยแบบสบาย ๆ เพราะเมนูนี้ย่อยง่าย แต่ถ้าอยากลดแคลอรีอีกสักนิดก็ใช้น้ำผัดแทนน้ำมัน หรือสเปรย์น้ำมันเบา ๆ ก็ได้นะคะ

 
12. เต้าหู้ทรงเครื่อง + ข้าว
เต้าหู้ทรงเครื่องเป็นอีกหรึ่งเมนูที่เหมาะจะกินเป็นมื้อเช้า เพราะเต้าหู้มีโปรตีนสูง แคลอรีต่ำ กินง่าย และอร่อย นอกจากนี้ในเต้าหู้ทรงเครื่องยังมีเครื่องทั้งเนื้อสัตว์และผักอย่างแครอต ข้าวโพดอ่อน หอมใหญ่ ซึ่งมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายทั้งนั้น ใครเบื่ออาหารเดิม ๆ จะลองกินเต้าหู้ทรงเครื่องเป็นมื้อเช้าสักวันก็ได้

 
13. เต้าหู้ตุ๋นเห็ด + ข้าว
เต้าหู้มีโปรตีนค่อนข้างสูง และถ้าเลือกกินเต้าหู้ขาวจะได้แคลเซียมเพิ่มด้วย ส่วนเห็ดก็เป็นผักที่มีโปรตีนสูงด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมนูนี้เราจะนำเห็ดหอม และเห็ดชนิดอื่น ๆ เช่น เห็ดออรินจิ เห็ดชิเมจิ มาตุ๋นในน้ำซุปที่ใส่ขิงลงไปต้มด้วย จากนั้นนำเต้าหู้ขาวไปจี่น้ำมันให้เหลืองน่ากิน พอน้ำตุ๋นเห็ดได้ที่แล้ว ก็นำมาราดลงบนเต้าหู้ขาวที่พักไว้ แค่นี้ก็จะได้เมนูอาหารเช้าที่อุดมไปด้วยโปรตีนและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำคัญยังย่อยง่าย เหมาะเป็นอาหารสำหรับผู้สูงวัยด้วย

 
14. ไข่พะโล้ใส่เต้าหู้ + ข้าว
เมนูยอดฮิตในร้านข้าวแกงอย่างพะโล้ก็มีโปรตีนสูงนะคะ จากไข่ไก่และเต้าหู้ที่อยู่ในพะโล้นั่นแหละ โดยหากสั่งจากร้าน จะขอแม่ค้าเพิ่มไข่ เพิ่มเต้าหู้ด้วยก็ได้ เพื่อปริมาณโปรตีนที่เพิ่มขึ้นจากปกติ และแน่นอนว่าอิ่มอร่อยแบบนี้เราจะไม่ค่อยหิวระหว่างวันง่าย ๆ ด้วย

 
15. ไก่ผัดขิง + ข้าว
นอกจากพะโล้แล้ว ไก่ผัดขิงยังเป็นเมนูที่เจอได้บ่อย ๆ ตามร้านข้าวแกงด้วยนะคะ ดังนั้นคนที่ไม่มีเวลาทำกับข้าวกินเอง ก็สามารถไปหาเมนูไก่ผัดขิงกินเป็นอาหารเช้าโปรตีนสูงได้ และขิงยังมีสรรพคุณช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นสมุนไพรที่น่าสนใจ แต่ถ้าอยากได้โปรตีนเน้น ๆ กว่านี้ แนะนำให้เสริมไข่ต้มอีกสักฟอง แค่นี้ก็อิ่มอยู่ท้องแล้ว

 
16. ผัดฟักทองใส่ไข่ + ข้าว
ฟักทองเป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง มีวิตามินเอสูง ไฟเบอร์ก็เยอะ ส่วนไข่ไก่ก็มีกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย มีโปรตีนสูง โดยถ้าผัดเองแนะนำให้ใส่ไข่ขาวลงไปเยอะ ๆ หรือเติมเนื้อสัตว์ไม่ติดมันลงไปเพิ่มโปรตีนและรสชาติก็ได้

 
17. ฟักทองนึ่ง ไข่ต้ม น้ำพริก +ข้าว
เตรียมเมนูน้ำพริกที่ชอบไว้ 1 ถ้วย จากนั้นนำฟักทองหรือผักอื่น ๆ มานึ่ง ต้มไข่สัก 2 ฟอง เสร็จแล้วกินคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ หรือจะกินกับข้าวไรซ์เบอร์รีก็ได้ เมนูนี้จะได้โปรตีนจากไข่ ได้สารอาหารหลายอย่างจากฟักทอง และน้ำพริก ที่สำคัญคืออิ่มแบบอร่อยถูกปากคนไทยอย่างเราแน่ ๆ

 
18. สลัดปลาแซลมอนย่าง
ถ้ามีปลาแซลมอนแช่แข็งอยู่ในตู้เย็น สามารถนำเข้าหม้อทอดไร้น้ำมัน หรือจะสเปรย์น้ำมันมะกอกแล้วจี่กับกระทะก็ได้เหมือนกัน กินปลาแซลมอนที่อุดมไปด้วยโปรตีน กรดไขมันโอเมก้า 3 ไอโอดีน คู่กับผักสลัดเพิ่มไฟเบอร์ให้ร่างกาย มื้อเช้านี้ก็อิ่มอยู่ท้องแบบสบาย ๆ แต่เฮลธ์ตี้จัดเต็ม

 
19. เส้นบุกผัดเนื้อสัตว์
จะผัดกับไก่ หรือเนื้อวัว เนื้อหมูก็ได้ แต่ให้เลือกเนื้อสันในซึ่งเป็นเนื้อที่ไขมันต่ำ โปรตีนสูง และนุ่ม ไม่เหนียว โดยเส้นบุกก็เป็นใยอาหารที่แทบจะไม่ให้พลังงาน แต่กินแล้วอิ่มอยู่ท้องแบบไม่อิ่มแน่น จัดเป็นเส้นที่คนลดน้ำหนักควรกินเลยทีเดียวค่ะ

 
20. โยเกิร์ตและผองเพื่อน
โยเกิร์ตเป็นอาหารโปรตีนสูง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านการย่อยอาหาร ช่วยในการขับถ่าย อีกทั้งโยเกิร์ตยังมีจุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย ยิ่งถ้ากินโยเกิร์ตกับผลไม้อย่างสตรอวเบอร์รี แอปเปิล แก้วมังกร อะโวคาโด เสาวรส ก็จะได้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มมา หรือจะเติมโปรตีนด้วยเมล็ดถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น อัลมอนด์ เมล็ดเจีย คีนัว ธัชพืชเหล่านี้ก็อุดมไปด้วยโปรตีนเช่นกัน

66
เครื่องมือจัดฟันเด็ก ภายนอกปาก ทำงานอย่างไร

การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ใช้แก้ไขปัญหาฟันในเด็ก ซึ่งโดยปกติแล้ว เด็กจะมีโอกาสฟันผุได้มาก เนื่องจากเด้กชอบรับประทานอาหารที่มีความหวาน เช่น ขนม ลูกอม หรือน้ำหวาน ที่เป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุในเด็ก ยิ่งถ้าเด็กไม่ใส่ใจในเรื่องของการความสะอาดช่องปากและฟัน ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้ง่าย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กๆให้มาก ควรปลูกฝังให้เด็กรู้จักรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้ป้องกันการเกิดปัญหาฟันผุ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับช่องปาก


นอกจากนี้ เด็กที่มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็น ชอบดูดขวดนม ชอบดูนิ้ว ก็มีผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคตได้ เพราะการที่เด็กมรพฤติกรรมดูดนิ้ว อาจจะส่งผลต่อรูปร่างของฟันได้ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่หมั่นสังเกตพฤติกรรมและหาวิธีทางแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวของลูก สำหรับการเข้ารับการจัดฟันในเด็กนั้น เด็กสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่ อายุ 4 ปี โดยไม่รอให้ฟันน้ำนมหลุดออกหมด ถ้าเป้นเด็กในวัย 4 ปี หรืออยู่ในช่วงที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้ไม่ดีนัก จะใช้วิธีการจัดฟันในเด็ก โดยใช้เครื่องมือ EF Line ในการรักษา เครื่องมือ EF Line ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาโครงสร้างของใบหน้า ช่วยปรับกล้ามเนื้อทำให้เด็กมีโครงสร้างของใบหน้าที่สวย และไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ในการจัดฟันในเด็ก ก็ยังมีเครื่องมือภายนอกปาก ซึ่งมีด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ๆ

ซึ่งวันนี้ทางคลินิก ของเราจะพามารู้จักกับเครื่องมือการจัดฟันในเด็ก ภายนอกปาก ซึ่งมีด้วยกัน 2 ประเภท และมีการทำงานที่แตกต่างกันออกไป นั่นก็คือ Headgear เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับเด็กที่มีปัญหาขากรรไกรบนยื่นมากผิดปกติ เมื่อเทียบกับขากรรไกรล่าง โดยจะใส่เครื่องมือที่เรียกว่า Headgear ที่ทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของขากรรไกรบน นั่นเอง ต่อมาอีกประเภทหนึ่งก็คือ Protection Face Mask ใช้สำหรับแก้ไขปัญหาขากรรไกรล่างยื่นมากผิดปกติ เมื่อเทียบกับขากรรไกรบน เป็นการดึงขากรรไกรบนมาข้างหน้า และยับยั้งการเจริญเติบโตของขากรรไกรล่าง โดยเครื่องมือจัดฟันภายนอกปากจะมุ่งเน้นแก้ไขโครงสร้างขากรรไกรของเด็กเป็นหลัก เนื่องจากเด็กจะต้องใส่ในขณะนอนหลับ เฉลี่ยประมาณ12-14 ชั่วโมงต่อคืน


ดังนั้น การใช้เครื่องมือดังกล่าว จึงต้องได้รับความร่วมมือจากเด็กค่อนข้างมาก แต่หากเป็นเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้จะมุ่งเน้นการแก้ไขการปรับแต่งขากรรไกรบ้างหรือแก้ไขความผิดปกติของฟัน ส่วนการจัดฟันที่ใช้เครื่องมือแบบถอดได้นั้น จะใช้ในกรณีที่ เด็กมีฟันล่างคร่อมฟันบน แต่ไม่มีปัญหาที่โครงสร้างของใบหน้า ก็จะใส่เครื่องมือถอดได้ในช่องปากเพื่อทำการผลักฟันล่างออกมากรณีที่ฟันบนยื่นมากๆ  จะใส่เครื่องมือที่หน้าตาคล้ายกับรีเทนเนอร์ เพื่อดันฟันหน้าบนให้เคลื่อนที่ไปด้านหลัง และมีตัวระนาบเอียง เพื่อกระตุ้นให้ขากรรไกรล่างมีการเคลื่อนที่มาข้างหน้านั่นเอง

ซึ่งการเลือกใช้เครื่องมือการจัดฟันในเด็ก ทันตแพทย์ก็จะเป้นพิจารณาว่า เด็กมีปัญหาในเรื่องใด และเหมาะสมที่จะใช้เครื่องมือการจัดฟันอย่างไร เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และมีประสิทธิภาพมากทที่สุด เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาวได้ เพื่อให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย และมีบุคลิกภาพที่มั่นใจด้วย ดังนั้น ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กจึงมีความสำคัญมาก อย่าคิดว่าเด็กกำลังมีฟันน้ำนมอยู่ รอให้โตจนฟันแท้ขึ้นครบจึงค่อยมาดูแล เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น ก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ เพราะฟันน้ำนมของเด็ก ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้โดยตรง พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะดูแลให้มากเป็นพิเศษ

สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก และมีประสบการณ์ทางด้านการจัดฟฟันมาอย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำแนะนำได้อย่างถูกต้อง ตามหลักวิชาการ เพราะเราอยากพ่อแม่ทุกคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่ลูกจะได้เติบโตไปเป้นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี



67
เคล็ดลับการสร้างรายได้ และหลักการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

การสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและเติบโตควบคู่ไปกับการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับและหลักการสำคัญที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้:

เคล็ดลับการสร้างรายได้:

เข้าใจคุณค่าที่คุณนำเสนอ:

สินค้า/บริการที่มีคุณภาพ: มุ่งเน้นการสร้างสรรค์สินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และมีคุณภาพที่เหนือกว่าหรือเทียบเท่าคู่แข่ง
แก้ปัญหาให้ลูกค้า: สินค้าหรือบริการที่ดีควรสามารถแก้ไขปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
สร้างประสบการณ์ที่ดี: มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า ตั้งแต่ก่อนซื้อ ระหว่างซื้อ และหลังการขาย


สร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์:

จุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร: ค้นหาหรือสร้างจุดเด่นที่ทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง และเป็นสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญ
นวัตกรรม: พัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป
แบรนด์ที่แข็งแกร่ง: สร้างแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจน น่าเชื่อถือ และสื่อถึงคุณค่าที่คุณนำเสนอ


ขยายฐานลูกค้า:

เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่: ทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณอย่างลึกซึ้ง และเลือกช่องทางที่เหมาะสมในการเข้าถึงพวกเขา
สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: สร้างความผูกพันและความภักดีกับลูกค้าปัจจุบัน และกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ
หาลูกค้าใหม่: ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ


เพิ่มมูลค่าและโอกาสในการขาย:

Upselling: เสนอสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูงกว่า หรือมีคุณสมบัติเพิ่มเติมให้กับลูกค้าที่กำลังจะซื้อ
Cross-selling: เสนอสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องหรือเสริมกับสิ่งที่ลูกค้ากำลังจะซื้อ
Bundle: จัดชุดสินค้าหรือบริการในราคาพิเศษ
Subscription/Membership: สร้างรายได้ประจำจากการสมัครสมาชิก


บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ:

ควบคุมค่าใช้จ่าย: ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และมองหาวิธีการลดต้นทุนในการผลิตหรือการดำเนินงาน
เพิ่มประสิทธิภาพ: ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้


สร้างแหล่งรายได้หลากหลาย:

ช่องทางการขายที่หลากหลาย: ขายผ่านหน้าร้าน, ออนไลน์, ตัวแทนจำหน่าย, หรือแพลตฟอร์มต่างๆ
ผลิตภัณฑ์/บริการที่หลากหลาย: นำเสนอสินค้าหรือบริการที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า


หลักการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ:

กำหนดเป้าหมายทางการตลาดที่ชัดเจน:

SMART Goals: ตั้งเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง (Specific), วัดผลได้ (Measurable), ทำได้จริง (Achievable), เกี่ยวข้อง (Relevant), และมีกรอบเวลาที่ชัดเจน (Time-bound)


เข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง:

Buyer Persona: สร้างตัวแทนลูกค้าในอุดมคติ เพื่อทำความเข้าใจความต้องการ, ความสนใจ, พฤติกรรม, และ Pain Points ของพวกเขา


เลือกช่องทางการตลาดที่เหมาะสม:

Online Marketing: โซเชียลมีเดีย, SEO, Content Marketing, Email Marketing, Paid Advertising, Influencer Marketing
Offline Marketing: การตลาดแบบดั้งเดิม เช่น โทรทัศน์, วิทยุ, สิ่งพิมพ์, กิจกรรมส่งเสริมการขาย


สร้างสรรค์เนื้อหาที่น่าสนใจและมีคุณค่า:

Content is King: สร้างเนื้อหาที่ดึงดูด, ให้ข้อมูล, สร้างความบันเทิง, และกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมกับแบรนด์


สร้างความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วม:

Community Building: สร้างชุมชนออนไลน์หรือออฟไลน์รอบแบรนด์ของคุณ
Engagement: กระตุ้นให้ลูกค้าแสดงความคิดเห็น, แชร์, และมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์


วัดผลและวิเคราะห์:

Key Performance Indicators (KPIs): กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญ และติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ
Data-Driven Marketing: ใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณ


ปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง:

ติดตามเทรนด์: อัปเดตความรู้และติดตามแนวโน้มทางการตลาดใหม่ๆ
ทดลองและเรียนรู้: กล้าที่จะทดลองกลยุทธ์ใหม่ๆ และเรียนรู้จากผลลัพธ์


ความสม่ำเสมอและความอดทน:

การตลาดที่มีประสิทธิภาพต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการดำเนินการ


สรุป:

การสร้างรายได้ที่ยั่งยืนมาจากการมีสินค้าหรือบริการที่ดี มีคุณค่า และตอบโจทย์ลูกค้า ควบคู่ไปกับการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเริ่มต้นจากการเข้าใจลูกค้า กำหนดเป้าหมาย เลือกช่องทางที่เหมาะสม สร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณค่า และวัดผลเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การผสมผสานทั้งสองส่วนนี้อย่างลงตัวจะนำไปสู่ความสำเร็จของธุรกิจในระยะยาวครับ

68
วัดซอยสามัคคีเหมาะชุดขาวปฏิบัติธรรม สัมผัสกับความสงบสุขของคำสอนของพุทธศาสนา

วัดซอยสามัคคีตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี วัดแห่งนี้มีบรรยากาศที่สงบเงียบและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณจึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการทำสมาธิใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดซอยสามัคคี สัมผัสกับความสงบสุขของคำสอนของพุทธศาสนา บรรยากาศอันเงียบสงบของวัดควบคู่ไปกับโปรแกรมปฏิบัติธรรมที่ครอบคลุม

สิ่งน่าสนใจภายในวัด:
อุโบสถ: เป็นอาคารทรงไทยขนาดกะทัดรัด หลังคาลดชั้น มีลวดลายปูนปั้นประดับอย่างสวยงาม ภายในประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ศาลาการเปรียญ: เป็นอาคารทรงไทยขนาดใหญ่ ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ภายในมีภาพเขียนฝาผนังที่เล่าเรื่องราวทางพุทธศาสนา
กุฏิสงฆ์: เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ เรียงรายอยู่รอบบริเวณวัด
ฌาปนสถาน: เป็นอาคารแบบปลอดมลภาวะ ใช้สำหรับประกอบพิธีฌาปนกิจศพ
ศาลาบำเพ็ญกุศล: มี 2 หลัง ใช้สำหรับประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล
หอไตร: เป็นอาคารทรงไทย ครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น ใช้สำหรับเก็บรักษาพระไตรปิฎก
ศาลาปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว: เป็นอาคารทรงไทยขนาดกว้างขวาง ใช้สำหรับปฏิบัติธรรม

กิจกรรม:
ไหว้พระ: ที่วัดซอยสามัคคีมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์หลายองค์ให้ผู้คนได้สักการะบูชา
ทำบุญ: ที่วัดมีการรับทำบุญต่างๆ เช่น บริจาคทาน สร้างกุศล
นั่งสมาธิ: ที่วัดมีศาลาปฏิบัติธรรมที่เงียบสงบ เหมาะสำหรับการนั่งสมาธิ
ฟังธรรมะ: ที่วัดมีการจัดกิจกรรมฟังธรรมะเป็นประจำ

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเงียบสงบ
วัดซอยสามัคคีเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน บริเวณวัดได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน มีทั้งต้นไม้เขียวขจี สระน้ำที่เงียบสงบ และโครงสร้างที่ออกแบบอย่างสวยงามซึ่งสะท้อนถึงสถาปัตยกรรมไทยดั้งเดิม สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบช่วยส่งเสริมให้เกิดความสงบและสันติ เหมาะสำหรับการทำสมาธิและการฝึกสติ

การปฏิบัติธรรม
วัดแห่งนี้มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ปฏิบัติธรรมที่มีประสบการณ์ กิจกรรมเหล่านี้ได้รับคำแนะนำจากพระภิกษุผู้ทรงความรู้ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับคำสอนของพุทธศาสนาและเทคนิคการทำสมาธิ ผู้เข้าร่วมสามารถนั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ และอภิปรายหลักธรรม

ค่ายปฏิบัติธรรม
สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์ที่เต็มอิ่มยิ่งขึ้น วัดซอยสามัคคีมีโปรแกรมปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้นให้เลือกตั้งแต่ไม่กี่วันไปจนถึงหลายสัปดาห์ โปรแกรมปฏิบัติธรรมเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้พัฒนาตนเองมากขึ้น โดยมีตารางการปฏิบัติธรรมที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ มีทั้งการทำสมาธิหลายครั้ง การบรรยายธรรม และช่วงเวลาส่วนตัวสำหรับการไตร่ตรอง โปรแกรมปฏิบัติธรรมได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมฝึกสติ สมาธิ และปัญญา

ชุมชนและการสนับสนุน
ชุมชนวัดแห่งนี้อบอุ่นและต้อนรับอย่างดี คอยให้การสนับสนุนแก่ผู้มาเยี่ยมชมทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่มากประสบการณ์หรือเพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรม คุณจะพบกับสภาพแวดล้อมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งคุณสามารถเชื่อมโยงกับผู้ที่มีความคิดเหมือนกันได้ พระภิกษุและฆราวาสที่วัดซอยสามัคคีพร้อมให้คำแนะนำและความช่วยเหลือเสมอ ทำให้การปฏิบัติธรรมของคุณมีความหมายและสนุกสนานยิ่งขึ้น

เยี่ยมชมวัดซอยสามัคคี
ผู้เยี่ยมชมควรแต่งกายสุภาพและสุภาพตามมารยาทของวัด วัดเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจพื้นที่ ทำกิจกรรมสมาธิ หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่เงียบสงบ วัดเป็นสถานที่ที่สามารถหาความสงบในใจ ทบทวนการเดินทางของชีวิต และเชื่อมโยงกับแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่าของจิตวิญญาณ

วิธีการเดินทาง
วัดซอยสามัคคีตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี จึงสามารถเดินทางมาจากกรุงเทพฯ และบริเวณใกล้เคียงได้สะดวก ระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถประจำทางและแท็กซี่ ส่วนผู้ที่ขับรถมาเอง มีที่จอดรถเพียงพอที่วัด

วัดซอยสามัคคีในจังหวัดปทุมธานีไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ที่แสวงหาการเติบโตทางจิตวิญญาณและความสงบภายในอีกด้วย บรรยากาศอันเงียบสงบของวัดควบคู่ไปกับโปรแกรมปฏิบัติธรรมที่ครอบคลุม ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการเจาะลึกความเข้าใจในคำสอนของพุทธศาสนาและการทำสมาธิ ไม่ว่าคุณจะมาเยี่ยมชมเป็นเวลาหนึ่งวันหรือเข้าร่วมการปฏิบัติธรรมแบบยาว วัดซอยสามัคคีจะมอบประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตที่จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและอิ่มเอมทางจิตวิญญาณ

69
คอนโดติดรถไฟฟ้า คัลเจอร์ ทองหล่อ (Culture Thonglor)
เริ่มต้น 6.19 ลบ.

คัลเจอร์ ทองหล่อ (Culture Thonglor)
คอนโดฯ แนวคิดใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยแนวคิดความยั่งยืน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สัมผัสไลฟ์สไตล์ที่ตอบทุกมิติชีวิตของคุณท่ามกลางสีสันและความมีชีวิตชีวาของย่านทองหล่อ ทำเลที่พรั่งพร้อมด้วยสถานที่แฮงค์เอาท์ทั้งกลางวันและกลางคืน เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า 250 เมตร ถึงสถานีทองหล่อ

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ             คัลเจอร์ ทองหล่อ (Culture Thonglor)
 เจ้าของโครงการ        อนันดาดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย             คัลเจอร์
 ราคา                     เริ่มต้น 6.19 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล           คอนโดย่านธุรกิจกลางเมือง, คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด         High Rise (9 ชั้นขึ้นไป)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี         สตูดิโอ, 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี            ตั้งแต่ 25.50 ถึง 51.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด            1 ไร่ 3 งาน 56 ตร.ว.
 จำนวนตึก               1 อาคาร
 จำนวนชั้น               36 ชั้น
 จำนวนห้อง              493 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด         200 คัน
 ค่าบำรุงส่วนกลาง       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           อื่นๆ (Video Call Booth, Live Studio), Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       วัฒนา
 ที่ตั้ง       ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:            ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานีหมอชิต - แบริ่ง(ทองหล่อ)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
เมเจอร์ซีนีพล็กซ์ สุขุมวิท
พาร์คเลน เอกมัย
เกทเวย์ เอกมัย
บิ๊กซี เอกมัย
เอ็มโพเรียม
เจ อเวนิว ทองหล่อ
เอ็มควอเทียร์
เดอะ คอมมอนส์
ดอง ดอง ดองกิ
เอ็มสเฟียร์
สวนเพลิน
เควิลเลจ
เทอร์มินอล 21
โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ
โรงเรียนนานาชาติเวลล์
โรงเรียนนานาชาติทรินิตี้
โรงเรียน ดิ อเมริกัน สคูล ออฟ แบงค็อก
โรงเรียนนานาชาติ เอกมัย
โรงเรียนทอสี
โรงพยาบาลสุขุมวิท
โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
โรงพยาบาลเทพธารินทร์
โรงพยาบาลคามิลเลี่ยน
โรงพยาบาลกรุงเทพ

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

70
โปรโมชั่นแท็บเล็ต: แอปเปิล APPLE iPad Pro13" (2024) (1TB) Wi-Fi+Cellular
84,900 บาท

แอปเปิล APPLE iPad Pro13" (2024) (1TB) Wi-Fi+Cellular
รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                แอปเปิล APPLE iPad Pro13" (2024) (1TB) Wi-Fi+Cellular
   ราคากลาง             84,900 บาท
   จำนวนซิม             1 ซิม
   สี                       Silver, Black

   ความถี่-เครือข่าย
2G ()
3G ()
4G ()
5G ()

   ขนาด-น้ำหนัก                 ยาว 215.5 x กว้าง 281.6 x หนา 5.1 มม., น้ำหนัก 582 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน-ROM   1000 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่                       N/A

ชนิดจอ
   ชนิดจอ                     Ultra XDR Retina OLED
   ขนาด-ความละเอียด      13 นิ้ว, 2,064 x 2,752 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด               กล้องหลัง (12 Mpx), กล้องหน้า (12 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                           -
ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)          Apple M4
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)             8 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก              -
   ระบบรับส่งข้อความ                   -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, WiFi, 4G, 5G

71
หมอออนไลน์: โรคผมร่วงหย่อมไม่ทราบสาเหตุ

ผมร่วงเป็นหย่อมไม่ทราบสาเหตุ หมายถึง อาการผมร่วงซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะที่ มีผมแหว่งเป็นหย่อม ๆ ซึ่งไม่มีสาเหตุชัดเจน คือ ตรวจแล้วไม่พบว่ามีสาเหตุใด ๆ (เช่น โรคเชื้อรา ซิฟิลิส การถอนผม รอยแผลเป็น หรือสาเหตุอื่น ๆ)

แต่มีโรคผมร่วงเป็นหย่อมอยู่ชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เรียกว่า โรคผมร่วงหย่อมไม่ทราบสาเหตุ (alopecia areata) เป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราว พบมากในวัยหนุ่มสาว พบน้อยในคนอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป ทั้งหญิงและชายมีโอกาสเป็นเท่า ๆ กัน ภาวะเครียดทางจิตใจอาจมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการได้

สาเหตุ

สันนิษฐานว่าเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (ออโตอิมมูน) คือ ร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานต่อรูขุมขน (hair follicles) ที่หนังศีรษะทำให้ผมหยุดงอก โดยที่ไม่ทราบชัดว่ามีสาเหตุอะไรที่กระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม ความเครียดทางจิตใจ

บางรายอาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคแอดดิสัน โรคด่างขาว โรคภูมิแพ้ (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน หวัดจากการแพ้ หืด) เป็นต้น


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการผมร่วงเฉพาะที่ ทำให้ผมแหว่งหายไปเป็นหย่อม ๆ มีลักษณะกลมหรือรี ขอบเขตชัดเจน ตรงกลางไม่มีเส้นผม แต่จะเห็นรูขน หนังศีรษะในบริเวณนั้นเป็นปกติทุกอย่าง ไม่แดง ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่เป็นเกล็ด หรือเป็นขุย ในระยะแรกจะพบเส้นผมหักโคนเรียงอยู่บริเวณขอบ ๆ บางรายอาจพบเส้นผมสีขาวขึ้นในบริเวณนั้น

ผู้ป่วยอาจมีผมร่วงเพียง 1-2 หย่อม จนถึงมากกว่า 10 หย่อม

ถ้าเป็นมาก อาจลุกลามจนทั่วศีรษะ จนไม่มีเส้นผมเหลืออยู่แล้วแม้แต่เส้นเดียว บางรายอาจมีอาการขนตาและขนคิ้วร่วงร่วมด้วย เรียกว่า ผมร่วงทั่วศีรษะ (alopecia totalis)

ผู้ป่วยส่วนมากจะหายได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจกินเวลาเป็นปีกว่าจะหาย (ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วยหายภายใน 1 ปี ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยจะมีผมขึ้นภายใน 5 ปี) บางรายเมื่อหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ บ่อยครั้ง ประมาณร้อยละ 40 ของผู้ป่วยจะกำเริบซ้ำอีกภายใน 5 ปี หรือไม่อาจมีคนอื่น ๆ ในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย (โดยที่ไม่ได้เป็นโรคติดต่อแต่อย่างใด)

ในรายที่พบร่วมกับโรคอื่น ๆ (เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคแอดดิสัน โรคด่างขาว โรคภูมิแพ้ เป็นต้น) ก็จะมีอาการของโรคเหล่านี้ร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ยกเว้นในรายที่มีโรคอื่นร่วมด้วย (เช่น ต่อมไทรอยด์อักเสบจากภูมิต้านตนเอง โรคแอดดิสัน โรคด่างขาว โรคภูมิแพ้ เป็นต้น) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเหล่านี้ตามมาได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ สิ่งตรวจพบ และการตรวจพิเศษ เช่น การตรวจเลือด การขูดหรือตัดชิ้นเนื้อของหนังศีรษะไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

ถ้าเป็นโรคผมร่วงหย่อมไม่ทราบสาเหตุ ก็ให้ใช้ครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ หรือครีมบีตาเมทาโซนชนิด 0.1% หรือทาด้วยขี้ผึ้งแอนทราลิน (anthralin) ชนิด 0.5% วันละครั้ง ถ้าไม่ได้ผลใน 1 เดือน ก็อาจฉีดยาสเตียรอยด์ (เช่น ไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์) เข้าใต้หนังในบริเวณที่เป็นทุก 2 สัปดาห์

ในรายที่เป็นรุนแรง (ผมร่วงทั้งศีรษะ) อาจต้องให้เพร็ดนิโซโลนชนิดกิน

ยาเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้ผมงอกเร็วขึ้น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการผมร่วงเป็นหย่อม ควรปรึกษาแพทย์ และดูแลรักษาตามคำแนะนำของแพทย์

หากต้องการใช้วิธีรักษานอกเหนือจากที่แพทย์แนะนำ ควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจว่าเป็นวิธีรักษาที่ได้ผลจริง และไม่สิ้นเปลืองเกินจำเป็น

หากมีอาการผมร่วงมาก หรือรู้สึกแลดูน่าเกลียด ให้ใส่ผมปลอม (วิก) จนกว่าจะหายดี


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้อาจมีลักษณะคล้ายโรคเชื้อราที่ศีรษะ ซึ่งสามารถตรวจให้แน่ชัด โดยการขูดเอาขุย ๆ ที่หนังศีรษะไปตรวจ ถ้าเป็นโรคเชื้อรา ก็จะพบเชื้อราที่เป็นต้นเหตุ

2. โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ ดังนั้นจึงไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะเกิดการแพร่โรคโดยการสัมผัสใกล้ชิด

3. โรคนี้ส่วนใหญ่จะหายได้เองโดยธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่ได้ให้การรักษา

การรักษาทางการแพทย์ด้วยการใช้สเตียรอยด์ทาหรือฉีด มีส่วนช่วยให้หายเร็วขึ้น

72
จัดฟันบางนา: อันตรายมาก ! โรคร้ายรุนแรงในช่องปาก สำหรับผู้สูบบุหรี่

หลายๆ ท่านก็น่าจะทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า การสูบบุหรี่ไม่มีประโยชน์อะไรแถมยังมีผลเสียโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายเป็นอย่างมาก ที่สำคัญไม่ใช่เพียงสุขภาพร่างกายเท่านั้นที่ถูกทำร้าย สุขภาพช่องปากก็จะถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน เพราะเป็นด่านหน้าในการรับสารพิษต่างๆจากควันบุหรี่

ซึ่งงานศึกษาวิจัยมากมายชี้ตรงกันว่าการสูบบุหรี่ส่งผลเสียโดยตรงต่อฟัน เหงือก และช่องปากได้มากมายหลายทาง ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เกิดกลิ่นปากเท่านั้น ยังทำลายต่อมรับรส รวมถึงผลกระทบเรื่องภูมิคุ้มกันต้านแบคทีเรียในช่องปากอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคเหงือกรุนแรงหรือโรคปริทันต์มากกว่าบุคคลที่ไม่สูบบุหรี่หลายเท่าตัว

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทราบถึงภัยอันตรายของการสูบบุหรี่ที่ส่งผลน่ากลัวต่อช่องปากอย่างรุนแรง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ช่องปากที่ได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่มีอะไรบ้าง ?

ในควันบุหรี่ประกอบไปด้วยสารเคมีอันตรายมากมาย เช่น คาร์บอนมอนอกซ์ไซด์ แอมโมเนีย ฟอร์มาลดีไฮด์ ไฮโดรเจนไซยาไนด์ และสารพิษอื่นๆอีกจำนวนมาก ซึ่งส่งผลโดยตรงกับสุขภาพช่องปากทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่างๆมากมายดังต่อไปนี้

– กลิ่นปากรุนแรง

– ฟันผุจากการเกาะติดของสารต่างๆ ในควันบุหรี่

– การศึกษาวิจัยได้พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีปัญหาในการตอบสนองกับการแปรงฟันและขัดฟันมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

– ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีสารเคมีต่างๆ ไปเกาะจับที่ผิวฟันทำให้ฟันมีสีออกเหลืองคล้ำ หรือน้ำตาลเข้ม

– เพิ่มการสะสมของคราบแบคทีเรียอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดหินปูนได้รวมเร็วและเยอะกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่

– ความสามารถในการรับรสลดน้อยลง

– ภูมิคุ้มกันต่อต้านแบคทีเรียในช่องปากลดลงมากกว่าปกติ

– มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคปริทันต์มากกว่าปกติ

– การรักษาหลังจากการถอนฟันเป็นไปได้ยาก

– มีโอกาสล้มเหลวในการทำรากฟันเทียมสูง

– การสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานลดอัตราการไหลเวียนของน้ำลายเป็นอย่างมาก

– ช่วยเพิ่มกรดในน้ำลายส่งผลให้มีโอกาสฟันผุได้ง่ายขึ้น

– การวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับเหงือกของผู้ที่สูบบุหรี่จะยากกว่าปกติ เนื่องจากไม่มีเลือดออก และสีของเหงือกไม่ชัดเจน จึงอาจจะเกิดการผิดพลาดในการวินิจฉัยของทันตแพทย์ได้สูงมาก

– เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งช่องปาก


เหตุใดการสูบบุหรี่จึงส่งผลให้เป็นโรคเหงือกร้ายแรง ?

จากงานศึกษาวิจัยได้พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกร้ายแรง หรือโรคปริทันต์ ได้มากกว่าปกติถึง 4 เท่า และหากว่ามีการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจะส่งผลให้เกิดการสูญเสียฟัน ฟันผุ และโรคอื่นๆในช่องปากอีกมากมาย เนื่องจากว่าการสูบบุหรี่นั้นจะลดออกซิเจนที่จำเป็นภายในช่องปากและการไหลเวียนของเลือดในส่วนต่างๆเช่น ฟันและเหงือกรวมถึงกระดูกโดยรอบ เมื่อขาดออกซิเจนการไหลเวียนของเลือดก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันแบคทีเรียตามธรรมชาติภายในช่องปากลดลงตามไปด้วย ซึ่งนี่เองคือต้นเหตุหลักของการเป็นโรคเหงือกและอื่นๆอีกมากมาย


วิธีสังเกตอาการโรคเหงือกรุนแรง ของผู้ที่สูบบุหรี่ ?

หากว่าท่านผู้อ่านกำลังสูบบุหรี่อยู่ สิ่งที่ควรทำคือการสังเกตสุขภาพโดยรวมของช่องปาก ต่อไปนี้ว่าเข้าข่ายเป็นโรคเหงือกรุนแรงหรือโรคปริทันต์หรือไม่

– มีกลิ่นปากต่อเนื่องยาวนาน

– มีเลือดออกตามไรฟันขณะแปรงฟันหรือรับประทานอาหาร ซึ่งต้องพยายามสังเกตเป็นพิเศษเพราะเนื่องจากว่าผู้ที่สูบบุหรี่จะมีเลือดออกตามไรฟันน้อยจนเกือบมองไม่เห็น

– เหงือกมีอาการบวมแดง สำหรับในผู้ที่สูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานจนเหงือกเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำอาจจะต้องทำการสังเกตอย่างต่อเนื่องเพราะจะสามารถมองเห็นเหงือกที่บวมแดงได้ยากกว่าปกติ

– มีอาการเจ็บปวดที่เหงือก ซึ่งถือได้ว่าเริ่มมีอาการอักเสบแล้วหากว่าอยู่ในขั้นนี้ บางทีหากท่านไม่มีอาการปวดแต่รู้สึกว่าเหงือกเริ่มมีอาการบวมแดงให้ลองกดเบาๆที่ส่วนเหงือกที่บวม อาจจะรู้สึกเล็กๆนั่นก็คือหนึ่งในอาการอักเสบรุนแรง

– เหงือกร่น วิธีนี้ต้องพยายามใช้การสังเกตอย่างต่อเนื่องว่าท่านเหงือกร่นหรือไม่โดยการส่องกระจกหากพบว่าฟันมีขนาดที่ยาวขึ้น แสดงว่าท่านกำลังอยู่ในภาวะเหงือกร่น

– สุดท้ายคือ ฟันโยกคลอน และหลุดออก

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็คืออันตรายที่เกิดขึ้นในช่องปากของผู้ที่สูบบุหรี่ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับสุขภาพร่างกายและช่องปาก ทางที่ดีที่สุดคือ เลิกสูบบุหรี่ เพื่อสุขภาพกายและช่องปากที่ดีของท่าน

73
การพิจารณา ข้อดี-ข้อเสีย ของท่อลมร้อน ก่อนเลือกใช้งานให้เหมาะสม

การพิจารณาข้อดีและข้อเสียของท่อลมร้อนก่อนการเลือกใช้งานให้เหมาะสมเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ระบบทำความร้อนมีประสิทธิภาพ, ปลอดภัย, และตรงตามความต้องการใช้งานจริง ต่อไปนี้คือข้อดีและข้อเสียหลักๆ ของท่อลมร้อน:

ข้อดีของท่อลมร้อน:

การกระจายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ: ระบบท่อลมสามารถกระจายลมร้อนไปยังพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอ ทำให้ทั่วถึงทั้งบริเวณที่ต้องการทำความร้อน
ความเร็วในการทำความร้อน: โดยทั่วไป ระบบท่อลมสามารถทำความร้อนในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วกว่าระบบทำความร้อนแบบอื่นๆ เช่น ระบบหม้อน้ำร้อน (radiator)
ความสามารถในการกรองอากาศ: ระบบท่อลมมักจะมีการติดตั้งตัวกรองอากาศ ซึ่งช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคารโดยการดักจับฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกต่างๆ
ความสามารถในการระบายอากาศ: ในบางระบบ ท่อลมสามารถใช้ร่วมกับระบบระบายอากาศ เพื่อนำอากาศเสียออกจากอาคารและนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้ามา
ความยืดหยุ่นในการออกแบบ: ระบบท่อลมสามารถออกแบบให้เข้ากับโครงสร้างอาคารต่างๆ ได้หลากหลายรูปแบบ
การบำรุงรักษาง่าย (โดยทั่วไป): เมื่อเทียบกับระบบทำความร้อนบางประเภท ระบบท่อลมมักมีการบำรุงรักษาที่ไม่ซับซ้อนมากนัก โดยหลักๆ คือการเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศและการตรวจสอบการรั่วซึม
อายุการใช้งานยาวนาน (ขึ้นอยู่กับวัสดุ): ท่อลมที่ทำจากวัสดุคุณภาพดี เช่น โลหะ (เหล็กชุบสังกะสี, สแตนเลส, อลูมิเนียม) มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน


ข้อเสียของท่อลมร้อน:

การสูญเสียความร้อน: หากท่อลมไม่ได้รับการหุ้มฉนวนอย่างดี จะมีการสูญเสียความร้อนระหว่างทาง ทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลงและสิ้นเปลืองพลังงาน
การรั่วไหลของอากาศ: หากรอยต่อของท่อลมไม่แน่นหนา อาจเกิดการรั่วไหลของลมร้อน ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและสิ้นเปลืองพลังงาน
การสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก: ภายในท่อลมอาจมีการสะสมของฝุ่นละออง, เชื้อรา, หรือแบคทีเรีย ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพอากาศภายในอาคารและจำเป็นต้องมีการทำความสะอาดเป็นระยะ
เสียงดัง: การทำงานของพัดลมและลมที่ไหลผ่านท่ออาจก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนได้ โดยเฉพาะหากการออกแบบหรือการติดตั้งไม่ดี
ใช้พื้นที่ในการติดตั้ง: ระบบท่อลม โดยเฉพาะระบบขนาดใหญ่อาจต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งพอสมควร ทั้งในส่วนของเพดาน ผนัง หรือพื้นที่อื่นๆ
ค่าติดตั้งเริ่มต้นสูง (สำหรับระบบที่ซับซ้อน): ระบบท่อลมที่มีการควบคุมอุณหภูมิแยกโซน หรือมีอุปกรณ์เพิ่มเติม อาจมีค่าติดตั้งเริ่มต้นที่สูงกว่าระบบทำความร้อนแบบอื่นๆ
การควบคุมอุณหภูมิเฉพาะจุดทำได้ยาก (สำหรับบางระบบ): ในระบบท่อเดี่ยว การควบคุมอุณหภูมิในแต่ละห้องแยกกันอาจทำได้ยาก


การพิจารณาเพื่อให้เลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสม:

ประเภทของอาคารและการใช้งาน: อาคารที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน, โรงงานอุตสาหกรรม, หรือโรงพยาบาล มีความต้องการระบบทำความร้อนที่แตกต่างกัน
ขนาดและเลย์เอาต์ของพื้นที่: ขนาดและลักษณะการจัดวางของห้องหรือพื้นที่ที่จะทำความร้อนมีผลต่อการออกแบบระบบท่อลม
ความต้องการในการควบคุมอุณหภูมิ: ต้องการควบคุมอุณหภูมิแบบรวม หรือต้องการควบคุมอุณหภูมิแยกในแต่ละห้อง/โซน
งบประมาณ: พิจารณาทั้งค่าติดตั้งเริ่มต้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ค่าพลังงาน, ค่าบำรุงรักษา) ในระยะยาว
คุณภาพอากาศ: หากคุณภาพอากาศเป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกระบบที่มีระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพและมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: เลือกท่อลมที่มีฉนวนที่ดีและระบบควบคุมที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน
ข้อจำกัดด้านพื้นที่ติดตั้ง: พิจารณาพื้นที่ที่มีอยู่สำหรับการติดตั้งท่อลมและอุปกรณ์ต่างๆ


สรุป:

การเลือกใช้ท่อลมร้อนควรพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียต่างๆ อย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความต้องการใช้งาน, งบประมาณ, และลักษณะของอาคาร การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ HVAC จะช่วยให้คุณสามารถเลือกระบบท่อลมร้อนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการใช้งานของคุณ

74
บริการด้านอาหาร: ข้าวผัดสับปะรด คุณค่าทางสารอาหารเต็มๆ
 
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณภาพ สามารถช่วยป้องกันโรคได้ หรือที่เราเรียกว่า “อาหารบำบัด” แต่ในขณะเดียวกันหากรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ จะก่อให้เกิดโรคตามมาได้ จะเห็นได้ว่า คนไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไต โรคหัวใจ ซึ่งโรคดังกล่าว ล้วนมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิด และรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ดังนั้น หากเรารับประทานอาหารให้ถูกต้องและมีประโยชน์ ก็จะช่วยป้องกันโรคได้และยังรักษาโรคได้อีกด้วย นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่รักสุขภาพที่ใส่ใจในเรื่องของอาหารที่จะรับประทานเข้าไปในแต่ละวัน บางคนมีการนับจำนวนแคลอรี่ บางคนใช้วิธีการปรุงอาหารด้วยตนเอง เพื่อให้ได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
บางคนเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารคลีนต่างๆ เพื่อแลกกับการมีสุขภาพร่างกายที่ดี ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเมนูอาหารที่ทำมาจากผลไม้อย่างสับปะรด ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน โดยเมนูดังกล่าวนั่นก็คือ ข้าวผัดสับปะรด เป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางสารอาหาร แถมยังเป็นเมนูอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายได้ด้วย
 
สำหรับวัตถุดิบในเมนูนี้ก็คือ ไข่เป็ด น้ำมันพืช เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นบาง กุ้งสด กระเทียมสับ ข้าวหอมมะลิหุงสุก หอมใหญ่หั่นเต๋า ถั่วลันเตาและแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก เนื้อสับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ซอสปรุงอาหาร ผงกะหรี่ ลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสุก ต้นหอมและผักชีซอย และแตงกวา โดยขั้นตอนก็เริ่มจากการทำซอสปรุงอาหาร โดยการใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย

นำขึ้นตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนเดือดแล้วลดไฟลง ใช้ไฟอ่อนเคี่ยวต่ออีกประมาณ 5 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้จนเย็น ต่อมาก็มาถึงวิธีการทำข้าวผัด โดยใส่น้ำมันพืชลงในกระทะนำขึ้นตั้งไฟ พอร้อนใส่ไข่เป็ดลงไปตีพอแตก ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดจนสุก ตามด้วยกุ้ง พอกุ้งเริ่มเปลี่ยนสีให้ใส่กระเทียมลงไปผัดจนเข้ากันอีกครั้ง ใส่ข้าว หอมใหญ่ ผงกระหรี่ ถั่ว แครอท และสับปะรด ใช้ไฟแรงผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันและข้าวไม่เป็นก้อน

ปรุงรสด้วยซอสปรุงอาหารที่เราทำเตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน ใส่ลูกเกดและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปผัดให้เข้ากันอีกครั้ง โรยด้วยต้นหอมซอย ผักชีซอยและแตงกวา เพียงเท่านี้เราก็จะได้เมนูเพื่อสุขภาพที่รสชาติอร่อย และยังได้ประโยชน์เต็มๆคำจากสับปะรด เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ

จำนวนมาก ซึ่งได้แก่ คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสีเป็นต้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย


ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยลดคอแห้ง แก้กระหายน้ำ ช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง ลดเนื้อเยื่อแผลอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ นอกจากนี้ สับปะรด ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยจัดการกับโปรตีนที่เรียกว่า บรอมีเลน ซึ่งพบได้ในแกนและเหง้าของสับปะรดนั่นเอง คุณสมบัติพิเศษของสารชนิดนี้ก็คือ ช่วยสลายลิ่มเลือดและสมานแผล ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และที่สำคัญที่สุดช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างดีเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยบำรุงร่างกาย และป้องกันการเกิดโรคต่างๆแล้ว ยังเป้นเมนูอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และยังช่วยลดน้ำหนักให้กับสาวๆได้อีกด้วย ถือว่าเป็นเมนูที่มีสารพัดประโยชน์เลยทีเดียว
 
อย่างไรก็ตาม หลักการรับประทานอาหารที่ดี ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทางเราเน้นย้ำมาตลอดในเรื่องของวิธีการรับประทานอาหารให้ได้ประดยชน์มากที่สุด เพราะนอกจากร่างกายจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถช่วยบำบัดโรค บำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือเราต้องหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง และดื่มน้ำให้มากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้สดชื่น สามารถรับมือกับชีวิตในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่

75
หมอออนไลน์: งูกัด (Snakebites)

ในบ้านเรา พบผู้ป่วยที่ถูกงูกัดได้ค่อนข้างบ่อย และในปีหนึ่ง ๆ มีผู้ที่เสียชีวิตจากการถูกงูกัดอยู่พอประมาณ

ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 10-39 ปี ถูกงูกัดมากกว่าช่วงอายุอื่น และผู้ชายจะถูกงูกัดมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า ยกเว้นงูเขียวหางไหม้ ที่ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสถูกกัดเท่า ๆ กัน

ช่วงเวลาที่พบผู้ป่วยที่ถูกงูกัดชุกชุม มักเป็นฤดูฝน (ตั้งแต่พฤษภาคมจนถึงพฤศจิกายน)

สำหรับผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด พบว่าเกิดจากถูกงูกะปะกัดมากเป็นอันดับหนึ่ง (พบมากทางภาคใต้) รองลงมา ได้แก่ งูเขียวหางไหม้ (พบมากทางภาคกลาง) และงูเห่า (พบมากทางภาคกลาง) ตามลำดับ

ความเเตกต่างระหว่างงูพิษ กับงูไม่มีพิษ

งูพิษ มีเขี้ยว (fang) 1 คู่ อยู่ตรงขากรรไกรบน เขี้ยวมีลักษณะเป็นรูกลวงคล้ายเข็มฉีดยา มีท่อติดต่อกับต่อมน้ำพิษ เมื่องูพิษกัดคนหรือสัตว์ ต่อมน้ำพิษจะปล่อยพิษไหลมาตามท่อ และออกทางปลายเขี้ยว คนที่ถูกงูพิษกัดจะพบรอยเขี้ยวเป็นจุด 2 จุด ตรงบริเวณที่ถูกกัด

งูไม่มีพิษ จะไม่มีเขี้ยว มีแต่ฟัน เมื่อกัดคนจะเป็นแต่รอยถลอกหรือรอยถากเท่านั้น จะไม่พบรอยเขี้ยว

งูไม่มีพิษ เช่น งูก้นขบ งูแสงอาทิตย์ งูปี่แก้ว งูเขียวปากจิ้งจก งูลายสาบ งูลายสอ งูงอด งูเหลือม และงูหลาม (2 ชนิดหลังตัวใหญ่ สามารถรัดลำตัวทำให้ตายได้)


ชนิดของงูพิษ

งูพิษ 7 ชนิด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของพิษ ได้แก่

1. งูที่มีพิษต่อประสาท (neurotoxin) ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต

2. งูที่มีพิษต่อเลือด (hemotoxin) ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ ทำให้เลือดออกตามส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เพราะพิษของมันทำให้เลือดไม่แข็งตัว

3. งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ (myotoxin) ได้แก่ งูทะเล ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบและกล้ามเนื้อตาย

ส่วนงูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา จะมีพิษต่อประสาทและเลือด แต่จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูเห่า


สาเหตุ

เกิดจากถูกงูพิษฉกกัดด้วยเหตุบังเอิญ ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่บริเวณที่รก กองไม้ พงหญ้า ดงไม้ ซอกหิน ในบริเวณบ้าน ทุ่งหญ้า ท้องนา ไร่สวน ป่าเขาที่มีงูซุกซ่อนอยู่

อาการ

อาการงูพิษกัด แบ่งเป็นอาการเฉพาะที่ กับอาการทั่วไป

1. อาการเฉพาะที่

แผลที่ถูกงูพิษกัด จะมีลักษณะแตกต่างไปจากงูไม่มีพิษกัด คือ จะพบรอยเขี้ยว 2 รอย เห็นเป็นจุดหรือขีดเล็ก ๆ และมีอาการปวดกับบวมในบริเวณที่ถูกกัด บางครั้งมีเลือดออกซิบ ๆ ต่อมากลายเป็นสีเขียวคล้ำ มีตุ่มพอง ทิ้งไว้จะแตกออก และกลายเป็นแผลเน่า อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)

ส่วนงูไม่มีพิษกัดจะไม่พบรอยเขี้ยว อาจเห็นเพียงรอยถากหรือรอยถลอก

สำหรับงูที่มีพิษต่อเลือดกัด อาการบวมจะเกิดขึ้นรวดเร็วภายใน 15-20 นาที และมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกจากรอยเขี้ยวไม่หยุด อาการบวมจะลุกลามมากขึ้น

ส่วนงูเห่ากัด จะมีอาการปวดพอทน อาการปวดค่อยเพิ่มมากขึ้นและแผ่ซ่านไป และจะมีอาการบวมบริเวณที่ถูกกัดเล็กน้อยภายหลัง 1 ชั่วโมง

ส่วนงูทะเลและงูสามเหลี่ยมกัด มักไม่ค่อยมีอาการปวดบวม


2. อาการทั่วไป

พบได้ประมาณร้อยละ 25-50 ของผู้ที่ถูกงูพิษกัด

มักจะเกิดขึ้นภายใน 1/2-3 ชั่วโมงหลังถูกกัด ในรายที่มีอาการเกิดขึ้นเร็ว ก็แสดงว่าได้รับพิษมาก และอาการจะรุนแรงมากด้วย แต่ถ้าไม่มีอาการเกิดขึ้นหลัง 3 ชั่วโมงไปแล้ว ก็แสดงว่าได้รับพิษน้อยและไม่ค่อยรุนแรง

งูที่มีพิษต่อประสาท เช่น งูเห่ากัด เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการซึม ง่วงนอน หนังตาตก (ตาปรือ ลืมตาไม่ขึ้น) ต่อมาแขนขาจะอ่อนแรง ตาหรี่ลง กระวนกระวาย ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ พูดอ้อแอ้ คอตั้งตรงไม่ได้ น้ำลายฟูม หายใจลำบาก เพราะกล้ามเนื้อช่วยการหายใจเป็นอัมพาต ขั้นสุดท้ายจะหยุดหายใจ หมดสติและหัวใจหยุดเต้น ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังถูกกัด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือได้ทันท่วงที

งูจงอาง ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการเหมือนงูเห่ากัดทุกอย่าง แต่รุนแรงกว่ากันมาก เนื่องจากมีปริมาณพิษมาก ผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา ก็แสดงอาการคล้ายงูเห่า ต่อมาจะมีอาการเลือดออกตามที่ต่าง ๆ โดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบผู้ป่วยที่ถูกงูชนิดนี้กัด

งูที่มีพิษต่อเลือด ตัวที่มีพิษรุนแรงที่สุด ได้แก่ งูแมวเซา เริ่มแรกจะมีเลือดออกเป็นจ้ำ ๆ ตามผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเลือดปนเสมหะออกมา ต่อมาจะมีอาการอาเจียน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ ผู้ป่วยมักจะไม่เสียชีวิตในเวลาอันสั้น ๆ เหมือนงูเห่ากัด แต่จะค่อย ๆ เสียเลือดจนเกิดภาวะช็อก ในรายที่ได้รับพิษรุนแรง และได้รับการรักษาช้าไป อาจเสียชีวิตภายใน 1-3 วัน ในบางรายถึงแม้อาการทางเลือดจะหายไปแล้ว ก็อาจเสียชีวิตเนื่องจากเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย) เนื่องจากพิษงูทำให้ไตเสีย ซึ่งมักจะเกิดหลังถูกกัด 3-4 สัปดาห์

งูกะปะ จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูแมวเซากัด แต่รุนแรงน้อยกว่า อาจเสียชีวิตจากการเสียเลือดแต่ไม่เกิดภาวะไตวาย มักเกิดอาการเฉพาะที่ค่อนข้างรุนแรง คือ บริเวณที่ถูกกัดจะกลายเป็นแผลเนื้อตาย (necrosis) จนบางครั้งจะต้องตัดนิ้วหรือแขนขา

งูเขียวหางไหม้ จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูแมวเซากัด แต่มักมีอาการไม่รุนแรง ส่วนใหญ่จะพบว่าบริเวณที่ถูกกัดปวดบวมอย่างมาก อาการปวดจะหายภายใน 5-6 ชั่วโมง แผลจะบวมอยู่ 3-4 วัน ในรายที่ไม่รุนแรงจะหายภายใน 5-7 วัน แต่ในรายที่รุนแรงอาการบวมจะลุกลามมาก และผิวหนังพองขึ้นมีเลือดขังอยู่ ถ้าส่วนที่พองนี้แตก จะมีน้ำเหลืองปนเลือดออกไม่หยุดจนช็อก

แม้ว่าอาการจะหายดีแล้ว แต่การแข็งตัวของเลือดผิดปกติอยู่นาน 2-4 เดือน ดังนั้นถ้าผู้ป่วยต้องรับการผ่าตัดหรือคลอดบุตร ควรระวังการตกเลือด

งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล ผู้ป่วยมักถูกกัดในน้ำแถบปากอ่าวหรือขณะเก็บอวน รอยเขี้ยวห่างกันเล็กน้อย และไม่มีอาการปวดบวมแต่อย่างใด 1-2 ชั่วโมงต่อมาจะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามแขนขา คอและลำตัว ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งปวด 8 ชั่วโมงต่อมาจะมีอาการปวดมากขึ้น แขนขาเป็นอัมพาต อ้าปากไม่ได้ หนังตาตก และปัสสาวะออกเป็นสีดำ ผู้ป่วยมักเสียชีวิตภายในเวลา 14-16 ชั่วโมงหลังถูกกัด ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะไตวายเนื่องจากพิษของงูทำให้ไตเสีย

สำหรับผู้ป่วยถูกงูทะเลกัด ขณะนี้ในบ้านเรายังไม่มีการผลิตเซรุ่มแก้พิษงูทะเลขึ้นใช้ จึงได้แต่ให้การรักษาตามอาการ ถ้ารอดไปได้ประมาณ 6 เดือน อาการอัมพาตและอาการอื่น ๆ ก็จะค่อย ๆ หายไป


ภาวะแทรกซ้อน

กล้ามเนื้อช่วยหายใจเป็นอัมพาต หยุดหายใจ เลือดออก ไตวาย หรือแผลเนื้อตาย ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของพิษงู

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และ การตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยอาศัยข้อมูล ได้แก่

    สถานที่ที่ถูกกัดและอาชีพของผู้ป่วย ถ้าเป็นชาวนาในภาคกลางถูกกัดในท้องนา มักมีสาเหตุจากงูเห่าหรืองูแมวเซากัดมากกว่างูพิษชนิดอื่น ชาวประมงถูกกัดในทะเล มักมีสาเหตุจากงูทะเล ถ้าถูกกัดในบริเวณบ้านก็มักจะมีสาเหตุจากงูเขียวหางไหม้

    ลักษณะของงูพิษ ถ้านำตัวงูมาด้วย หรือผู้ป่วยสามารถบอกถึงลักษณะของงูได้แน่ชัด ก็จะช่วยวินิจฉัยชนิดของงูเเละพิษที่ผู้ป่วยได้รับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่ทราบชนิดของงู ก็ต้องตรวจดูงูที่นำมานั้นว่ามีเขี้ยวพิษหรือไม่

    รอยเขี้ยว ผู้ที่ถูกงูพิษกัดจะต้องตรวจพบรอยเขี้ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีใครบอกได้ว่างูที่กัดนั้นเป็นงูอะไร (หรือรูปร่างอย่างไร) และไม่ได้นำตัวงูมาด้วย การตรวจพบรอยเขี้ยวจะเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่าเป็นงูพิษกัด

    อาการเเสดง ทั้งอาการเฉพาะที่และอาการทั่วไป จะช่วยบอกถึงชนิดของงูพิษ เช่น ถ้ามีหนังตาตกหรือหยุดหายใจ ก็น่าจะสงสัยงูเห่ากัด ถ้าปวดบวมแผลมากและมีอาการเลือดออก ก็น่าจะสงสัยงูในกลุ่มพิษต่อเลือด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งงูแมวเซา) ถ้าปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก และปัสสาวะเป็นสีดำ ก็ช่วยบ่งบอกว่าถูกงูทะเลกัด ถ้ามีอาการปวดบวมตรงบริเวณที่ถูกกัดอย่างมาก โดยไม่มีอาการทางระบบประสาทหรือมีเลือดออก น่าจะเกิดจากพิษงูเขียวหางไหม้ เป็นต้น

    การทดสอบระยะเวลาการจับตัวเป็นลิ่มเลือด (coagulation time) เป็นวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำตามสถานพยาบาลทั่วไป โดยเจาะเลือดผู้ป่วย 3-5 มล. ใส่ในหลอดแก้ว (ที่ล้างสะอาดและแห้งสนิท) ตั้งทิ้งไว้ในห้องตรวจ (ในอุณหภูมิห้อง) เป็นเวลา 20 นาที โดยไม่เขย่าหลอดแก้ว ถ้าเลือดในหลอดแก้วไม่กลายเป็นลิ่ม ก็บ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากกลุ่มงูพิษต่อเลือดมากกว่างูเห่า


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทำความสะอาดบาดแผล แล้วตรวจดูรอยเขี้ยวและลักษณะแผลที่ถูกงูกัด ว่าเข้าลักษณะของแผลงูพิษหรืองูไม่มีพิษ หรือสัตว์อื่นกัด

2. ถ้าพบลักษณะอาการบ่งบอกหรือสงสัยว่าเป็นงูพิษกัด แพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น น้ำเกลือ เซรุ่มแก้พิษงู เครื่องช่วยหายใจ อะดรีนาลิน สเตียรอยด์ และยาแก้แพ้ไว้ให้พร้อม และมีแนวทางการรักษา ดังนี้

2.1 รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ด้วยการบันทึกสัญญาณชีพ (ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ) ทุกชั่วโมง และดูว่ามีอาการทางประสาท เช่น หนังตาตก (สำหรับกลุ่มพิษต่อประสาท) เลือดออกหรือการทดสอบระยะเวลาการจับตัวเป็นลิ่มเลือด นานเกิน 20 นาที (สำหรับกลุ่มพิษต่อเลือด) หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและปัสสาวะดำ (สำหรับงูทะเล) หรือไม่ ควรสังเกตอาการเป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หากพ้น 12 ชั่วโมงแล้วยังไม่มีอาการพิษต่อระบบทั่วไปเกิดขึ้น ก็สามารถให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลได้ภายหลังจากการรักษาบาดแผล

2.2 ถ้าผู้ป่วยมีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ทำการรักษา ดังนี้

(1) ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำทันที เพื่อใช้เป็นทางฉีดเซรุ่มแก้พิษงูได้สะดวก

(2) ให้เซรุ่มแก้พิษงู (antivenom) เฉพาะสำหรับงูชนิดนั้น ๆ

ในกรณีที่ไม่ทราบว่าถูกงูพิษชนิดใดกัด ก็ต้องอาศัยอาการของผู้ป่วยเป็นหลักในการตัดสินใจ ถ้าผู้ป่วยมีอาการทางประสาท ก็ให้เซรุ่มแก้พิษงูเห่า ถ้ามีอาการเลือดออก ก็ให้เซรุ่มแก้พิษงูแมวเซา เป็นต้น

เซรุ่มแก้พิษงู ควรให้ต่อเมื่อมีอาการพิษต่อระบบทั่วไปเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีเพียงอาการเฉพาะที่ก็ไม่ต้องให้ ยกเว้นในกรณีที่มีอาการเฉพาะที่รุนแรง เช่น บวมเร็ว และบวมมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขนหรือขาที่ถูกกัด

การให้เซรุ่มแก้พิษงู สามารถให้แก่ผู้ป่วยทุกรายที่มีข้อบ่งชี้ว่าได้รับพิษรุนแรง ไม่ว่าจะถูกกัดมานานเท่าใดก็ตาม

ในกรณีถูกงูที่มีพิษต่อประสาทกัด แล้วเริ่มเกิดอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อ หรือในกรณีที่ไม่มีเซรุ่มแก้พิษงูกลุ่มนี้ อาจให้ยากลุ่มแอนติโคลินแอสเตอเรส (anti-cholinesterase) ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ ซึ่งใช้ได้ผลดีในการรักษาพิษงูเห่า และงูทับสมิงคลา

(3) ให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น

    ใช้เครื่องช่วยหายใจ ในรายที่หยุดหายใจ (เช่น ถูกงูเห่า หรืองูทะเลกัด)
    ให้เลือด ถ้ามีเลือดออกรุนแรง (เช่น ถูกงูแมวเซากัด)
    ในรายที่มีภาวะไตวายเฉียบพลัน (มักเกิดจากงูทะเล หรืองูแมวเซากัด) ต้องรักษาด้วยการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis) โดยมากภาวะนี้จะเป็นอยู่นาน 2-10 วัน

(4) ในรายที่มีเพียงอาการเฉพาะที่ ยังไม่มีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้เซรุ่มแก้พิษงู (ยกเว้นในรายที่มีแผลบวมเร็ว และบวมมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขนหรือขาที่ถูกกัด จะให้เซรุ่มแก้พิษงูแบบเดียวกับในรายที่มีอาการทั่วไป) และให้การรักษาตามอาการ เช่น

    ให้ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากงูที่มีพิษต่อเลือดกัด เพราะถ้าใช้แอสไพรินอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
    จัดแขนขาส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ จะช่วยลดอาการปวดและอาการบวมให้น้อยลงได้ เช่น ถ้าถูกกัดที่เท้า ให้นอนราบและใช้หมอนรองเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจ ถ้าถูกกัดที่มือ ให้ใช้ผ้าคล้องมือไว้กับคอ เป็นต้น
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เมื่อพ้น 12 ชั่วโมงไปแล้วยังไม่มีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ก็แสดงว่าได้รับพิษไม่รุนแรง สามารถให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้

2.4 การรักษาบาดแผล ให้การดูแลรักษาแบบบาดแผลทั่ว ๆ ไป คือ

    ให้ยาป้องกันบาดทะยัก เนื่องจากเคยมีรายงานผู้ป่วยถูกงูกัดที่ดูแลแผลไม่ถูกต้องจนกลายเป็นบาดทะยักมาแล้ว
    บาดแผลที่เกิดจากงูกัด บางครั้งอาจกลายเป็นแผลเนื้อตาย (necrosis) เนื่องจากพิษงู (พบมากในงูกะปะและงูเห่า) ถ้าแผลลุกลามเป็นวงกว้าง อาจต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)


การดูแลตนเอง

หากสงสัยถูกงูพิษกัด ควรทำการปฐมพยาบาล แล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว อย่าเสียเวลาลองรักษาเอง หรือรอสังเกตอาการ เนื่องจากหากมีอาการเกิดขึ้นแล้วค่อยไปพบแพทย์อาจได้รับการรักษาไม่ทันการ

เมื่อได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ ควรรับการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีข้อสงสัยควรถามและขอคำแนะนำจากแพทย์ให้กระจ่าง


การปฐมพยาบาล
เมื่อถูกงูพิษหรือสงสัยว่าเป็นงูพิษกัด ผู้ป่วยควรตั้งสติ ลดความตื่นเต้นตกใจ ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด อย่ารีรอจนพิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก หรือรอให้มีอาการเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

    ทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น แอลกอฮอล์, โพวิโดนไอโอดีน) ถ้ารู้สึกปวดแผลให้กินพาราเซตามอล ห้ามให้แอสไพรินเพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
    พยายามเคลื่อนไหวแขนหรือขาส่วนที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ควรจัดตำแหน่งของส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ (เช่น ห้อยเท้าหรือมือส่วนที่ถูกงูกัดลงต่ำ) ระหว่างเดินทางไปยังสถานพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยเดิน ควรให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนในรถหรือแคร่หาม ทั้งนี้เพื่อชะลอไม่ให้พิษงูแล่นเข้าหัวใจ
    ควรดูให้รู้แน่ว่าเป็นงูอะไร แต่ถ้าไม่แน่ใจควรรีบถ่ายภาพงูไว้ หรือบอกให้คนอื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุช่วยตีงูให้ตายและนำไปยังสถานพยาบาลด้วย  (อย่าตีให้เละจนจำลักษณะไม่ได้) แต่ถ้างูหลบหายไปก็ไม่ควรเสียเวลาในการตามหา
    ถอดเครื่องประดับ (เช่น แหวน กำไล) ออกจากปลายแขนหรือขาที่ถูกงูกัด หากปล่อยไว้จนมีอาการบวมแล้วจะถอดได้ยาก หรือทำให้เกิดอันตรายได้
    อย่าทำการขันชะเนาะหรือใช้เชือกหรือยางรัดเหนือบาดแผล เพื่อป้องกันพิษแล่นเข้าหัวใจตามความเชื่อเดิม เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว หากรัดแน่นและนานเกินไปอาจทำให้แขนหรือขาข้างที่รัดนั้นขาดเลือดไปเลี้ยงเกิดเนื้อตายได้
    อย่าพยายามบีบเลือด รีดหรือดูดพิษออกจากบาดแผล เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้วยังอาจทำให้แผลอักเสบได้
    อย่าใช้ไฟ บุหรี่ ธูป หรือเหล็กร้อน จี้ที่แผลงูกัด และอย่าใช้มีดกรีดแผลเป็นอันขาดเพราะอาจทำให้เลือดออกมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกงูที่มีพิษต่อเลือดกัด เช่น งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้) หรืออาจตัดถูกเส้นเอ็นหรือเส้นประสาท รวมทั้งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
    อย่าให้ผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาดองเหล้า หรือกินยากระตุ้นประสาท รวมทั้งชา กาแฟ
    ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการหยุดหายใจ (จากงูที่มีพิษต่อประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม) ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจไปตลอดทางจนกว่าจะถึงสถานพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด


การป้องกัน

การป้องกันอาจทำได้ดังนี้

1. ควรใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ เมื่อจะเข้าไปในป่า สวนยางพารา สวนผลไม้ หรือที่รก

2. เวลาเดินทางผ่านท้องนา หรือทุ่งหญ้าในเวลากลางคืน ควรใช้ไม้หวดนำไปก่อน เพื่อไล่ให้งูหนีไป

3. เวลานั่งตามโคนไม้หรือขอนไม้ ควรสังเกตให้ทั่วเสียก่อนว่าไม่มีงูอยู่

4. ไม่ควรกางกระโจมนอนใกล้ก้อนหินหรือกองไม้ที่น่าสงสัยว่ามีงูอาศัยอยู่

5. ไม่ควรล้วงมือเข้าไปตามซอกหิน โพรงไม้หรือใต้แผ่นไม้ เพราะอาจมีงูซ่อนอยู่


ข้อแนะนำ

1. เมื่อถูกงูกัด ควรดูว่าเป็นงูอะไร หรือรีบถ่ายภาพงูไว้ เพื่อนำไปให้แพทย์ดู และรีบทำการปฐมพยาบาลที่ได้ผลและปลอดภัยตามขั้นตอนที่แพทย์แนะนำในปัจจุบัน ไม่ควรทำตามความเชื่อหรือสิ่งที่เคยแนะนำไว้แต่เดิมที (เช่น การขันชะเนาะหรือใช้เชือกหรือยางรัดเหนือบาดแผล การใช้ปากดูดพิษจากแผลงูกัด ใช้ไฟ บุหรี่ ธูป หรือเหล็กร้อนจี้ที่แผลงูกัด การใช้มีดกรีดแผล) ซึ่งนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังอาจมีโทษหรือเป็นอันตรายได้

2. ถ้าหากถูกงูพิษกัด ควรแนะนำให้ผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการทั่วไป (เช่น หนังตาตก เลือดออก) เกิดขึ้นแล้ว การรักษาด้วยเซรุ่มแก้พิษงูและการรักษาแบบประคับประคองแก้ไขภาวะร้ายแรง (เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ การให้เลือด การล้างไต) จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยหายได้เร็วและปลอดภัย 

1. งูเห่า (cobra/Naja) เป็นงูพิษที่มีพิษร้ายแรงและเป็นอันตรายมาก มีนิสัยดุ พบชุกชุมแทบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ แถบชานเมือง (เช่น ตำบลหนองงูเห่า อำเภอลาดกระบัง) สมุทรปราการ กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี เพชรบูรณ์ เป็นต้น

งูเห่ามีหลายชนิด พบแบ่งกว้าง ๆ ได้เป็น 3 ตระกูล คือ

    งูเห่าไทย (Naja kaouthia)
    งูเห่าพ่นพิษ (Naja siamensis เเละ Naja sumatrana)
    งูเห่าอินเดีย (Naja tripudians)

งูเห่ามีลักษณะหัวมน คอสั้น ตัวกลมยาวเรียวประมาณ 1-1/2 เมตร มีสีต่าง ๆ กันแล้วแต่ชนิด โดยทั่วไปมีสีดำ เขียวอมเทา น้ำตาล มีลักษณะพิเศษ คือ มันสามารถยกส่วนหัวขึ้นตั้งฉากกับพื้นได้ประมาณ 1/3 ของลำตัว และตรงลำคอสามารถแผ่ให้แบนออกได้ เรียกว่า แผ่แม่เบี้ย ส่วนบนด้านหลังของแม่เบี้ยจะมีสีแต้มต่าง ๆ กัน แล้วแต่ชนิดของงู เรียกว่า ดอกจัน มันจะแสดงอาการแบบนี้เวลาโกรธหรือตกใจ เป็นอาการเตรียมพร้อมที่จะกัด เขี้ยวพิษของงูเห่าสั้น ดังนั้นเวลากัดจึงต้องยกหัว แผ่แม่เบี้ยและฉกไปข้างหน้า งูเห่าจะออกหากินไม่เป็นเวลาแน่นอน ส่วนมากตอนหัวค่ำถึงตอนดึก ชอบอาศัยอยู่ในทุ่งนา โพรงดิน ป่าละเมาะ ชายเขา มีพิษต่อประสาท


2. งูจงอาง (King cobra/Ophiohagus hannah) เป็นงูพิษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวประมาณ 3.50-4.00 เมตร ยาวสุดอาจถึง 6 เมตร เป็นงูที่ดุร้ายอันตรายมาก ชอบอยู่ในป่าสูงทั่วไป มีชุกชุมมากในป่าภาคใต้ และภาคกลาง เช่น ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง กาญจนบุรี ลพบุรี ระยอง นครราชสีมา เป็นต้น

ลักษณะมีลายสีเหลืองหรือเขียวอมเทา ใต้คางมีสีเหลืองหรือส้ม บางชนิดหัวดำ หางดำ ตัวลายเป็นปล้องสีดำ สามารถแผ่แม่เบี้ยเช่นงูเห่า แต่ไม่มีดอกจัน ออกหากินไม่เป็นเวลาแน่นอน โดยมากเป็นเวลากลางวันจนถึงพลบค่ำ ชอบนอนตามกอไผ่ กอหญ้า โพรงไม้ ซอกหิน มีพิษต่อประสาท


3. งูสามเหลี่ยม (banded krait/Bungarus fasciatus) ลักษณะตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีด้านท้องเป็นฐาน ตัวยาวประมาณ 2 เมตร ตัวมีสีเหลืองเป็นปล้อง ๆ สลับกับสีดำ บางชนิดหัวแดง หางแดง ตัวสีดำ เป็นงูบกที่ชอบออกหากินตามริมน้ำ บางครั้งลงว่ายในน้ำ เป็นงูที่ไม่มีนิสัยดุร้าย ไม่ทำร้ายคน ผู้ที่ถูกกัดมักจะเดินไปเหยียบมันเข้า หรือเดินผ่านไปขณะที่มันกำลังไล่กัดเหยื่อ ชอบอยู่ในที่มืดและซึมเซาเวลากลางวัน แต่ว่องไวมากเวลากลางคืน ออกหากินเวลาพลบค่ำถึงกลางคืน พบได้ทั่วไปทุกภาค มีพิษต่อประสาทและเลือด


งูทับสมิงคลา (Malayan krait/Bungarus candidus) เป็นงูสามเหลี่ยมพันธุ์หนึ่ง แต่ลำตัวกลม ไม่เป็นสามเหลี่ยม ลายสีดำสลับขาว คาดไม่รอบท้อง หางเรียวแหลมลงไปเรื่อย ๆ มีนิสัยปราดเปรียว เคลื่อนไหวเร็ว ชอบกัดคนตอนกลางคืน พบบ่อยในภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพิษต่อประสาทและเลือดแบบเดียวกับงูสามเหลี่ยม

4. งูแมวเซา (Russell’s viper/Vipera russelli siamensis) หัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ตัวอ้วน คอเล็ก หางกลมยาวเรียว ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนปนเทา มีลายเป็นวงกลมหรือรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม มีนิสัยดุ แต่เชื่องช้า เวลาตกใจหรือระวังตัวจะขดตัวเข้ามา แล้วสูดหายใจเข้าออกแรง ๆ ทำให้มีเสียงเกิดขึ้น คล้ายเสียงแมวกรน (หรือแมวเซา) แต่ถ้าศัตรูเข้าใกล้จะฉกกัดได้ เขี้ยวยาวโง้ง และสามารถเคลื่อนไหวได้ เวลากัดจึงขยับเขี้ยวให้ฝังได้ถนัดและลึก ออกหากินเวลากลางคืน ชอบอาศัยอยู่ตามที่ดอน ในซอกหิน โพรงดิน พงหญ้า ชอบที่แห้ง ๆ มากกว่าที่แฉะ ๆ มีชุกชุมในภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี สระบุรี นครสวรรค์ เป็นต้น  มีพิษต่อเลือด


5. งูกะปะ (Malayan pit viper/Calloselasma rhodostoma) หัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ปากแหลม คอคอด หางสั้น เขี้ยวพิษยาวโง้ง ไม่ปราดเปรียว เมื่อตกใจจะงอตัวหรือขดนิ่ง แต่ฉกกัดรวดเร็ว เมื่อตกใจมากจวนตัวจะดีดตัวไปแทนการเลื้อย ลำตัวมีสีเทาอมม่วง มีลายเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะเมื่อน้ำค้างจัดและหลังฝนตก ชอบอาศัยอยู่ตามโคนไม้ใหญ่ที่มีใบแห้งทับถม พบชุกชุมในแถบที่เป็นดินทราย มีชุกชุมในจังหวัดภาคใต้ทุกจังหวัด และจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศ เช่น ชลบุรี จันทบุรี ตราด ระยอง ปราจีนบุรี นครนายก เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคอีสาน มีพิษต่อเลือด


6. งูทะเล (sea snake/Hydropheinae เเละ Laticaudinae) ที่มีพิษ เช่น งูคออ่อน งูชายธง งูผ้าขี้ริ้ว งูฝักมะรุม มีอยู่ในอ่าวไทยทั่ว ๆ ไป พบได้ตามจังหวัดชายฝั่งทะเลทุกภาค มีลักษณะหัวและคอเล็กกว่าลำตัวมาก มีหางแบนสำหรับว่ายน้ำ มีท้องสีขาว และหลังเป็นลายดำ ๆ ส่วนมากไม่ดุ อ่อนเปลี้ยเมื่อขึ้นพ้นน้ำ แต่ว่องไวเมื่ออยู่ในทะเล ชอบอาศัยตามทะเลโคลนมากกว่าทะเลทรายน้ำใส มีพิษต่อกล้ามเนื้อ


7. งูเขียวหางไหม้ (green pit viper/Trimeresurus และ Ovophis) ในบรรดางูพิษอ่อนด้วยกัน งูเขียวหางไหม้นับว่ามีอันตรายมากที่สุด เพราะมีนิสัยดุ มีอำนาจพิษและปริมาณน้ำพิษมากที่สุดในพวกงูพิษอ่อน มีหัวป้อม เขี้ยวพิษยาวโง้ง ตัวอ้วนสั้น หางสั้น ตัวสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวแก่ หางสีน้ำตาลไหม้หรือสีแดง ชอบหากินเวลากลางคืน ชอบอยู่ตามสวนหรือในที่มืด เช่น ใต้ถุนบ้าน ตามลังหรือหีบเก็บของ มีชุกชุมทั่ว ๆ ไป พบมากที่กรุงเทพฯ ชลบุรี นครปฐม สระบุรี ลพบุรี มีพิษต่อเลือด

76
มอเตอร์โชว์ 2025 New Bentley Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์โฉมใหม่ เปิดตัวแล้วในไทยกับราคา 26.9 ล้านบาท

เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์เบนท์ลีย์ รุ่น new Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์โฉมใหม่ เจเนอเรชันที่ 4 ที่ทรงสมรรถนะที่สุดของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์ ภายใต้แนวคิด Start Something Powerful กับการเผยโฉมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมคว้าตัวดาราหนุ่มสุดฮอต เจมส์ มาร์ เผยประสบการณ์การขับขี่สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์ ณ AAS House ชั้น 2 ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา โดย new Continental GT Speed จะจัดแสดง ณ AAS House ตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2568 ผู้ที่สนใจสามารถนัดหมายเข้าชมหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 080-925-9999

คาลิสต้า ทัมบายอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เอเชียแปซิฟิก กล่าวเปิดงานด้วยการยืนยันแผนการเปิดตัวรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่นใหม่ว่า “เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส มีแผนในการลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลเพื่อเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและไฮบริดรุ่นใหม่ในทุกปีเพื่อเดินหน้าสู่ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบในปี 2578 ซึ่งถือเป็นโครงการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 105 ปีของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์ และเพื่อสร้าง Dream Factory ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมด้วยศูนย์การออกแบบและศูนย์ทำสีและตัวถังที่ทันสมัย”
 
อภิญญา ชัยสันติกุลวัฒน์ ผู้จัดการทั่วไป เบนท์ลีย์ แบงค็อก บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด กล่าวเสริมเกี่ยวกับรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่น Continental GT ในประเทศไทยว่า “ตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งเป็นเวลากว่า 20 ปีที่เบนท์ลีย์ แบงค็อก ประสบความสำเร็จในการส่งมอบรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่น Continental GT ให้แก่ลูกค้าคนสำคัญทั่วประเทศไทย ตอกย้ำถึงความเป็นที่นิยมและความเชื่อมั่นในด้านการบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตของเรา”

เจมส์ มาร์ ดาราหนุ่มผู้หลงใหลรถยนต์แบบ Grand Touring ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานในทุกวันได้ถ่ายทอดประสบการณ์การขับขี่สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์ Continental GT กับความประทับใจจากประสิทธิภาพและสมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือชั้นในโหมดการขับขี่แบบ Bentley ที่นิยามความลงตัวระหว่างสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์และประสิทธิภาพในการขับขี่ในแบบรถยนต์แกรนด์ทัวริ่งด้วยสัมผัสแห่งความสะดวกสบายในการขับขี่และความสปอร์ต นอกจากนี้ ดาราหนุ่มยังเผยความประทับใจกับดีไซน์รูปทรงไฟหน้าเดี่ยวแบบ Crystal LED ลักษณะ คิ้ว แนวนอนรูปแบบใหม่ที่ดู Futuristic และทันสมัยยิ่งขึ้นจากแรงบันดาลใจของเสือนักล่า   

New Continental GT Speed คือ อัครยนตรกรรมแบบสปอร์ตคูเป้สมรรถนะสูง เจ้าของขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid วิวัฒนาการใหม่ที่จะมอบพละกำลังรวมกว่า 782 แรงม้า พร้อมด้วยแรงบิด 1,000 นิวตันเมตร โดยสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 335 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง พร้อมกำหนดนิยามใหม่แห่งการผสมผสานที่ลงตัวด้วยสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์ ความหรูหราในแบบฉบับของงานฝีมือชั้นสูง และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ

การออกแบบ new Continental GT Speed ถือเป็นการปฏิวัติการออกแบบอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ด้วยการผลิกโฉมการออกแบบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษด้วยไฟหน้าเดี่ยวในลักษณะ คิ้ว แนวนอนแบบใหม่ พร้อมด้วยเอฟเฟกต์เพชรเจียระไนด้านบนกรอบไฟ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้รูปลักษณ์ของ new Continental GT มีการแสดงออกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากการแสดงออกของเสือนักล่า ด้านท้ายตัวรถยังได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่กันชน ไฟท้าย ฝากระโปรงท้าย และท่อไอเสีย ฝากระโปรงท้ายถูกออกแบบให้มีรูปแบบแอโรไดนามิกเพื่อเสริมแรงกดด้านหลังโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดใช้สปอยเลอร์ พร้อมกับกันชนที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการเน้นความกว้างของตัวรถ ไฟท้ายมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่น่าทึ่งด้วยกราฟิกที่กว้างขึ้นทอดยาวไปถึงฝากระโปรงหลัง พร้อมกับภายในที่ตกแต่งด้วยลวดลายเพชรแบบ 3 มิติทอดยาวตลอดรูปทรง โดยเมื่อส่องสว่าง ส่วนปลายของเพชรจะเห็นได้อย่างเด่นชัด ทำให้เกิดเอฟเฟกต์ภาพเสมือนลาวาหลอมเหลว
 
สำหรับตัวรถที่จัดแสดงมากับความสปอร์ตในเฉดสีดำ Onyx ที่เคยเป็นสีเปิดตัวในรุ่น Continental Flying Spur Speed พร้อมด้วยล้ออัลลอยด์แบบ Speed Wheel 10 ก้าน ขนาด 22 นิ้วที่มีรูปลักษณ์ที่ร่วมสมัย โดดเด่น และคาร์ลิปเปอร์เบรกสีแดงที่เข้ากันกับกระจังหน้าแบบ Dark Tint Grilles สีเข้ม สะท้อนสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของแกรนด์ทัวเรอร์ระดับซูเปอร์คาร์ของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

การตกแต่งภายในห้องโดยสารของ new Continental GT Speed ยังสะท้อนถึงความประณีตและความละเอียดอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์รถยนต์เบนท์ลีย์ด้วยการออกแบบภายในแบบใหม่หมดจดกับการเย็บสไตล์ใหม่ การขึ้นรูปเพชรแบบ 3 มิติบริเวณแผงประตูด้วยเฉดสีเทา Gravity Grey ใหม่ และ เฉดสีครีม Linen พร้อมด้วยวีเนียร์แบบ Piano Black ที่ให้ความรู้สึกที่ร่วมสมัยและสปอร์ตยิ่งขึ้น พร้อมด้วยสัมผัสแห่งความสปอร์ตของ Dark Chrome Interior Specification บริเวณมือจับประตู สวิตช์ ตะแกรงลำโพง และรอบห้องโดยสารที่รังสรรค์ขึ้นด้วยโครเมียมสีเข้มที่จะให้ความรู้สึกสปอร์ต และยังเพิ่มความเรียบง่ายให้กับภายในห้องโดยสารเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งภายนอกที่ดูสปอร์ตและดุดัน โดยมีเทคโนโลยีภายในห้องโดยสารที่ล้ำสมัยอย่างคุณสมบัติเบาะโดยสารแบบ Wellness พร้อมด้วยระบบกรองอากาศด้วยการสร้างไอออนในอากาศแบบอัจฉริยะและตัวเลือกการปรับท่าทางบนเบาะโดยสารทั้ง 4 ที่นั่งแบบอัตโนมัติ


New Continental GT ยังคงนำเสนอนวัตกรรมหน้าจอแสดงผลแบบหมุนได้อันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผล 3 ด้านที่ประกอบด้วยจอแสดงผลระบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดแอนะล็อกสุดคลาสสิก 3 หน้าปัด และด้านที่บุด้วยแผ่นไม้วีเนียร์ที่งดงาม ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนทั้ง 3 ด้านได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว พร้อมด้วยระบบไฟหลากสีภายในห้องโดยสาร (Mood Lighting) ยังตกแต่งรอบห้องโดยสารเพื่อสร้างเอฟเฟกต์แบบรังไหม โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเฉดสีของแสงไฟได้กว่า 30 เฉดสี

ในส่วนของสมรรถนะ new Continental GT Speed โฉมใหม่ มาพร้อมกับขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ โดยขุมพลังดังกล่าวผสานเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรใหม่ที่สามารถผลิตพละกำลังกว่า 600 แรงม้าเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลัง 190 แรงม้า มอบพละกำลังรวมสูงสุด 782 แรงม้า พละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 19% จาก 659 แรงม้า เป็น 782 แรงม้า โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ใน 3.2 วินาทีที่ความเร็วสูงสุดที่ 335 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง แรงบิดได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับ Continental GT Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์รุ่น W12 จาก 900 นิวตันเมตร เป็น 1,000 นิวตันเมตร ทำให้ new Continental GT Speed เป็นอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ประสิทธิภาพแห่งขุมพลังเครื่องยนต์ยังมาพร้อมกับระบบแชสซีใหม่ด้วยถุงลมคู่ใหม่ที่จับคู่กับแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่ พร้อมด้วย Bentley Dynamic Ride (ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์) เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (eLSD) และระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง พร้อมด้วยประสิทธิภาพในการขับขี่ที่น่าทึ่งและความสบายในการขับขี่ที่ดีที่สุดในปัจจุบันอันเป็นผลลัพธ์มาจากการถ่ายเทน้ำหนักของรถขับเคลื่อนล้อหลังแบบ 49:51 ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรถยนต์ พร้อมด้วยชุดเทคโนโลยีและนวัตกรรมอันล้ำสมัยที่จะมอบความประสิทธิภาพในการขับขี่ที่เหนือกว่าเพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นประสบการณ์ที่ราบรื่นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสาร และการเชื่อมต่อระบบภายในรถยนต์

สำหรับการขับขี่ในโหมดไฟฟ้า โหมดนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่เงียบสงบและต่อเนื่อง โดยในโหมดไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถผลิตพละกำลังได้ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 11 กิโลวัตต์

สำหรับการเปิดรับคำสั่งจอง New Continental GT Speed เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการสั่งจองรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่น New Continental GT Speed ราคาเริ่มต้นที่ 26.9 ล้านบาท พร้อมรับเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ ‘นานที่สุด’ ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิตและบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี
 
ยลโฉม New Continental GT Speed อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้ที่จะนิยาม Start Something Powerful ด้วยสมรรถนะอันเหนือชั้นระดับซูเปอร์คาร์พร้อมกับการตกแต่งด้วยงานฝีมือชั้นสูง ตอกย้ำความเป็นซูเปอร์คาร์ที่ทรงสมรรถนะที่สุดของแบรนด์ เผยโฉมให้ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ณ AAS House แกลเลอรีสุดหรูสำหรับชาวซิตี้ไลฟ์สไตล์ที่นำเสนอยนตรกรรมระดับพรีเมียมจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกภายใต้ AAS Group บริเวณชั้น 2 ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ ตั้งแต่วันนี้ ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2568 เวลา 10:00 - 20:00 น. ทุกวัน
 

77
แค่ฝุ่นจางๆและควัน ก็ทำให้เสี่ยง “โรคปอด” ได้นะ

มลภาวะทางอากาศหลายอย่างเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา คนส่วนใหญ่จึงละเลยที่จะปกป้องตัวเองจากอันตรายเหล่านี้ จนกระทั่งเกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและปอด หรืออาจเพราะมลภาวะทางอากาศหลายชนิดไม่มีกลิ่น จึงทำให้เราไม่ทันระวังและรับสารพิษเหล่านี้เข้าไปกับลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

ไม่ใช่แค่ PM 2.5 ที่อันตรายกับทางเดินหายใจ
แม้ว่าร่างกายจะออกแบบมาให้จมูกคอยทำหน้าที่เป็นตัวกรองและดักจับเชื้อโรคที่ปะปนในอากาศที่เราหายใจ แต่ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 ก็ยังสามารถเล็ดลอดเข้าไปได้ถึงหลอดลมฝอยขนาดเล็ก และยิ่งหากมีขนาดเล็กกว่า 1 ไมโครเมตร ก็จะสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด แต่ก็ไม่ใช่แค่ PM 2.5 เท่านั้นที่เราต้องระวัง เพราะในอากาศยังมีมลภาวะอื่นๆ ที่อันตรายไม่แพ้กัน อาทิ

1.    ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง กระบวนการอุตสาหกรรม การบด การโม่ หรือการทําให้เป็นผงจากการก่อสร้าง เมื่อหายใจเข้าไปจะสามารถสะสมในระบบทางเดินหายใจ เป็น อันตรายต่อสุขภาพ

2.    ก๊าซโอโซน (O3) ที่ทำให้ความสามารถในการทำงานของปอดลดลง เหนื่อยเร็ว โดยเฉพาะในเด็ก คนชรา และคนที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง

3.    ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเชื้อเพลิง ก๊าซชนิดนี้จะเข้าไปจับกับเม็ดเลือด ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายลดน้อยลง ส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการอ่อนเพลีย และหัวใจทำงานหนักขึ้น

4.    ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) มีผลต่อระบบการมองเห็นและกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืด หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ

5.    ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ หากได้รับเป็นเวลานานๆ จะทำให้เป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังได้

ไม่สูบ แค่สูดควันหรืออยู่ใกล้…ก็เสี่ยง!
กว่า 90 % ของผู้ป่วยโรคปอดโดยเฉพาะมะเร็งปอดในปัจจุบันล้วนมีสาเหตุสำคัญมาจากการสูบบุหรี่ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือกว่าร้อยละ 30 ของคนที่เป็นมะเร็งปอดคือคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ได้รับควันบุหรี่จากคนใกล้ชิด และผู้ที่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะทั่วไป เพราะในบุหรี่ 1 มวนมีสารพิษกว่า 60 ชนิดที่เป็นอันตรายกับร่างกาย และสารพิษเหล่านั้นยังสามารถตกค้างอยู่ในพื้นที่ที่เคยมีคนสูบบุหรี่ได้นานถึง 6 เดือน ไม่จะไม่มีควันแล้วก็ตาม ดังนั้นแม้จะไม่สูบหรี่ก็มีโอกาสเสี่ยงโรคถุงลมปอดโป่งพอง รวมถึงเป็นสาเหตุของอาการเหนื่อยหอบตลอดชีวิต เพราะร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อปอดที่ถูกทำลายจากบุหรี่ได้

ไม่แสดงอาการฉับพลัน...แต่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรง
สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด หรือโรคทางเดินหายใจ การสูดฝุ่นละอองที่เป็นพิษอาจจะแสดงผลในทันที แต่สำหรับบางคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง การสูดฝุ่นละอองอาจไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงแบบเฉียบพลันทันที แต่จะไปสมสะอยู่ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคทางสมอง และโรคมะเร็งได้ในระยะยาว

ผิดปกติแบบนี้ พบแพทย์ทันที ก่อน “ปอด” พัง
โดยธรรมชาติแล้วปอดมักจะไม่แสดงอาการผิดปกติในระยะเริ่มต้น ทุกคนจึงควรหมั่นสังเกตตัวเอง หากมีอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ไอรักษาไม่หาย หอบเหนื่อย แน่นเจ็บชายโครง เจ็บหน้าอก หายใจแล้วเจ็บ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีไข้ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ ปอดของเราอาจถูกโรคร้ายทำลาย จนไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม “หมั่นตรวจสุขภาพปอดประจำปี ไม่ต้องมีอาการก็ตรวจได้”

78
money expo 2025: จากความเชื่อ...สู่ความจริง กับการขอสินเชื่อ Bank และ Non-Bank

ถ้าพูดถึงเรื่อง "ความเชื่อ" และ "ความจริง" ในการขอกู้เงินจาก "Bank" และ "Non Bank" ซึ่งทางเราเชื่อว่า สิ่งแรกที่ทุกคนจะคิดถึงเมื่ออยากกู้เงินก็คือ "กู้ที่ไหนดี?" โดยในปัจจุบันแหล่งเงินกู้ที่ถูกกฎหมายในบ้านเราก็มีอยู่ไม่น้อย มีทั้งที่เป็น Bank และ Non Bank บางคนก็เลือกที่จะกู้กับ Bank เพราะรู้สึกปลอดภัย โดยจะไม่ถูกหลอกแน่ๆ หรือบางคนก็เลือกที่จะกู้กับ Non Bank เพราะเชื่อว่าน่าจะกู้ได้ง่าย และให้วงเงินกู้ที่มากกว่า นั่นแน่...พอพูดมาถึงตอนนี้ก็คงมีหลายคนคงกำลังงงอยู่...งั้น!! เรามาดูความแตกต่างของคำว่า "Bank" และ "Non Bank" กันก่อนค่ะ

จากข้อมูลข้างต้น เพื่อนๆ คงจะพอเข้าใจ และนึกภาพออกแล้วนะคะ ระหว่าง Bank และ Non Bank แตกต่างกันอย่างไร คราวนี้มาดูกันว่าสิ่งที่เราเชื่อมาโดยตลอดจากการขอกู้เงินจาก Bank และ Non Bank ที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีความจริงตามที่เชื่อ หรือแตกต่างกันอย่างไร? มาดูและทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

ความเชื่อ - ความจริง จากการกู้เงินจาก BANK

ความเชื่อ - ความจริง จากการกู้เงินจาก NON BANK

จากความเชื่อสู่ความจริงที่เพื่อนๆ ได้เห็นไปแล้วนั้น จะสังเกตได้ว่าทั้ง Bank และ Non Bank ที่มีในปัจจุบันนี้ การให้บริการ และความน่าเชื่อถือไม่แตกต่างกัน ดังนั้น หากเราจำเป็นจะต้องขอกู้เงินจากที่ไหนสักแห่ง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเป็น Bank หรือ Non Bank อีกต่อไป แต่เราควรใส่ใจเรื่องของความจำเป็นในการกู้เงิน และอัตราดอกเบี้ยกันดีกว่านะคะ เพราะแน่นอนว่าการเป็นหนี้นั้น ไม่เป็นผลดีสำหรับใครแน่ๆ แต่ถ้าเราต้องเป็นหนี้แล้ว เราก็ควรเป็นหนี้ให้น้อยที่สุด และคุ้มค่าที่สุดค่ะ

79
ขั้นตอนการจัดฟันเด็ก และการติดอุปกรณ์

การจัดฟันเด็กมีขั้นตอนที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างทันตแพทย์จัดฟัน เด็ก และผู้ปกครอง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการจัดฟันเด็กและการติดอุปกรณ์มีดังนี้:

1. การปรึกษาและตรวจสุขภาพช่องปาก:

ทันตแพทย์จัดฟันจะทำการซักประวัติ ตรวจสุขภาพช่องปากของเด็กอย่างละเอียด และสอบถามเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์
ทำการเอ็กซเรย์ (X-ray) เพื่อประเมินสภาพฟัน ขากรรไกร และกระดูกใบหน้า
พิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน
ถ่ายภาพใบหน้าและภายในช่องปาก


2. การวางแผนการรักษา:

ทันตแพทย์จัดฟันจะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพฟันและขากรรไกรของเด็กแต่ละคน
อธิบายแผนการรักษาให้เด็กและผู้ปกครองเข้าใจอย่างชัดเจน


3. การเตรียมความพร้อม:

หากเด็กมีฟันผุหรือหินปูน จะต้องทำการรักษาฟันผุและขูดหินปูนก่อนเริ่มการจัดฟัน
ในบางกรณี อาจต้องถอนฟันบางซี่เพื่อสร้างพื้นที่ให้ฟันซี่อื่นๆ เคลื่อนที่


4. การติดเครื่องมือจัดฟัน:

ทำความสะอาดผิวฟัน
ติดแบร็กเก็ต (Brackets) บนผิวฟันแต่ละซี่
ใส่ลวดจัดฟัน (Archwire) และยางจัดฟัน (Elastic bands) (ในกรณีที่เลือกการจัดฟันแบบโลหะ)
หรือทำการสแกนฟัน 3 มิติ ด้วยเครื่องสแกนชนิด iTero แล้วทำการวางแผนการเคลื่อนฟันผ่านโปรแกรม ClinCheck เพื่อทำแบบจำลองการเคลื่อนตัวของฟันในช่วงต่างๆ ของการจัดฟัน (ในกรณีที่เลือกการจัดฟันแบบใส)


5. การปรับเครื่องมือจัดฟัน:

เด็กจะต้องมาพบทันตแพทย์จัดฟันเป็นประจำทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อปรับเครื่องมือจัดฟัน
ทันตแพทย์จะทำการปรับลวดจัดฟัน หรือเปลี่ยนยางจัดฟัน เพื่อให้ฟันเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ


6. การถอดเครื่องมือจัดฟัน:

เมื่อฟันเรียงตัวได้ตามแผนการรักษาแล้ว ทันตแพทย์จะทำการถอดเครื่องมือจัดฟันออก
พิมพ์ปากเพื่อทำรีเทนเนอร์ (Retainer) เพื่อคงสภาพฟันที่จัดเรียงไว้


7. การใส่รีเทนเนอร์:

เด็กจะต้องใส่รีเทนเนอร์ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อนที่กลับไปยังตำแหน่งเดิม


8. การติดตามผล:

ทันตแพทย์จะนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษาเป็นระยะ เพื่อให้แน่ใจว่าฟันของเด็กยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม


ข้อควรจำ:

การจัดฟันเด็กต้องอาศัยความร่วมมือจากเด็กและผู้ปกครองเป็นอย่างมาก
ผู้ปกครองควรดูแลและให้กำลังใจเด็กในการรักษา
การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหาฟันผุและโรคเหงือก
หากผู้ปกครองมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ควรปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันเพื่อขอคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

80
ซ่อมบำรุงอาคาร: วิธีแก้ปัญหาท่อน้ำตัน แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก

"ท่อน้ำตัน" ปัญหาระดับชาติที่ทุกคนต้องพบเจอไม่ว่าจะอยู่บ้าน หอพัก หรือคอนโดก็ตาม ดังนั้น จึงรวบรวม 6 วิธีแก้ท่อน้ำตันมาให้ แบบฉบับง่าย ๆ ที่ทุกบ้านสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาท่อน้ำตันเบื้องต้นก่อนได้ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องถึงมือช่างแน่นอน


วิธีแก้ท่อน้ำตัน ด้วยน้ำส้มสายชูและเบกกิ้งโซดา

สามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านมาร์ททั่วไปได้เลย ราคาไม่แพงด้วย โดยการเทผงเบกกิ้งโซดาลงไปในท่อที่แห้งไม่เปียกน้ำมาก หลังจากนั้นให้รีบเทน้ำส้มสายชูตามลงไปทันที สังเกตจะมีฟองฟู่ขึ้นมา ทิ้งไว้สักพักน้ำส้มสายชูกับเบกกิ้งโซดาจะทำปฏิกิริยากัน ช่วยกำจัดคราบไขมันและเศษอาหารที่ติดอยู่ในท่อน้ำได้ หลังจากนั้นก็เทน้ำร้อนตามลงไปล้างอีกที


วิธีแก้ท่อน้ำตัน ด้วยไม้ดูดสูญญากาศ หรือที่ปั๊ม

วิธีนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่แก้ไขเฉพาะหน้า เหมาะสำหรับที่ท่ออุดตันไม่มากน้ำพอระบายได้อยู่ เปิดน้ำให้ท่วมไม้ดูด จากนั้นขยับไม้ปั๊มขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง ประมาณ 10 ครั้ง เพื่อให้แรงดันคราบที่ค้างในท่อออก


วิธีแก้ท่อน้ำตัน ด้วยน้ำร้อน

น้ำร้อนถือเป็นวิธีทีแสนจะง่ายไม่ต้องใช้อุปกรณยุ่งยาก โดยอาจอาศัยเกลือเล็กน้อยเทลงไปในท่อก่อน ประมาณ 1 ถ้วยตวง หลังจากนั้นให้เทน้ำร้อนเดือด ๆ ลงตามไปทันที และทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที น้ำร้อนและเกลือจะช่วยล้างคราบสกปรก คราบไขมันออกไป


วิธีแก้ท่อน้ำตัน ด้วยน้ำหมักชีวภาพ

ทริคดี ๆ แบบวิธีธรรมชาติที่สุด อาจหาซื้อตามร้านค้าที่ขายเกี่ยวกับของทำความสะอาดท่อ หรือบางบ้างทำการหมักเศษอาหารไว้ ซึ่งตัวน้ำหมักนี้จะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ เพียงเทลงไปในท่อที่ตัน ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที กรดอ่อน ๆ ของน้ำหมักจะช่วยย่อยเศษอาหารที่ติดในท่อได้โดยไม่ทำลายเนื้อท่อน้ำเลย


วิธีแก้ท่อน้ำตัน ด้วยน้ำยาล้างท่อแบบไม่ทำลายท่อน้ำ

วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่นิยมมากในศตวรรษนี้ เพราะตามห้างสรพพสินค้า หรือหลากหลายแบรนด์ได้มีการผลิตสินค้าที่ช่วยแก้ไขปัญหาท่อน้ำตัน ซึ่งมีให้เลือกมากมาย แต่สิ่งที่ควรคำนึงคือ ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการการันตีว่าจะไม่ทำลายเนื้อผิวของท่อน้ำ  และควรใช้อย่างระมัดระวังที่สุด


วิธีแก้ท่อน้ำตัน ด้วยสปริงแหย่ท่อหรืองูเหล็ก

วิธีพื้นฐานที่ช่วยเคลียร์ทางของท่อระบายน้ำ อาจจะเป็นวิธีที่เบื้องต้นที่ลองดันเศษอาหาร เศษผมที่ติด หรือเขี่ยออกมาจากท่อระบายน้ำก่อน พร้อมกับเปิดน้ำทิ้งหรือกดน้ำลงไปด้วย

ต่อไปนี้ท่อน้ำที่บ้านของทุกคนก็จะไม่ตันอีกแต่ไป และควรทำทุกวิธีด้วยความระมัดระวัง แต่ก่อนอื่นเลยเราควรมีตะแกรงกรองเศษอาหารหรือเศษผม เพื่อป้องกันปัญหาท่อตันตั้งแต่ต้นเหตุถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และทั้งหมดนี้ คือ 6 วิธีการแก้ปัญหาท่อน้ำตันง่าย ๆ เบื้องต้น ซึ่งหากท่อเกิดการตันค่อนข้างมาก แนะนำให้เรียกช่างมาตรวจสอบอีกครั้งว่าเกิดจากปัญหาส่วนไหนจะดีกว่า มิฉะนั้นความเสียหายจะไม่ได้เป็นเพียงการอุดตันของท่อน้ำ แต่อาจส่งผลทำให้ผิวของท่อน้ำเสียและใช้การไม่ได้อีกต่อไป

81
การจัดฟันเด็ก เพื่อรอยยิ้มสวยตั้งแต่ยังเด็ก

การจัดฟันเด็กเป็นกระบวนการทางทันตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับฟันและขากรรไกรในเด็ก เช่น ฟันซ้อน ฟันเก ฟันห่าง ฟันสบกันผิดปกติ หรือปัญหาเกี่ยวกับขากรรไกร เพื่อให้เด็กมีรอยยิ้มที่สวยงาม มีสุขภาพช่องปากที่ดี และมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

ทำไมต้องจัดฟันให้เด็ก?

หลายคนอาจ สงสัยว่าทำไมต้องรีบจัดฟันให้เด็กตั้งแต่ยังเล็กๆ ซึ่งการจัดฟันในเด็กมีประโยชน์มากมาย ดังนี้

ป้องกันปัญหาเรื้อรัง: การจัดฟันตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยป้องกันปัญหาเกี่ยวกับฟันและขากรรไกรที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต เช่น ฟันผุง่าย ขากรรไกรผิดรูป หรือปัญหาในการเคี้ยวอาหาร
ส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบหน้า: การจัดฟันช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรให้สมดุล ทำให้ใบหน้ามีรูปทรงที่สวยงาม
ปรับปรุงการออกเสียง: การจัดฟันช่วยแก้ไขปัญหาการออกเสียงที่ผิดปกติอันเกิดจากตำแหน่งของฟันที่ไม่ถูกต้อง
เพิ่มความมั่นใจ: เด็กที่มีฟันเรียงสวยจะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น กล้าแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น
ป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปาก: การจัดฟันช่วยให้เด็กทำความสะอาดฟันได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสเกิดฟันผุและโรคเหงือก

อายุเท่าไหร่จึงควรพาลูกไปพบหมอจัดฟัน?
โดยทั่วไปควรพาลูกไปพบหมอจัดฟันครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 7 ปี เพื่อให้หมอตรวจสุขภาพช่องปากและประเมินพัฒนาการของฟันและขากรรไกร หากพบปัญหาใดๆ ก็สามารถเริ่มการรักษาได้ทันที อย่างไรก็ตาม อายุที่เหมาะสมในการจัดฟันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา

ประเภทของ การจัดฟันเด็ก
การจัดฟันเด็กมีหลายประเภท โดยชนิดของอุปกรณ์ที่ใช้จะขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคน และอายุของเด็ก ได้แก่

เครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้: มักใช้กับเด็กเล็กที่มีปัญหาฟันซ้อนหรือฟันห่างเล็กน้อย
เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น: เป็นเครื่องมือที่ติดอยู่กับฟันตลอดเวลา มักใช้กับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับขากรรไกรหรือฟันซ้อนที่รุนแรง
เครื่องมือจัดฟันใส: เป็นเครื่องมือจัดฟันที่ทำจากพลาสติกใส สามารถถอด เข้าถอดออกได้สะดวก เหมาะสำหรับเด็กที่ต้องการความสวยงาม

ขั้นตอนการจัดฟันเด็ก
การตรวจปร ะเมิน: ทันตแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพช่องปากและรังสีวิทยี เพื่อประเมินปัญหาและวางแผนการรักษา
การทำความ สะอาดฟัน: ก่อนเริ่มการจัดฟัน เด็กจะต้องทำความสะอาดฟันให้สะอาด เพื่อป้องกันปัญหาฟันผุและโรคเหงือก
การติดตั้งเครื่องมือจัดฟัน: ทันตแพทย์จะทำการติดตั้งเครื่องมือจัดฟันตามแผนการรักษาที่วางไว้
การปรับเปลี่ยนเครื่องมือจัดฟัน: ในระหว่างการรักษา ทันตแพทย์จะทำการปรับเปลี่ยนเครื่องมือจัดฟันเป็นระยะๆ เพื่อให้ฟันเคลื่อนที่ไปอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
การถอดเครื่องมือจัดฟัน: เมื่อฟันเรียงตัวอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ทันตแพทย์จะทำการถอดเครื่องมือจัดฟันออก
การใส่รีเทนเนอร์: หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้ว เด็กจะต้องใส่รีเทนเนอร์เพื่อรักษาตำแหน่งของฟันไม่ให้เคลื่อนกลับ

การดูแลสุขภาพช่องปากระหว่างการจัดฟัน
แปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ: ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและก่อนนอน
ใช้ไหมขัดฟัน: ช่วยขจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน
หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง: ควรหลีกเลี่ยงอาหารแข็งเหนียว อาหารเหนียว และอาหารห วาน
ไปพบทันตแพทย์ตามนัด: ควรไปพบทันตแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการรักษา

คำถามที่พบบ่อย
การจัดฟันเด็กมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบหน้าหรือไม่? การจัดฟันโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของขากรรไกรและใบหน้าให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง

การจัดฟันเด็กเจ็บไหม? ในช่วงแรกของการจัดฟัน อาจมีอาการปวดหรือรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน
การจัดฟันเด็กใช้เวลานานเท่าไร? ระยะเวลาใ นการจัดฟันจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหา
ค่าใช้จ่ายในการจัดฟันเด็กเท่าไร? ค่าใช้จ่ายในการจัดฟันจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของ เครื่องมือจัดฟัน ความซับซ้อนของปัญหา และคลินิกที่ให้บริการ
การจัดฟันเด็กเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อให้ลูกมีรอยยิ้มที่สวยงามและสุขภาพช่องปากที่ดีตลอดชีวิต หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดฟันเด็ก ควรปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

หมายเหตุ: ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่สามารถนำไปใช้เป็นคำแนะนำทางการแพทย์ได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับบุตรหลานของคุณ

คำสำคัญ: การจัดฟันเด็ก, ทันตกรรมเด็ก, ฟันซ้อน, ฟันเก, ฟันห่าง, สุขภาพช่องปาก, รอยยิ้มสวย

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ สามารถสอบ ถามได้เลยนะคะ

คุณต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อใดเป็นพิเศษ เช่น อายุที่เหมาะสมในการจัดฟันเด็ก, ประเภทของ เครื่องมือจัดฟัน, หรือค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน?

82
mobile expo 2025: เสียวหมี่ประกาศวางจำหน่ายแท็บเล็ต Xiaomi Pad 6S Pro และ Redmi Pad Pro พร้อมด้วยสมาร์ทโฟน Redmi 13 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย

เสียวหมี่ ประเทศไทย ประกาศวางจำหน่ายแท็บเล็ต 2 รุ่น ประกอบด้วย Xiaomi Pad 6S Pro แท็บเล็ตที่ถูกดีไซน์มาเพื่อการอ่านและการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และ Redmi Pad Pro แท็บเล็ตเพื่อความบันเทิงบนหน้าจอขนาดใหญ่ โดยแท็บเล็ตทั้ง 2 รุ่น พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนราคาประหยัด Redmi 13 อย่างเป็นทางการในประเทศไทยอีกด้วย
Xiaomi Pad 6S Pro แท็บเล็ตเพื่อการสร้างสรรค์ไอเดียที่ยิ่งใหญ่บนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น

Xiaomi Pad 6S Pro มีหน้าจอแสดงผล 144Hz 3K ขนาด 12.4 นิ้ว ที่มีอัตราส่วน 3:2 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอ่านและการใช้งานมัลติมีเดียต่างๆ จึงเหมาะสำหรับการใช้ทำงานและการพักผ่อน นอกจากนี้ความสามารถในการแสดงผลอันโดดเด่นยังถูกเสริมด้วยความละเอียด 3048 x 2032 และ 294 พิกเซลต่อนิ้ว (PPI) ทำให้มอบความคมชัดในการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านข้อความที่ดีที่สุดไปจนถึงการแก้ไขภาพที่มีความละเอียดสูง หรือสนุกไปกับเกมใหม่ล่าสุด และยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่แข็งแกร่งขนาด 10000mAh (typ) และการชาร์จ HyperCharge 120W ทั้งยังขับเคลื่อนด้วยชิปเช็ต Snapdragon® 8 Gen 2 พร้อมระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS นอกจากนี้ Xiaomi Pad 6S Pro ยังมีอุปกรณ์เสริมปากกา Xiaomi Focus Pen และคีย์บอร์ด Xiaomi Pad 6S Pro Touchpad Keyboard ซึ่งเป็นเครื่องมือเสริมช่วยเป็นเวิร์กสเตชันแบบพกพาได้1 ให้กับคุณอีกด้วย
Xiaomi Pad 6S Pro ความจุ 8GB+256GB สี Graphite Gray วางจำหน่ายในราคา 18,990 บาท ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่าย IT CITY พร้อมช่องทางออนไลน์ mi.com/th, Lazada และ Shopee พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 14-27 มิถุนายน 2567 รับฟรี! Xiaomi Pad 6S Pro Touchpad Keyboard มูลค่า 3,999 บาท12
Redmi Pad Pro แท็บเล็ตจอใหญ่ครบทุกความบันเทิง

Redmi Pad Pro มีจอแสดงผลขนาด 12.1 นิ้ว 144Hz พร้อมอัตราส่วน 16:10 ที่กว้างขวาง ทำให้ Redmi Pad Pro ไม่เพียงแต่มอบประสบการณ์การรับชมที่ยอดเยี่ยมแต่ยังมอบความสะดวกสบายในการใช้งานที่ยาวนานอีกด้วย2 ด้วยความละเอียด 2.5K (2560 x 1600) ที่ 249ppi ทำให้ Redmi Pad Pro มอบรายละเอียดและการรับชมที่สมบูรณ์แบบ และด้วยอัตรารีเฟรช 120Hz ช่วยให้มั่นใจได้ว่า Redmi Pad Pro มีการตอบสนองที่ลื่นไหลในการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ ตั้งแต่การนำใช้งานทั่วไปจนถึงการเล่นเกมแบบไดนามิก3
Redmi Pad Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Snapdragon® 7s Gen 2 บนระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS ช่วยให้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกในการแชร์เนื้อหา การถ่ายโอนรูปภาพที่รวดเร็ว และการทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ4 และมีแบตเตอรี่ขนาด 10000mAh (typ) และการชาร์จเร็ว 33W ช่วยให้พร้อมสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวัน5 นอกจากนี้ Redmi Pad Pro ยังมีอุปกรณ์เสริม Redmi Smart Keyboard และ Redmi Smart Pen ที่ช่วยตอบโจทย์มากขึ้นทั้งความบันเทิงและการทำงานพร้อมกันในหนึ่งเดียว6
Redmi Pad Pro มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Graphite Gray และ Ocean Blue
• Redmi Pad Pro รุ่นความจุ 8GB+256GB วางจำหน่ายในราคา 10,990 บาท ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 14-27 มิถุนายน 2567 รับฟรี! Redmi Pad Pro Keyboard มูลค่า 1,999 บาท12
• Redmi Pad Pro รุ่นความจุ 6GB+128GB วางจำหน่ายในราคา 8,990 บาท เฉพาะที่ mi.com/th และ Lazada พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่สั่งซื้อในระหว่างวันที่ 14-20 มิถุนายน 2567 สามารถซื้อสินค้าในราคาพิเศษเพียง 8,690 บาท พร้อมรับฟรี Redmi Pad Pro Cover มูลค่า 1,199 บาท12
Redmi 13 สมาร์ทโฟนกล้อง 108MP ที่คุ้มราคา

Redmi 13 มาพร้อมดีไซน์ที่สวยงามมีสไตล์โดยออกแบบด้านหลังด้วยกระจกอันทันสมัยและประณีตบนตัวเครื่องที่มีความบางเพียง 8.3 มม.7 แต่เต็มไปด้วยความสามารถอันหลากหลาย ได้แก่ กล้องหลักความละเอียดสูง 108MP พร้อมเซ็นเซอร์ซูมได้ 3 เท่า ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับภาพที่มีรายละเอียดโดดเด่น และมีกล้องหน้าความละเอียด 13MP ที่มาพร้อม soft-light ring ซึ่งช่วยเสริมการถ่ายภาพด้วยการปรับแสงให้เป็นธรรมชาติ ทั้งยังมีฟีเจอร์การปรับแต่งภาพอีกมากมายให้คุณได้สนุกมากขึ้นอีกด้วย
Redmi 13 มีจอแสดงผล FHD+ ที่ผสานเทคโนโลยี AdaptiveSync ขนาดจอใหญ่และกว้าง 6.79 นิ้ว ปรับอัตราการรีเฟรชได้อย่างชาญฉลาดตามสถานการณ์การใช้งาน8 สูงสุด 90Hz ทั้งยังถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายและความทนทานของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ จอแสดงผล Corning® Gorilla® Glass เพื่อทนต่อการสึกหรอจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน และการเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำ ควบคุมการสัมผัสที่ดียิ่งขึ้น และป้องกันน้ำกระเด็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Redmi 13 ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5030mAh และรองรับการชาร์จที่รวดเร็ว 33W9 ทั้งยังได้รับการรับรอง IP5310 ที่ช่วยป้องกันสภาพอากาศเปียกชื้นหรือน้ำที่กระเซ็นโดยไม่ตั้งใจ โดย Redmi 13 ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต MediaTek Helio G91-Ultra บนระบบปฏิบัติการ Xiaomi HyperOS11
Redmi 13 ความจุ 8GB+128GB มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Ocean Blue และ Pearl Pink วางจำหน่ายในราคา 5,499 บาท ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Redmi 13 ในระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน - 31 กรกฎาคม 2567 รับฟรี! Redmi 13 Giftbox Artstory by Autistic Thai มูลค่า 599 บาท12
หมายเหตุ
1 Xiaomi Focus Pen และ Xiaomi Pad 6S Pro Touchpad Keyboard จำหน่ายแยกต่างหาก ความพร้อมใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค
2 ขนาดหน้าจอของ Redmi Pad Pro คือประมาณ 12.1 นิ้ว เมื่อวัดในแนวทแยง พื้นที่ในการรับชมมีขนาดเล็กลงเนื่องจากมุมโค้ง การวัดระหว่างผลิตภัณฑ์แต่ละรายการอาจแตกต่างกันไป
3 อัตรารีเฟรชจะถูกปรับเป็น 30/48/50/60/90/120Hz โดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าอัตราการรีเฟรชเป็น 60/90/120Hz ด้วยตนเองได้ อัตราการรีเฟรชอาจถูกจำกัดขึ้นอยู่กับแอปพลิเคชันที่รองรับ
4 อุปกรณ์ต้องลงชื่อเข้าใช้บัญชีเสียวหมี่เดียวกัน ทั้งแท็บเล็ตและโทรศัพท์ควรเปิด WLAN และ Bluetooth ต้องเปิดฟังก์ชันนี้ทั้งในแท็บเล็ตและโทรศัพท์ล่วงหน้า
5 การชาร์จแบบมีสาย 33W หมายความว่ากำลังเอาต์พุตของอะแดปเตอร์อยู่ที่ 33W การใช้งานจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
6 Redmi Smart Pen และ Redmi Pad Pro Keyboard จำหน่ายแยกต่างหาก ความพร้อมใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค
7 การวัดจริงระหว่างผลิตภัณฑ์แต่ละรายการอาจแตกต่างกันไป ข้อมูลจำเพาะทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์จริง
8 อัตรารีเฟรชจะถูกปรับเป็น 36/48/60/90Hz โดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าอัตราการรีเฟรชเป็น 60/90Hz ได้ด้วยตนเอง อัตราการรีเฟรชอาจถูกจำกัดขึ้นอยู่กับแอปพลิเคชั่นที่รองรับ
9 อะแดปเตอร์จ่ายไฟมีจำหน่ายเฉพาะในบางประเทศและภูมิภาคเท่านั้น อะแดปเตอร์แปลงไฟและสายข้อมูลจำหน่ายแยกต่างหาก แนะนำให้ใช้ Xiaomi 33W Charge Combo (Type-A)
10 อุปกรณ์ที่มีระดับ IP53 ได้รับการทดสอบว่าทนทานต่อน้ำกระเซ็นและฝุ่นในสภาพห้องปฏิบัติการเฉพาะ โดยมีการจัดประเภทการป้องกันน้ำเข้า IP53 ตาม IEC 60529:1989+A1:1999+A2:2013
11 ความพร้อมใช้งานของคุณสมบัติ แอป และบริการของ Xiaomi HyperOS อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเวอร์ชันซอฟต์แวร์และรุ่นโทรศัพท์
12 ของสมนาคุณมีจำนวนจำกัด และเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

83
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: หนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (Phimosis)

ปกติหนังหุ้มปลายองคชาตของผู้ชายจะรูดเปิดจากปลายองคชาตขึ้นไปจนสุด คือพ้นจากส่วนของร่องหัวองคชาต (coronal sulcus) ได้ ผู้ชายบางคนอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตที่รัดตัว จนไม่สามารถรูดให้เปิดขึ้นได้ดังปกติ เรียกว่า หนังหุ้มปลายองคชาตตีบ (phimosis)

หนังหุ้มปลายองคชาตตีบอาจเป็นมากน้อยได้หลายลักษณะ ที่เป็นน้อยสุดคือรูดหนังหุ้มปลายขึ้นไปได้เกินกึ่งกลางของส่วนหัวองคชาต ที่เป็นมากสุดคือรูดหนังหุ้มปลายองคชาตแล้วไม่สามารถมองเห็นรูเปิดท่อปัสสาวะได้

โดยปกติทารกแรกเกิดจะยังคงมีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ เมื่ออายุมากขึ้นหนังหุ้มปลายองคชาตจะค่อย ๆ เปิดออกด้วยกลไกของการแข็งตัวตามกลไกธรรมชาติของร่างกายและขี้เปียก (smegma) จะคงเหลือหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ประมาณร้อยละ 1 ที่อายุครบ 16 มีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดและสามารถรูดจนสุด คือพ้นร่องหัวองคชาต (coronal sulcus)

สาเหตุ

เราสามารถแบ่งหนังหุ้มปลายองคชาตตีบออกเป็นชนิดปฐมภูมิ และทุติยภูมิ

1. ชนิดปฐมภูมิ เป็นความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่ทราบสาเหตุ

โดยปกติทารกแรกเกิดเกือบทุกคนจะยังคงมีหนังหุ้มปลายองคชาตปิดอยู่ ต่อมาหนังหุ้มปลายองคชาตจะค่อย ๆ เปิดออกด้วยกลไกของการแข็งตัวตามธรรมชาติของร่างกาย และหนังหุ้มปลายจะเปิดได้เต็มที่ราวครึ่งหนึ่งของเด็กที่มีอายุ 10 ปี ส่วนใหญ่จะเปิดได้เต็มที่เมื่ออายุมากกว่า 16 ปี

เด็กที่เป็นหนังหุ้มปลายองคชาตตีบจะมีหนังหุ้มปลายตีบกว่าเด็กปกติ ซึ่งจะมีอาการตั้งแต่แรกเกิด และมักตรวจพบเมื่ออายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แต่ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นและปรึกษาแพทย์เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น ยกเว้นในเด็กเล็กที่หนังหุ้มปลายตีบอย่างมากและมีอาการผิดปกติปรากฏชัดเจน

2. ชนิดทุติยภูมิ เป็นภาวะผิดปกติที่ไม่ได้เป็นมาโดยกำเนิด มักพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจเกิดจากโรคผิวหนังอักเสบบางชนิด (เช่น โรคเกล็ดเงิน, Lichen planus ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง เป็นต้น) หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบเรื้อรัง (chronic posthitis) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น เริม หนองใน ซิฟิลิส) การผ่าตัด การฉายรังสี เป็นต้น เกิดเป็นแผลเป็นดึงรั้ง ทำให้หนังหุ้มปลายเปิดไม่ได้

ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำ เกิดภาวะปลายองคชาตอักเสบและติดเชื้อมากกว่าคนทั่วไป


อาการ

ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการแสดง อาการแสดงมักเกิดในผู้ที่เป็นมากหรือมีภาวะแทรกซ้อน อาทิ

    เด็กเล็ก อาจแสดงท่าทางของการเบ่งปัสสาวะ ร้องไห้เวลาปัสสาวะ ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือหนังหุ้มปลายองคชาตโป่งพองคล้ายลูกโป่งขณะปัสสาวะ บางรายอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) บวมแดง มีหนอง หรือมีอาการของโรคติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ (เช่น ไข้ ซึม คลื่นไส้ อาเจียน เบื่อนมและอาหาร ปัสสาวะขุ่น)
    เด็กโตและผู้ใหญ่ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออก หรือถ่ายลำบาก รู้สึกเจ็บปวดเวลาปัสสาวะ หรืออาจมีอาการเจ็บปวดเวลาองคชาตแข็งตัว บางรายอาจมีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) บวมแดง มีหนอง บางรายอาจมีภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด (paraphimosis) แทรกซ้อน กล่าวคือ หนังหุ้มปลายองคชาตเกิดการรัดรอบร่องหัวองคชาต มีลักษณะบวมแดง มีอาการเจ็บปวด ปัสสาวะลำบาก และปลายองคชาตอาจกลายเป็นสีม่วงคล้ำ


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่ออก

อาจเกิดการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ (กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ) หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ (posthitis) ปลายองคชาตอักเสบ (balanitis)

ผู้ที่มีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ พบว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งองคชาต เนื่องจากมีการระคายเคืองของขี้เปียก (smegma)

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง คือ ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด (paraphimosis) เนื่องจากหนังหุ้มปลายองคชาตตีบในระดับหนึ่ง รูดหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นแล้วไม่สามารถรูดกลับมาได้ ทำให้เกิดการบวมของหนังหุ้มปลายที่ติดคารัดรอบร่องหัวองคชาต หากเป็นมากขึ้นอาจเกิดการกดหลอดเลือดแดง ทำให้ปลายองคชาตขาดเลือดจนเนื้อตายได้ ซึ่งจัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องไปโรงพยาบาลโดยด่วน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจพบหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นไม่ได้ปกติ

การตรวจร่างกายจะพบว่ามีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ และในเด็กเล็กอาจตรวจพบหนังหุ้มปลายองคชาตแคบมาก บางรายเล็กเท่ารูเข็ม

อาจตรวจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น หนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ บวมแดง มีหนอง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ นำหนองที่หนังหุ้มปลายไปตรวจหาเชื้อ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามลักษณะและความรุนแรงของโรค

ในรายที่เป็นไม่มากและไม่มีอาการอะไร ก็จะให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง (เช่น สอนพ่อแม่ผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรูดเปิดหนังหุ้มปลายองคชาตให้เด็กทีละน้อยเป็นประจำทุกวัน บางกรณีอาจแนะนำให้ใช้สเตียรอยด์ชนิดครีมทาช่วยให้หนังหุ้มปลายนุ่มและรูดเปิดได้ง่ายขึ้น) และนัดติดตามดูอาการต่อไป สำหรับเด็กเล็ก ภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบอาจหายไปได้เองเมื่ออายุมากขึ้นหรือเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่ม

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้การรักษาตามภาวะที่พบ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ, ให้ยาปฏิชีวนะชนิดกิน หรือยาต้านเชื้อชนิดครีมทา รักษาหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ, ทำการแก้ไขภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตร่นรัด ซึ่งมีอยู่หลายวิธีรวมทั้งการผ่าตัดขริบปลาย เป็นต้น

ในรายที่ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วย ก็จะให้ยารักษาเบาหวาน

ในรายที่เป็นมาก มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนบ่อย หรือรุนแรง แพทย์จะรักษาโดยการตัดหนังหุ้มปลายออก เรียกว่า การขริบปลาย (circumcision)

ในบางราย แพทย์อาจทำการผ่าตัดแยกหนังหุ้มปลายองคชาตออกจากปลายองคชาตแทนการขริบปลาย วิธีนี้ช่วยรักษาหนังหุ้มปลายไว้ แต่มีโอกาสเกิดภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบซ้ำได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ถ่ายปัสสาวะไม่ออก ถ่ายปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่ง หนังหุ้มปลายองคชาตโป่งพองคล้ายลูกโป่งขณะปัสสาวะ มีหนังหุ้มปลายองคชาตอักเสบ มีอาการเจ็บปวดเวลาองคชาตแข็งตัว หรือหนังหุ้มปลายองคชาตเปิดขึ้นไม่เท่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ในรายที่มีการรักษาด้วยการขริบปลาย ต่อมาพบว่ามีอาการติดเชื้อเป็นหนองที่ปลายองคชาต หรือรอยแผลที่ขริบมีการอักเสบหรือเลือดออก หรือมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. สำหรับเด็กที่มีหนังหุ้มปลายองคชาตตีบชนิดปฐมภูมิโดยกำเนิด ยังไม่มีวิธีป้องกัน ควรหาทางป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้วยการรีบไปปรึกษาแพทย์เมื่อสงสัยว่าจะมีภาวะนี้ และให้การดูแลรักษาตามที่แพทย์แนะนำ

2. สำหรับหนังหุ้มปลายองคชาตตีบชนิดทุติยภูมิซึ่งพบในเด็กโตและผู้ใหญ่ ซึ่งมักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในบริเวณปลายองคชาต อาจป้องกันด้วยการรักษาโรคติดเชื้อนั้นให้ได้ผล ดังนี้

    ดูแลสุขอนามัยบริเวณปลายองคชาต ด้วยการทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นทุกวันในระหว่างอาบน้ำ โดยดึงหนังหุ้มปลายองคชาตให้เปิดออกอย่างช้า ๆ และล้างทำความสะอาดผิวหนังข้างใต้ เสร็จแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้งทุกครั้ง แล้วรูดหนังหุ้มปลายให้กลับมาหุ้มปลายองคชาตตามเดิม และเพื่อป้องกันการระคายเคืองควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีน้ำหอมหรือผสมสารเคมีในการทำความสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้แป้งฝุ่น และสารระงับกลิ่นใส่ที่ปลายองคชาต
    ปัองกันไม่ให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    เมื่อสงสัยมีการอักเสบหรือมีแผลที่ปลายองคชาตและหนังหุ้มปลายองคชาต ควรรีบปรึกษาแพทย์ และดูแลรักษาให้หายขาด

ข้อแนะนำ

ปัจจุบัน ไม่แนะนำให้ทำการขริบปลายแก่เด็กทุกคน โดยที่ไม่มีภาวะหนังหุ้มปลายองคชาตตีบ และถึงแม้เด็กมีหนังหุ้มปลายตีบไม่รุนแรง (ซึ่งไม่มีอาการผิดปกติ) ก็ไม่จำเป็นต้องทำการขริบปลาย เพราะภาวะนี้มักจะหายได้เองเมื่ออายุมากขึ้น

แพทย์จะทำการขริบปลาย เมื่อพบว่ามีภาวะหนังหุ้มปลายตีบอย่างมาก มีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนบ่อย หรือรุนแรง

84
บ้านติดรถไฟฟ้า ธนาพาร์ค พรีเว่ พระราม 5 - นครอินทร์ (Thana Park Prive Rama 5 - Nakhon In)
เริ่มต้น 5.99 ลบ. 

ธนาพาร์ค พรีเว่ พระราม 5 - นครอินทร์ (Thana Park Prive Rama 5 - Nakhon In)
บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 ชั้น สไตล์ Modern Tropical จาก ธนาสิริ บ้านโครงการใหม่กับคอนเซ็ปต์ Natural With New Life Of Peaceful "ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ กับ ชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสงบ" โครงการที่เน้นธรรมชาติในการอยู่อาศัย มีต้นไม้ขนาดใหญ่ และสวนสาธารณะ ที่ร่มรื่นให้พักผ่อน ทำเลบนพื้นที่ พระราม 5 - นครอินทร์ ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ มากมาย

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            ธนาพาร์ค พรีเว่ พระราม 5 - นครอินทร์ (Thana Park Prive Rama 5 - Nakhon In)
 เจ้าของโครงการ       ธนาสิริ กรุ๊ป
 แบรนด์ย่อย            ธนาพาร์ค
 ราคา                   เริ่มต้น 5.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน         บ้านเดี่ยว, บ้านแฝด
 ลักษณะทำเล       บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ      5 ไร่ 1 งาน 12 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน          26 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด    5 แบบ
  เนื้อที่บ้าน          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน     4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ     ตั้งแแต่ 2 ถึง 3 คัน
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน                   นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง                   ถนนบางไผ่พัฒนา-แยกวัดตึก นนทบุรี 2008 แขวง/ตำบลบางศรีเมือง เขต/อำเภอ เมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(กระทรวงสาธารณสุข)
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีม่วง, สถานี(บางซื่อ - บางใหญ่)(แยกติวานนท์)
ใกล้ทางด่วน (ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ บางบำหรุ, ทางพิเศษศรีรัช หมอชิต)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า/ไลฟ์สไตล์
1.Makro นครอินทร์ 2.4 กม.
2.Lotus นครอินทร์ 3.6 กม.
3.ตลาดครอบครัว สาขาบางกรวย 6.5 กม.
4.ตลาดคูล มาร์เก็ต บางกรวย 7.2 กม.
5.ตลาดชาวสยาม บางกรวย 7.2 กม.
6.The Walk ราชพฤกษ์ 7.4 กม.
7.ตลาดพระราม 5 10.5 กม.
8.Central Westville 10.7 กม.
9.Therystal SB ราชพฤกษ์ C 11.2 กม.
10.Home Pro ราชพฤกษ์ 12.2 กม.
11.ตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี 13 กม.
12.Central ปิ่นเกล้า 13.2 กม.

สถานศึกษา
1.โรงเรียนอุดมศึกษา 1.2กม.
2.โรงเรียนนานาชาติ ร่วมฤดี ราชพฤกษ์ 4.2 กม.
3.โรงเรียนสตรีนนทบุรี 4.3 กม.
4.มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ 5.8 กม.
5.มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์ 5.8 กม.
6.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 6.2 กม.
7.โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 6.2 กม.
8.โรงเรียนเด่นหล้าพระราม 5 10 กม.


โรงพยาบาล
1.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพวัดโชติการาม 3.3 กม.
2.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าฯ 4.4 กม.
3.โรงพยาบาลอนันต์พัฒนา 7.1 กม.
4.โรงพยาบาลบางกรวย 7.1 กม.
5.โรงพยาบาลศูนย์บริการการแพทย์นนทบุรี 7.3 กม.
6.โรงพยาบาลยันฮี 8.1 กม.
7.โรงพยาบาลศรีสวรรค์ ราชพฤกษ์ 11.4 กม.
8.โรงพยาบาลตา หู คอ จมูก 12.8 กม.
9.โรงพยาบาลเจ้าพระยา 16.5 กม.

85
จัดฟันบางนา: โรคอ้วน ส่งผลโดยตรงกับ สุขภาพช่องปาก

เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะไม่ทราบว่า สุขภาพร่างกาย พฤติกรรมต่างๆ รวมถึงนิสัยการใช้ชีวิตของคุณส่งผลโดยตรงกับสุขภาพช่องปากเป็นอย่างมาก แปลว่าสิ่งที่คุณกำลังกระทำต่างๆล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อร่างกาย และสุขภาพช่องปากไปด้วยในตัวนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น มีงานศึกษาวิจัยมากมายบ่งบอกชัดเจนว่า พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเหงือกได้อย่างรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้นกว่าปกติ โดยในงานศึกษาวิจัยยังได้ลงลึกรายละเอียดซึ่งได้กล่าวว่า คนที่สูบบุหรี่จะมีปัญหาสุขภาพเหงือกรุนแรงกว่าคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ถึง 6 เท่า อีกทั้งผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติรุนแรงมากกว่าผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ถึง 6 เท่าเช่นกัน

แต่การทำร้ายสุขภาพร่ายกายที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากรุนแรงร่วมด้วยไม่ใช่มีเพียงการสูบบุหรี่เท่านั้น แต่ในงานศึกษาวิจัยต่างๆยังระบุถึงการรับประทานอาหารต่างๆมากมายที่คุณผู้อ่านกำลังรับประทานเป็นประจำอีกด้วย

โดยในวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านมาทราบถึงผลร้ายต่างๆที่หลายๆคนกำลังทำลายสุขภาพร่างกายของตนเอง ว่าจริงๆแล้วไม่ใช่แค่ทำร้ายสุขภาพภายในเท่านั้น แต่คุณกำลังทำร้ายทุกส่วนรวมถึงโรคในช่องปากที่รุนแรง ดังต่อไปนี้


ความเกี่ยวเนื่องของภาวะน้ำหนักเกิน และ สุขภาพช่องปาก ?

มีนักวิชาการในระดับโลกมากมายได้ทำการศึกษาวิจัยถึงโรคอ้วน หรือภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งถือว่าคนจำนวนมากบนโลกเริ่มมีภาวะนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเบื้อต้นคาดว่ามาจากนิสัย หรือพฤติกรรมการรับประทาน และโภชนาการที่ไม่ดี ซึ่งภาวะน้ำหนักเกินนี้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจำนวนมาก เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2 ข้ออักเสบ โรคหลอดเลือดหัวใจ ปัญหาระบบทางเดินหายใจ มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ และที่สำคัญเลยจากการศึกษาได้ทราบว่า โรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกินนั้น มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับเหงือกด้วย เนื่องจากผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินจะเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งส่งผลถึงความสัมพันธ์ระหว่าง น้ำหนักเกินกับโรคเหงือกต่างๆนั่นเอง

ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วนนั้นหลายคนคงพอจะทราบว่าเกิดจาก “น้ำตาล”  และน้ำตาลนั่นเองคือศตรูตัวร้ายของสุขภาพช่องปาก และเป็นภัยคุกคามต่อฟันของท่านผู้อ่าน เนื่องจากว่าน้ำตาลตามอาหารที่รับประทานเข้าไปจะทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์ที่ผิวฟัน ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับคาร์โบไฮเดรตที่มาจากแป้ง ก็จะผลิตกรดออกมาสะสมและทำลายเคลือบฟัน และหากว่าทำความสะอาดไม่หมด ซึ่งทำความสะอาดได้อย่างมาก ก็จะทำให้เกิดฟันผุตามมานั่นเอง ซึ่งหากว่าไม่ได้รับการรักษาปล่อยทิ้งไว้ สุดท้ายก็จะทำให้คุณสูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาตินั่นเอง

แต่ถ้าหากว่าไม่อยากให้น้ำตาลทำลายฟันของคุณแล้วล่ะก็ วิธีหนึ่งที่ได้ผลก็คือ ลดของหวานลง แต่ไม่ใช่ให้เลิก เพราะถ้าหากว่ารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ทั้งแป้งและน้ำตาล ก็จะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ซึ่งหากว่าคุณอยากที่จะรับประทานอะไรหวานๆ ก็ให้พยายามรับประทานพร้อมอาหาร แต่ลดการรับประทานเป็นของว่างในระหว่างวัน และเมื่อรับประทานเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญคือการบ้วนปาก หากว่าไม่สามารถแปรงฟันได้ เพื่อกำจัดคราบเศษอาหารเบื้องต้น เพียงเท่านี้คุณก็จะได้ทั้งสุขภาพปากที่ดี และลดการเกิดภาวะน้ำหนักเกินเบื้อต้นได้ด้วย และสิ่งสำคัญอีกอย่างไม่แพ้การดูแลสุขภาพช่องปากนั่นก็คือ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อลดภาวะน้ำหนักเกิน

มาถึงตอนนี้ หากว่าคุณผู้อ่านอยากที่จะมีสุขภาพช่องปากที่ดี สองขั้นตอนสำคัญที่คุณต้องทำก่อนก็คือ เลิกบุหรี่ และ ลดน้ำหนัก ซึ่งก็เข้าใจว่าทั้ง 2 ข้อนี้มีความยากมากในการเลิกและลด วิธีการที่ดีที่สุดคือการเข้าพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษานั่นเอง

นอกจาก 2 ขั้นตอนทางกายภาพเบื้องต้นแล้ว สิ่งสำคัญที่อยากแนะนำคือ หมั่นทำความสะอาดช่องปาก ใช้ไหมขัดฟันหลังจากแปรงฟันทุกครั้งเพื่อกำจัดคราบเศษอาหารที่ไม่สามารถใช้แปรงสีฟันได้ และอย่าลืมสละเวลาพบทันตแพทย์ปีละ 2 ครั้ง หรือ 6 เดือนครั้ง เป็นอย่างน้อย เท่านี้ท่านผู้อ่านก็สามารถรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้แข็งแรงคงทนอยู่กับเราไปนานแสนนาน โดยที่ไม่ต้องใส่ฟันปลอม


86
การเตรียมพร้อม สำหรับการติดตั้งผ้ากันไฟ ในโรงงาน

การเตรียมพร้อมสำหรับการติดตั้งผ้ากันไฟในโรงงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าผ้ากันไฟจะสามารถป้องกันอันตรายจากไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนและสิ่งที่ควรพิจารณาดังนี้:

1. การประเมินความเสี่ยง:

วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง: ระบุพื้นที่ในโรงงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ เช่น บริเวณที่มีเครื่องจักรที่ใช้ความร้อน บริเวณที่มีสารไวไฟ หรือบริเวณที่มีสายไฟจำนวนมาก
ประเมินประเภทของไฟ: พิจารณาประเภทของไฟที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ เพื่อเลือกผ้ากันไฟที่เหมาะสม
กำหนดขนาดและปริมาณ: กำหนดขนาดและปริมาณของผ้ากันไฟที่ต้องการใช้ในแต่ละพื้นที่


2. การเลือกผ้ากันไฟ:

เลือกวัสดุที่เหมาะสม: เลือกผ้ากันไฟที่ทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสูง เช่น ไฟเบอร์กลาส หรืออะรามิด
พิจารณามาตรฐาน: เลือกผ้ากันไฟที่มีมาตรฐานรับรอง เช่น มาตรฐาน NFPA หรือมาตรฐาน EN
เลือกประเภทการใช้งาน: เลือกผ้ากันไฟที่เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ผ้ากันสะเก็ดไฟ ผ้าห่มดับไฟ หรือม่านกันไฟ


3. การติดตั้ง:

ติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม: ติดตั้งผ้ากันไฟในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่ายในกรณีฉุกเฉิน
ติดตั้งให้แน่นหนา: ติดตั้งผ้ากันไฟให้แน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าหลุดหรือเคลื่อนที่เมื่อใช้งาน
ติดตั้งอุปกรณ์เสริม: ติดตั้งอุปกรณ์เสริม เช่น ขอแขวน หรือสายรัด เพื่อให้ใช้งานผ้ากันไฟได้สะดวกยิ่งขึ้น


4. การฝึกอบรม:

ฝึกอบรมพนักงาน: ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้งานผ้ากันไฟอย่างถูกต้องและปลอดภัย
ฝึกซ้อมการใช้งาน: ฝึกซ้อมการใช้งานผ้ากันไฟในสถานการณ์จำลอง เพื่อให้พนักงานสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในกรณีฉุกเฉิน


5. การดูแลรักษา:

ตรวจสอบสภาพ: ตรวจสอบสภาพของผ้ากันไฟอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าผ้ายังอยู่ในสภาพดี
ทำความสะอาด: ทำความสะอาดผ้ากันไฟตามคำแนะนำของผู้ผลิต
เปลี่ยนผ้ากันไฟ: เปลี่ยนผ้ากันไฟเมื่อผ้าเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุการใช้งาน


ข้อควรระวัง:

ควรติดตั้งผ้ากันไฟโดยผู้เชี่ยวชาญ
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด
ควรมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาผ้ากันไฟอย่างสม่ำเสมอ
การเตรียมพร้อมสำหรับการติดตั้งผ้ากันไฟอย่างรอบคอบ จะช่วยลดความเสี่ยงจากอันตรายจากไฟไหม้ และเพิ่มความปลอดภัยในโรงงาน

87
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ผมร่วงเนื่องจากผมหยุดเจริญชั่วคราว

ปกติเส้นผมของคนเรามีอายุนาน 2-6 ปี แล้วจะหยุดการเจริญงอกงาม ในแต่ละวันจะมีเส้นผมประมาณ 100 เส้นที่เสื่อมและหลุดร่วงไป

แต่ในบางภาวะ เส้นผมที่กำลังเจริญอาจหยุดการเจริญในทันที ทำให้มีเส้นผมเสื่อมและหลุดร่วงเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงทำให้เกิดอาการผมร่วงมากกว่าปกติได้

สาเหตุ

สาเหตุที่ทำให้ผมหยุดการเจริญชั่วคราวที่พบได้บ่อย เช่น

    ผู้หญิงหลังคลอด ผมมักร่วงหลังคลอดประมาณ 3 เดือน (ชาวบ้านเชื่อว่า เป็นเพราะลูกจำหน้าแม่ได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง) เนื่องจากขณะคลอดเส้นผมบางส่วนเกิดหยุดการเจริญในทันที ต่อมาอีก 2-3 เดือน ผมเหล่านี้ก็จะร่วง
    ทารกแรกเกิดอาจมีอาการผมร่วงในระยะ 1-2 เดือนแรก แล้วจะค่อย ๆ มีผมงอกขึ้นใหม่
    เป็นไข้สูง เช่น ไข้รากสาดน้อย ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ เป็นต้น จะมีอาการผมร่วง (หัวโกร๋น) หลังเป็นไข้ ประมาณ 2-3 เดือน
    ได้รับการผ่าตัดใหญ่
    เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร เป็นต้น
    การเสียเลือด การบริจาคเลือด
    การใช้ยา เช่น ยาคุมกำเนิด อัลโลพูรินอล โพรพิลไทโอยูราซิล เฮพาริน เป็นต้น
    ภาวะเครียดทางจิตใจ เช่น ตกใจ เสียใจ เศร้าใจ

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการผมร่วงมากผิดปกติ (มากกว่าวันละ 100 เส้น) ลักษณะร่วงทั่วศีรษะ ซึ่งมักจะมีอาการตามหลังสาเหตุเหล่านี้ประมาณ 2-3 เดือน และอาจจะเป็นอยู่นาน 2-6 เดือน ก็จะหายได้เองอย่างสมบูรณ์


ภาวะแทรกซ้อน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ผมร่วง ถ้าเกิดจากการเจ็บป่วยเรื้อรัง (เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร) ก็จะมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคเหล่านี้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจหาสาเหตุ ซึ่งอาจจำเป็นต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

ถ้ามีสาเหตุชัดเจน (เช่น หลังคลอด หลังผ่าตัด จิตใจเครียด) ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด ควรอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ และรอให้ผมงอกขึ้นใหม่

ถ้าไม่แน่ใจ แพทย์จะทำการตรวจสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ


การดูแลตนเอง

หากมีอาการผมร่วงมากกว่าปกติ หรือสงสัยอาจเกิดจากโรคบางอย่าง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเกิดจากการเจ็บป่วย ก็ควรรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์


การป้องกัน

ขึ้นกับสาเหตุ ถ้าเกิดจากความเครียดทางจิตใจ หรือการเจ็บป่วยเรื้อรัง (เช่น วัณโรค เบาหวาน โลหิตจาง ขาดอาหาร) ก็จะหาทางป้องกันสาเหตุเหล่านี้

88
ซ่อมบำรุงอาคาร: ผลเสียจากการเปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวัน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เครื่องปรับอากาศหรือแอร์ มีความจำเป็นอย่างมากในอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้เพราะอากาศในบ้านเราต้องบอกว่า มีอากาศที่ร้อนมากซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อใช้ในการคลายร้อนทำให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่เราก็ต้องแลกกับค่าไฟที่ต้องเพิ่มมากขึ้น

แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศของเรานั้นจะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ

แต่ก็มีหลายบ้านที่มักจะเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ได้พักแอร์เลย ก็ทำให้แอร์ต้องทำงานหนัก และสกปรกได้ง่ายเพราะยิ่งเราเปิดแอร์ ก็ยิ่งทำให้แอร์มีการสะสมของฝุ่นเป็นจำนวนมากนั่นเอง ซึ่งการใช้งานแอร์ที่หนักเกินไปนั้นทำให้เราต้องทำความสะอาดแอร์บ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้เรามีปัญหาสุขภาพตามมาได้นั่นเอง เพราะโดยปกติแล้ว การอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเราเท่าไหร่นักยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภูมิแพ้และปอดอักเสบได้

ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของข้อเสียของการเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืนที่ทำให้เรารู้สึกเย็นสบายตลอดทั้งวัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกับสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

หลายคนชื่นชอบในการที่จะได้อยู่ในห้องแอร์ที่มีอากาศเย็นสบาย แต่รู้หรือไม่ว่าการที่เราเปิดเครื่องปรับอากาศทั้งวันนั้น ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกันโดยเฉพาะผลเสียที่มีต่อสุขภาพของเรา เคยสังเกตไหมเวลาที่เราเปลี่ยนสถานที่จากที่ร้อนมากๆ ไปที่เย็นมากๆหรือจากที่เย็นมากๆไปร้อนมากๆ ทำให้เราปวดหัวได้ง่าย มีอาการเวียนหัว เพราะการที่เราเปลี่ยนอากาศให้เย็นในทันทีอาจส่งผลให้หลอดเลือดในร่างกายปรับตัวตามไม่ทัน ซึ่งจะทำให้เกิดอากาศปวดหัวหรือวิงเวียนศีรษะได้โดยเฉพาะคนที่ป่วยมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับความดัน สมอง ยิ่งต้องระวังเรื่องนี้ให้มากๆ

นอกจากนี้ การอยู่ในห้องแอร์ทั้งวันยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคทางเดินหายใจต่างๆยิ่งถ้าหากไม่ทำความสะอาดแอร์หรือปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอตามเวลาที่กำหนด
เครื่องปรับอากาศอาจเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจได้

รวมไปถึงโรคหวัด โรคภูมิแพ้ หรืออาการเจ็บคอ โดยเฉพาะบริเวณเซลล์เยื่อบุโพรงจมูก คอ หลอดลมที่ไม่มีเมือกในการคอยดักจับฝุ่นหรือเชื้อโรคต่างๆจึงทำให้เราสามารถรับเชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายมากขึ้นกว่าสภาพอากาศปกติ


รวมไปถึงทำให้ผิวแห้งอีกด้วย เพราะลมเย็นที่ออกมาจากแอร์ปรับอากาศอาจจะทำให้รู้สึกสบายแต่ไม่ดีต่อผิวหนังอย่างแน่นอน การต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องที่ใช้แอร์ปรับอากาศทั้งวันอาจจะทำให้ผิวแห้ง จมูกแห้ง หรือตาแห้งได้ เนื่องจากในห้องแอร์จะมีความชื้นต่ำกว่าหากใครมีผิวแห้งมากๆ การอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลาอาจทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนังได้

ทั้งหมดนี้คือผลที่เกิดกับร่างกายของเรา หากเราอยู่ในห้องแอร์ตลอดทั้งวันแถมยังส่งผลเสียต่อเครื่องปรับอากาศของเราด้วยเช่นกันเหมือนกับร่างกายของคนถ้าหากต้องทำงานหนักก็อาจจะน็อคได้เช่นเดียวกับเครื่องปรับอากาศ หากทำงานหนักจนเกินไป หรือเราเปิดแอร์ทั้งวันก็อาจจะทำให้แอร์ของเราเสื่อมสภาพหรือมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติ

แถมยังต้องมาเสียค่าไฟอีกหลายพันบาทเลยทีเดียวเพราะเครื่องปรับอากาศเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุดแต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดแอร์ทั้งวัน ก็ต้องหมั่นบำรุงรักษา ล้างแอร์บ่อยๆเพื่อให้เครื่องปรับอากาศได้การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพใช้ได้ยาวๆ

แต่ถ้าหากมีปัญหาก็ควรรีบแก้ไขทันที เพราะถ้าหากปล่อยไว้อาจจะทำให้เครื่องปรับอากาศของเราพังได้นอกจากนี้ยังเพื่อช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าและสุขภาพของตัวเราเอง

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์ สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร
ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไปถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย

89
ตรวจอาการด้วยตนเอง: เนื้องอกรังไข่ (Ovarian tumor) ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian cyst)

เนื้องอกรังไข่ และถุงน้ำรังไข่ อาจอยู่ในเนื้อรังไข่หรืออยู่บนผิวของรังไข่ก็ได้ บางกรณีอาจเป็นก้อนยื่นออกจากรังไข่โดยมีก้าน (ขั้ว) เชื่อมติดกับรังไข่ พบได้ในผู้หญิงทุกวัย ส่วนใหญ่พบในวัยเจริญพันธุ์

เนื้องอกและถุงน้ำรังไข่มีอยู่หลายชนิด* ส่วนใหญ่เป็นชนิดไม่ร้าย (benign) ส่วนน้อยที่เป็นมะเร็งรังไข่ ซึ่งมักพบในผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี


สาเหตุ

เกิดจากเซลล์ของรังไข่ที่มีการแบ่งตัวเจริญอย่างผิดปกติ กลายเป็นก้อนเนื้องอก หรือเป็นถุงหุ้มที่มีน้ำหรือของเหลวบรรจุอยู่ภายใน

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

สำหรับถุงน้ำชนิดที่พบบ่อย ได้แก่ follicular cyst และ corpus luteum cyst เป็นผลที่เกิดจากกระบวนการตกไข่ (ovulation) กล่าวคือ ฟอลลิเคิล (follicle) หรือถุงไข่ ซึ่งเป็นถุงเล็ก ๆ ที่บรรจุไข่ (ovum) โดยปกติจะถูกฮอร์โมนแอลเอช (LH) กระตุ้นให้เจริญจนสุกแล้วแตกออกปล่อยไข่ออกมาจากรังไข่นั้น เกิดการเจริญอย่างผิดปกติ และไม่มีการตกไข่ ทำให้กลายเป็นถุงน้ำ (follicular cyst) ขึ้นมา ส่วน corpus luteum cyst ซึ่งเป็นฟอลลิเคิลระยะหลังจากที่แตกและปล่อยไข่ออกมาแล้วและมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนนั้น บางครั้งเกิดการอุดตันที่รูแตกทำให้มีน้ำสะสมอยู่ภายในกลายเป็นถุงน้ำ ถุงน้ำทั้ง 2 ชนิดนี้ มีชื่อเรียกว่า ถุงน้ำสรีระ (physiologic หรือ functional cyst) อาจมีขนาด 5-6 ซม. ส่วนใหญ่มักจะค่อย ๆ ฝ่อตัวลงจนหายภายใน1-3 เดือน

ส่วน dermoid cyst เกิดจากเซลล์ไข่ (germ cell) ซึ่งสามารถเจริญเป็นเนื้อเยื่อทุกชนิด เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นแต่กำเนิด (congenital) ถุงน้ำชนิดนี้มักพบในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 20 ปี มีลักษณะเป็นถุงหุ้มผนังหนามีสารข้น ๆ สีเหลืองอยู่ภายใน ประกอบด้วย ไขมัน ฟัน กระดูก และผม อาจงอกออกนอกรังไข่โดยมีก้านเชื่อมซึ่งสามารถเกิดการบิดขั้วได้ ส่วนใหญ่เป็นถุงน้ำชนิดไม่ร้าย ส่วนน้อยอาจกลายเป็นมะเร็ง

ส่วน cystadenoma เกิดจากเซลล์เยื่อหุ้มรังไข่ (epithelial cell) โดยไม่ทราบสาเหตุ อาจมีน้ำใสบรรจุอยู่ภายใน (เรียกว่า “Serous cystadenoma”) หรือเป็นเมือกข้น (เรียกว่า “Mucinous cystadenoma”) ซึ่งอาจมีขนาดโตมากกว่า 60 ซม. อาจมีก้านเชื่อมต่อกับรังไข่ เกิดการบิดขั้วได้ และบางรายอาจกลายเป็นมะเร็งตามมาได้


อาการ

ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ

บางรายอาจมีอาการแน่นท้อง รู้สึกปวดหน่วง ๆ ในท้องน้อย หรือมีอาการปวดเฉียบขณะร่วมเพศหรือถ่ายอุจจาระ

ถ้าถุงน้ำแตก หรือมีเลือดออกเข้าไปในถุงน้ำหรือช่องท้อง ก็จะมีอาการปวดท้องฉับพลันรุนแรง

ในรายที่มีก้านเชื่อมต่อกับรังไข่ อาจเกิดการบิดขั้วกะทันหัน ทำให้เกิดอาการปวดท้องฉับพลันรุนแรง เรียกว่า เนื้องอก/ถุงน้ำรังไข่ชนิดบิดขั้ว (twisted ovarian tumor/cyst)

หากเป็นเนื้องอกหรือถุงน้ำที่มีการสร้างฮอร์โมนก็อาจทำให้เกิดการเสียสมดุลของระบบฮอร์โมน ทำให้มีอาการประจำเดือนผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือออกมากกว่าปกติได้ หรือมีเลือดออกจากช่องคลอดในหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน


ภาวะแทรกซ้อน

เนื้องอกหรือถุงน้ำที่เป็นก้อนโตอาจกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ (ทำให้มีความรู้สึกเวลาปวดปัสสาวะที่ต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที ปัสสาวะบ่อย) ทวารหนัก (ทำให้ท้องผูก) ถุงน้ำอาจแตก เลือดออก หรือมีการบิดขั้วทำให้ปวดท้องฉับพลันรุนแรง ตกเลือดภายในและอาจมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบจากเคมี (chemical peritonitis) เป็นอันตรายได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายใน ทำการตรวจอัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้กล้องส่องตรวจช่องท้อง (laparoscopy) ในรายที่ต้องการแยกสาเหตุของมะเร็งรังไข่ อาจทำการตรวจระดับ cancer antigen 125 (CA125) ในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

ถ้าถุงน้ำมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 5 ซม. และไม่มีอาการปวดท้องมาก แพทย์ก็จะนัดผู้ป่วยมาตรวจดูอาการเป็นระยะ ๆ โดยไม่ต้องให้การรักษาใด ๆ และถ้าเป็นถุงน้ำสรีระจะค่อย ๆ หายได้เองภายใน1-3 เดือน

แต่ถ้าก้อนโตมากกว่า 5 ซม. หรือมีอาการปวดท้องมาก หรือสงสัยเป็นมะเร็งรังไข่ ก็จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตกเลือดมาก เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (มีไข้ ปวดท้อง อาเจียน) ก็อาจต้องผ่าตัดฉุกเฉิน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการแน่นท้อง รู้สึกปวดหน่วง ๆ ในท้องน้อย หรือมีอาการปวดเฉียบขณะร่วมเพศหรือถ่ายอุจจาระ หรือมีอาการปวดท้องฉับพลันรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกรังไข่/ถุงน้ำรังไข่ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการปวดท้องฉับพลันรุนแรง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง


ข้อแนะนำ

มะเร็งรังไข่ที่มีก้านต่อกับรังไข่ ก็อาจมีอาการปวดท้องรุนแรงแบบเดียวกับถุงน้ำรังไข่ชนิดบิดขั้วได้เช่น
กัน ในการผ่าตัดอาจจำเป็นต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อแยกแยะสาเหตุให้ชัดเจน

ถ้าเป็นมะเร็งรังไข่ก็จะทำการผ่าตัดรังไข่และท่อรังไข่ออกไปด้วย ร่วมกับการให้เคมีบำบัด (ดูโรคมะเร็งรังไข่)

90
bigbike ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Pan America 1250 ST ปี 2025
874,000 บาท 

ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Pan America 1250 ST ปี 2025
Harley-Davidson Pan America 1250 ST ออกแบบเบาะที่นั่งให้ผู้ขับขี่อยู่ในตำแหน่งที่พร้อม ควบคุมตัวรถได้อย่างมั่นใจและสะดวกสบาย มาพร้อมกับสมรรถนะรอบด้านจากเครื่องยนต์ Revolution? Max 1250 แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ล้อหน้า 17 นิ้วพร้อมยางสตรีทแบรนด์ชั้นนำ ช่วงล่างและระบบเบรกระดับพรีเมียม ปรับช่วงล่างและตำแหน่งเบาะนั่งใหม่ต่ำลง พร้อมด้วยระบบ ท่อไอเสียน้ำหนักเบาและควิกชิฟเตอร์

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Harley-Davidson
   รุ่น                  ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Pan America 1250 ST ปี 2025
   ประเภทรถ        Adventure Bigbike
   ปีที่เปิดตัว          2025
   ราคา              874,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์       เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์         6 ระดับ และควิกชิฟเตอร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์        Revolution Max 1250 149 hp (111 kW) @ 8,750 rpm
   ระบบระบายความร้อน          น้ำ
   ระบบสตาร์ท                  สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      1252 CC
   แบบเครื่องยนต์               4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง       เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน                หัวฉีด (Electronic Sequential Port Fuel Injection)
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)       21.2 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน            ล้อหน้า โช้คแบบหัวกลับ 47 มม. พร้อมระบบควบคุมการหน่วงกึ่งแอคทีฟปรับได้แบบอิเล็กทรอนิกส์ ทริปเปิลแคลมป์ชุดตะเกียบอะลูมิเนียม, ล้อหลัง โช้คเดี่ยวแบบติดตั้งบนชุดโยงพร้อมระบบควบคุมพรีโหลดอิเล็กทรอนิกส์อัตโนมัติ และระบบหน่วงการบีบอัดแบบและการยุบตัวแบบกึ่งแอคทีฟ
    ระบบเบรค               ล้อหน้า ดิสก์เบรก (จานเบรกคู่แบบลอย ติดตั้งบนถัง), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (จานเบรกดันแบบขยายตัวสม่ำเสมอ)
   แบบวงล้อ                แมกซ์
   ขนาดยาง                ล้อหน้า 120 / 70ZR17 58W, ล้อหลัง 180 / 55ZR17 73W
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)   2,240 x 895 X 1,330
   น้ำหนักตัวรถ                     246.00 กก.

91
จัดฟันบางนา: ใส่ฟันปลอมแบบชั่วคราว สามารถจัดฟันได้หรือไม่

เชื่อว่าหลายๆท่านคงมีคำถามที่ค้างคาใจ เกี่ยวกับการจัดฟันหลังจากที่ทำฟันเทียมสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งหลายๆท่านมองว่าอาจจะทำไม่ได้ หรืออาจจะทำได้ ทำให้เกิดการตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำจะทำการจัดฟันดีไหมหลังจากที่ทำฟันเทียมไปแล้ว เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาที่เป็นผลกระทบต่อฟันเทียม หรือจะเข้าไปถามทันตแพทย์ก็กลัวที่จะต้องเสียเวลา

ในวันนี้เลยจะขอนำข้อมูลดังกล่าวมาไขข้อสงสัยเบื้องต้นกัน เพื่อให้ท่านได้ศึกษาก่อนที่จะไปพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ใส่ฟันแบบรูปแบบต่างๆ สามารถจัดฟันได้หรือไม่ ?

ถือว่าเป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมของผู้ที่ทำการใส่ฟันปลอม และถือได้ว่าเป็นคำถามที่ดีมากๆ เพราะ มีหลายๆท่านที่กำลังคิดมากเกรงว่าทำฟันปลอมไปแล้วจะไม่สามารถที่จะทำการจัดฟันได้ หรือควรที่จะทำการจัดฟันก่อนแล้วค่อยทำฟันปลอมดี ซึ่งขอบอกเลยว่าเราจะมาไขข้อสงสัยเหล่านี้ด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

– กรณีใส่ฟันปลอมแบบถอดได้

หากว่าใส่ฟันปลอมแบบถอดได้และต้องการที่จะทำการจัดฟัน อาจจำเป็นต้องถอดฟันปลอมชิ้นนั้นออกก่อน และจะไม่สามารถใส่ฟันปลอมนั้นได้อีกต่อไป เนื่องจากว่าแผ่นเพดานของฟันปลอม และ ในส่วนที่เป็นอะคริลิก จะไปทำการขัดขวางการเคลื่อนที่ของฟัน ทำให้ระบบการจัดฟันที่ต้องให้ฟันเคลื่อนที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ มีความผิดปกติในการเคลื่อนตัว ส่วนใหญ่จึงนิยมทำการจัดฟันและใส่ฟันปลอมแบบแบร็กเก็ตติดบนซี่ฟัน ซึ่งจะช่วยในเรื่องความสวยงามและช่วยในการคงที่ของช่องว่างให้เหมาะสมกับฟันปลอมที่จะทำในภายหลังจากที่จัดฟันเสร็จ

ดังนั้นเมื่อทำการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้ จะต้องทำการทำฟันปลอมใหม่เมื่อได้ทำการจัดฟันหลังจากใส่ฟันปลอม เนื่องจากว่าการเคลื่อนที่ ที่เกิดจากการจัดฟันจะส่งผลให้การเรียงตัวของฟันไม่เหมือนเดิม ทำให้ไม่สามารถใส่ฟันปลอมที่ทำมาก่อนการจัดฟันได้นั่นเอง

– กรณีใส่ครอบฟัน

ในกรณีนี้นั้นสามารถที่จะทำการจัดฟันได้ โดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่อาจจำเป็นต้องใช้น้ำยาชนิดพิเศษที่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะจ่ายให้ในการยึดติดแบร็กเก็ตกับครอบฟัน

– กรณีใส่สะพานฟัน

หากว่าท่านกำลังใส่สะพานฟันอยู่ ขอบอกเลยว่าท่านสามารถที่จะทำการจัดฟันได้ แต่อย่างเพิ่งดีใจไป เพราะในระหว่างที่ทำการจัดฟัน ท่านจำเป็นที่จะต้องเอาสะพานฟันออก แล้วทำการใส่ครอบฟันให้กับฟันที่เป็นหลักยึดสะพานฟันหน้าหลังทั้ง 2 ซี่ ในส่วนที่เป็นช่องว่างของฟันที่สูญเสียไปนั้น จะต้องทำการใส่ฟันปลอมแบบชั่วคราวไว้จนกว่าจะทำการจัดฟันเสร็จสิ้น และเมื่อทำการจัดเสร็จเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องทำสะพานฟันใหม่ เพื่อให้มีรูปร่างและการเรียงตัวหลังการจัดฟันให้เหมาะสมตามลักษณะฟันที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

สรุปง่ายๆให้เข้าใจกันได้ ก็คือ เราจะไม่สามารถทำฟันปลอมก่อนการจัดฟันได้ เนื่องจากว่าการทำฟันปลอมนั้นก็จะทำโดยยึดลักษณะฟันในปัจจุบัน เช่น การเรียงตัวของฟัน เพราะเมื่อเราทำการจัดฟัน แนวการเรียงตัวของฟัน ลักษณะของฟันต่างๆจะถูกปรับเปลี่ยนเคลื่อนที่ไม่เหมือนเดิม การใช้ฟันปลอมของเดิมที่ยึดลักษณะก่อนที่จะทำการจัดฟันนั้น จึงถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใส่อีกครั้ง หากเป็นฟันปลอมแบบถอดได้ แต่ถ้าเป็นแบบถาวรทันตแพทย์จะนำออกและจะไม่ใส่ให้ แต่จะเปลี่ยนเป็นการพิมพ์แบบฟันใหม่อีกครั้ง หรือพูดง่ายๆก็คือเริ่มทำฟันปลอมใหม่อีกรอบนั่นเอง

ดังนั้น หากว่าท่านทราบอยู่แล้วว่าการเรียงตัวของฟันไม่สวยงามหรืออาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ในอนาคต จึงควรเลือกการจัดฟันให้เรียบร้อยก่อนที่จะทำฟันปลอม ซึ่งควรบอกความต้องการของเรากับทันตแพทย์ให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดการวางแผนในระยะยาวแบบเป็นขั้นตอนเป็นระบบ เพื่อให้ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยในสิ่งที่ควรจะเป็นก่อนที่จะลงมือทำอะไรนั่นเอง

92
บ้านติดรถไฟฟ้า สตอรี่ส์ รังสิต - วงแหวน (Stories Rangsit -Wongwaen)
เริ่มต้น 1.95 ลบ.

สตอรี่ส์ รังสิต - วงแหวน (Stories Rangsit -Wongwaen)
บ้านโครงการใหม่จากเรียลแอสเสท ในรูปแบบของทาวน์โฮม 2 ชั้น จำนวน 233 ยูนิต พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เดินทางสะดวกมุ่งสู่ใจกลางเมืองพระราม 9 ดินแดง หรือโซนวิภาวดี ได้อย่างง่ายดาย ทางด่วน มอเตอร์เวย์ สาย 9

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            สตอรี่ส์ รังสิต - วงแหวน (Stories Rangsit -Wongwaen)
 เจ้าของโครงการ       เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย             สตอรี่ส์
 ราคา                    เริ่มต้น 1.95 ลบ.

 ประเภทบ้าน            ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล           บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ          16 ไร่ 2 งาน 41 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน             233 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด      1 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            ตั้งแต่ 16.25 ถึง 23 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 99 ตร.ม.
 จำนวนชั้น              2 ชั้น
 หน้ากว้าง               5.2 ม.
 จำนวนห้องนอน       2 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ       2 คัน
 สาธารณูปโภค        สวนสาธารณะ, รปภ., CCTV, Keycard System, สนามเด็กเล่น

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง        ถนนเลียบคลอง 5 ฝั่งตะวันตก ตำบลลาดสวาย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี

 ขนส่งสาธารณะ            ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(คูคต - วงแหวนรอบนอก)(ไม่ระบุ)
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

93
บ้านเดี่ยว ฮาบิเทีย ชัยพฤกษ์ - วงแหวน (Habitia Chaiyapruek - Wongwaen)
เริ่มต้น 5.99 ลบ.

ฮาบิเทีย ชัยพฤกษ์ - วงแหวน (Habitia Chaiyapruek - Wongwaen)
ฮาบิเทีย ชัยพฤกษ์ - วงแหวน บ้านเดี่ยว 2 ชั้น โครงการใหม่ สไตล์ Modern European มาพร้อมแนวคิดโครงการ "Live the Moment" เป็นอิสระจากทุกความวุ่นวาย เพียง 15 ยูนิต ท่ามกลางบรรยากาศยุโรปที่รายล้อมด้วยธรรมชาติอันร่มรื่น ทำเลดีติดถนนใหญ่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                ฮาบิเทีย ชัยพฤกษ์ - วงแหวน (Habitia Chaiyapruek - Wongwaen)
 เจ้าของโครงการ           แสนสิริ
 แบรนด์ย่อย                ฮาบิเทีย
 ราคา                       เริ่มต้น 5.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน              บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล            บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ             3 ไร่ 2 งาน 41 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน               15 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด          4 แบบ
  เนื้อที่บ้าน                ตั้งแต่ 50 ถึง 55.9 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย               ตั้งแต่ 162 ถึง 200 ตร.ม.
 จำนวนชั้น                 2 ชั้น
 หน้ากว้าง                  โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน           ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ           2 คัน
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน              นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง              ถนนบางกรวย-ไทรน้อย ตำบลบางบัวทอง อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนบางกรวย - ไทรน้อย)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ไลฟ์สไตล์
แม็คโคร สาขาบางบัวทอง 4 กม.
โลตัส บางกรวย - ไทรน้อย 6.5 กม.
โฮมโปรสาขาชัยพฤกษ์ 11.8 กม.
โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ 12.2 กม.
เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกต 14.8 กม.


สถานศึกษา
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศไทรน้อยพิทยาคาร 2.1กม.
โรงเรียนกสิณธรเซนต์ปีเตอร์ 9.4 กม.
โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบัวทอง 11 กม.
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี 14 กม.
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า นนทบุรี 19.2 กม.


โรงพยาบาล
โรงพยาบาลกรุงไทย เวสเทิร์น 6.2 กม.
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ 14.5 กม.
โรงพยาบาลบางใหญ่ 14.9 กม.
โรงพยาบาลปากเกร็ด 17.7 กม.

94
Doctor At Home: กล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis)

กล่องเสียง (larynx) เป็นส่วนที่อยู่ถัดลงไปจากคอหอย (pharynx) และอยู่ตรงส่วนบนของท่อลม (trachea)

การอักเสบของกล่องเสียงเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์


สาเหตุ

การอักเสบของกล่องเสียงมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยมากจะเกิดร่วมกับไข้หวัด เจ็บคอ หรือหลอดลมอักเสบ ส่วนน้อยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

บางครั้งอาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้เสียงมาก (เช่น ร้องเพลง สอนหนังสือ เป็นต้น) หรือเกิดจากการระคายเคืองจากน้ำย่อยในผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน


อาการ

ที่สำคัญ คือเสียงแหบแห้ง บางรายอาจเป็นมากจนไม่มีเสียง อาจรู้สึกเจ็บคอเวลาพูด

บางรายอาจมีอาการไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอร่วมด้วย

โดยทั่วไป มักเป็นอยู่ไม่เกิน 7 วัน ถ้าเกิดจากการระคายเคืองมักมีอาการเสียงแหบเรื้อรัง


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากมักหายได้เอง ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อที่พบร่วม อาจทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาจตรวจพบมีไข้ น้ำมูกไหล หรือคอแดงร่วมด้วย

บางรายอาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากการระคายเคือง

ในรายที่มีอาการเรื้อรัง หรือสงสัยมีความผิดปกติของกล่องเสียงหรือโรคกรดไหลย้อน แพทย์อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจกล่องเสียง (laryngoscopy) ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy)


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ

2. เฉพาะในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น มีเสมหะเหลืองหรือเขียว หรือคอแดงจัด ให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น อะม็อกซีซิลลิน โคอะม็อกซิคลาฟ อีริโทรไมซิน หรือร็อกซิโทรไมซิน เป็นต้น)

3. ถ้ามีอาการหอบ แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจมีสาเหตุจากคอตีบ หรือครู้ป

4. ถ้าเสียงแหบเป็นอยู่นานกว่า 3 สัปดาห์ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์

ถ้าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ก็มักหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีหลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบแทรกซ้อน


การดูแลตนเอง

ในรายที่มีเสียงแหบ โดยที่สุขภาพทั่วไปดี กินอาหารและทำงานได้เป็นปกติ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    พักการใช้เสียง ควรหยุดพูดรวมทั้งการกระซิบ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
    งดบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ วันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร)
    สูดดมไอน้ำอุ่นบ่อย ๆ
    ถ้ามีไข้ กินยาลดไข้-พาราเซตามอล*

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้เกิน 4 วัน ไข้สูงตลอดเวลา หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีน้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวทุกครั้งนานเกิน 24 ชั่วโมง
    มีอาการเจ็บคอมาก หรือหายใจลำบาก
    คลำได้ก้อนที่ข้างคอ
    มีอาการเสียงแหบนานเกิน 3 สัปดาห์
    ดูแลตนเอง 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ดีขึ้น
    มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิด-19 หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก
    มีประวัติการแพ้ยา หรือหลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง


*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ควรหาทางป้องกันตามสาเหตุที่ทำให้เสียงแหบ อาทิ

    พักการใช้เสียง ในรายที่เกิดจากการใช้เสียงมาก
    งดบุหรี่/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าเป็นสาเหตุของอาการเสียงแหบ
    ในรายที่เกิดจากไข้หวัด ก็หาทางป้องกันไม่ให้เป็นหวัด
    ในรายที่เกิดจากโรคกรดไหลย้อน ควรดูแลรักษาโรคนี้ไม่ให้กำเริบบ่อย (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)


ข้อแนะนำ

1. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

2. อาการเสียงแหบมักพบในผู้ที่เป็นหวัด เจ็บคอ หรือไอ ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด และผู้ที่ใช้เสียงมาก (เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น) โดยมากจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน เมื่อได้รับการดูรักษาแล้ว เสียงควรจะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

แต่ถ้าพบว่ามีอาการเสียงแหบติดต่อกันนานกว่า 3 สัปดาห์ ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น

    ปุ่มเนื้อของสายเสียง (vocal cord nodules) เป็นปุ่มเนื้องอกเล็ก ๆ ที่เติบโตจากเซลล์เยื่อบุผิว (epithelium) ของสายเสียง มีสาเหตุมาจากการใช้เสียงมากเกิน เช่น ครู นักเทศน์ นักร้อง เป็นต้น การพักใช้เสียงเป็นเวลาหลายสัปดาห์อาจทำให้ปุ่มยุบหายไปได้เอง ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องตัดออก ผู้ที่เป็นโรคนี้แพทย์จะฝึกการใช้เสียง (voice therapy) ให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เป็นซ้ำอีก
    ติ่งเนื้อเมือกของสายเสียง (vocal cord polyps) เป็นเนื้องอกของเซลล์เยื่อเมือก (mucous membranes) ของสายเสียง เกิดจากภาวะภูมิแพ้ หรือการระคายเคืองเรื้อรัง (เช่น สูบบุหรี่) มักต้องรักษาด้วยการผ่าตัดติ่งเนื้อออกไป
    หูดกล่องเสียง (laryngeal papillomatosis) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า human papillomavirus (HPV) ทำให้เกิดเนื้องอก (หูด) ตรงสายเสียงและกล่องเสียง ทำให้มีเสียงแหบเรื้อรัง ถ้าก้อนโตอาจอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบาก มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และจะหายได้เองเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว มักจะต้องรักษาด้วยการตัดออก
    โรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเจ็บคอเสียงแหบ หรือไอเรื้อรัง มักเป็นมากหลังตื่นนอน (ดู “โรคกรดไหลย้อน”)
    แผลสายเสียง (contact ulcer of vocal cord) พบในผู้ที่ใช้เสียงมากเกิน สูบบุหรี่ ไอเรื้อรัง หรือผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ทำให้มีอาการเสียงแหบ เจ็บเวลาพูดหรือกลืน ให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น ถ้าเกิดจากการใช้เสียง ต้องพักการใช้เสียงนาน 6 สัปดาห์ และฝึกการใช้เสียงให้ถูกต้อง ถ้าเกิดจากโรคกรดไหลย้อนก็ต้องให้ยาลดการสร้างกรด เป็นต้น
    มะเร็งกล่องเสียง พบมากในผู้ชายสูงอายุที่มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน
    สายเสียงเป็นอัมพาต (vocal cord paralysis) อาจเกิดจากโรคทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง อัมพาต) หรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ โดยตัดถูกเส้นประสาท (laryngeal nerve) ที่ควบคุมการทำงานของสายเสียง ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการเสียงแหบอย่างถาวร
    วัณโรคกล่องเสียง (tuberculous laryngitis) ทำให้มีอาการเสียงแหบเรื้อรัง อาจมีอาการของวัณโรค (เช่น ไข้เรื้อรัง ไอเรื้อรัง น้ำหนักลด) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้


95
จัดฟันบางนา: การครอบฟันทำให้เกิดปัญหาอะไรได้บ้าง

สุขภาพช่องปากและฟันของเราถือว่าเป็นเรื่องที่เราต้องเอาใจใส่ เพราะการที่เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างเช่น การที่เรารับประทานอาหาร ก็จะทำให้เราสามารถบดเคี้ยวอาหารได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดปัญหาในเรื่องกลิ่นปาก ซึ่งอาจจะทำให้เราเสียบุคลิกภาพ เกิดความไม่มั่นใจได้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราสามารถดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากได้อย่างดี ก็จะช่วยลดการเกิดปัญหาดังกล่าวได้ ทั้งยังช่วยส่งเสริมให้เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นด้วย เพราะถ้าเรามีปัญหาสุขภาพฟันและละเลยที่จะเข้ารับการรักษาก็จะทำให้เราเกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้ เช่น โรคฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ ฟันแตก ฟันร้าว ซึ่งจะต้องทำการแก้ไขเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาต่อฟันบริเวณข้างเคียง


ดังนั้น ปัญหาที่อาจจะพบได้บ่อยคือ การเกิดฟันผุและเกิดการแตกหักตามมา และจะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการทำครอบฟัน ซึ่งเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรมที่มีประสิทธิภาพในการช่วยทำให้ผู้เข้ารับการรักษากลับมามีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ และสามารถรับประทานอาหารได้อย่างมีความสุขมากขึ้น สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงวิธีการรักษาด้วยการทำครอบฟัน ที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ ซึ่งหลายคนที่เคยผ่านการรักษาด้วยการทำครอบฟันอาจจะเคยเจอ

โดยการทำครอบฟันก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาในด้านอื่นๆ รวมไปถึงปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้เข้ารับการทำครอบฟันอาจจะรู้สึกไม่สบายภายในช่องปากและฟันหรือมีอาการเสียวฟันร่วมด้วย เนื่องจากฟันที่ทำเพิ่งผ่านการทำครอบฟันในช่วงแรกๆ อาจมีความรู้สึกที่ไวกว่าปกติหรือมีอาการเสียวฟันเมื่อฤทธิ์ของยาชาหมดลง หรือถ้าหากฟันที่ครอบยังคงมีประสาทฟันอยู่ก็อาจทำให้รู้สึกถึงความร้อนหรือเย็นได้ ซึ่งทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ที่มีอาการเสียวฟัน เพื่อบรรเทาอาการในเบื้องต้น และบางกรณีอาจจะเจอปัญหาในเรื่องของที่ครอบฟันหลวม โดยในบางครั้งสิ่งที่ใช้สำหรับยึดเกาะที่ครอบฟันอาจถูกล้างออกมาทำให้ที่ครอบฟันหลวม นอกจากนี้ อาจจะส่งผลทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าไปและทำให้เกิดฟันผุได้ในที่สุด อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีความรู้สึกว่าที่ครอบฟันกำลังหลวม ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไขทันที

นอกจากนี้ ในเรื่องของที่ครอบฟันเกิดหลุดขณะรับประทานอาหารก็สามารถเกิดขึ้นได้ บางครั้งที่ครอบฟันอาจหลุดได้ โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่ที่ครอบฟันไม่พอดีกับฟัน ทำให้สิ่งยึดที่ครอบฟันกับฟันไม่พอดีหรือรูปร่างของฟันอาจจะเล็กเกินไป ทำให้ที่ครอบฟันไม่สามารถยึดเกาะได้ รวมไปถึงปัญหาที่ครอบฟันแตกหรือเกิดการกระเทาะ เมื่อใช้พอร์สเลนในการครอบฟัน สามารถกะเทาะหรือแตกหักได้ หากที่ครอบฟันแตกเพียงเล็กน้อยก็ยังอาจสามารถใช้คอมโพสิตเรซิ่นในการซ่อมแซมได้ แต่หากแตกกะเทาะมาก ผู้เข้ารับการรักษาอาจจะจำเป็นต้องทำครอบฟันใหม่ และมีอาการแพ้ วัสดุที่ใช้ในการครอบฟันส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของโลหะ ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ได้ เนื่องจากปฏิกริยาแพ้ต่อโลหะหรือพอร์สเลนที่ใช้ครอบฟันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แต่พบได้น้อยมาก


อย่างไรก็ตาม การทำครอบฟัน ถึงแม้อาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ แต่เราก็ควรที่จะดูแลรักษาให้ดี ควรทำความสะอาดช่องปากและฟันให้ดีมากเป็นพิเศษ เพื่อยืดอายุการใช้งานและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหา แต่ส่วนใหญ่อายุการใช้งานของฟันที่ครอบนั้นจะอยู่ที่ 10 ปี แล้วแต่การปฏิบัติตัวของผู้เข้ารับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาสุขอนามัยของช่องปากและนิสัยการบดเคี้ยวอาหาร ทางคลินิกอยากให้ทุกคนหมั่นดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ ควรแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้ถูกวิธี เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข



96
ติดฉนวนกันความร้อนโรงงาน ดีต่อผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตอย่างไร

ในขณะที่ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งให้ความสำคัญกับการวางแผนติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานอย่างมาก ก็มีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้สึกว่าการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ในโรงงานเป็นสิ่งไม่จำเป็น

เนื่องจากมองไม่เห็นประโยชน์โดยตรงเลยว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตดีขึ้นได้อย่างไร หรือนำไปสู่การมีกำไรเพิ่มขึ้นได้ตรงไหน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การติดฉนวนกันความร้อนโรงงานนั้น มีผลต่อผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตโดยตรงในหลาย ๆ ด้านดังต่อไปนี้


1.มีส่วนต่อการส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมากขึ้น

เมื่อโรงงานร้อนมาก ๆ ความร้อนที่สะสมเอาไว้จะแพร่กระจายไปสู่ทุกสิ่งต่าง ๆ ในโรงงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งวัตถุดิบ อุปกรณ์ต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต ซึ่งวัตถุดิบ วัสดุหลาย ๆ ชนิดในโรงงาน เมื่อถูกความร้อนก็มีโอกาสทำให้เสื่อมสภาพ หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ได้

ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงาน จึงส่งผลต่อการเพิ่มคุณภาพให้กับผลิตภัณฑ์ได้โดยตรง รวมไปถึงช่วยลดความเสียหายจากการเสื่อมสภาพ เน่าเสีย ของวัตถุดิบ ของผลิตภัณฑ์ได้ด้วย เพราะความร้อนคือหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสื่อมสภาพในหลาย ๆ กรณี


2.มีส่วนต่อการประหยัดต้นทุนในการผลิต

ช่วงหน้าร้อนที่อากาศร้อนจัด ๆ บ้านไหนเปิดแอร์บ่อยสิ้นเดือนก็มักจะต้องรู้สึกจ๋อยนิด ๆ เพราะเจอบิลค่าไฟที่แพงขึ้นมหาศาล ซึ่งหลักการนี้ถ้าทุกคนเข้าใจกันดี ก็จะเข้าใจได้เลยทันทีว่า การที่โรงงานร้อนเกินไปนั้น จะส่งผลทำให้ค่าไฟในกระบวนการผลิตทุกอย่างสูงขึ้นแน่นอน ซึ่งเมื่อต้นทุนสูงขึ้น กำไรก็จะหดหาย และเป็นการหายไปแบบที่หากไม่ได้คำนวณอย่างรอบคอบแล้วก็อาจไม่รู้ตัวเลยก็ได้ว่า โรงงานกำลังขาดทุนอยู่จากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น

ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ช่วยลดความร้อนสะสมภายในโรงงานให้เย็นลง จึงมีส่วนสำคัญโดยตรงต่อการช่วยลดการสูญเสียพลังงาน ทำให้ค่าไฟลดลง ซึ่งเมื่อต้นทุนการผลิตลดลงเมื่อไร ก็เท่ากับว่าโรงงานจะมีกำไรเพิ่มขึ้นได้ทันที แม้ยอดขายจะเท่าเดิมก็ตาม


3.มีส่วนทำให้พนักงานปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าอากาศภายในโรงงานร้อนมาก แน่นอนว่าพนักงานจะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ หากพนักงานหงุดหงิด ร้อน เหนื่อย ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ กระบวนการผลิตที่ต้องใช้พนักงานในการดำเนินการก็จะมีโอกาสเสี่ยงไม่ได้คุณภาพ เพราะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หากความร้อนทำให้พนักงานเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ ก็จะส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย และทรัพย์สิน ผลิตภัณฑ์ของโรงงานโดยตรง

ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานที่หลายคนมองว่าไม่ได้มีส่วนสำคัญอะไรเลยที่เป็นประโยชน์กับผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต แท้จริงแล้วมีความสำคัญมาก ๆ ต่อการทำให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพจนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ


นอกจากผลกระทบทางตรงต่อผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตดังที่กล่าวมาแล้ว ฉนวนกันความร้อนโรงงานก็ยังส่งผลทางอ้อมต่อการดำเนินธุรกิจของโรงงานอีกในหลาย ๆ มิติ เช่น การช่วยให้เครื่องจักรทำงานได้ดีขึ้น เสื่อมสภาพช้าลง ช่วยประหยัดค่าซ่อมบำรุง หรือช่วยให้โรงงานมีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ ไม่ถูกตรวจสอบจนอาจถูกฟ้องร้องได้หากพบว่าไม่ได้มีการควบคุมความร้อนในโรงงานให้ได้ตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

จะเห็นได้ว่าการติดตั้งฉนวนกันความร้อนโรงงานนั้น มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อโรงงานอย่างมหาศาล โดยอาจบอกได้เลยว่าโรงงานใดก็ตามที่ละเลยการให้ความสำคัญกับการติดตั้งฉนวนกันความร้อน อาจทำให้ส่งผลกระทบจนทำให้ธุรกิจประสบกับภาวะขาดทุนและเจอปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย

97
บริหารจัดการอาคาร: วิธีการเลือกใช้กล้องวงจรปิดที่จะติดตั้งภายในบ้าน ควรเลือกแบบไหนดี

ในปัจจุบันบ้านเรามีระบบอินเตอร์เน็ตใช้ได้เข้าทั่วถึง การสื่อสารและเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงพัฒนาล้ำหน้าตามไปด้วย ทำให้มีความสะดวกสบายากยิ่งขึ้น ทำให้การติดกล้องวงจรปิด สามารถส่งภาพวีดีโอไปยังโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ได้จากทุกที่ทุกเวลาผ่านสัญญาณไวไฟ ทำให้การดูแลความปลอดภัยให้กับสถานที่ต่าง ๆ ครอบคลุมและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดกล้องวงจรปิดในบ้านของเรา

ที่สามารถดูผ่านมือถือได้ จึงเป็นทางเลือกความปลอดภัยที่ดีและทันสมัยที่สุดอย่างหนึ่งในยุคนี้ นอกจากนี้ กล้องวงจรปิด ถือเป็นอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งไม่ใช่แค่สถานที่สำคัญต่างๆเท่านั้น เพราะแม้แต่บ้านของเรา ก็ต้องการความปลอดภัยด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากจะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเป็นหูเป็นตา และคอยเตือนภัยในเวลาที่เราไม่อยู่บ้านแล้ว ภาพจากกล้องวงจรปิดยังสามารถใช้เป็นหลักฐานที่ดีเวลาเกิดคดีความต่างๆได้อีกด้วย


แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า กล้องวงจรปิดที่เหมาะสมกับบ้านของเรานั้น ควรจะเลือกใช้อย่างไรถึงจะมีประสิทธิภาพ ซึ่งเราจะมาแนะนำวิธีการเลือกใช้กล้องวงจรปิดที่จะติดตั้งภายในบ้านว่าควรจะเลือกแบบไหนดี เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่ต้องการจะติดกล้องวงจรปิดภายในบ้าน เพื่อความปลอดภัยต่อทรัพย์สินของเรา เมื่อเวลาที่เราไม่อยู่บ้าน ก็จะช่วยสร้างความสบายใจและดูแลบ้านให้เราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
สำหรับกล้องวงจรปิดนั้น ถือว่ามีประโยชน์มากต่อทรัพย์สินของเรา อย่างย้อยก็เพื่อความสบายใจ เมื่อเกิดเหตุที่เราไม่คาดฝัน หลักฐนจากกล้องวงจรปิด สามารถใช้เป้นหลักฐานได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะจะป้องกันเหตุร้ายไม่ให้เกิดขึ้น ตรวจสอบความปลอดภัยภายในบ้านได้ตลอดเวลา ลดอัตราการเกิดโจรกรรมในบ้าน เพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ ๆ เข้าไม่ถึง แถมยังช่วยลดค่าประกันภัยได้ 5-10% เลยทีเดียว โดยกล้องวงจรปิด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ Analog Camera , IP Camera ,P Camera (แบบไร้สาย) ซึ่งกล้องทั้ง 3 ประเภทนี้


ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิธีการติดตั้ง คุณภาพและความคมชัดของภาพที่ได้ และฟังก์ชันเทคโนโลยี ซึ่งจะมีข้อดี-ข้อเสีย ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งถ้าหากว่า จะเลือกกล้องวงจรปิดภายในบ้าน ส่วนใหญ่คนจะเลือกแบบไร้สาย เป็นกล้องวงจรปิดที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะมีฟังก์ชันที่หลากหลาย แถมยังติดตั้งเองได้ง่าย ทำงานรับ-ส่งข้อมูลด้วยสัญญาณ Wi-Fi ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถเชื่อมต่อและดูภาพจากกล้องแบบ Real Time ผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทุกที่ทุกเวลา โดยคุณภาพสัญญาณจะเสถียรหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งรบกวนสัญญาณจากภายนอก เช่น ความหนาของผนังบ้าน


คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น รวมถึงมีการสำรองข้อมูลลงใน Network Video Recorder (NVR) ของระบบปฏิบัติการต่างๆได้ ซึ่งยากต่อการขโมย/ดัก/เปลี่ยนแปลงข้อมูล หรือ Hacker ครับ เพราะข้อมูลวิดีโอแบบ Digital Stream สามารถบันทึกและใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่นๆได้หลากหลาย เช่น ถ้ามีโจรเข้ามาในบ้าน ระบบก็จะถ่ายภาพและแจ้งเตือนเข้าสู่โทรศัพท์ของเราทันที


นอกจากนี้ ยังสามารถซูมและหมุนได้รอบทิศทาง ผ่านทางคันบังคับหรือควบคุมผ่านอินเตอร์เน็ต ทำให้สามารถตรวจสอบความเป็นไปภายในบ้านได้ตลอดเวลา และสามารถตั้งกล้องให้หมุนได้เองอัตโนมัติตามจุดต่าง ๆ ที่กำหนดไว้อีกด้วย ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยดูแลบ้านให้กับเราได้ สร้างความสบายใจให้กับเจ้าของบ้านได้ เมื่อเราไม่อยู่บ้านนานๆ เพราะสามารถดูจากที่ไหนก็ได้

 
หากสนใจจะติดตั้งกล้องวงจรปิด สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้เพราะเราเป็นผู้ให้บริการในเรื่องของความปลอดภัยของอาคารบ้านเรือน มีบริการติดตั้งระบบต่างๆภายในที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟฟ้าต้นกำลังและระบบจ่ายไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบสุขาภิบาล และระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ ระบบงานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง และระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด แถมยังสามารถวางแผนซ่อมบำรุงเชิงป้องกันที่เป็นไปตามมาตรฐาน


เพื่อให้ผลการบริหารจัดการของอาคารที่มีประสิทธิภาพ และอยู่ในงบประมาณที่สมเหตุสมผล ภายใต้ความปลอดภัยเพื่อให้ลูกค้ามีความสบายใจ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด แถมยังมีบริการดูแล ซ่อมบำรุงให้ตามระยะเวลาที่กำหนดอีกด้วย

98
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: อหิวาต์ (Cholera)

อหิวาต์ (อหิวาตกโรค โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง ก็เรียก) เป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว

ในสมัยก่อนพบว่าการระบาดแต่ละครั้งมีผู้ป่วยเสียชีวิตเป็นร้อยเป็นพัน จึงมีชื่อเรียกกันมาแต่โบราณว่า โรคห่า

ในปัจจุบันโรคนี้ลดความรุนแรงลง และพบระบาดน้อยลง มีรายงานโรคนี้ตามจังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ พบประปรายทางภาคอีสานและภาคเหนือ โรคนี้พบในเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่ มักพบในคนอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป สามารถพบได้ประปรายทุกเดือนตลอดทั้งปี มักพบในถิ่นที่การสุขาภิบาลยังไม่ดี และในหมู่คนที่กินอาหารที่ไม่ได้ปรุงให้สุกหรือขาดสุขนิสัยที่ดี


สาเหตุ

เกิดจากเชื้ออหิวาต์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า วิบริโอคอเลอรา (Vibrio cholerae) เชื้ออหิวาต์มีอยู่หลายชนิด ตัวก่อโรคที่สำคัญในปัจจุบัน ได้แก่ ชนิดเอลทอร์ (EI Tor)* กับวิบริโอคอเลอรา O139**

เชื้ออหิวาต์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำเค็มและน้ำจืด คนเราสามารถติดเชื้อชนิดนี้โดยการกินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ ดื่มน้ำหรือกินอาหาร รวมทั้งน้ำแข็ง ไอศกรีมที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยมีแมลงวันหรือมือเป็นสื่อกลางในการนำพาเชื้อ แล้วผู้ติดเชื้อ (ผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ)*** ก็จะปล่อยเชื้อออกทางอุจจาระไปอยู่ตามดินและน้ำ ซึ่งแพร่กระจายสู่ผู้อื่นในวงกว้างจนเกิดการระบาดได้

นอกจากนี้ อาจติดจากผู้ติดเชื้อโดยการสัมผัสใกล้ชิด เชื้อสามารถติดผ่านมือเข้าไปในปากได้

เชื้ออหิวาต์จะรุกล้ำเข้าไปที่เยื่อบุลำไส้เล็กแล้วปล่อยสารพิษ (ชื่อ cholera toxin) ทำให้ลำไส้เล็กหลั่งน้ำและเกลือแร่ออกมาในอุจจาระจำนวนมาก เกิดอาการถ่ายเป็นน้ำ

ระยะฟักตัว 6 ชั่วโมง ถึง 5 วัน (ส่วนใหญ่ประมาณ 24-48 ชั่วโมง)

*เริ่มพบในปี พ.ศ. 2504 อยู่ในกลุ่ม วิบริโอคอเลอรา O1 ซึ่งแบ่งเป็นชนิดคลาสสิก (classic ซึ่งเป็นตัวก่อโรคระบาดร้ายแรงมาแต่เดิม) กับเอลทอร์ (ซึ่งก่อโรคที่มีความรุนแรงน้อยลง)
**เริ่มพบในปี พ.ศ. 2535
***ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดง แต่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น เชื้อมักอยู่ในอุจจาระช่วงสั้น ๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็จะถูกขับออกหมด ส่วนน้อยที่อาจมีเชื้อในอุจจาระเป็นเวลานาน


อาการ

ส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง คล้ายโรคท้องเดินทั่วไป หรืออาหารเป็นพิษ มักหายได้เองภายใน 1-5 วัน

ในรายที่เป็นมากมักมีอาการถ่ายเป็นน้ำรุนแรง อุจจาระมักจะไหลพุ่ง โดยไม่มีอาการปวดท้อง (ส่วนน้อยที่อาจมีอาการปวดบิดในท้อง) และมีอาการอาเจียนตามมาโดยที่ไม่มีอาการคลื่นไส้นำมาก่อน (ส่วนน้อยอาจมีอาการคลื่นไส้) ระยะแรกอุจจาระมีเนื้อปน ลักษณะเป็นน้ำสีเหลือง แต่ต่อมาจะกลายเป็นน้ำล้วน ๆ บางรายอุจจาระมีลักษณะเหมือนน้ำซาวข้าว ไม่มีกลิ่นอุจจาระ อาจมีกลิ่นคาวเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจถ่ายวันละหลายครั้งถึงหลายสิบครั้ง หรือไหลพุ่งตลอดเวลา ส่วนอาการอาเจียนนั้น แรกเริ่มออกเป็นเศษอาหาร ต่อมาเป็นน้ำ และน้ำซาวข้าว

หากเป็นรุนแรงมักถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 250 มล./กก./วัน และเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงและช็อกอย่างรวดเร็ว (ภายใน 4-18 ชั่วโมง) ผู้ป่วยจะมีอาการเสียงแหบแห้ง เป็นตะคริว ตัวเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีมักจะเสียชีวิตภายในเวลาสั้น ๆ


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญ ได้แก่ ภาวะขาดน้ำรุนแรงและช็อก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันตามมา

นอกจากนี้ ยังทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ เกิดอาการตะคริว ภาวะเลือดเป็นกรด และภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา

บางรายอาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเนื่องจากกินอาหารไม่ได้

หญิงตั้งครรภ์อาจแท้ง หรือคลอดก่อนกำหนด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมักตรวจพบภาวะขาดน้ำตั้งแต่ขนาดเล็กน้อยถึงรุนแรง อาจมีไข้ต่ำ ๆ ในรายที่เป็นรุนแรงจะพบภาวะช็อก หายใจเร็วจากภาวะเลือดเป็นกรด ในเด็กอาจพบว่ามีไข้ ชัก ซึม หรือหมดสติ

แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจอุจจาระและเพาะเชื้อจากอุจจาระ (rectal swab culture) และตรวจเลือดดูความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่อาการไม่รุนแรง ไม่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง และยังกินอาหารหรือดื่มน้ำได้ดี ให้การรักษาแบบอาการท้องเดินหรืออาหารเป็นพิษทั่วไป คือให้กินสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ เก็บอุจจาระส่งเพาะเชื้อ เมื่อทราบผลการตรวจว่าเป็นโรคนี้ หรือสงสัยว่าอาจเป็นโรคนี้ เช่น เป็นผู้สัมผัสผู้ป่วยอหิวาต์ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้ออหิวาต์

2. ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นน้ำรุนแรง อาเจียนรุนแรง กินไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

นอกจากให้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้ออหิวาต์ แพทย์จะทำการปรับดุลสารน้ำและเกลือแร่ โดยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ในรูปของริงเกอร์แล็กเทต (Ringer lactate) หรืออะซีทาร์ (Acetar) ถ้าไม่มีอาจใช้น้ำเกลือนอร์มัล (NSS) แทน โดยให้ในปริมาณที่สามารถทดแทนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และให้กินโพแทสเซียมคลอไรด์ หรือให้ทางหลอดเลือดดำถ้าอาเจียน

3. แพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคอหิวาต์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เตตราไซคลีน ดอกซีไซคลีน โคไตรม็อกซาโซล นอร์ฟล็อกซาซิน อีริโทรไมซิน เป็นต้น

ผลการรักษา หากได้รับการรักษาได้ทันการ มักจะหายได้ภายใน 3-6 วัน หลังได้รับยาปฏิชีวนะ

เชื้อโรคอยู่ในอุจจาระผู้ติดเชื้อ ได้แก่ ผู้ป่วย (ที่มีอาการแสดง) กับพาหะ (ที่ไม่มีอาการแสดง) เมื่อถูกขับถ่ายออกมาก็สามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่น โดยการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ (เช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บึง) อาหาร น้ำดื่ม มือของผู้ติดเชื้อ (ที่ไม่ได้ล้างน้ำหลังถ่ายอุจจาระ) สิ่งของและสภาพแวดล้อมที่ถูกมือของผู้ติดเชื้อสัมผัส ทั้งนี้มีแมลงวันและแมลงสาบ (ที่ไต่ตอมอุจจาระของผู้ติดเชื้อ) เป็นพาหะนำเชื้อ

คนเราสามารถติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยทางใดทางหนึ่งดังนี้

1. ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแบบดิบ ๆ บางกรณี (เช่น บิดอะมีบา ท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย) ก็อาจเกิดจากการดื่มน้ำประปา หรือกลืนน้ำในสระว่ายน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ

2. กินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ การปนเปื้อนเชื้ออาจเกิดจากข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

    แมลงวัน (และบางครั้งแมลงสาบ) เป็นพาหะนำเชื้อ
    มือของผู้ติดเชื้อ หรือมือของคนใกล้ชิดที่ปนเปื้อนเชื้อ (จากการสัมผัสมือของผู้ติดเชื้อ หรือสิ่งของ หรือสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อปนเปื้อน) ไปจับต้องอาหารหรือน้ำดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบอาหาร ผู้ให้บริการด้านอาหาร และสมาชิกในครอบครัวที่เป็นพาหะ จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่สำคัญ เพราะอาจไม่ระวังเนื่องจากไม่มีอาการแสดง
    ปนเปื้อนดินหรือน้ำที่มีเชื้อ รวมทั้งผักผลไม้ที่ปลูกโดยการใส่ปุ๋ยที่ทำจากอุจจาระคน และผักผลไม้ที่ล้างด้วยน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน

3. ติดต่อจากคนสู่คน โดยข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

    การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อภายในบ้าน สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพักฟื้น โรงพยาบาล โรงเรียน โรงงาน สถานประกอบการ ค่ายทหาร ค่ายกิจกรรมต่าง ๆ โดยการใช้มือสัมผัสถูกมือของผู้ติดเชื้อโดยตรง หรือสัมผัสถูกสิ่งของหรือสภาพแวดล้อมที่มีเชื้อปนเปื้อน แล้วนำมือที่เปื้อนเชื้อนั้นสัมผัสปากของตนเองโดยตรง หรือไปเปื้อนถูกอาหารหรือน้ำดื่มอีกต่อหนึ่ง
    การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้ปากสัมผัสถูกทวารหนักหรืออวัยวะเพศของผู้ติดเชื้อ ซึ่งนิยมปฏิบัติในหมู่ชายรักร่วมเพศ การติดเชื้อโดยวิธีนี้อาจเกิดกับเชื้อโรคบางชนิดที่มีระยะของการเป็นพาหะนาน ๆ เช่น เชื้ออะมีบา เชื้อไกอาร์เดีย บิดชิเกลลา เป็นต้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ผู้ป่วยท้องเดินที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นอหิวาต์ หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ ควรดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

หากตรวจพบว่าเป็นอหิวาต์ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

1. ดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำสะอาด ไม่ดื่มน้ำคลอง หรือดื่มน้ำบ่อแบบดิบ ๆ ไม่กินน้ำแข็งหรือไอศกรีมที่เตรียมไม่สะอาด กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และไม่มีแมลงวันตอม ไม่กินอาหารทะเลแบบดิบ ๆ ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังการถ่ายอุจจาระทุกครั้ง ควรถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อย่าถ่ายลงคลองหรือตามพื้นดิน

2. สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ควรนำอุจจาระและสิ่งที่ผู้ป่วยอาเจียนออกมาไปเทใส่ส้วมหรือฝังดินให้มิดชิด อย่าเทตามพื้นหรือลงแม่น้ำลำคลอง ส่วนเสื้อผ้าของผู้ป่วยที่แปดเปื้อนเชื้อ ห้ามนำไปซักในแม่น้ำลำคลอง ควรแช่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือนำไปฝังหรือเผาเสีย

3. ในปัจจุบันไม่แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะแก่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เนื่องจากไม่ได้ผลและทำให้เชื้อดื้อยา แต่อาจพิจารณาให้ในกลุ่มคนขนาดเล็ก เช่น ในเรือนจำ หรือในชุมชนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกินร้อยละ 20

4. ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันอหิวาต์ชนิดใหม่ในรูปของการกินทางปาก (oral vaccine) ให้ 2 ครั้งห่างกัน 10-14 วัน ซึ่งสามารถใช้ป้องกันได้ผลดี แพทย์จะเลือกใช้ในบางกรณี เช่น ผู้ที่ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการระบาดของโรค เป็นต้น


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการอุจจาระร่วงรุนแรง หรือสงสัยเป็นอหิวาต์ (เช่น เป็นผู้สัมผัสโรค หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค) แพทย์จะทำการเก็บอุจจาระส่งเพาะหาเชื้อ ถ้าพบว่าเป็นอหิวาต์จะได้ดำเนินการควบคุมโรคไม่ให้เกิดการระบาด

2. สำหรับผู้สัมผัสโรค แพทย์จะทำการเก็บอุจจาระส่งเพาะหาเชื้อ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างน้อย 5 วัน ถ้าพบว่าเป็นพาหะก็ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดความรุนแรงของโรค และลดการแพร่กระจายเชื้อ

99
motor show 2025: DEEPAL E07 รถเอสยูวีไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ เปิดตัวด้วย 2 รุ่นย่อยกับราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 1.599 ล้านบาท

ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) สร้างปรากฏการณ์ที่ The 41st Thailand International Motor Expo 2024 ด้วยการเปิดตัว DEEPAL E07 ยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่แห่งอนาคตที่มาพร้อมดีไซน์ล้ำยุคและสมรรถนะที่โดดเด่น พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ระดับโลก Vast Ocean Plan ซึ่งช่วยขยายธุรกิจจากภูมิภาคอาเซียนไปยังยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา โอเชียเนีย และประเทศไทยเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก 

นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซ้าท์อีส เอเชีย จำกัด กล่าวว่า "ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ปีที่ผ่านมาเป็นปีสำคัญของ CHANGAN ในประเทศไทย เราได้เปิดตัวแผนระดับโลก Vast Ocean Plan ซึ่งช่วยขยายธุรกิจจากภูมิภาคอาเซียนไปยังยุโรป ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกา โอเชียเนีย และประเทศไทย เราภูมิใจในการเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ปีของ CHANGAN Thailand โดยในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมา เราได้เปิดตัว DEEPAL S07 และ L07 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากตลาดไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราในด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมยานยนต์"

CHANGAN ขับเคลื่อนความยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ Vast Ocean Plan ที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทในประเทศไทย รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ที่ระยอง และการจัดตั้งหน่วยธุรกิจ 3 หน่วย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในภูมิภาค ความมุ่งมั่นในด้านความยั่งยืนสะท้อนผ่านการลดการปล่อย CO2 โดยยอดขายยานยนต์พลังงานใหม่ของ CHANGAN ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 10,000 ตัน จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ CHANGAN ยังร่วมมือกับซัพพลายเออร์ในประเทศไทยกว่า 300 ราย ส่งเสริมการผลิตในประเทศมากกว่า 50% โดยพนักงานกว่า 80% เป็นคนไทย สร้างงานในห่วงโซ่อุปทานกว่า 20,000 ตำแหน่ง และจ่ายภาษีมากกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2024 ที่ผ่านมา CHANGAN ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัว AVATR แบรนด์รถ SUV ระดับหรูที่มุ่งเน้นการผสมผสานความสง่างาม นวัตกรรม และความคุ้มค่า โดยรุ่น AVATR 11 ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งผู้บริโภคและสื่อมวลชน ด้วยดีไซน์ที่ล้ำยุค เทคโนโลยีอัจฉริยะ พร้อมด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม

สำหรับไฮไลต์ในงานครั้งนี้ DEEPAL ได้เปิดตัว DEEPAL E07 รถ SUV ไฟฟ้าที่ออกแบบเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ สะท้อนแนวคิด BE YOURSELF, DRIVE YOUR WAY ถูกพัฒนาบนแพลตฟอร์มอัจฉริยะ SDA ที่มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการประสบการณ์ที่แตกต่างในสถานการณ์และบทบาทที่หลากหลาย และทำให้รถยนต์เปลี่ยนไปสู่หุ่นยนต์อัจฉริยะที่จะมอบความสะดวกสบายสู่ผู้ใช้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ด้วยดีไซน์ภายนอกดีไซน์สุดแกร่ง สไตล์โมเดิร์น ทำให้ตัวรถมีขนาดใหญ่ที่ยาวกว่า 5 เมตร และกว้างเกือบ 2 เมตร แต่ก็มีความสปอร์ตและลู่ลม แต่ก็ยังคงความแข็งแกร่งด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านลมต่ำเพียง 0.237 และจะมากับราวหลังคาอเนกประสงค์, ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 21 นิ้ว พร้อมฝาครอบล้อ, มือจับประตูไฟฟ้าแบบซ่อน, ฝาปิดช่องชาร์จไฟเปิด-ปิดได้แบบไฟฟ้า, ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Star Ring LED ที่ดูล้ำสมัย, ช่องเก็บสัมภาระใต้ฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่ถึง 131 ลิตรและหลังคากระจกบริเวณท้ายรถ ฝาท้าย และกระจกหลังเปิด-ปิดแบบไฟฟ้า ที่สามารถปรับรูปแบบได้หลากหลายให้เหมาะกับการใช้งาน

ดีไซน์ภายในของ DEEPAL E07 นั้นเปลี่ยนห้องโดยสารให้เป็นห้องต่าง ๆ ได้ตามต้องการ ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น และระเบียงด้วยแผงกั้นและกระจกกั้นห้องโดยสารกับท้ายรถแบบเปิด-ปิดได้, ตัวพวงมาลัยสามารถปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมปุ่ม Shortcut และ เบาะนั่งแบบ Zero Gravity ในคู่หน้าพร้อมที่ดันหลังและที่รองขาปรับไฟฟ้าพร้อมระบบระบายอากาศ, หลังคากระจกแบบพาโนรามาพร้อมม่านบังแดดไฟฟ้า, Head-up Display ขนาดใหญ่เพื่อแสดงข้อมูลการขับขี่, หน้าจอสัมผัสแบบ Sunflower ขนาด 15.4 นิ้ว สามารถปรับทิศทางเข้าหาคนขับหรือผู้โดยสารด้านหน้าได้ ระบบเสียงอัจฉริยะหลากหลายโหมดพร้อมลำโพง 18 ตำแหน่ง, ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายขนาด 50 วัตต์ พร้อมระบบระบายอากาศ, ไฟบรรยากาศแบบเปลี่ยนสีได้ 256 สี ที่มาพร้อมฟังก์ชันปรับเปลี่ยนตามจังหวะ, โหมดสถานการณ์ เช่น โหมดแสดงแสงสีเสียง โหมดงีบหลับ โหมดแคมป์ปิ้ง เป็นต้น

DEEPAL E07 ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ในขณะนี้เปิดตัวมาด้วยกัน 2 รุ่น คือ Plus และ Performance AWD โดยรุ่น Plus นั้นจะขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง ด้วยมอเตอร์ที่ให้กำลัง 342 แรงม้า แรงบิด 365 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 6.7 วินาที มีระยะทางวิ่งสูงสุด 640 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) ส่วนรุ่น Performance AWD นั้นจะขับเคลื่อนสี่ล้อ (AWD) ให้กำลัง 598 แรงม้า แรงบิด 645 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 3.96 วินาที มีระยะทางวิ่งสูงสุด 590 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) ทั้ง 2 รุ่นจะมากับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 89.98 กิโลวัตต์-ชั่วโมง รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้าแบบ DC สูงสุดในการชาร์จแบบ DC 240 กิโลวัตต์ (30% - 80%) ใน 15 นาที โดยในรุ่น Performance AWD จะได้ช่วงล่างแบบถุงลมและระบบปรับความหนืดช่วงล่างอัจฉริยะมาด้วย

DEEPAL E07 ยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะมากมาย อาทิ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ ถึง 5 ระบบ ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันแบบผสมผสาน, ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน, ระบบช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติเมื่อเปิดไฟเลี้ยว, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้สิ่งกีดขวางด้านข้าง และระบบช่วยจอดอัจฉริยะเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายถึง 4 ระบบ ประกอบด้วย ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ, ระบบช่วยจอดอัตโนมัติจากระยะไกล, ระบบนำรถเข้า-ออกช่องจอดในแนวตรงจากระยะไกล, ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ รวมถึง17 ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน อาทิ ระบบช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาด้านหน้าและระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาด้านหน้า, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนขณะฉุกเฉิน, ระบบช่วยเตือนหากเสี่ยงต่อการโดนชนด้านหลัง, ระบบช่วยแจ้งเตือนมุมอับสายตา, ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาขณะถอยหลัง, ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถที่มุมอับสายตาขณะถอยหลัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีระบบเลือกโหมดสถานการณ์เพื่อช่วยปรับพื้นที่ห้องโดยสารพร้อมสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม โหมดเฝ้าระวังเพื่อช่วยตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติและบันทึกวิดีโอสภาพแวดล้อมรอบ ๆ เมื่อไม่ได้อยู่ที่รถ เป็นต้น อีกทั้งยังมีพื้นที่ภายในที่สะดวกสบาย เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้าได้ 14 ทิศทางพร้อมฟังก์ชัน Zero Gravity และระบบระบายอากาศ, กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมระบบแสดงภาพตัวรถแบบโปร่งแสง

DEEPAL E07 นั้นประกาศราคาออกมาดังนี้
Plus ราคาช่วงแนะนำที่ 1,599,000 บาท จากราคาปกติที่ 1,699,000 บาท
Performance AWD  ราคาช่วงแนะนำที่ 1,999,000 บาท จากราคาปกติที่ 2,099,000 บาท

และยังเปิดจองล่วงหน้าอีก 3 รุ่นย่อยได้แก่
Plus Limited Edition ราคา 1,890,000 - 1,990,000 บาท (เปิดจองล่วงหน้า)
Performance AWD Limited Edition ราคา 2,290,000 - 2,390,000 บาท (เปิดจองล่วงหน้า)
Legacy ราคา 2,990,000 - 3,090,000 บาท (เปิดจองล่วงหน้า)

ข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้ที่จอง DEEPAL E07 มีรายละเอียดดังนี้
สิทธิประโยชน์ สำหรับรถยนต์ DEEPAL E07 รุ่น Plus
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care
ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. 1 ปี 
รับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี 
ฟรี การบำรุงรักษา 6 ปี หรือ 6 ครั้ง ยกเว้น ชิ้นส่วนพิเศษ วัสดุสิ้นเปลือง และชิ้นส่วนที่สึกหรอ
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care Plus
ฟรี โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมบริการติดตั้ง 
ฟรี สายชาร์จเคลื่อนที่
ฟรี อินเทอร์เน็ต 10 ปี  (ข้อมูลอินเทอร์เน็ตสำหรับระบบ 1 GB  ต่อเดือน  และข้อมูลสำหรับสื่อบันเทิง 1 GB ต่อเดือน )
พิเศษสำหรับผู้ที่จอง 500 ท่านแรก รับราคาเปิดตัวพิเศษ DEEPAL E07 Plus ราคา 1,599,000 บาท พร้อมรับ Special Gift: เลือกรับไลฟ์สไตล์แพ็คเกจ Outdoor Explorer Pack หรือ Bike & Beyond Kit มูลค่า 60,000 บาท
สิทธิประโยชน์ สำหรับรถยนต์ DEEPAL E07 รุ่น Performance AWD
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care
ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. 1 ปี 
รับประกันตัวรถ 5 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี 
ฟรี การบำรุงรักษา 6 ปี หรือ 6 ครั้ง ยกเว้น ชิ้นส่วนพิเศษ วัสดุสิ้นเปลือง และชิ้นส่วนที่สึกหรอ
แพ็คเกจ DEEPAL Premium Care Plus
ฟรี โฮมชาร์จเจอร์ พร้อมบริการติดตั้ง 
ฟรี สายชาร์จเคลื่อนที่
ฟรี อินเทอร์เน็ต 10 ปี  (ข้อมูลอินเทอร์เน็ตสำหรับระบบ 1 GB  ต่อเดือน  และข้อมูลสำหรับสื่อบันเทิง 1 GB ต่อเดือน )
รับประกัน 10 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร เฉพาะช่วงล่างแบบถุงลมและระบบปรับความหนืดช่วงล่างอัจฉริยะ
พิเศษสำหรับผู้ที่จอง 500 ท่านแรก รับราคาเปิดตัวพิเศษ DEEPAL E07 Performance AWD ราคา 1,999,000 บาท พร้อมรับ Special Gift: เลือกรับไลฟ์สไตล์แพ็คเกจOutdoor Explorer Pack หรือ Bike & Beyond Kit มูลค่า 60,000 บาท

CHANGAN Automobile มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในไทยและทั่วโลก เราสัญญาว่าจะเดินหน้าสร้างสรรค์ยานยนต์ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกที่ยั่งยืน

100
โรคเบาหวานอันตราย แตกต่างอย่างไรใน 4 ชนิด

คำว่า ‘เบาหวาน’ มาจากคำว่า ‘เบา’ กับคำว่า ‘หวาน’ เบาก็คือปัสสาวะ ส่วนหวานในที่นี้หมายถึงการมีน้ำตาลผสมอยู่ ‘เบาหวาน’ จึงมีความหมายว่า ปัสสาวะหวาน นั่นเพราะมีน้ำตาลในปัสสาวะ นั่นเอง

ส่วนโรคเบาหวาน ก็คือโรคที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลสูงผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ ทั้งนี้ ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตา และโรคของระบบประสาท

โรคเบาหวาน 4 ชนิด แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

โรคเบาหวานสามารถแบ่งได้เป็น 4 ชนิดตามเกณฑ์ของสมาคมโรคเบาหวานประเทศสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association) ซึ่งแบ่งตามสาเหตุการเกิดของโรค ได้แก่

    โรคเบาหวานชนิดที่ 1

เป็นโรคที่กิดจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลาย โดยภูมิคุ้มกันของร่างกาย มักพบในเด็ก คนอายุน้อย รูปร่างไม่อ้วน อาการของโรคคือ ปัสสาวะมาก กระหายน้ำมาก อ่อนเพลีย น้ำหนักลด บางครั้งอาการของโรคอาจเกิดรวดเร็วและรุนแรง เช่น เกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากสารคีโตนคั่ง

    โรคเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวานชนิดนี้เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด พบประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด พยาธิสภาพที่สำคัญซึ่งพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 นี้ คือมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน ร่วมกับการที่เบต้าเซลล์ของตับอ่อนถูกทำลาย ทำให้อินซูลินลดลงเรื่อยๆ มักพบในคนอายุ 30 ปีขึ้นไป รูปร่างท้วมหรืออ้วน อาการมักไม่ค่อยรุนแรง เป็นแบบค่อยๆ เป็น สาเหตุของการเกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2 นี้ เป็นผลร่วมกันระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม น้ำหนักตัวที่มาก การขาดการออกกำลังกาย

    โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

เกิดจากการที่มีภาวะดื้อต่ออินซูลินมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ สาเหตุเกิดจากฮอร์โมนที่หลั่งมาจากรก และระดับฮอร์โมนต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ภาวะเบาหวานชนิดนี้มักจะเป็นภาวะเบาหวานแอบแฝง คือ ถ้าอดอาหารแล้วมาเจาะเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล ระดับน้ำตาลจะปกติ แต่ถ้าให้หญิงมีครรภ์ดื่มน้ำหวาน (75 gram oral glucose tolerance test) ร่างกายจะไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยทั่วไปโรคเบาหวานชนิดนี้มักจะหายได้หลังคลอด

    โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ

เป็นโรคเบาหวานที่มีสาเหตุชัดเจน ได้แก่โรคเบาหวานที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม (MODY- Maturity-Onset Diabetes of the Young), โรคเบาหวานที่เกิดจากโรคของตับอ่อน , จากยา, หรือโรคเบาหวานที่พบร่วมกับกลุ่มอาการต่างๆ เช่น Down syndrome, Turner syndrome, Prader-Willi syndrome


แนวทางการรักษาโรคเบาหวาน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต (lifestyle modification) เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ประกอบด้วย การรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ การออกกำลังกายที่เหมาะสม นอนให้เพียงพอ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ตัวอย่างการปรับเปลี่ยน เช่น

    การควบคุมอาหาร เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การใช้ยาจะได้ผลไม่ดี หากขาดการควบคุมอาหาร การควบคุมอาหารไม่ได้หมายถึงการลดปริมาณอาหาร แต่เป็นการรับประทานอาหารที่เหมาะสมทั้งปริมาณและชนิดของอาหาร คนที่มีน้ำหนักมากเกินจะต้องลดปริมาณอาหาร ในขณะที่คนที่น้ำหนักน้อยกว่าปกติ ต้องรับประทานอาหารให้มากขึ้น เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรเลือกบริโภคอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ ปริมาณน้ำตาลที่ได้รับตลอดวันต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของพลังงานรวม (ประมาณ 3-5 ช้อนชา) บริโภคอาหารที่มีกากใยสูง ให้ได้ใยอาหาร 14 กรัม ต่ออาหาร 1,000 กิโลแคลอรี อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งน้ำผึ้งและน้ำผลไม้ ควรรับประทานผลไม้รสหวานในปริมาณที่พอเหมาะ และควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด

    การออกกำลังกายจะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต และทำให้ระดับไขมันในเลือดดีขึ้น นอกจากนี้การออกกำลังกายยังทำให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด ควรตั้งเป้าหมายในการออกกำลังกายและประเมินสุขภาพก่อนเริ่มออกกำลังกาย ว่ามีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจหรือไม่ ควรเริ่มออกกำลังกายในขนาดเบาแล้วเพิ่มขึ้นช้าๆ จนถึงระดับหนักปานกลาง คือให้ชีพจรเท่ากับร้อยละ 50-70 ของชีพจรสูงสุด และควรออกกำลังกายให้ได้ถึง 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น ออกกำลังกายวันละ 30-50 นาที 3-5 วัน ต่อสัปดาห์

การใช้ยาจะเป็นลำดับสุดท้ายในการรักษาโรคเบาหวาน หากผู้ป่วยเบาหวานไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้จากการคุมอาหารและออกกำลังกาย ก็จำเป็นต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด ยาที่ใช้ในการรักษามีหลายกลุ่มทั้งยากินและยาฉีด ขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดและสภาวะเจ็บป่วยอื่นๆ ที่พบร่วมด้วย

หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 7 ... 15