ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - สิริ พร

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 ... 15
1
การเปลี่ยนเมนูกระเพราธรรมดา สร้างอาชีพ มีรายได้หลักแสน

กะเพราเป็นเมนูยอดนิยมที่คุ้นเคย แต่การสร้างรายได้หลักแสนจากเมนูนี้ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนและเพิ่มมูลค่าให้แตกต่างจากร้านทั่วไป ต่อไปนี้คือแนวทางและเคล็ดลับในการเปลี่ยนเมนูกะเพราธรรมดาให้กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้หลักแสนได้:

1. สร้างความแตกต่างด้วยวัตถุดิบ:

เนื้อสัตว์พรีเมียม:
ใช้เนื้อวากิว, เนื้อสันนอก, หรืออาหารทะเลสดใหม่
เพิ่มความหลากหลาย เช่น กะเพรากุ้งแม่น้ำ, กะเพราเนื้อปู

วัตถุดิบออร์แกนิก:
ใช้ผักออร์แกนิก, สมุนไพรสด, และข้าวไรซ์เบอร์รี่
สร้างจุดขายเรื่องสุขภาพและความใส่ใจในวัตถุดิบ

เครื่องเทศและซอสโฮมเมด:
ทำซอสกะเพราสูตรพิเศษ, น้ำพริกโฮมเมด
เพิ่มรสชาติที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์

2. สร้างความแตกต่างด้วยเมนู:

กะเพราฟิวชั่น:
ผสมผสานกะเพรากับอาหารนานาชาติ เช่น กะเพราสไตล์อิตาเลียน, กะเพราสไตล์เม็กซิกัน
สร้างความแปลกใหม่และน่าสนใจ

กะเพราสร้างสรรค์:
เพิ่มท็อปปิ้งพิเศษ เช่น ไข่ดาวลาวา, หมูกรอบ, หรือชีส
จัดจานให้สวยงามและน่ารับประทาน

กะเพราตามฤดูกาล:
ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล เช่น กะเพราหน่อไม้, กะเพราเห็ดเผาะ
สร้างความพิเศษและน่าสนใจในช่วงเวลาต่างๆ

3. สร้างความแตกต่างด้วยช่องทางการขาย:

เดลิเวอรี่พรีเมียม:
ใช้บรรจุภัณฑ์ที่สวยงามและรักษาอุณหภูมิอาหารได้ดี
มีบริการจัดส่งที่รวดเร็วและตรงเวลา

ร้านอาหารเฉพาะทาง:
เปิดร้านอาหารที่เน้นเมนูกะเพราเป็นหลัก
ตกแต่งร้านให้มีบรรยากาศที่น่าสนใจและแตกต่าง

ตลาดออนไลน์:
สร้างแบรนด์และเรื่องราวของร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์
ใช้รูปภาพและวิดีโอที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดลูกค้า

4. การตลาดและสร้างแบรนด์:

สร้างเรื่องราว: เล่าเรื่องราวของร้านค้าของคุณ เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดลูกค้า
สร้างความแตกต่าง: สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการนำเสนอสินค้าและบริการที่ไม่เหมือนใคร
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ
ใช้โซเชียลมีเดีย: โปรโมทร้านค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, และ Line

ข้อควรระวัง:

รักษาคุณภาพ: รักษามาตรฐานรสชาติและคุณภาพของอาหาร
บริการ: ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
การจัดการ: จัดการต้นทุนและรายได้ให้มีประสิทธิภาพ
ด้วยแนวทางเหล่านี้ คุณสามารถเปลี่ยนเมนูกะเพราธรรมดาให้กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้หลักแสนได้อย่างแน่นอน

2
หมอออนไลน์: ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแค (Seborrheic dermatitis)

ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแค (โรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน โรคผิวหนังอักเสบเซ็บเดิร์ม หรือเซ็บเดิร์มก็เรียก) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเป็นผื่นแดงคันร่วมกับเป็นเกล็ดรังแค มักเป็นที่หนังศีรษะ และบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า ร่องจมูก หู คิ้ว เปลือกตา หน้าอก เป็นต้น

โรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แต่ไม่เป็นโรคติดต่อให้ผู้อื่น (การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยไม่ทำให้ติดโรค)

พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน และผู้ใหญ่อายุ 30-50 ปี พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และพบบ่อยในผู้ที่มีผิวมัน

สาเหตุ

สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบ เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง รวมทั้งเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายต่อเชื้อราที่มีชื่อว่ามาลัสซีเซียเฟอร์เฟอร์ (Malassezia furfur) ซึ่งอยู่ตามไขมันของผิวหนัง

การเกิดอาการและความรุนแรงของโรค เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์ ความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ สภาพอากาศซึ่งเป็นได้ทั้งในหน้าร้อน (ต่อมไขมันบริเวณผิวหน้าสร้างไขมันออกมามาก ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ผื่นกำเริบได้มากขึ้น) และหน้าหนาว (อากาศแห้ง ซึ่งก็กระตุ้นให้โรคกำเริบ) การอยู่ในห้องปรับอากาศนาน ๆ หรือการถูกแสงแดดจัด

นอกจากนี้อาจเกี่ยวข้องกับการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษามะเร็ง (เช่น dasatinib, 5-FU, cetuximab), ยาทางจิตเวช (เช่น lithium, phenothiazines), ยาฆ่าเชื้อรา-กริซีโอฟุลวิน, ยารักษาความดัน-เมทิลโดพา, ยารักษาโรคกระเพาะ-ไซเมทิดีน, ยาทาสิว-กรดเรติโนอิก (retinoic acid) เป็นต้น

โรคนี้ยังอาจพบในผู้ที่เป็นโรคระบบประสาท (เช่น พาร์กินสัน โรคลมชัก โรคหลอดเลือดสมอง ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น) โรคซึมเศร้า โรคพิษสุราเรื้อรัง สิว โซริอาซิส (สะเก็ดเงิน)

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี มักจะมีอาการแสดงของโรคนี้แบบรุนแรงได้

อาการ

มีลักษณะเด่น คือ มีเกล็ดรังแค ลักษณะเป็นขุยสีขาวหรือเหลือง มีมันเยิ้ม หรือเป็นผื่นแดง คัน หรือพบอาการดังกล่าวร่วมกันในรายที่มีการอักเสบมากขึ้น

ตำแหน่งที่พบได้บ่อยที่สุด คือ หนังศีรษะ ถ้าเป็นเล็กน้อยจะพบเฉพาะเกล็ดรังแค แต่ถ้ามีการอักเสบมากจะเห็นเป็นผื่นแดง ซึ่งผื่นมักจะไม่เลยไรผมลงมาที่ต้นคอหรือหน้าผาก ในรายที่เป็นไม่มากมักมีอาการเกิดขึ้นที่บริเวณศีรษะเพียงอย่างเดียว

หากเป็นมากขึ้นก็จะพบผื่นที่ใบหน้า ได้แก่ บริเวณหัวคิ้ว ร่องจมูก ใบหู เปลือกตา (หนังตา) อาจพบหนังตาอักเสบ หนังตาแดงและมีเกล็ดสีขาวที่ขอบตาซึ่งเขี่ยออกได้ง่าย

ในรายที่เป็นรุนแรง จะเกิดผื่นที่หน้าอก กลางหลัง สะดือ หัวหน่าว ก้น และบริเวณข้อพับต่าง ๆ ร่วมด้วย

     ในทารก อาจมีอาการตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน มักมีอาการเป็นสะเก็ดหนาสีเหลืองขึ้นที่หนังศีรษะ (เรียกว่า cradle cap) ซึ่งมักจะไม่คัน บางรายอาจมีร่องแตก หรือขุยสีเหลืองที่หลังหู ผื่นแดงที่ใบหน้า และผื่นผ้าอ้อม และอาการมักจะหายไปก่อนอายุ 1 ปี พอย่างเข้าวัยรุ่นก็อาจมีอาการกำเริบขึ้นใหม่

ในเด็กโต อาจมีอาการเป็นแผ่นเกล็ดหนา ๆ เหนียว ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 ซม. ที่หนังศีรษะ

อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ มักกำเริบเมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด พักผ่อนไม่พอ ร่างกายอ่อนล้า อยู่ในห้องปรับอากาศ เจออากาศเย็น อากาศร้อน หรืออากาศแห้งนาน ๆ  ถูกแสงแดดจัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาบางชนิด เป็นต้น

ผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแค


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน นอกจากในรายที่มีอาการคันมาก อาจเกาจนมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือมีเลือดออกได้

เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และรอยโรคอาจแลดูน่าเกลียด อาจส่งผลต่อจิตใจโดยตรง ทำให้รู้สึกเป็นปมด้อย หรือขาดความมั่นใจในตัวเอง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ

บางรายแพทย์อาจทำการขูดเอาเซลล์ผิวหนังจากรอยโรคไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น โซริอาซิส (สะเก็ดเงิน) โรคเกลื้อน โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีรังแคและผื่นแดงที่หนังศีรษะ สระผมด้วยแชมพูที่มีตัวยารักษารังแค เช่น ซิลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulfide), ซิงค์ไพริไทโอน (zinc pyrithione), คีโตโคนาโซล, น้ำมันดิน (coal tar) เป็นต้น วันละครั้ง หรือวันเว้นวัน แต่ละครั้งควรฟอกทิ้งไว้นาน 5-15 นาที จนกว่ารังแคจะดีขึ้น หลังจากนั้นใช้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ส่วนรอยโรคที่บริเวณอื่น เช่น ใบหน้า หู หน้าอก รักแร้ ขาหนีบ เป็นต้น ใช้ครีมคีโตโคนาโซล ชนิด 2% ทาวันละ 2-3 ครั้ง

2. ถ้าให้การรักษาดังกล่าวไม่ได้ผล ใช้ครีมสเตียรอยด์ทา ถ้าเป็นที่หนังศีรษะและบริเวณที่มีขน ใช้โลชั่นไตรแอมซิโนโลนชนิด 0.01% ทาวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะดีขึ้น ส่วนบริเวณใบหน้า ใช้สเตียรอยด์ที่ออกฤทธิ์อ่อน ได้แก่ ครีมไฮโดรคอร์ติโซนชนิด 1% ทาวันละ 2-3 ครั้ง เมื่อดีขึ้นให้ทาต่อไปวันละครั้ง

3. ในรายที่มีหนังตาอักเสบจากโรคนี้ ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำสุก หรือน้ำเกลือเช็ดชำระเอาเกล็ดรังแคออก และใช้แชมพูรักษารังแค เช่น ซีลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulfide) ซิงค์ไพริไทโอน (zinc pyrithione) หรือโคลทาร์ (coal tar) สระผมและบริเวณที่เป็นรังแคทุกวัน ถ้าหนังตามีอาการคันหรือบวมแดงมาก ให้ใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ทาตรงบริเวณขอบตาวันละ 3-4 ครั้ง

4. ในทารกและเด็กเล็ก ใช้แชมพูชนิดอ่อน (mild baby shampoo) สระผมวันละครั้ง และทาด้วยครีมไฮโดรคอร์ติโซนชนิด 1% วันละ 2 ครั้ง ในรายที่มีแผ่นเกล็ดหนาที่หนังศีรษะ ใช้ยาละลายขุย เช่น โลชั่นกรดไซลิไซลิกทาก่อนนอนทุกวันจนกว่าจะดีขึ้น

5. ถ้าให้การรักษา 1-2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือสงสัยเป็นโรคอื่น เช่น โซริอาซิส เอดส์ เป็นต้น แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าพบว่าเป็นโรคนี้ในผู้ป่วยเอดส์ แพทย์จะให้กินยาคีโตโคนาโซล 400 มก. วันละครั้ง นาน 2 สัปดาห์ เพื่อรักษาโรคนี้ควบคู่กับการใช้ยารักษาโรคเอดส์


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีเกล็ดรังแคลักษณะเป็นขุยสีขาวหรือเหลือง มีมันเยิ้ม หรือเป็นผื่นแดง คันตามหนังศีรษะ หัวคิ้ว ร่องจมูก ใบหู เปลือกตา หน้าอก กลางหลัง สะดือ หัวหน่าว ก้น หรือบริเวณข้อพับต่าง ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแค ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    สวมใส่เสื้อผ้าที่เนื้อเรียบนุ่มซึ่งทำจากผ้าฝ้าย เพื่อให้อากาศระบายได้ดี ลดการระคายเคือง
    พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ
    หลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อนจัด เย็นจัด แห้งจัด การออกกลางแดดจัด และการดื่มสุรา
    หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ครีมใส่ผม สเปรย์ผม ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และสบู่ที่มีฤทธิ์แรง 
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิดที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ 
    หลีกเลี่ยงการแกะเกาผื่นที่คัน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์ หรือมีอาการกำเริบใหม่
    ผื่นกลายเป็นตุ่มหนอง แผลพุพอง หรือมีน้ำเหลืองไหล
    ขาดยา หรือยาหาย
    ใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ

ผู้ป่วยควรดูแลรักษา ใช้ยา ตามคำแนะนำของแพทย์ หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ และหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรง


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ไม่มีการรักษาจำเพาะที่ทำให้หายขาด ถึงแม้จะเป็นโรคเรื้อรังประจำตัว แต่สามารถปฏิบัติตัวหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น และใช้แชมพูสระผมและยาทาควบคุมอาการได้ ซึ่งช่วยให้อาการทุเลาลงเป็นระยะ ๆ (อาจนานเป็นปี ๆ)

เมื่อเริ่มมีอาการกำเริบขึ้นใหม่ หรือในกรณีที่มีความเครียด หรือสัมผัสสิ่งกระตุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็สามารถรีบใช้แชมพูรักษารังแคและทายาเพื่อควบคุมไม่ให้อาการเป็นมากหรือลุกลามได้

2. โรคนี้อาจมีลักษณะไม่น่าดู โดยเฉพาะถ้าขึ้นที่บริเวณศีรษะและใบหน้า บางครั้งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเป็นปมด้อย ความจริงแล้วถึงแม้จะเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ไม่ใช่โรคร้ายแรง ไม่ใช่โรคติดต่อ (สามารถอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น โดยไม่ทำให้ผู้อื่นติดเชื้อเป็นโรค) ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และทุเลาได้เมื่อมีการดูแลการรักษาอย่างจริงจัง หากผู้ป่วยมีความเข้าใจธรรมชาติของโรคนี้อย่างแท้จริง ก็จะช่วยให้ทำใจเป็นปกติได้

  3. โรคนี้อาจมีอาการคล้ายโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ รังแค และโซริอาซิส และอาจเป็นอาการแสดงที่พบร่วมกับผู้ป่วยเอดส์ หากให้การรักษาแล้วไม่ดีขึ้น หรือสงสัยว่าเป็นโซริอาซิสหรือโรคเอดส์ก็ควรปรึกษาแพทย์

3
คุณสมบัติของผ้ากันไฟ ผ้าทนความร้อน ผ้าสำหรับงานเชื่อม ปลอดภัย และคุ้มค่า

ผ้ากันไฟ, ผ้าทนความร้อน, หรือ ผ้าสำหรับงานเชื่อม คือวัสดุสำคัญที่ใช้ปกป้องคนและทรัพย์สินจากความร้อนสูง เปลวไฟ และสะเก็ดไฟในงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในงานเชื่อม, งานโลหะ, หรืองานที่มีอุณหภูมิสูง การเลือกใช้ผ้าเหล่านี้จึงต้องพิจารณาคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความ ปลอดภัยสูงสุด และ คุ้มค่า ในระยะยาวครับ

คุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ผ้ากันไฟปลอดภัยและคุ้มค่า

ไม่ติดไฟและไม่ลามไฟ (Non-Combustible & Non-Flammable):
นี่คือคุณสมบัติพื้นฐานที่สุด ผ้าต้องไม่เป็นเชื้อเพลิง ไม่ลุกไหม้ หรือลามไฟเมื่อโดนความร้อนสูงหรือเปลวไฟโดยตรง การมีคุณสมบัตินี้ช่วยลดความเสี่ยงจากอัคคีภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความปลอดภัย: เป็นปราการด่านแรกในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากไฟไหม้

ความคุ้มค่า: ช่วยลดความเสียหายมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นจากไฟไหม้

ทนความร้อนสูง (High Temperature Resistance):
ผ้าแต่ละชนิดมีความสามารถในการทนอุณหภูมิสูงสุดต่างกัน คุณควรเลือกให้เหมาะสมกับอุณหภูมิที่คุณต้องเจอในงานจริง

ผ้าใยแก้ว (Fiberglass Fabric): มักทนอุณหภูมิใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 450 ∘ C−550 ∘ C เหมาะสำหรับงานสะเก็ดไฟเชื่อมทั่วไป

ผ้าซิลิก้า (Silica Fabric): ทนอุณหภูมิใช้งานต่อเนื่องได้สูงถึง 850 ∘ C−1,000 ∘ C หรือบางชนิดสูงกว่านั้น เหมาะสำหรับงานเชื่อมหนัก, งานตัดโลหะ, หรืองานที่เกี่ยวข้องกับความร้อนสูงมากเป็นพิเศษ

ความปลอดภัย: ป้องกันการไหม้ทะลุของผ้า ทำให้ความร้อนไม่ทำอันตรายต่อสิ่งของหรือคน

ความคุ้มค่า: ผ้าที่ทนความร้อนได้เหมาะสมจะใช้งานได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย

ทนสะเก็ดไฟเชื่อมและประกายไฟ (Spatter & Spark Resistance):
ผ้าที่ดีสำหรับงานเชื่อมต้องสามารถทนทานต่อสะเก็ดไฟเชื่อมที่มีอุณหภูมิสูงมากได้โดยไม่ไหม้ทะลุ

ความปลอดภัย: ป้องกันสะเก็ดไฟกระเด็นไปโดนวัตถุไวไฟ พื้นผิวที่เสียหาย หรือพนักงาน

ความคุ้มค่า: ลดความเสียหายต่ออุปกรณ์, เฟอร์นิเจอร์ หรือพื้นผิวในบริเวณใกล้เคียงงานเชื่อม


ไม่ระคายเคืองผิว (Non-Irritating):
ผ้าใยแก้วแบบเก่าบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการคันหรือระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ

ผ้ากันไฟรุ่นใหม่ๆ หรือผ้าที่เคลือบผิว (เช่น เคลือบซิลิโคน) จะช่วยลดปัญหานี้ได้มาก ทำให้พนักงานทำงานได้สบายขึ้น

ความปลอดภัย: ปกป้องสุขภาพของพนักงาน

ความคุ้มค่า: พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการหยุดชะงักเพราะอาการไม่สบาย

มีความยืดหยุ่นและทนทาน (Flexible & Durable):
ผ้าควรยืดหยุ่นพอที่จะนำไปคลุม, โอบ, หรือทำเป็นม่านได้ง่าย แต่ก็ต้องทนทานต่อการฉีกขาด, การเสียดสี, และการใช้งานซ้ำๆ ด้วย

ความปลอดภัย: ผ้าที่แข็งแรงจะไม่ขาดง่าย ลดช่องโหว่ที่ไฟหรือสะเก็ดไฟอาจเล็ดลอดออกไป

ความคุ้มค่า: ใช้งานได้ยาวนาน ลดต้นทุนในการเปลี่ยนผ้าบ่อยๆ

ปลอดแร่ใยหิน (Non-Asbestos):
แม้ในอดีตจะมีการใช้แร่ใยหิน แต่ปัจจุบันถูกห้ามใช้แล้วเพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพร้ายแรง ผ้ากันไฟที่ผลิตในปัจจุบันควรระบุว่าเป็น "ปลอดแร่ใยหิน"

ความปลอดภัย: ปกป้องสุขภาพของพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง

ความคุ้มค่า: ป้องกันปัญหาด้านสุขภาพและกฎหมายในระยะยาว

การเคลือบผิว (Coating):
ผ้ากันไฟหลายชนิดมีการเคลือบผิวด้วยวัสดุต่างๆ เช่น ซิลิโคน (Silicone Coated), PU (Polyurethane), หรือเวอร์มิคูไลท์ (Vermiculite) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติ:

ลดการฟุ้งกระจายของเส้นใยและอาการคัน

เพิ่มความทนทานต่อการเสียดสีและการฉีกขาด

ทนทานต่อน้ำมัน, สารเคมี, หรือกันน้ำได้ (ในบางชนิด)

ความปลอดภัย/คุ้มค่า: คุณสมบัติเสริมเหล่านี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานในการใช้งานเฉพาะด้าน

สรุป: ปลอดภัยและคุ้มค่าไปพร้อมกัน
การเลือกใช้ผ้ากันไฟ, ผ้าทนความร้อน หรือผ้าสำหรับงานเชื่อมที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นมากกว่าแค่การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัย แต่ยังเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดและคุ้มค่าอย่างยิ่ง:

ปลอดภัย: ลดความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัย, การบาดเจ็บของพนักงาน, และความเสียหายของทรัพย์สิน

คุ้มค่า: ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์, ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง, ลดการสูญเสียจากความเสียหาย, และช่วยให้กระบวนการผลิตดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ได้ผ้ากันไฟที่เหมาะสมกับประเภทของงานและสภาพแวดล้อมของคุณที่สุดครับ

4
บริการด้านอาหาร: เมนูสลัดอกไก่ อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนควบคุมน้ำหนัก !?!

ในเรื่องของอาหารการกิน หลายคนให้ความสำคัญมาก เพราะบางคนใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ จึงเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของสุขภาพของตัวเอง แต่ในปัจจุบัน การเลือกรับประทานอาหาร ก็มีอุปสรรคมากมาย เพราะมีอาหารที่แปลกตา สีสันสดใสมาคอยล่อตาล่อใจอยู่เสมอ อาจจะทำให้บางครั้งเผลอไปรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และบางคนอาจจะไม่มีเวลาที่จะประกอบอาหารเอง เลยต้องไปซื้อตามท้องตลาดเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว แต่อาหารสุขภาพ ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยดำรงส่งเสริมสุขภาพและลดความเสี่ยงของการเกิดโรค สามารถรับประทานได้ในคนปกติ รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวด้วย

เพราะอาจลดความเสี่ยงในโรคที่อาจจะเกิดร่วมขึ้นหรือป้องกันโรคแทรกซ้อนที่จะตามมาหรือทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าผู้ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค เพิ่มศักยภาพให้ระบบต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ทั้งนี้ โรคที่กล่าวมานั้น อาจจะมีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหาร หรือพฤติกรรมการรับประทานอาหารด้วย ดังนั้น การเลือกสรรเมนูเพื่อสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ บางคนรับประทานอาหารแบบไม่เลือก หรือไม่สนใจสารอาหาร จึงทำให้เกิดภาวะโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักขึ้น โดยเฉพาะสาวๆ ที่สนใจในเรื่องของรูปร่างสัดส่วน อาจจะเปลี่ยนความคิดว่าจะต้องหันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อควบคุมน้ำหนัก ดังนั้น วันนี้เราจะมาแนะนำเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับคนที่อยากจะควบคุมน้ำหนัก นั่นก็คือ เมนูสลัดอกไก่ ที่เรียกว่า ได้รับสารอาหารครบถ้วนแบบเต็มๆอย่างแน่นอน

โดยวิธีการทำนั้น ก็ไม่อยากอย่างที่คิด เพียงแค่นำเนื้ออกไก่ลวก ผสมกับผักที่เราชอบ และ เพิ่มรสชาติด้วยน้ำยำ เคล็ดลับความอร่อยของสลัดไก่ คือ วัตถุดิบคุณภาพ เทคนิคการเตรียมอาหาร และ การปรุงรสชาติน้ำยำ โดยมีส่วนผสมสำหรับทำสลัดไก่ เนื้ออกไก่ 1 อก เนยถั่ว 2 ช้อนโต้ะ ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต้ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต้ะ น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต้ะ หอมใหญ่ ครึ่งหัว นำมาหั่นเป็นเส้นๆ แครอท ครึ่งหัว นำมาขูดเป็นเส้นๆ มะเขือเทศ 1 ลูก นำมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ ผักกาดหอม หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 จาน และไข่ไก่ 1 ฟอง เมื่อเราเตรียมวัตถุดิบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้นำนำไข่ไก่ไปต้มให้สุก

จากนั้นปลอกเปลือก และ หั่นเป็นชิ้นเตรียมเอาไว้ และ พักเอาไว้ก่อน หลังจากนั้น ก็ต้มเนื้ออกไก่ให้สุก และ ฉีกเป็นเส้นๆ และ พักเอาไว้ก่อน มาถึงขั้นตอนการเตรียมน้ำยำ เริ่มจากผสมส่วนผสมประกอบด้วย ซอสถั่วเหลือง เนยถั่ว น้ำสมสายชู น้ำตาลปี๊บ ผสมให้ส่วนผสมละลายเป็นซอส เตรียมถ้วยใส่เนื้อไก่และผักต่างๆที่เตรียมไว้ เช่น หอมหัวใหญ่ แครอท มะเขือเทศ และ ผักกาดหอม ราดด้วยน้ำซอส และ คลุกเคล้าให้น้ำซอสผสมกับส่วนผสมที่หมด จากนั้นนำเสิร์ฟใส่จาน โรยหน้าด้วยเนื้อไก่อีก 1 ช้อนโต้ะ และ ไข่ไก่ต้ม เพียงเท่านี้ก็ได้ สลัดเพื่อสุขภาพ แถมยังมีรสชาติอร่อย ได้ประโยชน์เต็มๆอย่างแน่นอน

ดังนั้น เราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะเราเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่สำคัญเราจะต้องดูแลตัวเองให้มากๆ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เราได้มีสุขภาพที่แข็งแรง

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการรับประทานอาหารก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน  เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์ ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เพราะการไม่มีโรคถือเป็นลาภอันประเสริฐ และที่สำคัญที่สุด การใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้น ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการที่ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี หากเรามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอาหารการกินที่มีประโยชน์ ก็ถือว่าช่วยให้เรามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงได้ แต่ก็ควรหมั่นออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เพื่อให้เราได้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บได้

5
หมอประจำบ้าน: โซริอาซิส/โรคสะเก็ดเงิน/โรคเกล็ดเงิน (Psoriasis)

โซริอาซิส (โรคสะเก็ดเงิน โรคเกล็ดเงิน ก็เรียก) เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่งที่มีลักษณะขึ้นเป็นผื่นหรือปื้นและมีเกล็ดสีเงินปกคลุม มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นแรมปีหรือตลอดชีวิต โดยไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ และไม่ติดต่อให้ผู้สัมผัสใกล้ชิด

พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของคนทั่วไป ชายและหญิงพบได้เท่า ๆ กัน พบได้ในคนทุกวัย มักจะเริ่มมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 10-40 ปี

ผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 พบว่ามีประวัติโรคนี้ในครอบครัว และอาการมักจะกำเริบเมื่อมีสาเหตุกระตุ้น ที่พบบ่อยคือความเครียด

สาเหตุ

โรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

ในคนปกติ เซลล์ผิวหนังในชั้นหนังกำพร้าจะมีการงอกใหม่จากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวหนังบนชั้นนอกสุดที่แก่ตัวตายและหลุดออกไปเป็นวัฏจักร โดยเซลล์ผิวหนังที่งอกใหม่จะใช้เวลาเคลื่อนตัวจากชั้นใต้ผิวหนังขึ้นมาที่ชั้นนอกสุดของผิวหนังประมาณ 26 วัน

แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้ พบว่าบริเวณรอบโรคจะมีการแบ่งตัวหรืองอกของเซลล์ผิวหนังใหม่เร็วกว่าปกติ และใช้เวลาเคลื่อนตัวขึ้นมาที่ชั้นนอกสุดของผิวหนังเพียงประมาณ 4 วัน ทำให้เซลล์ผิวหนังที่แก่ตัวหลุดออกในอัตราความเร็วไม่ทันกับการงอกของเซลล์ใหม่ จึงทำให้เกิดการหนาตัวของผิวหนังกลายเป็นตุ่มหรือปื้น และมีเกล็ดสีเงินปกคลุมซึ่งหลุดลอกออกง่าย

สันนิษฐานว่าความผิดปกติดังกล่าวเกี่ยวข้องกับความแปรปรวนของระบบภูมิคุ้มกัน กล่าวคือ ลิมโฟไซต์ที่มีชื่อว่า T cells (ปกติทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรค) ถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกิน เมื่อเคลื่อนตัวมาที่ชั้นใต้ผิวหนังก็จะทำงานร่วมกับสารอื่น ๆ กระตุ้นให้เซลล์หนังกำพร้าเกิดการแบ่งตัวและเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผิดปกติ และก่อให้เกิดการอักเสบของผิวหนังทั้งในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

กลไกของการเกิดโรคโซริอาซิส เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ ร่วมกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะซับซ้อน

ปัจจุบัน พบว่ามียีนผิดปกติของโรคนี้อยู่มากกว่า 8 ชนิด ผู้ป่วยแต่ละรายจะมียีนผิดปกติที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้มีอาการแสดงได้หลากหลายรูปแบบ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ที่มียีนของโรคนี้แฝงอยู่ในร่างกายมีถึง 1 ใน 3 ที่ไม่มีอาการ ซึ่งแสดงว่าน่าจะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดอาการ

สาเหตุกระตุ้นที่อาจพบได้ เช่น ความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ การติดเชื้อ (เช่น คออักเสบจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัส การติดเชื้อเอชไอวี) การบาดเจ็บที่ผิวหนัง การใช้ยาปิดกั้นบีตาหรือลิเทียม พบว่าเป็นสาเหตุทำให้โรคกำเริบเป็นครั้งแรก

ส่วนปัจจัยที่ทำให้โรคมีอาการกำเริบซ้ำหรือรุนแรงมากขึ้น เช่น ความเครียด การติดเชื้อต่าง ๆ (รวมทั้งการติดเชื้อเอชไอวี) การแกะเกาขูดข่วนที่ผิวหนัง แมลงกัดต่อย แพ้แดดหรือถูกแดดมาก อากาศหนาวเย็น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์จัด ความอ้วน การใช้ยา (เช่น คลอโรควีน ยาปิดกั้นบีตา ยาต้านเอซ ลิเทียม ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาที่เข้าไอโอไดด์ เป็นต้น) การหยุดยากินสเตียรอยด์ (ที่เคยใช้ได้ผลอยู่ก่อนก็อาจทำให้อาการกำเริบได้)

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจำนวนมากอาจไม่พบว่ามีสาเหตุอะไรเป็นตัวกระตุ้นก็ได้


อาการ

มีอาการแสดงได้หลายชนิด ซึ่งอาจเป็นชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดร่วมกัน ดังนี้

    โซริอาซิสชนิดปื้นหนา (plaque psoriasis) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด อาการตอนเริ่มกำเริบใหม่ ๆ จะเป็นตุ่มแดง ขอบเขตชัดเจน และมีขุยสีขาว (สีเงิน) อยู่ที่ผิว ต่อมาตุ่มจะค่อย ๆ ขยายออกจนกลายเป็นปื้นใหญ่และหนา และขุยสีขาวที่ผิวจะหนาตัวขึ้นเห็นเป็นเกล็ดสีเงิน (ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเรียกว่า โรคเกล็ดเงินหรือสะเก็ดเงิน) เกล็ดนี้จะร่วงเวลาถอดเสื้อหรือเดินไปไหนมาไหน หรือร่วงอยู่ตามเก้าอี้หรือที่นอน ถ้าขูดเอาเกล็ดออกจะมีรอยเลือดออกซิบ ๆ

รอยโรคอาจมีอาการคันหรือเจ็บ และอาจดูคล้ายอาการของโรคกลาก ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้

ความผิดปกติดังกล่าวอาจเกิดที่ผิวหนังได้ทุกส่วน แต่มักจะพบที่หนังศีรษะ และผิวหนังส่วนที่เป็นปุ่มนูนของกระดูก ที่พบบ่อยได้แก่ ข้อศอก ข้อเข่า อาจพบที่บริเวณก้นกบ หน้าแข้ง รอยโรคจะมีขนาดต่าง ๆ กัน อาจขึ้นเพียงไม่กี่แห่ง หรือกระจายทั่วไปก็ได้ นอกจากนี้รอยโรคลักษณะดังกล่าวยังชอบขึ้นตามบริเวณผิวหนังที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือชอกช้ำ เช่น รอยบาดแผล รอยขีดข่วน เป็นต้น บางรายอาจมีรอยโรคภายในเยื่อบุช่องปาก หรือบริเวณอวัยวะเพศก็ได้

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีรอยโรคลักษณะดังกล่าวเป็นปื้นหนา ๆ ขึ้น ๆ ยุบ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่หายขาด

โซริอาซิสชนิดปื้นหนา
 
    โซริอาซิสชนิดตุ่มเล็ก (guttate psoriasis) มักพบในคนอายุต่ำกว่า 30 ปี และมักเกิดอาการครั้งแรกหลังจากเป็นคออักเสบจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัส ลักษณะเป็นตุ่มหรือผื่นแดงเล็ก ๆ รูปร่างคล้ายหยดน้ำ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา หนังศีรษะ และมีเกล็ดเงินเล็ก ๆ ปกคลุม อาจเกิดอาการเพียงครั้งเดียวแล้วหายขาดไปเลย หรืออาจกำเริบซ้ำ ๆ โดยเฉพาะเวลามีการติดเชื้อของทางเดินหายใจ รอยโรคอาจดูคล้ายผื่นพีอาร์ ซิฟิลิส ผื่นแพ้ยา

โซริอาซิสชนิดตุ่มเล็ก

    โซริอาซิสชนิดรอยพับ (inverse/flexural psoriasis) ลักษณะเป็นรอยแดง ผิวราบเรียบ มีขอบเขตชัดเจน ไม่มีเกล็ดเงิน พบที่รักแร้ ขาหนีบ ใต้นม ข้อพับต่าง ๆ และรอบ ๆ อวัยวะเพศ มักพบในผู้ที่น้ำหนักเกินหรืออ้วน อาการจะกำเริบมากขึ้นเมื่อมีเหงื่อออกหรือมีการเสียดสี รอยโรคดูคล้ายโรคสังคัง โรคเชื้อราแคนดิดา

    โซริอาซิสชนิดตุ่มหนอง (pustular psoriasis) ซึ่งพบได้น้อย ลักษณะขึ้นเป็นตุ่มน้ำขุ่นแบบตุ่มหนอง โดยไม่มีการติดเชื้อ (sterile pustule) แรกเริ่มจะขึ้นเป็นผื่นแดงเจ็บก่อน หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็จะพุขึ้นเป็นหนอง แล้วหายเองภายใน 1-2 วัน อาการอาจกำเริบ (เป็นวงจร ผื่นแดง-ตุ่มหนอง-ตกสะเก็ด) ได้ทุก ๆ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ อาจเกิดเฉพาะที่ เช่น ฝ่ามือฝ่าเท้า ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า หรือกระจายทั่วตัว ซึ่งอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย น้ำหนักลด คันมากร่วมด้วย รอยโรคดูคล้ายผิวหนังอักเสบที่มีการติดเชื้อแทรกซ้อนพุพอง

    โซริอาซิสชนิดแดงและเป็นเกล็ดทั่วตัว (erythrodermic psoriasis) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้น้อยที่สุด ลักษณะเป็นผื่นแดงและมีเกล็ด คัน ปวดแสบปวดร้อน ขึ้นกระจายทั่วตัว ผู้ป่วยอาจเป็นโซริอาซิสชนิดปื้นหนามาก่อน แต่ควบคุมอาการได้ไม่ดี มักกำเริบเวลามีความเครียด เกิดบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แพ้ยา หรือติดเชื้อ หรือหยุดยาสเตียรอยด์ที่เคยกินเป็นประจำ อาจมีภาวะแทรกซ้อนแบบบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก เช่น ภาวะขาดน้ำ การติดเชื้อ เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้


โซริอาซิสชนิดแดงและเป็นเกล็ดทั่วตัว

    โซริอาซิสชนิดเกิดที่หนังศีรษะ (scalp psoriasis) พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ อาจมีอาการเกิดขึ้นก่อนมีผื่นตามตัว ลักษณะเป็นผื่นแดงหนา ขอบเขตชัดเจน และมีเกล็ดเงินขึ้นตามแนวไรผม บางครั้งอาจลามมาที่หน้าผาก มักไม่มีอาการผมร่วง อาจมีอาการคัน เวลาเกาหนังศีรษะอาจมีเกล็ดหนังร่วงเกาะตามผมและไหล่ ลักษณะคล้ายรังแค โรคกลากที่ศีรษะ

    โซริอาซิสชนิดเกิดที่เล็บ (nail psoriasis) เกิดได้ทั้งที่เล็บมือเล็บเท้า มีอาการได้หลายลักษณะ เช่น มีจุดสีน้ำตาลใต้เล็บ เล็บเป็นหลุม เล็บขรุขระ เล็บแยกตัวออกจากเนื้อใต้เล็บ (onycholysis) ผิวใต้เล็บหนา (subungual keratosis) มักเกิดร่วมกับเนื้อเยื่อขอบเล็บอักเสบ (paronychia) บางครั้งอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราร่วมด้วย อาจทำให้เข้าใจว่าเป็นโรคกลากที่เล็บ โรคเชื้อราแคนดิดาที่เล็บ ในรายที่เป็นรุนแรงเนื้อเล็บจะเปื่อยยุ่ยถูกทำลาย


โซริอาซิสที่เล็บและข้อนิ้วเท้า

    ข้ออักเสบจากโซริอาซิส (psoriatic arthritis) พบได้ประมาณร้อยละ 5-15 ของผู้ป่วยโซริอาซิส ส่วนมากพบร่วมกับรอยโรคที่ผิวหนังเรื้อรัง ส่วนน้อยอาจมีอาการข้ออักเสบนำมาก่อนอาการที่ผิวหนัง มักพบที่ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งมีลักษณะปวด บวม และข้อแข็ง คล้ายโรคปวดข้อรูมาตอยด์ บางรายอาจมีการอักเสบของข้อเข่า สะโพก และข้อกระดูกสันหลัง อาจเป็นเพียงข้อเดียวหรือหลายข้อพร้อมกันก็ได้ อาการข้ออักเสบอาจค่อย ๆ เป็นรุนแรงขึ้นจนข้อพิการในที่สุดก็ได้


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แต่เนื่องจากมีรอยโรคเรื้อรังและแลดูน่าเกลียด อาจทำให้ผู้ป่วยมีความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า สูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง และกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและการออกสังคมได้

ในรายที่มีอาการคันมาก อาจเกาจนมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรง เช่น โซริอาซิสชนิดตุ่มหนองแพร่กระจายทั่วไป หรือโซริอาซิสชนิดแดงและเป็นเกล็ดทั่วตัว อาจทำให้เกิดภาวะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ และการติดเชื้อรุนแรงได้

ในรายที่เป็นข้ออักเสบอาจทำให้ข้อพิการ

ในรายที่เป็นที่เล็บอาจทำให้เล็บพิการ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ในรายที่อาการไม่ชัดเจนอาจต้องทำการตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy) โดยการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังส่งพิสูจน์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามชนิดและความรุนแรงของโรค ซึ่งมีแนวทางดังนี้

1. สำหรับรอยโรคที่ผิวหนัง ในรายที่เป็นน้อย มีรอยโรคไม่กี่แห่ง จะให้ทาครีมสเตียรอยด์ เช่น ครีมไตรแอมซิไนโลนอะเซโทไนด์ หรือขี้ผึ้งน้ำมันดิน หรือโคลทาร์ (coal tar) ชนิด 1-5% หรืออาจใช้ทั้ง 2 อย่างสลับกัน เพื่อป้องกันการดื้อยา

ในรายที่เป็นมากขึ้น อาจหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสเตียรอยด์ หรือใช้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นปื้นหนา บางครั้งแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยอาบแดด* (ช่วงเวลา 10.00-14.00 น.) เริ่มอาบด้านละ 5-10 นาทีก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มระยะนานขึ้น จนถึงขั้นทำให้เกิดรอยแดงเรื่อ ๆ ที่ผิวหนังภายใน 24 ชั่วโมงหลังอาบแดด (ส่วนใหญ่จะอาบแดดนานประมาณ 15-20 นาที) ทำประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยให้ผื่นยุบได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ ข้อควรระวังคือ อย่าอาบแดดนานเกินไป และควรใช้ผ้าคลุมหน้าป้องกันมิให้ผิวหน้าถูกแดดมากไป บางรายอาจแพ้แดดทำให้อาการกำเริบได้

บางรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นโซริอาซิสชนิดปื้นหนา แพทย์อาจให้ผู้ป่วยทาขี้ผึ้งแอนทราลิน (anthralin ointment) พร้อมกับการอาบแดด และโรงพยาบาลขนาดใหญ่อาจใช้วิธีฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB) แทนการอาบแดดก็ได้ ถ้าได้ผลผื่นจะยุบภายใน 3-4 สัปดาห์ ข้อควรระวัง ยานี้อาจระคายเคือง ถ้าพบอาการระคายเคืองควรหยุดยา ยานี้ห้ามใช้ทาบนใบหน้า ข้อพับ และอวัยวะเพศ

บางกรณีแพทย์อาจเลือกใช้ยาทาชนิดอื่น เช่น calcipotriene ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินดี tazarotene ซึ่งเป็นกลุ่มเรตินอยด์ (ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์) เป็นต้น โดยอาจใช้เดี่ยว ๆ หรือร่วมกับยาอื่น หรือร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลต

นอกจากนี้จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ถ้าผิวแห้งให้ทาด้วย petrolium liquid paraffin เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง ถ้าเกล็ดหนามากให้ยาละลายขุย (เช่น ครีมยูเรียหรือกรดซาลิไซลิก) ถ้าคันให้ยาแก้แพ้ ถ้าปวดหรือมีไข้ ให้ยาแก้ปวดลดไข้ เป็นต้น

2. สำหรับรอยโรคที่หนังศีรษะ ให้ผู้ป่วยสระผมด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน (เช่น ทาร์แชมพู) สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ในรายที่มีขุยที่ศีรษะมาก อาจใช้โลชั่นที่เข้าสเตียรอยด์ (steroid scalp lotion) ทาวันละ 1-2 ครั้ง

3. สำหรับอาการข้ออักเสบ ให้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ

4. ในรายที่เป็นรุนแรง หรือดื้อต่อการรักษา อาจต้องใช้ยาชนิดกิน เช่น การให้กินยาซอลาเรน (psolaren) ร่วมกับการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเอ การให้กินยากลุ่มเรตินอยด์ เมโทเทรกเซต (methotrexate) หรือไซโคลสปอรีน (cyclosporine) วิธีการรักษาเหล่านี้ควรให้แพทย์โรคผิวหนังเป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลข้างเคียงและข้อควรระวังของยาแต่ละชนิดต่าง ๆ กันไป

ในปัจจุบันมียาใหม่ มีผลข้างเคียงน้อย แต่ราคาแพง เช่น etanercept, infliximab เป็นต้น ซึ่งเป็นสารชีวภาพออกฤทธิ์ต้านอักเสบโดยยับยั้งการทำงานของลิมโฟไซต์ แพทย์อาจเลือกใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่นไม่ได้ผล หรือมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่ร้ายแรงของยาอื่น

*แสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลต มีฤทธิ์ทำให้ลิมโฟไซต์ชนิด T cells ตาย ช่วยชะลอการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังลง รวมทั้งช่วยลดการเกิดเกล็ดเงิน และการอักเสบของผิวหนัง


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีผื่น ตุ่ม หรือรอยปื้นขึ้นตามผิวหนังหรือรอยพับ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโซริอาซิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน หรือตรากตรำงานหนัก
    พยายามอย่าให้เกิดภาวะเครียด โดยการออกกำลังกาย ฝึกโยคะ ชี่กง รำมวยจีน ทำสมาธิ ทำงานอดิเรก เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงการขีดข่วนถูกผิวหนัง
    งดการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
    ควรให้ผิวหนังได้ถูกแดด (อาบแดด) ตามคำแนะนำของแพทย์ (ผู้ที่แพ้แดดควรหลีกเลี่ยงการถูกแดด)
    หลีกเลี่ยงการกินยาหม้อที่มีสารหนู ซึ่งอาจทำให้อาการทุเลา แต่ถ้ากินติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้เป็นมะเร็งได้
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาชุด และยาลูกกลอน (ที่มียาสเตียรอยด์ที่ผสม) มากินเอง แม้ว่าจะทำให้โรคทุเลา แต่เมื่อหยุดยาก็อาจทำให้โรคกำเริบรุนแรงได้ โดยทั่วไปแพทย์จะหลีกเลี่ยงการให้สเตียรอยด์ชนิดกินแก่ผู้ป่วย เพราะกลัวโรคกำเริบหลังการหยุดยา แต่จะให้ใช้สเตียรอยด์ชนิดทาหรือฉีดเข้าเฉพาะที่


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์ 
    สงสัยมีภาวะแทรกซ้อน เช่น มีไข้สูง ผื่นตุ่มกลายเป็นหนอง มีผื่นตุ่มลุกลามมากขึ้น มีอาการปวดข้อ เล็บมีความผิดปกติ เป็นต้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกำเริบรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบ

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง โดยมีบางช่วงที่อาจหายดีเหมือนปกติ แต่สักพักหนึ่งก็กลับกำเริบขึ้นอีก บางรายอาจมีระยะสงบจากอาการนานเป็นปี ๆ แต่บางรายอาจกำเริบบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีภาวะเครียดทางร่างกายหรือจิตใจ ดังนั้นจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์คนใดคนหนึ่งอย่างต่อเนื่อง อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลบ่อย

2. โรคนี้แม้จะเป็นเรื้อรัง แต่มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แม้จะมีรอยโรคแลดูน่าเกลียด แต่ก็ไม่ได้เป็นโรคติดต่ออย่างโรคเชื้อรา หรือโรคเรื้อน (บางคนเรียกชื่อโรคนี้ว่า โรคเรื้อนกวาง ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคเรื้อน) สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างใกล้ชิดได้ และก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายแบบมะเร็ง หรือเอดส์ ดังนั้นจึงควรอธิบายให้ญาติพี่น้องของผู้ป่วยและคนทั่วไปเข้าใจ จะได้ให้การดูแลและให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย อย่าแสดงความรังเกียจจนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกมีปมด้อยหรือซึมเศร้า

3. ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการและความรุนแรงแตกต่างกันไป อาจมีอาการเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือมากกว่า 1 ชนิด หรือเปลี่ยนชนิดไปมาก็ได้ บางรายอาจมีผื่นขึ้นเฉพาะที่ ไม่ลุกลามออกไป แต่บางรายอาจทวีความรุนแรงไปเรื่อย โดยทั่วไปถ้าเริ่มมีอาการครั้งแรกตอนอายุน้อย ก็มีโอกาสเกิดความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการเพียงเล็กน้อย สามารถรักษาด้วยการใช้ยาสเตียรอยด์ทาเป็นครั้งคราว สามารถทำงานและดำเนินชีวิตได้อย่างคนปกติทั่วไป

4. โรคนี้อาจแสดงอาการได้หลายแบบ และอาจคล้ายกับโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น กลาก โรคเชื้อราแคนดิดา ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ผื่นพีอาร์ รังแค เป็นต้น ดังนั้นถ้าให้การดูแลรักษาโรคเหล่านี้ไม่ได้ผล ก็ควรจะนึกถึงโรคโซริอาซิส

5. โรงพยาบาลควรส่งเสริมให้กลุ่มผู้ป่วยได้พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในการดูแลตนเอง และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน หากเป็นไปได้ควรจัดให้ผู้ป่วยรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด

6
มาดู 7 วิธีแต่งบ้านสไตล์มินิมอล และเลือกของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะ

การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลเป็นอีกหนึ่งสไตล์ของการตกแต่งบ้านและที่พักอาศัยที่ได้รับความนิยมอย่างไม่แผ่วเลย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อย กับการแต่งบ้านแบบน้อยแต่มากแบบมินิมอล (Minimal style) ด้วยจุดเด่นอันแสนหลากหลายทั้งสไตล์แบบเฉพาะตัวพร้อมค่าใช้จ่ายที่ไม่แรงเกินไป ไม่แปลกที่การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลจะมาแรง วันนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับการแต่งบ้านแบบมินิมอลว่ามันเป็นยังไงกันแน่ และเผื่อว่าใครที่อยากแต่งบ้านสไตล์นี้ดูบ้าง เราก็ไม่พลาดที่จะนำเทคนิคการเลือกเฟอร์นิเจอร์และตกแต่งห้องหรือบ้านของคุณให้ออกมาในสไตล์มินิมอลแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รับรองว่าการจัดบ้านสไตล์มินิมอลจะทำให้ดูน่าอยู่มากขึ้นแน่นอน!

แต่งบ้านสไตล์มินิมอล (Minimal Style) หมายถึงอะไร

“ใช้สีโมโนโทน”

“การจัดวางเป็นดูเรียบร้อย”

“เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น”

“เรียบง่ายแต่ดูดี”

“น้อยแต่มาก”

เมื่อพูดถึงการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลแล้ว ประโยคข้างบนนี้คงเป็นประโยคที่ทุกคนน่าจะเคยได้ยินได้เห็นผ่านตามาไม่มากก็น้อย ‘Minimal Style’ สไตล์การตกแต่งที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมมาสักพักแล้วนี้ หมายถึง สไตล์การตกแต่งที่เน้นความเรียบง่าย ใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่มีประโยชน์ใช้สอย เลือกสิ่งตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ตามจำเป็น มีการจัดวางอย่างมีระเบียบเรียบร้อย

ฟังดูเหมือนง่ายใช่ไหมคะ? ก็แค่ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เยอะ เอาเฉพาะที่จำเป็น แล้วก็ซื้อสีเดียวกันมาอยู่ด้วยกันก็พอ แต่จริงๆ การตกแต่งบ้านสไตล์นี้ไม่ได้ทำกันง่ายขนาดนั้น ตอนเลือกเฟอร์นิเจอร์ต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะแต่งยังไงให้สวย อบอุ่นน่าอยู่ แล้วดูมินิมอลด้วย ต้องบาลานซ์การตกแต่งและวางแผนล่วงหน้าไว้หลายสเต็ปทีเดียว

นักตกแต่งภายในหลายคนเคยพูดถึงการตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลไว้ว่า ความมินิมอลต้องมาคู่กับฟังก์ชันที่ครบครัน เรียกได้ว่าน้อยอย่างเดียวไม่พอ แต่เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งจะต้องเอื้อให้สามารถใช้งานในชีวิตจริงได้ด้วย


จุดสำคัญของการแต่งบ้านให้ออกมาเป็นสไตล์มินิมอล

สำหรับผู้ที่สนใจจัดบ้านแบบมินิมอล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดสำคัญทั้งเรื่องสีสันบ้านโทนมินิมอล การเลือกเฟอร์นิเจอร์มินิมอล ไปจนถึงไอเดียแต่งห้องมินิมอลจะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจ สวยงามดังที่คาดหวังเอาไว้

• มีโทนสีแบบโมโนโทนหรือเรียกว่า Monochromatic และมักจะใช้สีอ่อนๆ

• ในการออกแบบจะต้องออกแบบให้มีการนำเส้นสายตาที่ตรงและคม

• การคัดสรรเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาใช้งานจะน้อยชิ้น แต่การใช้งานต้องครบครัน

• การจัดพื้นที่ในห้องให้ดูมีที่ว่างเยอะ และดูกว้างขวาง

• พื้นผิวในจุดต่างๆ ทั่วห้องต้องดูมีที่ว่าง โล่ง และสะอาดตา ของตกแต่งน้อยชิ้น

• ของน้อย ตกแต่งเรียบง่าย แต่ต้องดูน่าอยู่ อบอุ่น และไม่ทิ้งความมีสไตล์

• เน้นที่คุณภาพของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งมากกว่าปริมาณสิ่งของ


การตกแต่งสไตล์มินิมอลเหมาะกับใคร

การตกแต่งมินิมอลฟังดูยากมากสำหรับยุคสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยการช็อปปิ้งออนไลน์ ซื้อสิ่งของต่างๆ เข้าบ้านกันง่ายดายจนแทบไม่มีที่เก็บ เห็นอะไรก็น่าซื้อน่าลองไปหมด การแต่งบ้านสไตล์มินิมอลนั้นไม่ได้จบที่การตกแต่ง แต่จะต้องปรับพฤติกรรมการซื้อของใช้เข้าบ้านให้มินิมอลตามไปด้วย ซื้อแต่ที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น

อาจเรียกได้ว่า มินิมอลนั้นเป็นมากกว่าแค่การแต่งบ้าน แต่เป็นแนวคิดที่มาคู่กับการสร้างไลฟ์สไตล์และการอยู่อาศัย ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือช่วยให้เราสามารถโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา ช่วยให้ใส่ใจคุณภาพให้มากกว่าปริมาณ (และประหยัดในระยะยาว)

การตกแต่งสไตล์มินิมอลเหมาะกับใครก็ได้ทั้งนั้น แต่มักจะถูกมองว่าเป็นที่นิยมในหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่นิยมความเรียบง่ายแต่เก๋และมีสไตล์

ต่อไปเราไปดูกันดีกว่าว่าวิธีการตกแต่งบ้านของคุณให้เป็นสไตล์นี้ต้องทำยังไง มีทิปส์หลายอย่างตั้งแต่เทคนิคการเลือกเฟอร์นิเจอร์ การเลือกใช้สี และการจัดการพื้นที่ใช้สอย มาดูกัน!

ทริคแต่งบ้านและเลือกเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอล (Minimal style)

เพื่อให้การตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอลเกิดความสวยงาม น่าประทับใจ ได้ผลลัพธ์ตามความต้องการสำหรับเจ้าของบ้าน ลองมาศึกษาทริคการแต่งบ้านไปจนถึงการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอลเลยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ตอบโจทย์ตามสิ่งที่คาดหวังเอาไว้อย่างแน่นอน

1. เริ่มจากการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ใช่ก่อน

สิ่งสำคัญที่สุดในการตกแต่งบ้านไม่ว่าจะสไตล์ใดก็ตามคือ การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ยิ่งการเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับการแต่งบ้านสไตล์มินิมอล การเลือกเฟอร์นิเจอร์ยิ่งต้องพิถีพิถัน หลักการเลือกเฟอร์นิเจอร์มีอยู่ว่า

• เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ดูเรียบง่าย พื้นผิวไม่เน้นลวดลาย

• ดีไซน์มีความสวยงาม ไม่ตกยุคง่าย ดูมีคุณภาพ และคงทน

• สีอ่อนหรือเข้มก็ได้ แต่ให้ไปในโทนสีเดียวกันตลอด

• เลือกเฉพาะสิ่งที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันจริงๆ เฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนที่คิดว่าเราอยู่ได้โดยไม่ต้องซื้อมันมาก็ให้ตัดออก

• การออกแบบมีลักษณะและรูปเป็นเส้นตรงและคม ไม่มีลวดลาย

ราวแขวนผ้าทำจากไม้สัก เรียบง่ายดูดี สามารถเลือกสีได้ (อ่านรายละเอียดสินค้า)


2. พื้นที่บนชั้นวางของไม่รก เน้นโล่งสบายตา

พื้นที่ต่างๆ ที่มองเห็นในไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะ บนชั้นวางของ หรือเป็นพื้น จะต้องมีพื้นที่เหลือให้มากหน่อย วางตกแต่งหรือวางเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ควรมีของวางอัดแน่นเต็มพื้นที่ แม้จะเรียงด้วยความเป็นระเบียบก็จะแค่ดูเป็นระเบียบ แต่ก็ยังผิดไปจากหลักความมินิมอลที่เน้นความโล่งสบายตา อย่างที่บอกว่าของที่เก็บก็ควรเป็นของใช้ที่จำเป็นต้องใช้ทุกวันจริงๆ เน้นประโยชน์ใช้สอย ของสะสมเอย ของดูต่างหน้าเอย ให้เก็บเข้ากล่องในห้องเก็บของไว้จะดีกว่า ยิ่งถ้าเป็นไอเดียแต่งห้องนอนมินิมอลด้วยแล้ว การมีพื้นที่สะอาด ดูไม่รกตา จะช่วยเพิ่มความโล่งสบาย ไม่อึดอัดอีกด้วย


3. ควรเลือกใช้สีอ่อน หรือสีโมโนโทน

สีที่เลือกใช้ไม่ว่าจะกับเฟอร์นิเจอร์หรือผนังห้อง ควรเลือกใช้สีที่ดูกลาง ๆ และดูคลาสสิค เช่น สีขาว สีเบจ สีเทา หรือสีที่ดูธรรมชาติเอิร์ธโทนอย่างสีน้ำตาล ที่มีให้เลือกอยู่หลายเฉด แต่อย่าลืมว่าต้องคุมโทนให้เป็นโทนเดียวกันตลอด ไม่เอามายำรวมกันไปเรื่อย ให้เลือกสีหลัก แล้วเพิ่มมิติด้วยการตกแต่งด้วยสีอื่นเข้าไปแทน แบบนี้จะทำให้บ้านดูเป็นธรรมชาติไปในทิศทางเดียวกัน ไม่เกิดความสับสนของโทนสี ไม่รู้สึกขัดหูขัดตา สร้างความน่าอยู่อาศัยมากขึ้นกว่าเดิม


4. น้อยแต่โก้ แต่ฟังก์ชันก็ต้องมา

ไม่ใช่แค่สำหรับการแต่งบ้านในสไตล์มินิมอลนะคะ ไม่ว่าจะสไตล์ไหน ในการเลือกเฟอร์นิเจอร์นั้นต้องพิจารณาถึงฟังก์ชันและการใช้งานควบคู่กันไปกับความสวยงามของเฟอร์นิเจอร์ด้วย แต่ก็ไม่ต้องยึดติดมากไปว่าจะต้องใช้งานได้หลากหลายวัตถุประสงค์ ต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์ไซน์สุดล้ำ หัวใจสำคัญก็อย่างทำเราย้ำตลอดเลยคืออยู่ที่การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ได้ใช้งานจริง และเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกมาแบบมาอย่างคำนึงถึงผู้ใช้ และพื้นที่การใช้สอย ไม่กินที่โดนใช่เหตุ ไม่หวือหวาลวดลายเยอะ มีความเป็นโมเดิร์นเรียบๆ นี่คือเสน่ห์ที่จะช่วยเสริมความมินิมอลของบ้านคุณให้เปล่งประกายยิ่งกว่าเคย คำว่าน้อยแต่มากไม่ใช่แค่ทำพูดเก๋ ๆ แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงการเข้าใจความเป็นมินิมอลอย่างแท้จริง


5. เลือกไฟและของตกแต่งที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น

มากกว่าที่จะบอกว่าเป็นการเลือกไฟ ต้องพูดว่าการจัดไฟในห้องดีกว่า เพราะการเน้นความเรียบง่ายอาจทำให้ห้องดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา การจัดแสงให้ห้องดูอบอุ่นนั้นมีความสำคัญ ห้องสไตล์มินิมอลควรมีลักษณะที่สว่างไสว มีแสงแดดลอดเข้ามา หน้าต่างควรเป็นแบบเรียบๆ ผ้าม่านไม่มีลวดลาย

ในส่วนของการตกแต่งควรใช้ของตกแต่งน้อยชิ้น แต่ละชิ้นนอกจากจะตกแต่งแล้ว ควรจะได้ใช้งานจริงด้วย ไม่ใช่เอามาวางทิ้งไว้เฉยๆ ของตกแต่งของห้องสไตล์มินิมอลส่วนใหญ่จะเน้นอะไรก็ตามที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เนื่องจากภาพรวมห้องจะดูเคร่งขรึมอยู่แล้วด้วยการเลือกเฟอร์นิเจอร์ การใช้สีอะไรต่างๆ ที่เน้นเรียบๆ ดีเทลของตกแต่งจริงควรเป็นส่วนที่เพิ่มชีวิตชีวา และความอบอุ่นน่าอยู่

การตกแต่งเพื่อความสวยงามอย่างเดียว ไม่เน้นใช้งานก็ใช้ว่าจะทำไม่ได้ สามารถทำได้ แต่ทำน้อยๆ และเน้นการตกแต่งที่เป็นสีโมโนโทน ไม่ฉูดฉาดละลานตาเกินไป


6. ใช้ Slatted walls เข้ามาช่วยในการตกแต่ง

Slatted walls คือแผ่นไม้ที่มาเรียงต่อๆ กันอาจเป็นบนผนังบ้าน กำแพงบ้าน หรือพื้นผิวของเฟอร์นิเจอร์ก็ได้เช่นกัน นับเป็นลักษณะของการตกแต่งภายในที่เรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์เฉพาะตัว คุมโทนได้แบบกำลังพอดี ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่ดูธรรมดามากนัก ทำให้ห้องหรือพื้นที่เรียบๆ ดูมีโมเดิร์นขึ้น แต่ไม่ฉูดฉาดหรือยุ่งเหยิงจนเกินไป เป็นอีกความเหนือระดับที่ควรค่ากับการนำมาใช้เป็นแนวทางสำหรับตกแต่งห้องแบบมินิมอล


7. ตกแต่งด้วยสีเขียวของต้นไม้

เป็นที่นิยมอย่างมากกับการปลูกต้นไม้ในบ้าน หากแต่งห้องออกมาดูแล้วเรียบเกินไป อยากจะแต่งห้องด้วยสีเขียวของต้นไม้รับรองว่ายังไงก็ไปกันได้กับสไตล์มินิมอล เพียงแต่ต้องอย่าตกแต่งเยอะเกินไป ต้นไม้ที่เลือกก็ไม่ควรจะฉูดฉาดหรือดูรก อาจจะเป็นต้นกระบองเพชรที่ดูเรียบ ๆ หรือต้นไม้ใบสีเขียวเข้มไม่มีลวดลายหวือหวา ไปจนถึงบรรดาต้นไม้ฟอกอากาศ เช่น ยางอินเดีย ลิ้นมังกร เดหลี เฟิร์นบอสตัน เป็นต้น ซึ่งการมีต้นไม้ในบ้านยังถือเป็นจุดพักสายตาได้อย่างดีหากรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงาน

จบกันไปแล้วกับ 7 เทคนิคการแต่งบ้านแบบมินิมอล พอจะรู้แนวทางกันแล้วใช่ไหมคะ ว่าหัวใจสำคัญของการแต่งบ้านสไตล์นี้ให้ออกมาเรียบแต่มีสไตล์นั้นต้องทำยังไง รับรองว่าถ้าก้าวสู่ความเป็นมินิมอล นอกจากจะได้ห้องสวยๆ แล้ว ยังทำให้ผ่อนคลาย สบายใจ ไม่ต้องมาเสียสุขภาพจิตกับอะไรที่รกหูรกตาอีกด้วย ถ้าสนใจก็อย่าลืมลองวางแผนดูนะคะว่าต้องซื้ออะไรบ้าง

7
เมื่อจัดฟันเด็กแล้ว โตขึ้นต้องจัดฟันอีกหรือไม่

ในเรื่องอของการเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันในการทำความสะอาดช่องปากของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้ปกครองควรเริ่มต้นแปรงฟันทันทีเมื่อฟันน้ำนมซี่แรกปรากฏขึ้น โดยใช้แปรงสีฟันที่เหมาะสมต่อช่วงอายุ การดูแลอนามัยช่องปากของลูกก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน หลังจากฟันน้ำนมซี่แรกขึ้น การแปรงฟันในตอนเช้าและก่อนนอน ถ้าเป็นไปได้ควรแปรงฟันหลังมื้ออาหารด้วย ควรใช้แปรงสีฟันเฉพาะสำหรับเด็กที่มีหัวแปรงขนาดเล็กและขนนุ่มพิเศษ ก่อนที่ฟันจะขึ้นคุณแม่ควรใช้ผ้านุ่มๆเช็ดทำความสะอาดเหงือกถึงแม้ว่าน้ำลายเป็นสิ่งปกป้องฟันตามธรรมชาติ จะมีการผลิตลดลงในช่วงเวลานอนหลับ จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องการการดูแลอนามัยช่องปากมากที่สุด

ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรใส่ใจในเรื่องของช่องปากของลูก ตั้งแต่การเลือกใช้ยาสีฟันที่เหมาะสมกับลูกเนื่องจากมีความเสี่ยงที่ลูกของคุณจะกลืนยาสีฟันได้  ฟลูออไรด์จากยาสีฟันที่อยู่ในน้ำลายมีความสำคัญมากในการป้องกันฟันผุ ควรบีบยาสีฟันบางๆ และสอนให้เขารู้จักการทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้ป้องกันการเกิดฟันผุหรือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แน่นอนว่า ถ้าหากเราละเลยในการเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน อาจจะทำให้เด็กไม่สนใจในเรื่องของช่องปากและฟัน และอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ นอกจากนี้  ในเรื่องของการรับประทานอาหารของลูกก็มีความสำคัญมากไม่แพ้กัน ควรให้เด็กรับประทานอาหารที่ถูกสัดส่วน จำกัดปริมาณแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสร้างกรดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ หากต้องรับประมานอาหารเหล่านั้น ควรรับประทานไปพร้อมกับมื้ออาหารหลัก แทนที่จะเป็นอาหารว่าง เนื่องจากน้ำลายที่ถูกผลิตออกมาในปริมาณมากช่วงมื้ออาหารหลักจะช่วยชะล้างการตกค้างของเศษอาหารได้มากกว่า เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยให้บุตรหลานของท่านไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องของช่องปากและฟัน

แต่ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน และคิดว่าลูกจะต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถพาบุตรหลานของท่านเข้ามาพบทันตแพทย์จัดฟันได้ แต่การที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะตัดสินใจให้ลูกเข้ารับการจัดฟัน หลายคนก็คิดหนักและเกิดความสงสัยว่า ถ้าหากพาลูกเข้ารับการจัดฟันในเด็กแล้ว พอโตมาลูกจะต้องเข้ารับการจัดฟันอีกหรือไม่ ซึ่งวันนี้ทางคลินิกของเรามีคำตอบ ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กก่อนว่า สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างหลากหลาย และเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพมาก


หากเราปฏิบัติตัวตำคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดแน่นอนว่า ฟันสวยของเราจะอยู่กับเราอย่างถาวรแน่นอน  สำหรับการที่เด็กเคยผ่านการจัดฟันในเด็กมาแล้ว เพื่อโตเป็นผู้ใหญ่อาจจะต้องจัดฟันใหม่หรืออาจจะไม่ต้องเข้ารับการจัดฟันอีกครั้งก็ได้ สำหรับเด็กที่จัดฟันใน ระยะการจัดฟันเพื่อป้องกันไม่ให้ความผิดปกติมีมากขึ้นหรือแก้ไขความผิดปกติบางอย่างให้มีน้อยลงหรือหายไป มาก่อน ไม่ได้หมายความว่า โตขึ้นแล้วไม่จำเป็นจะต้องจัดฟันแบบติดแน่น เพราะในเด็กบางราย อาจสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องจัดฟันอีกตอนโต ในขณะที่บางรายก็จำเป็นที่ต้องรับการรักษาจัดฟันแบบติดแน่นอีกครั้ง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก และพฤติกรรมของเด็กด้วย เพราะฉะนั้น เราจะต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเราให้สะอาดอยู่เสมอ ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน จะเป็นการขจัดเชื้อโรคไป

ด้วย แล้วจึงแปรงฟันด้วยแปรงขนนุ่ม โดยเลือกขนาดของแปรงให้เหมาะกับช่องปากและฟัน สำหรับยาสีฟันควรมีส่วนผสมของฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ และแนะนำให้แปรงแห้งคือ บ้วนปาก บีบยาสีฟันแล้วแปรง บ้วนยาสีฟันส่วนเกินออก หลังแปรงไม่ต้องบ้วนปากอีก ก็จะทำให้เด็กมีช่องปากและฟันที่แข็งแรงได้

อย่างไรก็ตาม หากใครสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องมากที่สุด จึงมั่นใจได้ว่า หากเข้ารับกบริการจากทางคลินิก ลูกของคุณจะมีฟันที่สวยงาม มีสุขภาพช่องปากและหันที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

8
คอนโดติดรถไฟฟ้า ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค (Rise Charoennakhon Luxe Neo Classic)
เริ่มต้น 7.9 ลบ.

ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค (Rise Charoennakhon Luxe Neo Classic)
คอนโดใหม่ใจกลางเมือง "ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค" ย่านไอคอน สยาม แนวรถไฟฟ้าสายสีทอง ใกล้ซอยเจริญรัถ 15 และ 20 ห่างจากถนนเจริญนคร ประมาณ 500 เมตร และ ICONSIAM 650 เมตร

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                 ไรส์ เจริญนคร ลักซ์ นีโอ คลาสสิค (Rise Charoennakhon Luxe Neo Classic)
 เจ้าของโครงการ            ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์
 แบรนด์ย่อย                  ไรส์
 ราคา                         เริ่มต้น 7.9 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล               คอนโดในเมือง, คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด             High Rise (9 ชั้นขึ้นไป)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี           1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน, 3 ห้องนอน, Penthouse
 ขนาดห้องที่มี              ตั้งแต่ 28.00 ถึง 142.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด               1 ไร่ 2 งาน 62 ตร.ว.
 จำนวนตึก                   1 อาคาร
 จำนวนชั้น                   22 ชั้น
 จำนวนห้อง                 170 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด           128 คัน (75%)
 ค่าบำรุงส่วนกลาง          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค                 สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, อื่นๆ (Lobby, Mail room, Auto parking, Kid's room, Rooftop Garden), Sky Lounge, Co-Working Space, ห้องประชุม

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน     คลองสาน, เจริญนคร, รัชดา-ท่าพระ, เพชรเกษม
 ที่ตั้ง     ถนนเจริญรัถ แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพฯ 10600

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:           ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีทอง, สถานี(กรุงธนบุรี -ประชาธิปก)(คลองสาน)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ไอคอนสยาม
ตลาดคลองสานพลาซ่า
โรงเรียนมิตรพลพาณิชยการ
โรงเรียนภาษานุสรณ์ ธนบุรี
โรงเรียนอรุณีวิชาการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตบพิตรพิมุข จักรวรรดิ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา
โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา
โรงพยาบาลตากสิน
โรงพยาบาลมิตรภาพ

9
การสร้างรายได้ จากการขายอาหารตามสั่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความหลากหลาย

การขายอาหารตามสั่งเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความหลากหลาย รวดเร็ว และราคาไม่แพง การขายอาหารตามสั่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมซึ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม การเปิดร้านอาหารตามสั่งให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีการวางแผนและเตรียมตัวอย่างรอบคอบ

ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นธุรกิจขายอาหารเล็กๆ รถเข็นขายอาหาร หรือร้านอาหาร ความสำเร็จในธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่ดี วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และความพึงพอใจของลูกค้า นี่คือแนวทางที่จะช่วยคุณเริ่มต้นได้

1. เลือกสถานที่ที่เหมาะสม
การเลือกทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดลูกค้า สถานที่ที่เหมาะสม ได้แก่:

ถนนที่พลุกพล่านหรือใกล้ออฟฟิศที่ผู้คนต้องการอาหารจานด่วน
ตลาดหรือศูนย์อาหารที่มีคนเดินผ่านไปมาเป็นจำนวนมาก
ใกล้โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่นักเรียนหาอาหารราคาประหยัด

2. สร้างเมนูที่เรียบง่ายแต่หลากหลาย
เมนูของคุณควรมีตัวเลือกหลากหลายแต่ต้องสามารถจัดการได้ เน้นที่เมนูยอดนิยม เช่น:

ข้าวผัด (ไก่,หมู,ทะเล)
ผัดกะเพราเนื้อ (Pad Krapao)
ผัดผักรวมเต้าหู้หรือเนื้อสัตว์
ไข่เจียวและไข่ดาวเป็นเครื่องเคียง
การเสนอการปรับแต่ง เช่น เลือกประเภทโปรตีนหรือระดับเครื่องเทศ อาจช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้

3. ใช้วัตถุดิบสดและมีคุณภาพ
ลูกค้าชื่นชอบอาหารที่สดและรสชาติดี เพื่อรักษาคุณภาพ:

แหล่งที่มาของวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ที่เชื่อถือได้
จัดเก็บผัก เนื้อสัตว์ และเครื่องปรุงรสให้เหมาะสม
เตรียมวัตถุดิบล่วงหน้าเพื่อเร่งให้บริการ

4. กำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้
ราคาของคุณควรยุติธรรมและมีการแข่งขันขึ้นอยู่กับสถานที่และต้นทุนส่วนผสม โปรดพิจารณา:

ขนาดส่วนและคุณภาพของส่วนผสม
ราคาใกล้เคียงกับคู่แข่งใกล้เคียง
นำเสนอชุดอาหารหรือโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า

5. รับรองบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:

หั่นผักและหมักเนื้อไว้ล่วงหน้า
ฝึกอบรมพนักงาน (ถ้ามี) ให้สามารถจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างรวดเร็ว
ใช้ระบบการนับหรือการสั่งซื้อแบบดิจิทัลเพื่อจัดระเบียบคำสั่งซื้อ

6. รักษาความสะอาดและสุขอนามัย
สุขภาพและความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในธุรกิจอาหาร ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยดังต่อไปนี้:

สวมถุงมือและหมวกคลุมผมขณะทำอาหาร
รักษาภาชนะ โต๊ะ และภาชนะใส่อาหารให้สะอาด
ให้มีการกำจัดขยะอย่างถูกวิธีเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้สะอาด

7. ทำการตลาดธุรกิจของคุณ
แม้แต่ร้านขายอาหารเล็กๆ ก็ได้รับประโยชน์จากการตลาด นี่คือแนวคิดบางส่วน:

ใช้โซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, TikTok) เพื่อโปรโมตรายการพิเศษประจำวัน
เสนอส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
ร่วมมือกับแอปส่งอาหารเพื่อขยายการเข้าถึง

8. รับฟังคำติชมจากลูกค้า
ความพึงพอใจของลูกค้าช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต ส่งเสริมการตอบรับโดย:

การถามความเห็นลูกค้า
ปรับแต่งเมนูตามคำขอยอดนิยม
การปรับปรุงบริการตามข้อเสนอแนะ

การขายอาหารตามสั่งสามารถทำกำไรได้หากบริหารจัดการได้ดี การเลือกทำเลที่ตั้งที่ดี การรักษาคุณภาพ และการให้บริการที่เป็นเลิศ จะช่วยให้คุณสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีและทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างประสบความสำเร็จ

10
บ้านโครงการใหม่ 2025: เดอะ พาลาซโซ่ กรุงเทพกรีฑา (The Palazzo Krungthep Kreetha)
เริ่มต้น 65 ลบ. - 120 ลบ.

เดอะ พาลาซโซ่ กรุงเทพกรีฑา (The Palazzo Krungthep Kreetha)
เตรียมพบกับบ้านโครงการใหม่จาก เอพี ไทยแลนด์ บนทำเลกรุงเทพกรีฑา เชื่อมต่อพระราม 9 ใกล้สนามบิน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและโรงเรียนนานาชาติ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                 เดอะ พาลาซโซ่ กรุงเทพกรีฑา (The Palazzo Krungthep Kreetha)
 เจ้าของโครงการ            เอพี (ไทยแลนด์)
 แบรนด์ย่อย                   เดอะ พาลาซโซ่
 ราคา                         เริ่มต้น 65 ลบ. - 120 ลบ.

 ประเภทบ้าน                บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล               บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
  เนื้อที่บ้าน                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       รามคำแหง, บางกะปิ, เสรีไท
 ที่ตั้ง      ซอยศรีนครินทร์ - ร่มเกล้า 17 แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้ทางด่วน (มอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สายใหม่)
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า, ถนนพระราม 9, ถนนรามคำแหง)
ขนส่งอื่นๆ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

11
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ทำอะไรได้บ้าง

การจัดฟันแบบใส ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาตั้งแต่ขั้นตอนการวางแลผไปจนถึงการรักษาเสร็จสิ้น ซึ่งการจัดฟันแบบใสมีข้อดีและข้อแตกต่างก็คือ เป็นการจัดฟันที่แทบจะไม่สามารถมองเห็นเครื่องมือการจัดฟันและทำให้คนอื่นมองแทบไม่ออกว่า กำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่ แถมยังถูกสุขอนามัยด้านทันตกรรม ซึ่งใช้นวัตกรรมเพื่อจัดฟันอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย นอกจากนี้ เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังเป็นเครื่องมือจัดฟันที่ทำมาจากพลาสติกที่ผิวสัมผัสเรียบ พิเศษกว่าการจัดฟันแบบใส่เหล็กจัดฟัน


นั่นก็คือ เครื่องมือการจัดฟันมีความใสจนแทบมองไม่เห็น สบายกว่าไม่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในปาก สามารถถอดออกง่าย สวมใส่สบาย และสามารถถอดออกได้เวลารับประทานอาหารหรือแปรงฟัน ทั้งนี้ เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคล โดยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยในการผลิตชุดของเครื่องมือจัดฟัน โดยแต่ละชุดจะค่อยๆจัดเรียงฟันของผู้เขารับการจัดฟันให้เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ทันตแพทย์จัดฟันได้กำหนดไว้ในแผนการรักษาอย่างเป็นธรรมชาติ สำหรับใครทีสนใจอยากจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส แต่ยังไม่ทราบว่า การจัดฟันแบบใสนั้น มีข้อดีอย่างไร และสามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเรื่องใดได้บ้าง

วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงการจัดฟันแบบใส ที่เป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ที่นำมาช่วยในการแก้ไขปัญหาฟัน สามารถทำอะไรได้บ้าง ในการเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฟันบนยื่น ฟันล่างยื่น ฟันสบไขว้ หรือแม้กระทั่งฟันห่าง ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ที่มีปัญหา ทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ทำให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควร  ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะทำให้ผู้ที่มีปัญหาฟัน ยิ่งเกิดปัญหารุนแรงเข้าไปอีก ทั้งปัญหาทางด้านช่องปากและฟัน เนื่องจากทำความสะอาดฟันได้ไม่สะอาด หรือสุขภาพร่างกายที่ไม่สามารถบดเตี้ยวอาหารได้ละเอียด ดังนั้น การเข้ารับการจัดฟันแบบใส จึงเป้นอีกหนึ่งทางออกที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความแม่นยำมาก


เพราะนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้แล้ว  เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังช่วยทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลการรักษาล่วงหน้าได้ และยังสามารถวางแผนการรักษาร่วมกับทันตแพทย์ได้ด้วย ซึ่งในข้อนี้จึงทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถออกแบบรอยยิ้มให้ตัวเองได้ ถือว่าตอบโจทย์มากเลยทีเดียว นอกจากนี้ ระยะเวลาในการรักษาของด้วยการจัดฟันแบบใส ยังช่วยให้ผู้เขารับการรักษาเห็นภาพทุกขั้นตอนของการรักษา ทำให้ได้เห็นภาพของระยะเวลาในการรักษาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนการจัดฟันแบบสวมใส่เหล็กจัดฟัน อาจจะทำให้ทราบระยะเวลาในการรักษาโดยประมาณในตอนช่วงเริ่มต้นของการรักษาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การเข้ารับการจัดฟันแบบใส ถึงแม้ว่าจะมีผลการรักษาที่แม่นยำ แต่ผู้เข้ารับการรักษาก็ควรมีระเบียบวินัยในการสวมใส่เครื่องมือด้วย เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์วางไว้

หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการรักษาทางทันตกรรม และมีประสบการณ์ในด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนาน จึงสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ ทางคลินิกของเรา ยังได้รับการรับรองสูงสุดจากทาง  Invisalign ให้สามารถให้บริการด้านการจัดฟันแบบใสได้อย่างถูกต้อง และมีมาตรฐานตามหลักสากล จึงมั่นใจได้ว่า เมื่อคุณเข้ารับการรักษาที่ทางคลินิก แน่นอนว่า คุณจะมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

12
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFlip 5 (8GB/256GB)
39,900 บาท

ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFlip 5 (8GB/256GB)

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น               ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFlip 5 (8GB/256GB)
   ราคากลาง            39,900 บาท
   จำนวนซิม
   แบบดีไซน์          ฝาพับ
   สี                    Black(Graphite), Purple(Lavender), Green(Mint), Other(Cream)
   ความถี่-เครือข่าย      5G
   ขนาด-น้ำหนัก         ยาว 165.1 x กว้าง 71.9 x หนา 6.9 มม., น้ำหนัก 187 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)       256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด         -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ          ความจุแบตเตอรี่ 3,700 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                 ฝาพับ (FHD+ Dynamic AMOLED 2X)
   ความละเอียด          6.7 นิ้ว, 2,640 x 1,080 px
   รายละเอียดอื่น        กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด           กล้องหลัง (12 Mpx), กล้องหน้า (10 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                             -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)             8.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก            -
   ระบบรับส่งข้อความ                -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต          5G

13
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคเหน็บชา/โรคขาดวิตามินบี 1 (Beri-beri)

โรคเหน็บชา หมายถึงอาการเหน็บชาที่เกิดจากภาวะขาดวิตามินบี 1 หรือไทอามีน (thiamine) ซึ่งปัจจุบันพบได้น้อย

โรคนี้อาจพบในผู้ที่กินอาหารที่มีวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ หรือผู้ที่มีความต้องการวิตามินบี 1 มากขึ้น เนื่องจากร่างกายมีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น (เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร เด็กในวัยเจริญเติบโต ผู้ที่ทำงานหนัก ผู้ป่วยที่มีไข้สูง หรือเป็นโรคติดเชื้อ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นต้น)

อาจพบในทารกที่มีมารดาเป็นโรคเหน็บชาและกินนมมารดาเพียงอย่างเดียว ผู้ที่นิยมกินอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 ผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น


สาเหตุ

เกิดจากการขาดวิตามินบี 1 ซึ่งอาจมีสาเหตุ ดังนี้

    การกินข้าวขาวที่ขัดสีจากโรงสี และกินเนื้อสัตว์น้อย ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ
    การกินอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 เช่น ชา เมี่ยง หมากพลู สีเสียด ปลาร้า เป็นต้น
    ภาวะที่ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งมีความต้องการวิตามินบี 1 สูงขึ้น เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร เด็กในวัยเจริญเติบโต ผู้ที่ทำงานหนัก (เช่น กรรมกร ชาวนา) ผู้ป่วยที่มีไข้สูง หรือเป็นโรคติดเชื้อ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นต้น
    โรคตับเรื้อรัง (เช่น ตับแข็ง) ก็อาจเป็นโรคนี้ได้ เพราะตับไม่สามารถนำวิตามินบี 1 ไปใช้ประโยชน์ได้
    โรคพิษสุราเรื้อรังก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย เนื่องจากกินวิตามินบี 1 ไม่เพียงพอ ร่วมกับการดูดซึมของลำไส้ไม่ดี และตับทำงานได้ไม่ดี (ตับแข็ง)

อาการ

ในทารก มักจะมีอาการระหว่างอายุ 2-6 เดือน (พบในทารกที่กินนมมารดา และมารดากินอาหารที่ขาดวิตามินบี 1 หรืออดของแสลง หรือมารดาเป็นโรคเหน็บชา) เด็กจะมีอาการร้องเสียงแหบหรือไม่มีเสียง ซึม หอบเหนื่อย ตัวเขียว ขาบวม

บางรายอาจมีอาการตากระตุก (nystagmus) หนังตาตก ชัก หรือหมดสติ

ถ้าหากไม่ได้รับการรักษา อาจตายได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

ในเด็กโตและผู้ใหญ่ ในระยะเริ่มแรก หรืออาการขนาดอ่อน ๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ท้องผูก ท้องอืดเฟ้อ ความจำเสื่อม รู้สึกชา แต่ตรวจร่างกายไม่พบสิ่งผิดปกติ

ถ้าเป็นมากขึ้น จะรู้สึกชาตามมือและเท้า อาจมีอาการปวดแสบและเสียวเหมือนถูกมดกัด โดยมากจะเป็นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยจะเป็นตะคริว ปวดเจ็บที่กล้ามเนื้อน่อง แขนขาไม่มีแรง ถ้าเป็นมาก ๆ อาจมีอาการเป็นอัมพาต

ในรายที่เกิดจากโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตาเหล่ ตาเข (เนื่องจากกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวลูกตาเป็นอัมพาต) เดินเซ (ataxia) มีความผิดปกติทางจิต (เช่น ภาวะซึมเศร้า) อาจหมดสติถึงตายได้


ภาวะแทรกซ้อน

กล้ามเนื้ออ่อนแรง ภาวะหัวใจวาย ความจำเสื่อม ภาวะซึมเศร้า หากไม่ได้รับการรักษา อาจมีอาการรุนแรงถึงเสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในทารก อาจตรวจพบอาการหอบเหนื่อย ตัวเขียว ขาบวม ตากระตุก หนังตาตก รีเฟล็กซ์ของข้อน้อยกว่าปกติหรือไม่มีเลย และอาจตรวจพบภาวะหัวใจวาย (เช่น ตับโต ชีพจรเต้นมากกว่า 130 ครั้ง/นาที บวม ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ)

ในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจตรวจพบอาการแขนขาชา ไม่มีแรง (ทดสอบโดยให้ผู้ป่วยนั่งยอง ๆ ผู้ป่วยจะลุกขึ้นไม่ได้) หรือเป็นอัมพาต รีเฟล็กซ์ของข้อในระยะแรกอาจไวกว่าปกติ แต่ในระยะหลังอาจน้อยกว่าปกติหรือไม่มีเลย

ในรายที่เป็นรุนแรงจะมีภาวะหัวใจวายร่วมด้วย เช่น เท้าบวม หอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้ ชีพจรเต้นเร็ว ตับโต ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) เป็นต้น

ถ้าจำเป็น แพทย์จะทำการตรวจระดับวิตามินบี 1 ในเลือด

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้วิตามินบี 1 โดยการกินหรือฉีด

2. ในรายที่สงสัยมีภาวะหัวใจวาย จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้ฉีดวิตามินบี 1 ยาขับปัสสาวะ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด และตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าจำเป็น แล้วให้วิตามินบี 1 และให้การรักษาแบบภาวะหัวใจวาย


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ท้องผูก ท้องอืดเฟ้อ ความจำเสื่อม รู้สึกชาตามมือและเท้า แขนขาไม่มีแรง กล้ามเนื้อเป็นตะคริว เท้าบวม เดินเซ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเหน็บชา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. กินอาหารที่มีวิตามินบี 1 สูง เช่น เนื้อสัตว์ ถั่วต่าง ๆ ไข่แดง ตับ ไต เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่มีลูกอ่อน คนที่ทำงานหนัก

2. ส่งเสริมให้กินข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องแทนข้าวขาวที่ขัดสีจากโรงสี เพราะมีวิตามินบี 1 สูง และส่งเสริมการหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำ

3. ลดการกินอาหารที่มีสารทำลายวิตามินบี 1 เช่น ชา เมี่ยง หมากพลู สีเสียด ปลาร้า เป็นต้น ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรทำปลาร้าให้สุกเสียก่อนเพื่อทำลายสารดังกล่าว หรือให้ดื่มน้ำชา เคี้ยวใบเมี่ยงหรือหมากพลูระหว่างมื้ออาหาร อย่าเสพหลังอาหารทันที

ข้อแนะนำ

1.  โรคนี้อาจพบในชายฉกรรจ์ที่ร่างกายบึกบึน ซึ่งกินข้าวได้มาก ๆ แต่กินอาหารที่มีวิตามินบี 1 น้อย

ดังนั้น ถ้าพบอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นโรคเหน็บชา ควรปรึกษาแพทย์

2.  อาการชาปลายมือปลายเท้า นอกจากเกิดจากการขาดวิตามินบี 1 (ซึ่งปัจจุบันพบได้น้อยลงมาก) ยังอาจเกิดจากโรคเบาหวาน ปลายประสาทอักเสบ และสาเหตุอื่น ๆ (ตรวจสาเหตุของอาการชาเพิ่มเติม)

ดังนั้น ผู้ที่มีอาการชาปลายมือปลายเท้า หรือผู้ที่สงสัยเป็นโรคเหน็บชาซึ่งกินยาวิตามินบี 1 แล้วไม่ทุเลา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

14
งานมอเตอร์โชว์ GWM มีอะไรใหม่ใน Auto Shanghai 2025 ยังอยู่ในไทย อีกนานไหม?

ซึ่งได้เห็นเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะจาก GWM (Great Wall Motor) ที่น่าจับตามองทั้งในจีนและไทย โดยภาพรวมของงานนี้จะเป็นงานโชว์ขนาดใหญ่เทียบเท่ากับ 7-8 ฮอลล์ของเมืองทองธานี ซึ่งจะมีแบรนด์รถยนต์จากทั่วโลกเข้าร่วม ทั้งแบรนด์จีน ญี่ปุ่นและยุโรป โดยแต่ละบูธโชว์เทคโนโลยีและรุ่นรถใหม่ ทั้งไฟฟ้า ไฮบริด และระบบขับเคลื่อนขั้นสูง
 

ไฮไลต์จาก GWM
GWM ตั้งบูธขนาดใหญ่ แบ่งเป็น 3 โซนหลัก
โซนรถยนต์ทั่วไป
รถเก๋ง, SUV ไฟฟ้าและไฮบริด, รถตู้ MPV
รุ่นเด่นเช่น ORA 07 Estate (Wagon) – รถต้นแบบผสมผสาน 07 กับท้ายสไตล์ Station Wagon

โซนเทคโนโลยีใหม่
เปิดตัว ระบบขับเคลื่อนใหม่ Hi4 / Hi4-T
ระบบขับสี่ขั้นสูง ใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
เน้นประหยัดพลังงานและสมรรถนะลุยทางวิบาก
โซนออฟโรดและรถต้นแบบ
รุ่น Tank 300, Tank 500, Tank 700 พร้อมระบบขับเคลื่อนใหม่
เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ Big Bike Soul ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 แบบนอน (Flat-8)
เทคโนโลยีใหม่จาก GWM

Hi-4 (Hybrid Intelligent 4WD)
เครื่องยนต์วางขวาง + มอเตอร์หน้า-หลัง
วิ่งไฟฟ้าได้ไกลขึ้น พร้อมขับสี่ Real-time

Hi-4T (เน้นลุยหนัก)
เครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซิน + ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเผลาขับ
ใช้ในรุ่น Tank 300/500 และรถกระบะ Power
ระบบช่วยขับขี่ขั้นสูง (เทียบเท่า Autopilot)
เปลี่ยนเลนเอง ออกตัวเมื่อไฟเขียว
ระบบช่วยเบรก และขับตามสภาพจราจร

ความเคลื่อนไหวของ GWM ในประเทศไทย
ปี 2025 เตรียมนำ WEY 80 MPV (Hybrid) เข้ามาทำตลาด
อาจตามด้วย Tank 300/500 Minorchange ที่ใช้ระบบ Hi-4T
แนวโน้ม GWM ในไทย:
เน้นไฮบริดมากขึ้น
ยังทำตลาดรถไฟฟ้า EV ควบคู่ต่อไป
พัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อให้เหมาะกับสภาพการใช้งานในไทย

รุ่นน่าสนใจที่อยากให้เข้าไทย

Haval H7
SUV ขนาดกลาง สไตล์บึกบึน พรีเมียม
ใช้เทคโนโลยี Hi-4T พร้อมปลั๊กอินได้

Menglong
SUV ทรงกล่อง ใหญ่กว่ารถปกติ
ลุยได้เต็มที่ด้วยระบบขับสี่ใหม่

เพิ่มเติมที่สัมผัสได้จากการทดลองขับ
V80 MPV ขับง่าย คล่องตัว เหมือนรถเก๋งขนาดเล็ก
Tank 300 ใหม่ ปีนไต่ทางชันได้ดี ระบบควบคุมการลงเนินแม่นยำ
มอเตอร์ไซค์ Soul ให้ฟีลขับเหมือนรถยนต์หรู พร้อมหน้าจอและฟีเจอร์ทันสมัย

บรรยากาศงานและข้อสังเกต
งาน Auto Shanghai คนแน่นมาก ต้องเบียดและรีบเก็บข้อมูล
ป้ายและข้อมูลส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน ทำให้เก็บรายละเอียดได้ไม่ครบ
GWM มีการลงทุนในงานนี้อย่างยิ่งใหญ่ มีสื่อจากทั่วโลกเข้าร่วม

15
จัดฟันบางนา: ข้อดีของการ จัดฟันแบบใส ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น !

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นการจัดฟันรูปแบบใหม่ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะการจัดฟันแบบใส ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น หากเปรียบเทียมกับการจัดฟันในรูปแบบเดิม ที่ต้องใส่เหล็กจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบนี้ จะทำให้เราใช้ชีวิตด้วยข้อจำกัด

อย่างเช่น เรื่องของอาหารการกิน คือผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส่เหล็กจัดฟัน จะต้องคำนึงในเรื่องของการรับประทานอาหาร ยุ่งยากเวลาทำความสะอาดซอกฟันและซอกเหล็ก และต้องคอยเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือนด้วย แต่การจัดฟันแบบใสนั้น มีความสะดวกกว่า เนื่องจาก มองเห็นเครื่องมือได้ยาก สามารถพูดคุยได้ตามปกติ ซึ่งต่างจากที่มีเหล็กจัดฟันอยู่ในช่องปากจะทำให้เราพูดไม่ชัด

รวมไปถึงการที่สามารถถอดเหล็กจัดฟันออกได้ ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องของอาหารการกิน เพราะการจัดฟันแบบใส เวลาที่ต้องรับประทานอาหาร จะต้องถอดเครื่องมือออก ทำให้มีความหลากหลายในการรับประทานอาหารและยังสามารถถอดออกได้ในเวลาที่ต้องทำความสะอาดช่องปาก เนื่องจากกานถอดเครื่องมือออกได้นี้เอง เป็นการส่งผลให้เรามีสุขภาพช่องปากที่ดีไปด้วย สามารถใช้ไหมขัดฟันได้ ทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าเครื่องมือจะหลุด และเครื่องมือการจัดฟันแบบใสยังถอดออกและใส่เข้าไปได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้งยังดูแลรักษาเครื่องมือจัดฟันได้ง่าย ไม่ต้องยุ่งยาก และยังไม่ต้องเข้าพบทันตแพทย์บ่อยๆ สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาเข้าพบทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาบ่อยๆ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่า การจัดฟันแบบใส จะช่วยให้ผู้เข้ารับการรักษามีชีวิตที่ง่ายกว่าเดิม ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย รับประทานอาหารที่ชอบได้อย่างเต็มที่

และยังทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างเต็มที่ ยังช่วยป้องกันฟันผุ และปัญหาสุขภาพปากและฟันที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ทางคลีนิคเรามีบริการการจัดฟันแบบใส โดยทีมทัตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนาน สามารถเข้ารับคำปรึกษาได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

16
Doctor At Home: ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)* หมายถึง การหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วช่วงสั้น ๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยระหว่างนอนหลับ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หัวใจ สมอง และปอด ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

ภาวะนี้พบบ่อยในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ในกลุ่มผู้ชายสูงอายุและอ้วน พบภาวะหยุดหายใจขณะหลับประมาณร้อยละ 10 ขณะที่กลุ่มคนทั่วไปที่นอนกรน พบภาวะนี้เพียงร้อยละ 1

*ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 Central sleep apnea เกิดจากสมองไม่ส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกที่ใช้ในการหายใจ ทำให้หยุดหายใจเป็นช่วง ๆ พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือเนื้องอกสมอง เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 Obstructive sleep apnea เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งพบได้มากกว่ากลุ่มที่ 1 มาก ในที่นี้เมื่อกล่าวถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับก็มักจะหมายถึงกลุ่มที่ 2 นี้

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังต่อไปนี้

    อายุ คนที่มีอายุมาก เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อหย่อนยาน ทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบลง ลิ้นไก่และลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย โรคนี้พบบ่อยในคนอายุ 40-70 ปี
    เพศ พบภาวะนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดีกว่า จึงมีการอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยกว่าผู้ชาย แต่หลังวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้พอ ๆ กับผู้ชาย
    ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า คนที่มีลักษณะคางสั้น กระดูกใบหน้าแบน จะมีช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบกว่าปกติ
    ความอ้วน คนที่อ้วนจะมีการสะสมไขมันมากที่ลำคอและทรวงอก ทำให้ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบลง และการเคลื่อนไหวของหน้าอกน้อยกว่าปกติ
    การบริโภคแอลกอฮอล์ ยากลุ่มประสาทและยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งบริเวณลำคออ่อนแรง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
    การสูบบุหรี่ ทำให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพลดลง
    กรรมพันธุ์ อาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นด้วย
    โรคประจำตัว เช่น หืด หวัดภูมิแพ้ ติ่งเนื้อเมือกจมูก ผนังกั้นจมูกคด พาร์กินสัน ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง เป็นต้น
    ในเด็ก อาจเกิดจากทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือมีความผิดปกติแต่กำเนิด (เช่น ใบหน้าเล็ก ลิ้นใหญ่)

เมื่อมีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดขึ้นขณะนอนหลับ ก็จะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจตามมา ซึ่งอาจแสดงอาการได้ 2 ลักษณะ ได้แก่

1. การหยุดหายใจ (apnea) ไม่มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกและปาก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที

2. การหายใจแผ่ว (hypopnea) มีลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือปากลดลงอย่างน้อยร้อยละ 50 เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที สังเกตได้จากการกระเพื่อมของหน้าอกและท้องลดลง

ขณะที่หยุดหายใจ ระดับออกซิเจนในเลือดจะต่ำลง ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงน้อยลง เมื่อลดลงถึงระดับหนึ่ง สมองจะมีกลไกตอบสนองโดยอัตโนมัติ ปลุกให้ตื่นจากหลับ และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้นตึงตัว เปิดช่องทางเดินหายใจให้โล่ง (ผู้ป่วยจะมีอาการสะดุ้ง สำลักน้ำลายตนเอง หรือหายใจเฮือกอย่างดังและแรง) ผู้ป่วยก็จะกลับมาหายใจเป็นปกติ พอหลับไปได้สักพักหนึ่งก็เกิดภาวะหยุดหายใจอีก แล้วสมองก็จะปลุกให้ตื่นอีก เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งคืน อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นมากกว่าชั่วโมงละ 10 ครั้ง ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่ แต่ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ามีการสะดุดของการนอน และเข้าใจว่าตัวเองนอนหลับได้ดี

อาการ

ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยจะมีอาการนอนกรนเสียงดัง สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ร่วมกับมีการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ (ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ จะสังเกตเห็นหน้าอกและท้องไม่กระเพื่อม หรือกระเพื่อมน้อยลง) นานอย่างน้อย 10 วินาที บางครั้งอาจนานถึง 1 นาที

ผู้ป่วยจะรู้สึกนอนหลับไม่สนิท นอนกระสับกระส่าย นอนอ้าปากหายใจให้ได้อากาศ หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ และเวลาตื่นขึ้นมารู้สึกคอแห้งหรือเจ็บคอ 

หลังตื่นนอนตอนเช้ามักมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ทั้งที่มีเวลานอนนานเพียงพอ

ผู้ป่วยมักมีอาการง่วงนอนบ่อย นั่งสัปหงก หรือหลับง่ายในช่วงเวลากลางวัน เช่น ขณะทำงาน เรียนหนังสือ นั่งคุยกับผู้อื่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หลังอาหารกลางวัน เป็นต้น บางครั้งมีอาการหลับในขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรจนได้รับอุบัติเหตุ

ผู้ป่วยมักมีอารมณ์หงุดหงิด หรืออารมณ์เสียง่าย เสียสมาธิ หลงลืมง่าย

ในเด็ก อาจมีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนหรือปัสสาวะรดที่นอน นอนดิ้นไปดิ้นมา หลับไม่สนิท ผวาตื่นหรือฝันร้าย ร่างกายไม่แข็งแรงร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยมีอาการง่วงนอนง่าย อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น หงุดหงิดง่าย เสียสมาธิ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และอาจเกิดอุบัติเหตุจากการขับรถหรือการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร ในเด็กอาจทำให้เรียนหนังสือได้ไม่ดี หรือมีปัญหาด้านความประพฤติได้

นอกจากนี้ หากปล่อยให้เป็นเรื้อรังนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น

    ความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีการหลั่งสารอะดรีนาลินออกมาในร่างกายมากกว่าปกติ พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    เบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับเพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance)
    โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (อาจเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ) โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension ซึ่งเป็นต้นเหตุของภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลว)
    ผู้ที่มีโรคหัวใจขาดเลือดอยู่ก่อน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
    ตับมีความผิดปกติ เช่น มีเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูง และภาวะไขมันสะสมในตับ
    ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)
    ความผิดปกติทางจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคซึมเศร้า เป็นต้น 
    อาการนอนกรนเสียงดังยังส่งผลต่อปัญหาสังคม คือ อาจเป็นเหตุของการหย่าร้างระหว่างสามีภรรยา
    ในเด็ก อาจทำให้พัฒนาการของร่างกายและสมองแย่ลง ฮอร์โมนเจริญเติบโต (growth hormone) มีปริมาณลดลง ทำให้มีความสูงน้อยกว่าเด็กปกติ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หรือปัสสาวะรดที่นอน นั่งสัปหงกในห้องเรียน ไม่มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนไม่ดี


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายขณะตื่นนอนตอนกลางวัน มักไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ยกเว้นบางคนอาจตรวจพบว่ามีรูปร่างอ้วน ความดันโลหิตสูง

การตรวจร่างกายขณะนอนหลับ จะพบอาการกรนเสียงดัง และมีภาวะหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธีที่เรียกว่า "Polysomnography (PSG)" โดยต้องไปนอนค้างที่โรงพยาบาล แล้วใช้อุปกรณ์ตรวจวัดลักษณะการหายใจ และการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ ปอด สมอง การเคลื่อนไหวของแขนขา ระดับออกซิเจนในเลือด

นอกจากนี้ ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือมีอาการที่สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

1. แพทย์จะเริ่มต้นให้การดูแลรักษา ด้วยการให้ผู้ป่วยปรับพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่

    การลดน้ำหนักตัว ควรลดให้ได้มากกว่าร้อยละ 10 อาจมีผลทำให้หายขาดในผู้ป่วยบางรายได้
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำให้ร่างกายแข็งแรง มีส่วนช่วยให้อาการทุเลาได้ แม้ว่าจะมีน้ำหนักตัวเกิน
    หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้ทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่าย และหยุดหายใจนานขึ้น 
    พยายามนอนในท่าตะแคง หรือท่าที่ทำให้อาการลดลง (สมัยก่อนมีการใช้ถุงใส่ลูกเทนนิส 3-4 ลูกติดไว้ด้านหลังของเสื้อนอน เพื่อบังคับให้ผู้ป่วยนอนตะแคง)
    งดสูบบุหรี่

2. ถ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการรุนแรง ก็จะให้การรักษาเพิ่มเติม ซึ่งมีให้เลือกอยู่หลายวิธี ดังนี้

    การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ช่วยเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจในช่วงนอนหลับ วิธีนี้ใช้ได้ผลในรายที่เป็นไม่รุนแรง
    การใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (continuous positive airway pressure/CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ มีลักษณะเป็นหน้ากากใช้สวมจมูกเวลานอน สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นรุนแรง และได้ผลในการแก้ภาวะนี้ได้มากกว่าร้อยละ 90
    การผ่าตัดขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายวิธี แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนเด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทอนซิลโตหรือต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) โต ก็รักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์

3. หากพบมีภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ เป็นต้น แพทย์ก็จะทำการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป

ผลการรักษา ส่วนใหญ่สามารถรักษาให้อาการหายเป็นปกติได้ด้วยการปรับพฤติกรรม และ/หรือใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) ส่วนน้อยที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด


การดูแลตนเอง

หากมีอาการนอนกรน ร่วมกับมีความรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม มีอาการปวดศีรษะหรืออ่อนเพลียหลังตื่นนอน หรือมีอาการง่วงนอนหรือนั่งสัปหงกง่ายในเวลากลางวัน ควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ปรับพฤติกรรมที่มีส่วนช่วยในการรักษาโรคอย่างจริงจัง ได้แก่ ลดน้ำหนักตัว ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน งดสูบบุหรี่ พยายามนอนในท่าตะแคง
    สงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

การป้องกัน

สำหรับกลุ่มที่มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวและพฤติกรรม อาจป้องกันหรือทำให้โรคทุเลาได้ด้วยการปฏิบัติตัว ที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก การไม่บริโภคสุราและยาสูบ และการควบคุมโรค (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หวัดภูมิแพ้ หืด ภาวะขาดไทรอยด์ เป็นต้น)

ข้อแนะนำ

1. อาการนอนกรน (snoring) มีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดไม่อันตราย (ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่สร้างความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง) และชนิดอันตราย (ซึ่งมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย และส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย) ดังนั้น ถ้ามีอาการนอนกรน ควรสังเกตว่ามีภาวะหยุดหายใจ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ (เช่น ง่วงนอนหรือหลับง่ายในเวลากลางวัน อารมณ์หงุดหงิด เสียสมาธิ หลงลืมง่าย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) ร่วมด้วยหรือไม่ หากสงสัยว่ามีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการวินิจฉัยและให้การรักษาแต่เนิ่น ๆ

2. การรักษาโรคนี้ด้วยการใช้เครื่องอัดอากาศ (CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ จะช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ต้องใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกคืน เมื่อหยุดใช้อาการมักกลับมากำเริบได้อีก

3. การรักษาภาวะนี้ให้ได้ผลอย่างจริงจัง จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะความดันโลหิตสูงที่พบร่วมด้วยก็จะหายได้ ในช่วงที่ยังมีความดันโลหิตสูง อาจจำเป็นต้องให้ยาลดความดัน

17
ฉนวนกันความร้อน สำคัญต่อท่ออุตสาหกรรมในโรงงานอย่างไร

โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานขนาดเล็ก ใหญ่ และผลิตสินค้าชนิดใดก็แล้วแต่ ล้วนต้องมี “ท่อ” ในระบบการผลิตของโรงงานด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นท่อน้ำร้อน ท่อน้ำเย็น หรือท่อลำเลียงสารเคมีต่าง ๆ

ซึ่งบริเวณท่อลำเลียงเหล่านี้นั้น เป็นจุดที่ผู้ประกอบการหลายคนอาจมองข้ามไปว่าจำเป็นต้องได้รับการติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน” ด้วย ซึ่งถ้าถามหาเหตุผลว่าทำไมท่อโรงงานจึงต้องการฉนวนกันความร้อนล่ะก็ มีเหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องตระหนักไว้ ดังต่อไปนี้

1.ช่วยควบคุมอุณหภูมิในการลำเลียงให้คงที่

ความสำคัญของท่อโรงงานอุตสาหกรรม คือการลำเลียง “ของเหลว” ภายในท่อจากที่หนึ่ง ไปสู่อีกที่หนึ่ง เพื่อดำเนินกระบวนการผลิตให้เสร็จสมบูรณ์ตามขั้นตอน ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำร้อน น้ำเย็น หรือ สารเคมีภัณฑ์ใด ๆ ก็แล้วแต่ที่อยู่ในท่อ ล้วนมี “อุณหภูมิ” ที่เหมาะสม ที่จะต้องรักษาให้คงที่เอาไว้ให้ได้ เพื่อให้เป็นไปตามสูตรของกระบวนการผลิต แต่ขนาดท่อที่ยาวจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งนั้น จะต้องผ่านอากาศภายนอกท่อที่มีอุณหภูมิแตกต่างกัน จึงอาจมีผลทำให้อุณหภูมิของเหลวที่อยู่ภายในท่อเปลี่ยนแปลงไปได้

ซึ่งหมายความว่า สูตรของการผลิตก็จะผิดเพี้ยนตามไปด้วย จนอาจทำให้เกิดความเสียหาย จุดนี้เองที่ฉนวนกันความร้อน ที่ใช้สำหรับหุ้มท่อลำเลียงในโรงงานอุตสาหกรรม จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยควบคุมอุณหภูมิ ช่วยชะลอการไหลของพลังงานภายในท่อไม่ให้ผิดเพี้ยน อันจะเป็นการรักษาประสิทธิภาพและคุณภาพของกระบวนการผลิตเอาไว้ได้อย่างดีที่สุด


2.ช่วยประหยัดพลังงานทำให้โรงงานประหยัดไฟได้มากขึ้น

โรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลาย คือจุดศูนย์รวมของการใช้พลังงานมหาศาล ซึ่งบริเวณท่อลำเลียงต่าง ๆ ของโรงงาน ก็เป็นจุดปล่อยพลังงานความร้อนเช่นกัน ซึ่งหากเราไม่ได้มีการใช้ฉนวนกันความร้อนมาหุ้มท่อเอาไว้ พลังงานความร้อนก็จะระเหยออกมาสู่ชั้นอากาศด้านนอก ทำให้เครื่องจักรอื่น ๆ ทำงานหนักมากขึ้น สิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น และกลายเป็นต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นได้ในที่สุด กำไรของโรงงานจะหดหายไปแบบที่บางทีผู้ประกอบการอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เสียพลังงานไปโดยใช่เหตุ และเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดรูรั่วของการเงินในธุรกิจ การเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนหุ้มท่อโรงานไว้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง


3.ช่วยรักษาสภาพท่อโรงงานอุตสาหกรรมให้มีอายุการใช้งานยาวนาน

สำหรับท่อน้ำเย็น ท่อลำเลียงความเย็นในโรงงานอุตสหากรรมนั้น เมื่ออุณหภูมิภายในท่อต่ำกว่าอุณหภูมิภายนอกของสภาพแวดล้อม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จะเกิดการควบแน่นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ไอน้ำ ห่อหุ้มผิวท่อเอาไว้ โดยความชื้นจากไอน้ำนี้เองจะสามารถกัดกร่อนและทำลายท่อได้ ซึ่งหากปล่อยไปนานวัน ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อท่อ และกระทบต่อกระบวนการผลิตในแบบที่คาดไม่ถึงได้ทุกเมื่อ

ดังนั้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนหุ้มท่อเอาไว้จึงมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการป้องกันการควบแน่น ลดความชื้นที่จะเกิดขึ้นจากภาวะอุณหภูมิที่แตกต่างกันของท่อกับอากาศภายนอกท่อ ซึ่งถามว่าทำได้อย่างไร ก็เพราะ ฉนวนจะช่วยควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ และป้องกันไม่ให้อุณหภูมิจากภายนอกมากระทบจนทำให้เกิดการควบแน่นนั่นเอง

โรงงานใดมีท่อ ท่อโรงงานนั้นควรได้รับการติดตั้งฉนวนกันความร้อน เพื่อรักษาผลประโยชน์ และควบคุมคุณภาพของกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยคุณสมบัติสำคัญหลัก ๆ ของฉนวนกันความร้อนโรงงานที่ดี ก็คือ จะต้องมีความแข็งแรงทนทาน ป้องกันการควบแน่นเป็นหยดน้ำได้ กันความร้อนได้จริง

18
ซ่อมบำรุงอาคาร: เคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟ!?

ในประเทศไทยของเรานั้น มีอากาศที่ร้อนอบอ้าวตตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะอยู่ในหน้าฝนหรือหน้าหนาว แต่อากาศก็ยังร้อนได้ตลอด ยิ่งเข้าหน้าร้อนทุกปี ยิ่งร้านไปอีกเป็นทวีคุณ ดังนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลายบ้านขาดไม่ได้นั่นก็คือ แอร์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งขาดไม่ได้ ยิ่งออกนอกห้องแอร์ทีไร ก็ทำให้ร้อนเหงื่อไหลไคลย้อย อาจจะทำให้อารมณ์หงุดหงิดไม่เป็นอันทำงานทำการได้ แต่แม้ว่าจะเปิดแอร์ให้เย็นสบายใจ ก็ต้องมากังวลใจกับค่าไฟที่พุ่งสูงตามอุณหภูมิ เพราะแอร์ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลืองไฟมากชนิดหนึ่ง แถมยังต้องมานั่งเสียเงินค่าบำรุงรักษาที่ค่อนข้างแพงในการล้างทำความสะอาดแอร์ในแต่ละครั้ง แต่การล้างแอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งที่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟในการใช้งานไปได้เยอะ


เพราะเมื่อเราใช้แอร์ไปนานๆก็ จะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกเข้าไปในตัวแอร์ และเมื่อสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้แอร์ไม่ค่อยเย็น ทำงานหนัก กินไฟมากกว่าเดิมนั่นเอง และถ้าฝุ่นละอองเข้าไปอุดตันในท่อน้ำแอร์ก็จะทำให้แอร์มีน้ำหยด การล้างแอร์เบื้องต้นด้วยการทำความสะอาดแผ่นกรองหยาบก็สามารถช่วยให้แอร์กลับมาทำงานได้ดีขึ้น หรือจะให้ช่างแอร์มาล้างให้สะอาดเอี่ยมอ่องก็จะทำให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งยิ่งขึ้น และวันนี้เราจะมาพูดถึงเคล็ดลับเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟ โดยไม่ต้องปวดหัวกับค่าไฟที่แสนแพงในช่วงสิ้นเดือน เพื่อลดภาระค่าใช้งานในส่วนนี้ไปได้เยอะเลยทีเดียว

สำหรับวิธีการเปิดแอร์ให้ประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อนก็มีหลากหลายวิธี ซึ่งวิธีแรกอย่างที่เราทราบกันก็คือ การล้างทำความสะอาดแอร์ เพื่อให้แอร์มีความสะอาด ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยรักษาอายุการใช้งานแอร์ของเราอีกด้วย หลายคงประสบปัญหาที่ว่า แม้จะลดอุณหภูมิแอร์แล้วแต่ก็ยังไม่รู้สึกเย็น นั่นเป็นเพราะว่ามีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกที่เข้าไปในแอร์เป็นจำนวนมาก นอกจากลดอุณหภูมิยังไงแอร์ก็ไม่เย็น แอร์ยังทำงานหนักขึ้นและกินไฟมากอีกด้วย ดังนั้น การล้างแอร์แบบจัดเต็ม คือ การถอดล้างโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ด้วย วิธีต่อมาคือ การตั้งอุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเล็กน้อย หลายคนมีความเข้าใจว่าอุณหภูมิแอร์ 25 องศาคืออุณหภูมิที่ประหยัดไฟที่สุด


ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะความจริงแล้วระดับอุณหภูมิ 25 องศาที่คือระดับอุณหภูมิที่ร่างกายรู้สึกสบายที่สุด จึงมีการแนะนำให้ตั้งระดับอุณหภูมิแอร์ที่ 25 องศา แต่ถ้าใครลองปรับเพิ่มอุณหภูมิเป็น 26-27 องศาแล้วยังรู้สึกสบายตัวอยู่ แนะนำให้ปรับอุณหภูมิขึ้นเล็กน้อย แอร์ก็จะทำงานน้อยลง ช่วยให้ประหยัดพลังงานและประหยัดค่าไฟ ถ้าตอนกลางวันอากาศร้อนไม่ไหวจริงๆ อาจจะลองปรับอุณหภูมิเฉพาะในเวลากลางคืนที่อากาศร้อนน้อยกว่า แล้วตั้งเวลาปิดแอร์ 1 ชั่วโมงก่อนตื่นนอน  แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าไฟได้แล้ว วิธีต่อมาคือ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ให้ความร้อน ในขณะที่เปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะหน้าที่หลักของแอร์ คือการทำให้ห้องนั้นมีอุณหภูมิลดลง เพื่อได้อากาศที่เย็นสบาย การนำเครื่องใช้ไฟฟ้า

ประเภทที่ให้ความร้อน ไปใช้ในห้องนั้น จึงเป็นสิ่งที่ทำให้แอร์ ต้องทำงานหนักขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น การปรุงอาหารด้วยกระทะไฟฟ้า การใช้หม้อต้มน้ำร้อน หรือจะเป็นการใช้เตารีดก็ตาม ซึ่งถ้าหากหลีกเลี่ยงได้ ก็จะเป็นการช่วยให้เครื่องปรับอากาศ ทำงานลดลงได้เยอะเลย และที่สำคัญเราควรหลีกเลี่ยงใช้แอร์ในห้องพื้นที่เปิด เพราะการเปิดแอร์ในห้องที่เปิดโล่งอย่างห้องโถง ที่มีทางขึ้นบันได ทางเดินไปห้องอื่นๆ ไม่มีประตูกั้น นอกจากแอร์ไม่ค่อยเย็นแล้ว ยังทำให้แอร์ต้องทำงานหนักกว่าปกติและค่าไฟเพิ่มขึ้นอีกด้วย


ดังนั้น จึงควรเปิดแอร์ในห้องที่เป็นพื้นที่ปิด หรือถ้าจำเป็นต้องใช้แอร์ในห้องโถงจริงๆ ก็ควรติดตั้งฉากกั้นพื้นที่แบบเปิดปิด กั้นทางขึ้นบันได และทางเดินไปห้องอื่นๆ รวมถึงปิดหน้าต่าง ม่านให้เรียบร้อย ซึ่งม่านก็ช่วยลดอุณหภูมิจากแสงดอาทิตย์ภายนอก แอร์ทำงานน้อยลง ประหยัดพลังงานและค่าไฟได้เยอะเลยทีเดียว หรือจะใช้อีกหนึ่งที่หลายบ้านมักจะทำกันนั่นก็คือ การใช้พัดลมช่วย เพราะการเปิดพัดลมไล่ความร้อนในห้องก่อนเปิดแอร์จะช่วยลดความอุณหภูมิความร้อนภายในห้อง ทำให้ตอนเปิดแอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาก ยิ่งถ้าเปิดพัดลมช่วยในระหว่างที่เปิดแอร์จะช่วยให้ความเย็นจากแอร์กระจายไปทั่วห้อง และถึงแม้จะปรับอุณหภูมิเพิ่มเป็น 26-27 องศา การเปิดพัดลมช่วยจะทำให้แอร์เย็นสบายเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือประหยัดไฟกว่าเดิมได้

ทั้งนี้เราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสม หรือก่อนติดตั้งควรดูจากหลายปัจจัยที่จะทำให้แอร์ของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ถ้ามีข้อสงสัยหรืออยากปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นในอาคาร สำนักงาน หรือในบ้าน  ก็สามารถปรึกษาเราได้ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

19
หมอออนไลน์: ผนังกั้นจมูกคด (Deviated Nasal Septum)

ผนังกั้นจมูกคด คือ ภาวะที่กระดูกอ่อนและกระดูกที่กั้นรูจมูกทั้งสองข้างออกจากกัน (หรือที่เรียกว่า "ผนังกั้นจมูก" - Nasal Septum) ไม่ได้ตั้งตรงอยู่ตรงกลาง แต่กลับเอียง บิด หรือคดงอไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือเป็นรูปตัว S ทำให้ช่องจมูกข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างตีบแคบลง ภาวะนี้พบได้บ่อยมากในคนทั่วไป และหลายคนอาจไม่เคยทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากไม่มีอาการผิดปกติใดๆ

สาเหตุ
ผนังกั้นจมูกคดอาจเกิดจากหลายสาเหตุ:

การบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เช่น การบาดเจ็บที่จมูกจากการเล่นกีฬา อุบัติเหตุรถยนต์ หรือการหกล้ม ทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ การบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยที่ไม่สังเกตเห็นก็ได้
ความผิดปกติแต่กำเนิด: บางคนเกิดมาพร้อมกับผนังกั้นจมูกที่คดงออยู่แล้ว อาจเกิดจากแรงกดทับภายในมดลูก หรือระหว่างการคลอด
การเจริญเติบโตที่ผิดปกติ: เมื่อร่างกายเติบโต กระดูกและกระดูกอ่อนที่ประกอบเป็นผนังกั้นจมูกอาจมีการเจริญเติบโตในอัตราที่ไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดการบิดงอได้

อาการ
อาการของผนังกั้นจมูกคดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการคดงอ และตำแหน่งที่ผนังคดไปอุดกั้นช่องจมูก อาการที่พบบ่อยได้แก่:

คัดจมูกเรื้อรัง: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักจะคัดจมูกข้างใดข้างหนึ่งตลอดเวลา หรือคัดสลับข้างได้ (ขึ้นอยู่กับกลไกการบวมของเนื้อเยื่อในจมูก) โดยเฉพาะเวลานอนตะแคง
หายใจลำบากทางจมูก: โดยเฉพาะระหว่างการออกกำลังกาย หรือขณะเป็นหวัด
เลือดกำเดาไหลบ่อย: ผนังกั้นจมูกที่คดงออาจทำให้เนื้อเยื่อบุโพรงจมูกแห้งและระคายเคืองได้ง่าย ทำให้หลอดเลือดฝอยแตกและเลือดกำเดาไหล
นอนกรน หรือหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea): การคัดจมูกอย่างรุนแรงอาจทำให้หายใจลำบากและส่งผลให้นอนกรนเสียงดัง หรือมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ไซนัสอักเสบเรื้อรัง: การที่ผนังกั้นจมูกคดอาจขัดขวางการระบายน้ำมูกและอากาศออกจากโพรงไซนัส ทำให้เกิดการอุดตันและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
ปวดศีรษะหรือปวดบริเวณใบหน้า: บางครั้งผนังกั้นจมูกที่คดมากอาจไปกดทับเนื้อเยื่อภายในจมูก ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หรือปวดบริเวณใบหน้าได้
จมูกแห้งหรือระคายเคือง: อากาศที่ไหลผ่านช่องจมูกที่คดอาจทำให้เกิดการระคายเคือง หรือทำให้เนื้อเยื่อบุโพรงจมูกแห้ง


การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยภาวะผนังกั้นจมูกคดจากการ:

ซักประวัติ: สอบถามอาการที่เกิดขึ้น และประวัติการบาดเจ็บที่จมูก
การตรวจร่างกาย: แพทย์จะใช้ไฟฉายและเครื่องมือส่องดูภายในรูจมูก (Nasal Speculum) เพื่อประเมินโครงสร้างของผนังกั้นจมูก และดูว่ามีการคดงอมากน้อยเพียงใด
การส่องกล้องตรวจโพรงจมูก (Nasal Endoscopy): ในบางกรณี แพทย์อาจใช้กล้องเอ็นโดสโคปขนาดเล็กส่องเข้าไปในโพรงจมูก เพื่อให้เห็นภาพด้านในที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และประเมินการอุดกั้นของทางเดินหายใจ

การรักษา
การรักษาผนังกั้นจมูกคดจะพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย:


การรักษาแบบไม่ผ่าตัด (Conservative Treatment):

ยาพ่นจมูก: เช่น ยาพ่นลดบวม (Decongestant Nasal Sprays) สำหรับบรรเทาอาการคัดจมูกชั่วคราว (ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกินไป เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการคัดจมูกกลับมาแย่กว่าเดิม - Rhinitis Medicamentosa) หรือยาพ่นสเตียรอยด์ (Steroid Nasal Sprays) สำหรับลดการอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อบุโพรงจมูก
ยารับประทาน: เช่น ยาแก้แพ้ หรือยาแก้คัดจมูก เพื่อบรรเทาอาการชั่วคราว
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ: ช่วยชะล้างสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคือง ลดอาการคัดจมูก
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น: หากมีอาการแพ้ร่วมด้วย

การผ่าตัด (Surgical Treatment):

การผ่าตัดแก้ไขผนังกั้นจมูกคด (Septoplasty): เป็นวิธีการรักษาหลักและเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ไขผนังกั้นจมูกที่คดงอได้อย่างถาวร การผ่าตัดนี้มุ่งเน้นที่การจัดกระดูกอ่อนและกระดูกที่คดงอให้อยู่ในแนวตรงกลางมากขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนรูปร่างภายนอกของจมูก
วัตถุประสงค์: เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น และลดอาการคัดจมูก หายใจลำบาก เลือดกำเดาไหล หรือไซนัสอักเสบเรื้อรัง
วิธีการ: ศัลยแพทย์จะทำผ่าตัดผ่านรูจมูก (ไม่มีแผลภายนอก) โดยการตัดแต่งหรือนำส่วนที่คดงอออก แล้วจัดตำแหน่งผนังกั้นจมูกให้ตรง
การพักฟื้น: ผู้ป่วยมักจะฟื้นตัวได้ค่อนข้างเร็ว และสามารถกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ภายในไม่กี่สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหากไม่ได้รับการรักษา


หากผนังกั้นจมูกคดรุนแรงและไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น:

ปัญหาในการนอนหลับเรื้อรัง
ไซนัสอักเสบเรื้อรังที่รักษายาก
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
คุณภาพชีวิตที่ลดลงจากการหายใจลำบากและอาการอื่นๆ

หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผนังกั้นจมูกคด เช่น คัดจมูกเรื้อรัง หายใจลำบาก หรือเลือดกำเดาไหลบ่อย ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก เพื่อรับการวินิจฉัยและปรึกษาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมครับ

20
มอเตอร์ไซด์ใหม่ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน Harley-Davidson Sport Sportster S ปี 2025

Harley-Davidson Sportster S ปี 2025 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่นำเสนอความก้าวหน้าอีกขั้นของตระกูล Sportster ด้วยการผสานสไตล์ Heritage ของ Harley-Davidson เข้ากับสมรรถนะที่ทันสมัยและทรงพลังจากเครื่องยนต์ Revolution® Max

ราคาในประเทศไทย:

Harley-Davidson Sportster S ปี 2025 ราคาเริ่มต้นที่ 638,000 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสี และโปรโมชั่น ณ วันที่ซื้อ)
จุดเด่นและสิ่งที่ควรรู้:

เครื่องยนต์ Revolution® Max 1250T:

เครื่องยนต์ V-Twin แบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ขนาด 1,252 ซีซี
กำลังสูงสุด: 121 แรงม้า (90 kW) ที่ 7,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด: 125 นิวตันเมตร (93 ฟุต-ปอนด์) ที่ 6,000 รอบต่อนาที
เป็นเครื่องยนต์ที่ให้พละกำลังสูงและรอบจัด ตอบสนองได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการสมรรถนะ
ระบบไอเสียแบบ 2-into-1-into-2 ที่มี Catalytic Converter ในท่อไอเสีย และการออกแบบที่โดดเด่น

ดีไซน์และโครงสร้าง:

สไตล์ "Hot Rod": ตัวรถมีดีไซน์ที่เน้นความดุดัน ล่ำสัน และต่ำเตี้ย ให้ความรู้สึกแบบ Dragster
ยางหน้าขนาดใหญ่: ยางหน้าขนาด 160/70R17 ช่วยเสริมรูปลักษณ์ที่ดุดันและให้การยึดเกาะที่ดี
โครงสร้างน้ำหนักเบา: เครื่องยนต์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลัก (Stressed-member) ช่วยลดน้ำหนักโดยรวม (น้ำหนักพร้อมขับขี่ประมาณ 227 กก.) และเพิ่มความแข็งแกร่ง
ความสูงเบาะ (ขณะไม่ได้บรรทุก): 765 มม.

ระบบกันสะเทือนและเบรก:

โช้คหน้า: โช้คอัพหัวกลับ SHOWA® ขนาด 43 มม. แบบปรับได้เต็มระบบ (Fully Adjustable) ทั้ง Compression, Rebound และ Spring Preload ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งช่วงล่างให้เข้ากับสไตล์การขับขี่และสภาพถนนได้อย่างละเอียด
โช้คหลัง: Monoshock แบบ Piggyback ของ SHOWA® แบบปรับได้เต็มระบบ ทั้ง Compression, Rebound และ Hydraulic Spring Preload และมีระยะยุบตัวเพิ่มขึ้นเป็น 82 มม. (จาก 2 นิ้วในรุ่นก่อนหน้า) เพื่อความสบายและการควบคุมที่ดีขึ้น
ระบบเบรก Brembo® Performance: คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบแบบ Radially Mounted ที่ล้อหน้า และคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยวที่ล้อหลัง ให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่ยอดเยี่ยม พร้อมระบบ ABS


เทคโนโลยีและฟีเจอร์สำหรับผู้ขับขี่:

หน้าจอ TFT ขนาด 4 นิ้ว (Full-Color): แสดงผลข้อมูลที่ครบครัน เช่น ความเร็ว, เกียร์, ระยะทาง, ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง, นาฬิกา, และข้อมูลอื่นๆ สามารถปรับแต่งโหมดการขับขี่ และรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth เพื่อเข้าถึงการโทร, เพลง, และระบบนำทาง (ผ่านแอป H-D เท่านั้น)
โหมดการขับขี่ (Ride Modes): มีโหมดมาตรฐานให้เลือก 3 โหมด (Road, Rain, Sport) และสามารถตั้งค่าโหมด Custom ได้ เพื่อปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์

ระบบ Rider Safety Enhancements (Cornering Enhanced):

Cornering Enhanced Antilock Braking System (C-ABS): ABS ที่ทำงานโดยคำนึงถึงองศาการเอียงของรถ
Cornering Enhanced Traction Control System (C-TCS): ระบบควบคุมการยึดเกาะถนนที่ทำงานโดยคำนึงถึงองศาการเอียงของรถ
Drag-Torque Slip Control System (DSCS): ควบคุมการลื่นไถลของล้อหลังขณะลดเกียร์หรือเบรกกะทันหัน
Wheel Lift Mitigation: ลดการยกตัวของล้อหน้าขณะเร่ง และลดการยกตัวของล้อหลังขณะเบรก
Tire Pressure Monitoring System (TPMS)

การอัปเดตสำหรับรุ่นปี 2025 (จากข้อมูลที่มี):

การปรับจูนระบบกันสะเทือน: มีการปรับปรุงและเพิ่มระยะยุบตัวของโช้คหลัง เพื่อเพิ่มความสบายและประสิทธิภาพในการขับขี่
งานสีระดับพรีเมียมใหม่: มีตัวเลือกสีใหม่ รวมถึงสี Mystic Shift ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามแสง
ดีไซน์กราฟิกใหม่: มีการใช้ตรา "Checkered V" บนถังน้ำมันที่ได้แรงบันดาลใจจาก Sportster รุ่นเก่าในยุค 50s

Harley-Davidson Sportster S ปี 2025 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรถมอเตอร์ไซค์สไตล์สปอร์ตที่โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ สมรรถนะที่เร้าใจจากเครื่องยนต์ Revolution® Max 1250T และเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่ครบครัน ทำให้เป็นรถที่ควบคุมได้ง่ายและสนุกทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะบนถนนเรียบหรือทางคดเคี้ยวครับ

21
จัดฟันบางนา: ใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสขณะนอนหลับ เครื่องมือจะหลุดออกหรือไม่

การดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่เราควรจะเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ ในตอนเด็กเราทุกคนถูกปลูกฝังในเรื่องของการทำความสะอาดฟันหลังตื่นนอนและก่อนเข้านอน หรือหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ซึ่งการแปรงฟันหลังตื่นนอน ก็จะช่วยชะล้างทราบแบคทีเรียที่สะสมในระหว่างการนอนหลับของเราออกไป ทำให้เรามีปากที่สะอาด สดชื่นหลังตื่นนอน ยิ่งถ้าหากผู้ที่เข้ารับการจัดฟันด้วยแล้ว จะต้องยิ่งดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ เพราะเครื่องมือการจัดฟันที่อยู่ภายในช่องปากของเรา อาจจะเป็นอุปสรรคในการทำความสะอาด ซึ่งเราอาจจะทำความสะอาดได้อย่างไม่เต็มที่


ดังนั้น เราจึงควรเลือกใช้แปรงสีฟันที่เหมาะสมกับเราและต้องทำความสะอาดช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ แต่สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น ในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกมาได้ขณะแปรงฟันและรับประทานอาหาร ดังนั้น ในเรื่องของปัญหาต่างๆที่มาจากเครื่องมือการจัดฟัน ที่ผู้เข้ารับการจัดฟันส่วนใหญ่จะต้องพบเจอ ในผู้จัดฟันแบบใสก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องดังกล่าวเลย แต่เพียงแค่ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องมีวินัยในเรื่องของการสวมใส่เครื่องมือ เพราะจะต้องถอดเข้า-ออก บ่อยๆ ยิ่งถ้าเป็นคนที่มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่จุกจิกด้วยแล้ว ก็จะต้องมีวินัยมากๆในการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน รวมไปถึงการดูแลรักษาเครื่องมือการจัดฟันแบบใสด้วย

หลายคนที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสในขณะนอนหลับ ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเรื่องปกติที่หลายคนอาจจะมีความกังวลว่า เครื่องมือการจัดฟันจะหลุดออกมาขณะนอนหลับหรือไม่ และในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันขณะนอนหลับว่า เครื่องมือการจัดฟันสามารถหลุดออกได้ไหมขณะนอนหลับ สำหรับใครที่เคยผ่านการเข้ารับกาจัดฟันมาแล้ว คงเคยสวมใส่รีเทนเนอร์ ซึ่งรีเทนเนอร์เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยคงลักษณะฟันในอยู่ในตำแหน่งเดิม


ซึ่งก็จะคล้ายๆกับการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ที่สามารถสวมใส่ได้ขณะนอนหลับและเป็นสิ่งที่ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสทุกคนควรจะปฏิบัติตามด้วย เพราะการจัดฟันแบบใสนั้น ทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่เครื่องมือเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 20-22 ชั่วโมง เพื่อผลการรักษาที่ดี ดังนั้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากที่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสจะหลุดออกขณะนอนหลับ และไม่ว่าผู้เข้ารับการจัดฟันกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะนอน พูดคุย หรือหัวเราะ เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ก็ไม่สามารถหลุดออกได้ ถ้าหากเราไม่ถอดออก เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น ได้รับการออกแบบให้มีความพอดีและแน่นกับฟันของผู้เข้ารับการจัดฟัน ดังนั้นในเรื่องของเครื่องมือที่อาจจะหลุดออกมาขณะนอนหลับจึงไม่มีอะไรให้กังวลอย่างแน่นอน

แต่ถ้าหากมีข้อกังวลหรือปัญหาเกี่ยวกับการเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรือสำหรับใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกของเรา ทางเราพร้อมให้คำปรึกษาและยินดีที่ตอบปัญหาในเรื่องของการจัดฟันแบบใสให้คุณ ก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อประกอบการตัดสินใจ ทางเรามีทันตแพย์ที่มีประสบการณ์ด้านทันตกรรมาอย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุดและถูกต้อง นอกจากนี้ทางเรายังมีโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรืออยากมีรอยยิ้มที่น่าประทับใจ

22
ข้าวไข่เจียวแหนม แบบหนาๆ กรอบนอกนุ่มใน หอมอร่อย ทำเป็นอาชีพเสริม

ข้าวไข่เจียวแหนมเป็นเมนูที่ต้องลองให้ได้ อาหารจานนี้แม้จะดูธรรมดาแต่รสชาติดีเป็นตัวเลือกยอดนิยมของร้านอาหารและร้านค้าในท้องถิ่นทั่วประเทศไทย อาหารจานนี้ทำเร็ว อร่อยและถูกใจทุกครั้งที่รับประทาน ข้าวไข่เจียวแหนมเป็นอาหารจานเดียวที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในร้านอาหารตามสั่งและร้านข้างทาง เป็นการนำไข่เจียวมาโปะบนข้าวสวยร้อนๆและมีแหนม

ข้าวไข่เจียวเนม คืออะไร ?
ชื่อของอาหารจานนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน:
ข้าวหมายถึง ข้าว
ไข่เจียวคือ ไข่เจียวสไตล์ไทย
แหนมหมายถึง ไส้กรอกหมูหมัก
เมื่อนำมารวมกันแล้วจะได้เมนูที่หอมอร่อยและสมดุลระหว่างเนื้อสัมผัสที่กรอบของไข่เจียวกับรสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อยของหมูหมัก

ส่วนผสมที่สำคัญ
ไข่:โดยปกติแล้ว จะต้องตีไข่ 2-3 ฟองจนฟู โดยมักจะผสมน้ำปลาหรือซีอิ๊วขาวลงไปเล็กน้อย
แหนม :หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วคลุกเคล้ากับไข่ก่อนนำไปทอด
น้ำมันปรุงอาหาร:ใช้สำหรับทอดไข่เจียวจนเหลืองสวยสมบูรณ์แบบ
ข้าวหอมมะลินึ่ง :เสิร์ฟร้อนเป็นฐานของจานอาหาร
เครื่องปรุงรสเพิ่มเติม:ซอสถั่วเหลือง ผักสด หรือพริกน้ำปลา เพื่อเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อน

ทำไมผู้คนถึงชอบมัน
รวดเร็วและง่ายดาย:ปรุงภายในไม่กี่นาที ถือเป็นเมนูพิเศษสำหรับมื้อเที่ยงที่ยุ่งวุ่นวายหรือมื้อเย็นแบบขี้เกียจ
กรอบข้างนอกนุ่มข้างในไข่เจียวของไทยขึ้นชื่อในเรื่องความกรอบขอบและความนุ่มข้างใน
รสชาติเข้มข้นจากแหนม :หมูหมักเพิ่มรสชาติเปรี้ยวที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้เมนูนี้โดดเด่นกว่าไข่เจียวทั่วไป
ราคาไม่แพงและอิ่มท้อง:มักขายตามแผงขายอาหารริมถนน ประหยัดงบและอิ่มท้อง

เหมาะสำหรับทุกมื้ออาหาร
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเป็นแฟนพันธุ์แท้ของอาหารไทย ข้าวไข่เจียวเนมก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะนอกจากจะอิ่มอร่อยแล้ว ยังสะท้อนถึงความงามของความเรียบง่ายแบบไทยๆ ได้อีกด้วย โดยใช้วัตถุดิบเพียงเล็กน้อยแต่ได้รสชาติที่เข้มข้น

ครั้งหน้าที่คุณไปร้านอาหารไทย ลองสั่งเมนูยอดนิยมของคนในท้องถิ่นนี้มาทานดูสิ แค่กัดไข่เจียวกรอบๆ ราดด้วยแหนมรสเปรี้ยวบนข้าวสวย คุณก็จะเข้าใจว่าทำไมอาหารชนิดนี้ถึงกลายเป็นอาหารหลักของคนไทย

ข้าวไข่เจียวแหนมมีรสชาติที่กลมกล่อมลงตัว โดยมีความเค็มนิดๆ จากน้ำปลาในไข่เจียว ความเปรี้ยวและเค็มจากแหนม และความหอมของไข่เจียว ทานกับข้าวสวยร้อนๆ แล้วอร่อยลงตัว

ความนิยม: เป็นเมนูที่ทำง่าย รวดเร็ว และมีรสชาติอร่อยถูกปากคนไทย ทำให้เป็นหนึ่งในเมนูอาหารตามสั่งยอดนิยมที่คุณสามารถหาทานได้ทั่วไป


23
บ้านติดรถไฟฟ้า เทอร์ร่า คลาวด์ ราชพฤกษ์ - ปิ่นเกล้า (TERRA CLOUD Ratchaphruek - Pinklao)
50 ลบ.

เทอร์ร่า คลาวด์ ราชพฤกษ์ - ปิ่นเกล้า (TERRA CLOUD Ratchaphruek - Pinklao)
เตรียมพบกับ TERRA CLOUD โครงการบ้านเดี่ยวลักชัวรี่ 3 ชั้น ใจกลางแจ้งวัฒนะ ใกล้รถไฟฟ้า จาก Built Land ได้ในเร็วๆ นี้

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           เทอร์ร่า คลาวด์ ราชพฤกษ์ - ปิ่นเกล้า (TERRA CLOUD Ratchaphruek - Pinklao)
 เจ้าของโครงการ      บิลท์ แลนด์
 แบรนด์ย่อย            เทอร์ร่า
 ราคา                    50 ลบ.
 ประเภทบ้าน           บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน            9 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
  เนื้อที่บ้าน             ตั้งแต่ 100 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน
 ที่ตั้ง
 ขนส่งสาธารณะ              ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน, สถานี(บ้านฉิมพลี - บางซื่อ)(ตลิ่งชัน)
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ                 โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

24
สินค้าอื่นๆทั่วไป | General Product / Doctor At Home: ช็อก (Shock)
« เมื่อ: มิถุนายน 12, 2025, 02:32:31 PM »
Doctor At Home: ช็อก (Shock)

ช็อก ในทางการแพทย์ หมายถึง ภาวะที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกายได้รับเลือดซึ่งมีสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ อันสืบเนื่องมาจากระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลวด้วยสาเหตุต่าง ๆ ทำให้อวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ตับ ไต ลำไส้ เป็นต้น มีภาวะขาดเลือดและทำหน้าที่ไม่ได้ ซึ่งในที่สุดเกิดภาวะล้มเหลว (failure) ของอวัยวะเหล่านี้จนเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

มักพบเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่มีอาการรุนแรงหรือขาดการดูแลรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่แรก

ผู้ป่วยมักมีประวัติได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ มีการเจ็บป่วยอื่น ๆ หรือมีการใช้ยามาก่อน

สาเหตุ

สาเหตุมีหลากหลายประการ ขึ้นกับชนิดของช็อก ซึ่งแบ่งเป็น 4 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่ ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง (hypovolemic/oligemic shock) ภาวะช็อกจากความผิดปกติของหัวใจ (cardiogenic shock) ภาวะช็อกจากภาวะอุดกั้นนอกหัวใจ (extracardiac obstructive shock) และภาวะช็อกจากปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว (distributive shock) แต่ละชนิดก็อาจมีสาเหตุได้ต่าง ๆ (ดู "ชนิดและสาเหตุของช็อก" ด้านล่าง) ภาวะเหล่านี้ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว ความดันโลหิตต่ำ อวัยวะสำคัญขาดเลือดจนเซลล์ตาย เกิดอาการที่รุนแรงมากมาย

ชนิดและสาเหตุของช็อกที่พบบ่อย

1. ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง อาจมีสาเหตุจาก

    การตกเลือด เช่น เลือดออกจากบาดแผลหรือกระดูกหัก ตกเลือดหลังคลอดหรือแท้งบุตร อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ไข้เลือดออก เลือดออกในช่องปอดหรือช่องท้อง ครรภ์นอกมดลูก
    การสูญเสียน้ำออกภายนอก เช่น ท้องเดินรุนแรง อาเจียนรุนแรง การใช้ยาขับปัสสาวะมากเกิน ภาวะคีโตแอซิโดซิส หรือน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรงในผู้ป่วยเบาหวาน เบาจืด บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
    การสูญเสียน้ำอยู่ภายในร่างกาย เช่น ไข้เลือดออก กระเพาะหรือลำไส้อุดกั้น ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ภาวะท้องมาน (ascites)

2. ภาวะช็อกจากความผิดปกติของหัวใจ อาจมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy) ลิ้นหัวใจตีบ (valvular stenosis) หัวใจเต้นผิดจังหวะ

3. ภาวะช็อกจากภาวะอุดกั้นนอกหัวใจ อาจมีสาเหตุจากภาวะหัวใจถูกบีบรัด (cardiac tamponade) ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอดอย่างรุนแรง ภาวะปอดทะลุชนิดรุนแรง

4. ภาวะช็อกจากปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว อาจมีสาเหตุจาก

    การแพ้ที่รุนแรง เรียกว่า ภาวะช็อกจากการแพ้ (anaphylactic shock) เช่น แพ้ยา (ที่พบบ่อย คือ เพนิซิลลิน ยาชา) เซรุ่มที่ผลิตจากสัตว์ พิษแมลง (ผึ้ง ต่อ มด) อาหาร (กุ้ง หอย ปู ไข่) เป็นต้น
    ความผิดปกติของระบบประสาท เรียกว่า ภาวะช็อกจากระบบประสาท (neurogenic shock) ที่สำคัญได้แก่ ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ
    โรคติดเชื้อ เรียกว่า ภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ (septic shock) เช่น โลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ ไทฟอยด์ ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ กรวยไตอักเสบ เยื่อบุมดลูกอักเสบจากการทำแท้ง เป็นต้น พิษของเชื้อโรคจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีหลายชนิด ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว นอกจากนี้ยังมีผลต่อการทำงานของหัวใจและเลือดออกง่าย (ร่างกายสูญเสียเลือด) ดังนั้น ภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อจึงอาจเกิดจากกลไกหลายอย่างร่วมกัน

ผู้ที่มีความต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน มะเร็ง ตับแข็ง ขาดอาหาร หรือใช้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกชนิดนี้มากกว่าคนทั่วไป

    การใช้ยา ได้แก่ กลุ่มยาขยายหลอดเลือด เช่น ไอโซซอร์ไบด์ (isosorbide) ถ้าใช้เกินขนาดอาจทำให้เกิดภาวะช็อกได้
    ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน (acute adrenal insufficiency) พบในผู้ป่วยโรคแอดดิสัน และผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะช็อก เรียกว่า ภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis)

อาการ

อาการขึ้นกับสาเหตุ ระยะ และความรุนแรงของโรค

ผู้ป่วยมักมีประวัติและอาการแสดงของภาวะการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุนำมาก่อน เช่น การบาดเจ็บ เลือดออก อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด (ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร) ท้องเดิน อาเจียน กระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อยมาก (เบาหวาน เบาจืด) ปวดท้องรุนแรง (ครรภ์นอกมดลูก) เจ็บหน้าอก (กล้ามเนื้อหัวใจตาย) เป็นไข้จากโรคติดเชื้อ เป็นต้น

ผู้ป่วยที่เริ่มเข้าสู่ภาวะช็อกในระยะแรก ๆ อาจมีอาการไม่เด่นชัด จนกระทั่งระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวและอวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง จึงจะปรากฏอาการเด่นชัด

อาการที่พบได้บ่อยก็คือ อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย เวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม อาจรู้สึกใจหวิวใจสั่นร่วมด้วย อาการจะเป็นมากเวลาลุกนั่ง จนต้องล้มตัวลงนอนราบ ผู้ป่วยมักมีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะออกน้อย ตัวเย็นและมีเหงื่อออก ริมฝีปากและเล็บเริ่มเขียวคล้ำ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจตื้นและถี่

ต่อมาจะมีอาการซึม สับสน เพ้อ กระหายน้ำมาก ปัสสาวะไม่ออก ผิวหนังซีดคล้ำ ตัวเย็นจัด หายใจหอบ ค่อย ๆ ซึมลงจนหมดสติในที่สุด


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เลือดเป็นกรดจากการคั่งของกรดแล็กติก กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เซลล์สมองตาย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ซึม กระสับกระส่าย สับสน หายใจตื้นและถี่ หายใจหอบ มือเท้าเย็นและชุ่มเหงื่อ (ยกเว้นผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เช่น โรคติดเชื้อในระยะแรกอาจมีตัวอุ่นและไม่มีเหงื่อชุ่ม)

ชีพจรมักเต้นเบาและเร็วมากกว่า 100 ครั้ง/นาที ยกเว้นบางกรณี เช่น ผู้ป่วยกินยากลุ่มปิดกั้นบีตา

อยู่ก่อน ก็อาจพบชีพจรช้าได้

มักพบไข้สูงในผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากโรคติดเชื้อหรือภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน ส่วนผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่ช็อกจากโรคติดเชื้ออาจไม่มีไข้ก็ได้

มักตรวจพบความดันโลหิตช่วงบนต่ำกว่า 90 มม.ปรอท และแรงดันชีพจร (ความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนกับช่วงล่าง) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท เช่น 90/70 หรือ 80/60 มม.ปรอท ยกเว้นในระยะแรกของการเกิดภาวะช็อก หรือภาวะใกล้ช็อก (impending shock) ความดันวัดในท่านอนอาจมีค่าปกติ แต่ชีพจรอาจเร็วกว่าปกติ สามารถทดสอบโดยการวัดความดันและจับชีพจรในท่านั่งเปรียบเทียบกับท่านอน ถ้าความดันช่วงบนในท่านั่งต่ำกว่าท่านอนมากกว่า 10-20 มม.ปรอท และชีพจรในท่านั่งเร็วกว่าท่านอนมากกว่า 15 ครั้ง/นาที ก็แสดงว่าผู้ป่วยมีภาวะใกล้ช็อกเนื่องจากปริมาตรของเลือดลดลง

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงอยู่ก่อน ขณะมีภาวะช็อก ความดันโลหิตอาจพบว่าไม่ต่ำมากนักก็ได้

นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น จุดแดงจ้ำเขียวในโรคไข้กาฬหลังแอ่น ภาวะซีดจากการตกเลือดหรือครรภ์นอกมดลูก หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือได้ยินเสียงฟู่ (murmur) ของหัวใจ อาการแสดงของโรคคุชชิง ในผู้ป่วยที่ช็อกจากภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการค้นหาสาเหตุโดยการตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์คลื่นหัวใจ และตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้น้ำเกลือนอร์มัลหรือริงเกอร์แล็กเทต ให้เลือด ใส่ท่อหายใจ ให้ออกซิเจน เป็นต้น

ในรายที่ให้สารน้ำแล้วความดันโลหิตยังต่ำ แพทย์จะให้สารกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดเลือด เช่น โดบูทามีน (dobutamine) โดพามีน (dopamine) หรือ นอร์เอพิเนฟรีน (norepinephrine)นอกจากนี้จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น

    ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ
    ผ่าตัดผู้ป่วยที่เป็นครรภ์นอกมดลูก
    ให้การรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายแบบฉุกเฉิน เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบัลลูน
    ภาวะช็อกจากต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน ฉีดไฮโดรคอร์ติโซน เข้าหลอดเลือดดำ
    ภาวะช็อกจากอาการแพ้ ฉีดอะดรีนาลิน ไดเฟนไฮดรามีน รานิทิดีน และเมทิลเพร็ดนิโซโลน เข้าหลอดเลือดดำ

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค และระยะของโรคที่เริ่มให้การรักษา ถ้าสามารถให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มในขณะที่มีอาการรุนแรงไม่มาก ก็มักจะได้ผลดีหรือหายเป็นปกติ แต่ถ้าปล่อยให้อวัยวะสำคัญขาดเลือดจนเกิดภาวะล้มเหลว ก็มักจะเสียชีวิต โดยทั่วไปภาวะช็อกที่มีสาเหตุจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะโลหิตเป็นพิษ มักมีอัตราตายค่อนข้างสูง


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น  มีอาการอ่อนเพลีย กระสับกระส่าย เวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ใจหวิวใจสั่น ตัวเย็นและมีเหงื่อออก ริมฝีปากและเล็บเริ่มเขียวคล้ำ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจตื้นและถี่  ควรทำการปฐมพยาบาล และรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นภาวะช็อก ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน  ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน  หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การปฐมพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก

1. ให้ผู้ป่วยนอนราบ ควรยกขาผู้ป่วยขึ้นสูง (ยกเว้นในรายที่หายใจหอบ) ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายโดยการห่มผ้า ให้ออกซิเจน

2. ถ้าผู้ป่วยมีสติอยู่ ควรพูดให้กำลังใจ อาจให้ดมยาดมด้วยก็ได้ 

3. อย่าให้คนมามุงล้อมผู้ป่วย 

4. ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับอาการหมดสติ 

5. ถ้าพบสาเหตุของภาวะช็อก ให้การช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เช่น

    ถ้ามีเลือดออก รีบห้ามเลือดให้หยุด
    ถ้ามีไข้สูง ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น
    ถ้ามีรอยฟกช้ำที่สงสัยกระดูกหัก ให้ตรึงส่วนนั้นไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว

การป้องกัน

การป้องกันภาวะช็อก สามารถทำได้โดย
 

1. การรักษาอาการเจ็บป่วย (เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ท้องเดิน ไข้เลือดออก การบาดเจ็บ) ให้ถูกต้องตั้งแต่แรก

2. มีพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคที่เป็นสาเหตุของภาวะช็อก เช่น โรคหัวใจขาดเลือด การหลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ระวังการแพ้ยา เป็นต้น

ข้อแนะนำ

ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกโดยตรวจหาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน (เช่น ตกเลือด โรคหัวใจ) หรือพบว่ามีไข้สูงร่วมด้วย ควรนึกถึงภาวะติดเชื้อและต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน

สำหรับต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน (ภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ) เป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราว ส่วนน้อยที่เกิดจากโรคแอดดิสัน ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์ รักษาโรคในขนาดสูงนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือใช้ในขนาดต่ำติดต่อกันเป็นแรมเดือนแรมปี ที่พบบ่อยก็คือ การใช้ยาชุด ยาลูกกลอนที่มีสเตียรอยด์ผสมรักษาตัวเองเมื่อเป็นโรคปวดข้อ (เช่น ข้อเข่าเสื่อม) โรคภูมิแพ้หรือโรคหืด จนเกิดโรคคุชชิง และต่อมหมวกไตฝ่อหรือบกพร่องเรื้อรัง

ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะช็อกเมื่อมีการหยุด (ถอน) ยาทันที หรือมีภาวะเครียด เช่น ติดเชื้อ ท้องเดิน อุบัติเหตุ ผ่าตัด อดอาหารเป็นเวลานาน เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน สับสน หมดสติ ความดันโลหิตต่ำ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็อาจเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว หากได้รับสเตียรอยด์ฉีดเข้าร่างกายก็จะฟื้นตัวและหายเป็นปกติได้

ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน หรือให้การรักษาแล้วไม่ดีขึ้น ควรคิดถึงโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีประวัติว่ากินยาสเตียรอยด์ ยาชุด หรือยาลูกกลอนอยู่เป็นประจำ หรือตรวจพบลักษณะอาการของโรคคุชชิง เช่น อ้วนฉุ หน้าอูม แขนขาลีบ มีไขมัน (หนอกควาย) ที่หลังคอ เป็นต้น

25
สินเชื่อเงินสดดอกเบี้ยต่ำ ไม่กด ไม่เสียดอกเบี้ย มีจริงหรือ?

ต้องบอกว่าคนที่ต้องการเงินด่วน ก็ต้องเลือกสินเชื่อเงินสดดอกเบี้ยต่ำในรูปแบบของบัตรกดเงินสดกันใช่มั้ยล่ะคะ เพราะค่อนข้างอนุมัติง่าย เพราะมีวงเงินพร้อมใช้ให้เลย แถมยังกดเงินสดได้ที่ตู้ ATM ทุกแห่ง แต่หลายคนอาจมีคำถามว่า หากเราได้บัตรกดเงินสดนี้มาแล้ว แต่ยังไม่ได้กดใช้ แค่มีไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะต้องจ่ายต้องเบี้ยตั้งแต่วันแรกที่ได้บัตรมาเลยหรือเปล่า ต้องจ่ายทั้งๆ ที่ไม่ได้กดใช้จริงหรือ จริง...ไม่จริง...? วันนี้พาไปทำความเข้าใจกันค่ะ


สินเชื่อเงินสดดอกเบี้ยต่ำ

✅ บัตรกดเงินสด คืออะไร
สินเชื่อในรูปแบบบัตรที่มีวงเงินภายในบัตร ซึ่งสามารถนำบัตรไปกดเงินสดผ่านตู้ ATM ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติในบัตรนั้นได้เลย โดยทั่วไปจะอนุมัติวงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้
 
✅ อัตราดอกเบี้ย/การผ่อนชำระ ของบัตรกดเงินสด
บัตรกดเงินสดจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่นนะคะ แต่ไม่เกิน 25% ต่อปี คิดอดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก และอัตราดอกเบี้ยก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงินอีกด้วย
 
✅ บัตรกดเงินสด ถ้าไม่กดเงิน ก็ไม่เสียดอกเบี้ยจริงหรือ
ข้อนี้ต้องตอบว่า "จริง" หากไม่กดเงินสดออกมาจากบัตรกดเงินสด หนี้ของคุณก็จะไม่เกิด ไม่มีดอกเบี้ย และไม่มีค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น จึงเหมาะมากๆ เลยนะคะ สำหรับเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
 
✅ บัตรกดเงินสดเหมาะกับใคร
บัตรกดเงินสดเหมาะกับคนที่ต้องการมีเงินสำรองไว้เผื่อฉุกเฉิน เพราะสามารถกดเงินผ่านตู้ ATM ที่ร่วมรายการได้ 24 ชั่วโมง
 
✅ คุณสมบัติผู้สมัครบัตรกดเงินสด
มีรายได้ประจำ
สัญชาติไทย
อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
รายได้ขั้นต่ำ 12,000 บาท/เดือน ขึ้นไป

มีอายุงานในสถานที่ทำงานปัจจุบันอย่างน้อย 4 เดือน กรณีเป็นเจ้าของกิจการหรือประกอบธุรกิจส่วนตัว รายได้ขั้นต่ำ 30,000 บาท/เดือน
เป็นเจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวที่มีอายุกิจการตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป และมีรายได้ขั้นต่ำ 30,000 บาทต่อเดือน
มีโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก ที่บ้านหรือที่ทำงาน

ก็ต้องบอกว่าบัตรกดเงินสดอาจไม่ใช่สินเชื่อเงินสดดอกเบี้ยต่ำนะคะ และอาจสูงกว่าสินเชื่ออื่นๆ ด้วย แต่ว่าก็ตอบโจทย์คนที่ต้องการเงินด่วนเงินฉุกเฉินจริงๆ เพราะใช้ง่าย สะดวก และข้อดีที่เห็นได้ชัดเลยก็คือหากเราไม่กดเงินออกมา ก็ไม่เสียดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น

26
การหายใจทางปากของเด็ก สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือจัดฟันเด็ก EF LINE

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่ามีความสำคัญมาก ไม่แพ้กับปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายโดยรวม พ่อแม่ผู้ปกคองควรที่จะหมั่นสังเกตอาการ ถึงแม้ว่าเด็กจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีแล้วก็ตาม แต่การที่เด็กมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการดูดนิ้ว หรือดูดขวดนม รวมไปถึงพฤติการหายใจทางปากด้วย แต่การที่เด็กนอนหายใจทางปาก ถือวาเป็นภาวะที่อันตราย เพราะโดยปกติ เด็กจะหายใจทางจมูกเป็นหลัก เมื่อมีภาวะใดที่หายใจทางจมูกไม่ได้ เด็กจึงต้องอ้าปากหายใจ ดังนั้น ภาวะที่ทำให้หายใจทางจมูกไม่ได้ อาจจะเกิดจากทางเดินหายใจอุดตัน จากน้ำมูกหรือเสมหะ ซึ่งภาวะการหายใจทางปากนั้น ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กด้วย


ซึ่งอาจจะทำให้ ฟันเก ฟันไม่สบกัน โครงหน้าสั้นได้ ซึ่งความผิดปกติของใบหน้านั้น สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE ซึ่งเครื่องมือ EF line สามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4 – 15 ปี โดยเครื่องมือใน EF LINE มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า รวมไปถึง สามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุของเด็ก สำหรับวันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของภาวะหายใจทางปากของเด็ก ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็กด้วยเครื่องมือ EF LINE ซึ่งเป้นการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันสำหรับเด็ก

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาด้วยเรื่องมือ EF LINE เราจะมาพูดถึงตัวเครื่องมือการจัดฟันก่อน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอจจะยังไม่รู้จักตัวเครื่องมือ EF LINE ที่เป็นเครื่องมือการจัดฟันสำหรับการจัดฟันในเด็ก โดย EF LINE นั้น เป็นเครื่องมือการจัดฟันที่มีลักษณะเป็นชิ้นยาง มีไว้เพื่อให้เด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็กสวมใส่ ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของพฤติกรรมต่างๆที่ส่งผลต่อฟัน หากเรามานั่งพูดถึงสาเหตุของการสบฟันที่ผิดปกติในเด็กจำนวนมาก ที่เรามักพบเจอได้บ่อย ส่วนใหญ่จะเกิดจากนิสัยต่างๆ เช่น การดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ หรือ การหายใจทางปากจากปัญหาทางเดินหายใจ อาจจะส่งผลให้ฟันหน้าบนยื่น หรือไม่สบฟันได้ในที่สุด ทันตแพทย์จะมีเครื่องมือรูปแบบต่างๆ ที่ช่วยแก้ไขนิสัยเหล่านี้ให้แก่เด็กได้นั่นเอง สำหรับปัญหาการหายใจทางปาก มักพบเมื่อมีการรบกวนระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ ต่อมทอลซินอักเสบ เป็นต้น มักพบว่าคนที่มีภาวะดังกล่าวจะมีอาการปากแห้งเสมอๆ นอนกรน ผลเสียที่เกิดขึ้นคือ ความสูงของใบหน้าด้านล่างมีค่ามากกว่าปกติ 

การสบฟันหน้าเปิด ขากรรไกรบนแคบกว่าปกติ การแก้ไขต้องพิจารณาสาเหตุที่มีความจำเป็นต้องหายใจทางปากอยู่เพราะความเคยชิน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อใส่เครื่องมือแก้ไข ถ้าเป็นในเด็ก ก็ใช้เครื่องมือ EF LINE ในการแก้ไขปัญหา สำหรับหลักการทำงานของเครื่องมือ EF line โดยปกติแล้วเด็กจะต้องสวมใส่เครื่องมือประมาณ 2 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน และ 10 ชั่วโมง ในเวลาหลับตอนกลางคืน EF line จะทำการบังคับให้ขากรรไกรล่างอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับขากรรไกรบน เป็นผลให้เกิดการปรับตัวของกล้ามเนื้อต่างๆ โดยรอบ สู่สภาวะใหม่ที่สมดุล


ซึ่งก็เป็นผลย้อนกลับไป เป็นการควบคุมตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่เปลี่ยนไปให้สมดุลด้วย เป็นลักษณะเสริมซึ่งกันและกันในตัว  ดังนั้น จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของกระดูกขากรรไกรในทิศทางที่เหมาะสม ช่วยให้มีการปรับตำแหน่งของฟัน โดยมีเหตุมาจากแรงกระทำของกล้ามเนื้อต่าง ๆ โดยรอบได้ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรที่จะสังเกตเวลาที่เด็กสวมใส่เครื่องมือ ควรให้เด็กส่อยู่นิ่งๆ ไม่เคี้ยวเล่น ไม่พูด ปากปิดสนิทเพื่อเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อรอบปาก  ควรดื่มน้ำมากเพิ่มความชุ่มชื้นในปาก หรือถ้าหากมีอาการระคายเคืองบางตำเเหน่ง ใช้ยาทาเเผลในปาก ทาตรงบริเวณที่เจ็บเพื่อบรรเทาอาการได้ วันเเรกๆของการใส่อาจไม่สบายนัก แต่ร่างการจะปรับตัวยอมรับและดีขึ้นเอง

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลีนิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก มีประสบการณ์ด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดีได้อย่างแน่นอน เพราะเราอยากเด็กๆทุกคน เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

27
ข้อควรพิจารณาสำคัญของท่อลมร้อนในการติดตั้งทุกรูปแบบ

การติดตั้งท่อลมร้อน ไม่ว่าจะในโรงงานอุตสาหกรรม อาคารพาณิชย์ หรือแม้แต่ในที่พักอาศัย มีข้อควรพิจารณาสำคัญร่วมกันในทุกรูปแบบ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน นี่คือประเด็นหลักที่ต้องคำนึงถึง:

1. ความปลอดภัยจากอัคคีภัย (Fire Safety)

วัสดุไม่ติดไฟ/หน่วงการลามไฟ: ท่อลมและฉนวนที่ใช้ต้องเป็นวัสดุที่ไม่ติดไฟ (Non-Combustible) หรือมีคุณสมบัติหน่วงการลามไฟ (Flame Retardant) สูง เพื่อป้องกันไม่ให้ท่อกลายเป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นช่องทางให้ไฟลุกลาม
ระยะห่างจากวัสดุติดไฟ (Clearances to Combustibles): ต้องรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยระหว่างท่อลมร้อนกับวัสดุที่ติดไฟได้ เช่น ไม้, ฉนวนทั่วไป, สายไฟ, หรือโครงสร้างอาคาร ตามมาตรฐานที่กำหนด (เช่น NFPA 90A) หากไม่สามารถรักษาระยะห่างได้ ต้องมีมาตรการป้องกันเพิ่มเติม (เช่น การหุ้มฉนวนพิเศษ หรือแผ่นกั้นความร้อน)
แดมเปอร์กันไฟ/ควัน (Fire/Smoke Dampers): เมื่อท่อลมทะลุผ่านผนังหรือพื้นกันไฟ (Fire-Rated Walls/Floors) จำเป็นต้องติดตั้งแดมเปอร์กันไฟและ/หรือควัน เพื่อปิดกั้นการแพร่กระจายของไฟและควันผ่านระบบท่อ


2. ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน (Performance & Energy Efficiency)

การสูญเสียความร้อนต่ำสุด: ต้องมีการหุ้มฉนวนกันความร้อนที่เหมาะสมและเพียงพอ เพื่อลดการสูญเสียความร้อนจากท่อลมร้อนสู่สภาพแวดล้อม ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานและรักษาอุณหภูมิของลมที่ส่ง
การซีลรอยต่อที่สมบูรณ์ (Air Tightness): รอยต่อของท่อต้องถูกซีลอย่างแน่นหนาด้วยวัสดุที่ทนความร้อนสูง เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศร้อน ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลงและสิ้นเปลืองพลังงาน
การออกแบบที่เหมาะสม: ขนาดท่อ, ความเร็วลม, และแรงดันต้องได้รับการออกแบบที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม เพื่อให้สามารถส่งลมร้อนไปยังปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3. ความทนทานและอายุการใช้งาน (Durability & Longevity)

การเลือกวัสดุที่เหมาะสมกับอุณหภูมิ: วัสดุของท่อ (เช่น เหล็กชุบสังกะสี, สเตนเลส) และฉนวน ต้องสามารถทนทานต่ออุณหภูมิการใช้งานสูงสุดของระบบได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร
การจัดการการขยายตัว/หดตัวจากความร้อน (Thermal Expansion): ต้องออกแบบและติดตั้งโดยคำนึงถึงการขยายตัวและหดตัวของท่อเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง อาจต้องใช้ข้อต่อขยายตัว (Expansion Joints) เพื่อป้องกันความเสียหาย
ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม: หากท่อติดตั้งในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง, สารเคมี, หรือการกัดกร่อน ต้องเลือกใช้วัสดุที่ทนทานต่อปัจจัยเหล่านั้น


4. การติดตั้งและโครงสร้างรองรับ (Installation & Support)

โครงสร้างรองรับที่แข็งแรง: ท่อลมร้อนมีน้ำหนักมาก (โดยเฉพาะเมื่อมีฉนวน) และอาจมีการสั่นสะเทือน โครงสร้างแขวนหรือรองรับต้องมีความแข็งแรงเพียงพอและมีการจัดวางตามระยะห่างที่เหมาะสม
มาตรฐานการติดตั้ง: การติดตั้งต้องเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น SMACNA เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพการก่อสร้างและการเชื่อมต่อ
การหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง: ต้องระวังไม่ให้ท่อลมร้อนสัมผัสโดยตรงกับโครงสร้างอาคารหรือวัสดุอื่น ๆ ที่อาจเสียหายจากความร้อน


5. การบำรุงรักษาและการเข้าถึง (Maintenance & Accessibility)

จุดเข้าถึง: ควรออกแบบให้มีจุดเข้าถึง (Access Doors/Panels) สำหรับการตรวจสอบ, การทำความสะอาด (โดยเฉพาะในท่อที่อาจมีการสะสมของฝุ่น), และการบำรุงรักษาอุปกรณ์ภายในท่อ (เช่น แดมเปอร์)
ความปลอดภัยในการบำรุงรักษา: การออกแบบควรคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยของช่างในการเข้าซ่อมบำรุงท่อหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง


6. การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน (Compliance)

รหัสอาคารและข้อกำหนดท้องถิ่น: การออกแบบและการติดตั้งต้องเป็นไปตามรหัสอาคารและกฎหมายความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับอัคคีภัยในพื้นที่นั้นๆ (เช่น ข้อกำหนดจากกรมโยธาธิการและผังเมือง หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน)

การพิจารณาข้อเหล่านี้อย่างรอบด้านตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและวางแผน จะช่วยให้ระบบท่อลมร้อนของคุณมีประสิทธิภาพ, ปลอดภัย, และสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานครับ

28
เมนูอาหารสายยาง สำหรับผู้ป่วยโรคอ้วน

ในปัจจุบันอาหารมีอยู่หลากหลายรูปแบบ หน้าตาน่ารับประทาน เป็นที่น่าสนใจอยู่หลายแบบ และอาหารที่นิยมรับประทานนั้นมักจะมีโทษมากกว่าประโยชน์ จะมีประโยชน์อย่างเดียวนั้นคืออร่อยติดใจทำให้อยากรับประทานอีก ประชาชนชาวไทย ในปัจจุบัน ประสพปัญหาโรคอ้วนลงพุงอยู่มาก เนื่องจากกิจวัตรประจำวันนั้นไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมาอย่างเช่นโรคอ้วนหรือโรคอ้วนลงพุง รอบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเพียงคนที่มีลักษณะอ้วน แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่มีลักษณะทั่วไปหรือผอม แต่จะมีพุง นั่นคือกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีไขมันสะสมที่หน้าท้องและมีรอบเอวขนาดใหญ่


ทั้งยังมีระดับความดันโลหิต ไขมัน และน้ำตาลในเลือดสูง มักเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน และโรคหัวใจได้มากขึ้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยอ้วนลงพุงจะไม่แสดงอาการใด ๆให้รู้ นอกจากมีรอบเอวหรือพุงขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัดเจน แต่จากการสะสมของไขมันในช่องท้องจำนวนมากจะส่งผลให้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายผิดปกติ จนสามารถทำให้ระดับน้ำตาล ไขมันในเลือดสูง และมีภาวะความดันโลหิตสูงได้ เมื่อเกิดภาวะนี้เป็นระยะเวลานาน ผนังหลอดเลือดแดงจะหนาขึ้นจนอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้น้อยลง ผู้ป่วยอ้วนลงพุงมีไขมันสะสมที่หน้าท้องปริมาณมากโดยสังเกตได้ชัด  หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือควบคุมน้ำหนักอาจทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงได้จนกลายเป็นโรคเบาหวานได้ และหากมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและความดันโลหิตสูง อาจทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆได้

การควบคุมอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เพื่อควบคุมการสะสมของไขมันที่หน้าท้อง ทั้งยังช่วยลดระดับความดันโลหิต ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดให้อยู่เกณฑ์ที่เหมาะสมด้วย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน  ซึ่งวันนี้จะมานำเสมอเมนูอาหารปั่นผสมสำหรับผู้ป่วยอ้วนลงพุง ที่สามารถให้พลังงานและสาอาหารที่จำเป็นได้ดี ประกอบด้วย ฟักทอง 50 กรัม ผักเขียว 100 กรัม ผักกาดขาว 100 กรัม ไข่ไก่เอาเฉพาะไข่ขาว 2 ฟอง เนื้อไก่ 100 กรัม กล้วยน้ำหว้า 50 กรัม ที่ความหวานจากกล้วยสามารถให้พลังงานผู้ป่วยได้ นำส่วนผสมทุกอย่างนำไปปรุงให้สุกและปั่นจนเป็นเนื้อละเอียด จากนั้นกรองเอากากใยออกเนื่องจากในรูปแบบอาหารปั่นผสมที่จะสามารถให้ผ่านสายยางให้อาหารนั้น จะต้องอยู่ในรูปแบบของเหลวหนืดเล็กน้อยแต่ไม่หนืดมาก เนื่องจากการไหลผ่านสายยางให้อาหารง่ายขึ้นนั้นก็เป็นอีกหนึ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงเสมอ


การป้องกันภาวะโรคอ้วนลงพุงนั้น ควบคุมยังไม่ยากมากนัก และเป้าหมายของการรักษาภาวะอ้วนลงพุง คือการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนอย่าง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันไนเลือดสูง โรคภาวะแทรกซ้อนทั้งหลายเหล่านี้นั้นเพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว อาหารที่ปราศจากไขมันชนิดที่ไม่ดี หรือแม้แต่การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรมีดัชนีมวลร่างกายอยู่ที่ระหว่าง 18.5-24.9 ซึ่งแสดงถึงรูปร่างที่ไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป ยังรวมไปถึงจัดการกับความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคที่จะตามมาอีกด้วย และยังรวมไปถึงการเลิกสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือภาวะหัวใจขาดเลือดได้


เนื่องจากโรคอ้วนลงพุงเป็นตัวการที่สามารถก่อให้เกิดโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อได้ ทางเรานั้น จึงเล็งเห็นความสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีโรคลงพุง หรือในโรคเรื้อรังชนิดไม่ติดต่อเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่ถูกต้อง อาหารทางสายยางได้มีการพัฒนาสูตรอยู่เสมอเพื่อตอบโจทย์แก่ผู้ป่วยโรคเรื้อรังเหล่านี้เพื่อได้รับสารอาหารที่ถูกต้อง สะอาด และปลอดภัย เราใส่ใจในเรื่องของอาหารสำหรับผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงต่อความต้องการของร่างกาย และให้เหมาะสมกับร่างกายผู้ป่วย เราเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ทั้งยังผลิตด้วยกระบวนการมาตรฐาน ทำให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัยมากที่สุด

29
หมอประจำบ้าน: กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) คือภาวะที่ไตและกรวยไตเกิดการอักเสบ มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามมาจากกระเพาะปัสสาวะหรือทางเดินปัสสาวะส่วนล่างขึ้นไปสู่ไต เป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะโลหิตเป็นพิษ) หรือไตวายได้

ประเภทของกรวยไตอักเสบ:
กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute Pyelonephritis): เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีอาการชัดเจน
กรวยไตอักเสบเรื้อรัง (Chronic Pyelonephritis): เกิดจากการอักเสบเป็นระยะเวลานาน มักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของโครงสร้างทางเดินปัสสาวะ หรือการติดเชื้อซ้ำ ๆ ทำให้เซลล์ไตถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง และอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังได้ในที่สุด

สาเหตุหลักของกรวยไตอักเสบ:
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ E. coli (อีโคไล) ซึ่งมักมาจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่างแล้วลุกลามขึ้นไปสู่ไต สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดกรวยไตอักเสบได้แก่:

การติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะต่อเนื่อง: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด
การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ: เช่น นิ่วในไต, นิ่วในท่อไต, ต่อมลูกหมากโตในผู้ชาย, หรือโครงสร้างทางเดินปัสสาวะที่ผิดปกติ ทำให้ปัสสาวะค้างและเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย
ปัสสาวะไหลย้อนกลับ (Vesicoureteral Reflux - VUR): ภาวะที่ปัสสาวะไหลย้อนจากกระเพาะปัสสาวะกลับขึ้นไปที่ท่อไตและไต ซึ่งพบบ่อยในเด็ก
การใส่สายสวนปัสสาวะ: เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: เช่น ในผู้ป่วยเบาหวาน, ผู้ป่วยที่ทานยากดภูมิคุ้มกัน, หรือผู้ติดเชื้อ HIV
การตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการขยายตัวของมดลูกอาจทำให้ทางเดินปัสสาวะกว้างขึ้นและเกิดการค้างของปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
อาการของกรวยไตอักเสบ:
อาการมักจะเกิดอย่างเฉียบพลันและรุนแรง โดยเฉพาะในกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน:

ไข้สูง หนาวสั่น: มักมีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส และมีอาการหนาวสั่นอย่างรุนแรง
ปวดบริเวณสีข้างหรือบั้นเอว: มีอาการปวดที่ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง มักปวดมากที่หลังส่วนบน บริเวณไต (Flank Pain) และอาจปวดร้าวลงมาที่หน้าท้อง

อาการทางระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง:

ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
ปวดแสบขัดขณะปัสสาวะ
รู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลา หรือปวดเบ่ง
ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นเหม็น หรืออาจมีเลือด/หนองปน
อาการทั่วไป: ปวดศีรษะ, อ่อนเพลีย, คลื่นไส้, อาเจียน, เบื่ออาหาร
ในกรณีของกรวยไตอักเสบเรื้อรัง: บางครั้งอาจไม่มีอาการชัดเจน หรือมีอาการน้อยมาก แต่การอักเสบจะดำเนินไปเรื่อย ๆ ทำให้ไตถูกทำลายและนำไปสู่ไตวายเรื้อรังได้ในที่สุด อาจพบอาการเท้าบวม หรือมีเชื้อแบคทีเรีย/เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะเมื่อตรวจ

การวินิจฉัย:
แพทย์จะทำการวินิจฉัยจาก:

ประวัติทางการแพทย์และอาการ: ซักถามอาการและประวัติสุขภาพ
การตรวจร่างกาย: โดยเฉพาะการเคาะบริเวณบั้นเอวเหนือไต ซึ่งมักจะเจ็บปวด
การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis): ตรวจหาเม็ดเลือดขาว, เม็ดเลือดแดง, แบคทีเรีย, และไนไตรต์ (nitrite) ในปัสสาวะ
การเพาะเชื้อปัสสาวะ (Urine Culture): เพื่อระบุชนิดของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ และทดสอบความไวของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะ (Antimicrobial Susceptibility Test)
การตรวจเลือด: เพื่อดูค่าการอักเสบ เช่น CBC (เม็ดเลือดขาวสูง) และค่าการทำงานของไต (Creatinine, BUN)
การตรวจทางรังสีวิทยา (ในบางกรณี): เช่น อัลตราซาวนด์ (Ultrasound), CT Scan (Computed Tomography) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างทางเดินปัสสาวะ, การอุดตัน, หรือภาวะแทรกซ้อน

การรักษา:
การรักษากรวยไตอักเสบจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเป็นหลัก โดยแพทย์จะเลือกชนิดของยาและระยะเวลาการให้ยาตามความรุนแรงของการติดเชื้อและชนิดของเชื้อแบคทีเรีย

ยาปฏิชีวนะ:
กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน: มักให้ยาปฏิชีวนะในระยะเวลา 7-14 วัน หรือบางกรณีอาจนานกว่านั้น ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำในโรงพยาบาลก่อน แล้วจึงเปลี่ยนเป็นยากินเมื่ออาการดีขึ้น
กรวยไตอักเสบเรื้อรัง: อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในระยะยาวเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
การแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตัน: หากมีนิ่วหรือความผิดปกติของโครงสร้างทางเดินปัสสาวะ แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัด หรือหัตถการอื่นๆ เพื่อแก้ไขการอุดตัน
การดูแลตามอาการ: ให้ยาลดไข้ (เช่น พาราเซตามอล), ยาแก้ปวด, และยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียน


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น:

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีหรือไม่ครบถ้วน กรวยไตอักเสบอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย:

ไตเป็นหนอง/ฝีในไต (Kidney Abscess): เกิดการสะสมของหนองในเนื้อไต

ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis/Urosepsis): เชื้อแบคทีเรียแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อกและอวัยวะล้มเหลวได้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
ไตเสียหายถาวร/โรคไตเรื้อรัง: โดยเฉพาะในกรวยไตอักเสบเรื้อรัง การอักเสบซ้ำๆ ทำให้เนื้อไตถูกทำลาย และนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังในที่สุด
ความดันโลหิตสูง: อาจเป็นผลแทรกซ้อนจากไตที่ทำงานผิดปกติ

การป้องกันกรวยไตอักเสบ:

การป้องกันกรวยไตอักเสบทำได้โดยการป้องกันการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง:

ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยขับเชื้อแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ
ไม่กลั้นปัสสาวะ: ควรรีบไปปัสสาวะทันทีเมื่อรู้สึกปวด เพื่อไม่ให้เชื้อแบคทีเรียเพิ่มจำนวนในกระเพาะปัสสาวะ


รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ:

ในเพศหญิง: หลังขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ ควรเช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียจากทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ
ปัสสาวะทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยชะล้างเชื้อแบคทีเรียที่อาจเข้าสู่ท่อปัสสาวะ
หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง: เช่น สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่มีน้ำหอมหรือสารเคมีรุนแรง
แก้ไขความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ: หากทราบว่ามีความผิดปกติทางโครงสร้าง ควรรักษาแก้ไขตามคำแนะนำของแพทย์
ควบคุมโรคประจำตัว: โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี


การดูแลตนเองเมื่อเป็นกรวยไตอักเสบ:

ไปพบแพทย์ทันที: หากมีอาการสงสัยกรวยไตอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ห้ามหยุดยาเองแม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและการดื้อยา
ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ: ช่วยให้ไตขับเชื้อโรคออกจากร่างกาย
พักผ่อนให้เพียงพอ: เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย: ลดภาระการทำงานของร่างกาย
ประคบร้อน: อาจช่วยบรรเทาอาการปวดบริเวณท้อง หลัง หรือสีข้างได้
ติดตามอาการ: หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแย่ลง ควรรีบกลับไปพบแพทย์

กรวยไตอักเสบเป็นภาวะที่ควรให้ความสำคัญและรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการสงสัย เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

30
motor show 2025: ISUZU เริ่มผลิตรถปิกอัพไฟฟ้า D-MAX EV รุ่นใหม่ในไทย สำหรับประเทศหลักในยุโรป

มร. ชินสุเกะ มินามิ (Mr. Shinsuke Minami) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น (สำนักงานใหญ่เมืองโยโกฮามะ จังหวัดคานางาวะ) ประกาศเริ่มผลิต รถปิกอัพไฟฟ้า อีซูซุ ดีแมคซ์ EV ขนาด 1 ตัน รุ่นแรกของอีซูซุในประเทศไทย
 
รถปิกอัพไฟฟ้า อีซูซุ ดีแมคซ์ EV คันแรกของอีซูซุ ได้จัดโชว์ต่อสาธารณชนในฐานะรถต้นแบบ ในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45 ในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว อีซูซุได้เริ่มการผลิตรถรุ่นพวงมาลัยซ้ายและส่งไปยังประเทศหลัก ๆ ในยุโรป เพื่อจำหน่ายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568

การผลิตรถรุ่นพวงมาลัยขวาของ รถปิกอัพไฟฟ้า อีซูซุ ดีแมคซ์ EV กำหนดจะมีขึ้นช่วงปลายปีนี้ โดยคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในสหราชอาณาจักร ในปี 2569 และจะขยายไปยังประเทศและเขตอื่น ๆ ตามความต้องการของตลาด

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time ซึ่งมี e-Axles ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำงานร่วมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยให้มั่นใจในสมรรถนะอันยอดเยี่ยมบนพื้นที่ทุรกันดาร ระบบนี้ยังให้พลังเร่งแซงสูงแบบคงที่ตามแบบฉบับของรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็ลดเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือน นอกจากนี้ ความสามารถในการลากจูงและน้ำหนักบรรทุกที่สูง จากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลังรวมถึงโครงสร้างและตัวถังที่แข็งแรง ทำให้รถปิกอัพไฟฟ้า อีซูซุ ดีแมคซ์ EV สามารถเทียบเคียงกับสมรรถนะของรุ่นดีเซลที่มีอยู่ปัจจุบันได้

กลุ่มอีซูซุมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านการพัฒนายานยนต์ที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนหลากหลายประเภท ด้วยตระหนักดีว่าลูกค้าผู้ใช้รถปิกอัพมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย รถปิกอัพไฟฟ้า “อีซูซุ ดีแมคซ์ EV” จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้รถทั้งเพื่อการพาณิชย์และส่วนตัว โดยยังคงประสิทธิภาพที่ทนทานตามความคาดหวังของการใช้งานรถปิกอัพ

รายละเอียดผลิตภัณฑ์ อีซูซุ ดีแมคซ์ EV รุ่น 4 ประตู สำหรับตลาดยุโรป
น้ำหนัก
น้ำหนักตัวรถ 2,350 กก.
น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,010 กก.
ความสามารถในการลากจูงสูงสุด 3,500 กก.
มิติ   
ความยาวรวมกันชนหลัง 5,280 มม.
ความกว้างรวม 1,870 มม.
ความสูงรวมราวหลังคา 1,810 มม.
ฐานล้อ 3,125 มม.
ระยะห่างช่วงล้อ (หน้า/หลัง) 1,570 มม.
รัศมีวงเลี้ยวต่ำสุด 6.1 ม.
สมรรถนะ   
ระบบขับเคลื่อน 4x4 แบบ Full Time
กำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์     
แรงบิดสูงสุด 325 นิวตัน-เมตร     
ความเร็วสูงสุดมากกว่า 130 กม./ ชม.
ระยะทางวิ่งต่อชาร์จ 263 กม. (WLTP), 361 กม. (WLTP City mode)
อัตราการสิ้นเปลืองไฟฟ้า (วัตต์ชั่วโมง/กม.) 255 กม. (WLTP)
ประเภทแบตเตอรี่ ลิเธียมไออน
ความจุแบตเตอรี่ 66.9 กิโลวัตต์-ชม.
ระยะเวลาในการชาร์จ   
กระแสสลับ AC    รองรับสูงสุด 11 กิโลวัตต์ ใช้เวลา 10 ชม. (0-100%)
กระแสตรง DC    รองรับสูงสุด 50 กิโลวัตต์ ใช้เวลา 1 ชม. (20-80%)

31
ตรวจอาการด้วยตนเอง: โรคหัดเยอรมัน (Rubella)

โรคหัดเยอรมัน (Rubella) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัส โดยคนส่วนใหญ่จะแสดงอาการเพียงเล็กน้อยหรือบางรายจะไม่แสดงอาการของโรคเลย โรคหัดเยอรมันยังสามารถส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงต่อทารกในครรภ์

โรคหัดเยอรมันและโรคหัดไม่ใช่โรคเดียวกันแต่ว่ามีลักษณะอาการผื่นแดงที่มีความใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นสาเหตุการเกิดโรคหัดเยอรมันนั้นเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆที่แตกต่างจากโรคหัด ในแง่ของความรุนแรงของโรค พบว่าโรคหัดเยอรมันมีความรุนแรงน้อยกว่าโรคหัด

วัคซีน MMR (หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน) เป็นวัคซีนที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิผลในการป้องกันโรคหัดเยอรมัน แต่วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันไม่ได้สามารถหาได้ทุกประเทศ


ลักษณะอาการของโรคหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันเป็นโรคที่มักจะไม่แสดงอาการ และแทบจะไม่ปรากฏอาการโดยเฉพาะกับเด็ก โรคหัดเยอรมันมักมีอาการของโรคปรากฏขึ้นระหว่างสองถึงสามสัปดาห์หลังจากที่ผู้ป่วยมีการสัมผัสกับไวรัส ระยะเวลาของอาการกินระยะเวลามากสุดเป็นเวลาห้าวัน โดยมีอาการดังต่อไปนี้

    ไข้ต่ำประมาณ 38.9 เซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น
    ปวดศีรษะ
    น้ำมูกไหล
    ตาแดงและอักเสบ
    พบว่าต่อมน้ำเหลืองเกิดการโตขึ้น บริเวณที่ต่อมน้ำเหลืองโตจะมีลักษณะพื้นผิวที่นิ่ม และมักจะพบได้ที่บริเวณด้านหลังของกะโหลกศรีษะ หลังคอ หรือด้านหลังหู
    ผื่นสีชมพูจะเริ่มปรากฏที่ใบหน้าและจะเริ่มกระจายไปที่ลำตัว แขนและขา ตามลำดับ
    อาการปวดข้อจะพบได้บ่อยกับวัยรุ่นผู้หญิง


ควรพบแพทย์เมื่อมีอาการอย่างไร

ผู้ป่วยควรทำการนัดพบแพทย์หากคิดว่าตัวคุณหรือบุตรจะได้รับเชื้อหัดเยอรมันหรือมีอาการตามที่กล่าวไว้ด้านบน ผู้ป่วยควรตรวจข้อมูลบันทึกวัคซีนหัดเยอรมัน เพื่อให้แน่ใจว่าเคยได้รับวัคซีน MMR โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกำลังวางแผนตั้งครรภ์ เนื่องจากโรคหัดเยอรมันอาจส่งผลให้เกิดความพิการกับทารกในครรภ์ตั้งแต่เกิด และอาจมีความรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้

อาการของโรคหัดเยอรมันจะเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้นหากมารดาเกิดการติดเชื้อหัดเยอรมันในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ สาเหตุหลักของการเกิดอาการหูหนวกแต่กำเนิด เกิดจากการติดเชื้อไข้หัดเยอรมันในระหว่างการตั้งครรภ์ ดังนั้นการได้รับวัคซีน MMR ก่อนการตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก

หากมีการตั้งครรภ์แพทย์จะทำการสั่งให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจคัดกรองภูมิคุ้มกันต่อโรคหัดเยอรมันอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยควรทำการนัดพบแพทย์ทันทีหากไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนหัดเยอรมันหรือวัคซีน MMR มาก่อน หรือหากคิดว่าอาจมีโอกาสได้รับเชื้อหัดเยอรมัน นอกจากนี้แพทย์จะทำการสั่งให้ผู้ป่วยตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อหาข้อมูลว่าผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัดเยอรมันหรือไม่


สาเหตุของโรคหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันเกิดจากไวรัสที่สามารส่งต่อจากคนสู่คน โดยเชื้อไข้หัดเยอรมันจะมีการแพร่เมื่อผู้ป่วยมีการไอหรือจาม นอกจากนี้โรคหัดเยอรมันยังสามารถแพร่ได้ด้วยการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูกของผู้ป่วย มารดายังสามารถส่งเชื้อหัดเยอรมันไปยังทารกในครรภ์ผ่านทางกระแสเลือดอีกด้วย

ระยะเวลาการแพร่เชื้อของโรคหัดเยอรมันคือประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อนที่จะเกิดผื่น และจะเกิดขึ้นจนถึงประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์หลังจากที่ผื่นหายไป โดยผู้ป่วยสามารถเริ่มแพร่เชื้อไวรัสได้ก่อนที่จะรู้ตัวว่าได้รับเชื้อหัดเยอรมัน

ในปัจจุบันโรคหัดเยอรมันสามารถพบได้น้อย เพราะเด็ก ๆ จะได้รับการฉีดวัคซีน MMR หรือวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันตั้งแต่วัยเยาว์ อย่างไรก็ตามยังสามารถพบไวรัสได้ในบางประเทศ ดังนั้นการได้รับวัคซีนก่อนการเดินทางไปต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากโดยเฉพาะหากคุณกำลังตั้งครรภ์


ภาวะแทรกซ้อนของโรคมีอะไรบ้าง

โรคหัดเยอรมันไม่ใช่โรคที่จะส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่มีความรุนแรง หากผู้ป่วยเคยได้รับเชื้อหัดเยอรมันจะทำให้ร่างกายเกิดภูมิคุ้มกันต่อหัดเยอรมันตลอดชีวิต ผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิงบางรายอาจเกิดอาการข้ออักเสบที่นิ้วข้อมือและเข่า หากได้รับเชื้อหัดเยอรมัน โดยอาการจะกินระยะเวลาหนึ่งเดือน หากเชื้อหัดเยอรมันมีอาการรุนแรงผู้ป่วยจะเกิดอาการติดเชื้อที่หูหรือเกิดอาการของโรคสมองอักเสบได้

ในกรณีที่ผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์ โรคหัดเยอรมันจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเด็กในครรภ์และอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต โรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดมักเกิดขึ้นกับทารกกว่าร้อยละ 80 ของทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมันในระหว่างการตั้งครรภ์ หากทารกเป็นโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดจะส่งผลให้เกิดปัญหาที่ตามมา ดังต่อไปนี้

    การเจริญเติบโตช้าลง
    ต้อกระจก
    หูหนวก
    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด 
    อวัยวะส่วนอื่นๆ พิการ 
    ความบกพร่องทางสติปัญญา 

โรคหัดเยอรมันจะมีอาการที่แสดงความรุนแรงมากที่สุดในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ แต่หากมารดาเกิดการติดเชื้อหัดเยอรมันในระยะหลังของการตั้งครรภ์ก็สามารถแสดงอาการของไข้หัดเยอรมันรุนแรงได้เช่นกัน


การวินิจฉัยโรคหัดเยอรมัน

วิธีวินิจฉัยอาการของโรคหัดเยอรมันแพทย์จะทำการยืนยันว่าผู้ป่วยเป็นโรคหัดเยอรมันหรือไม่ ผ่านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพราะผื่นที่เกิดจากหัดเยอรมันมีลักษณะใกล้เคียงกับผื่นที่เกิดจากภาวะทางการแพทย์อื่นๆ นอกจากนี้แพทย์อาจให้ผู้ป่วยเข้ารับการเพาะเชื้อไวรัสพร้อมกับเข้ารับการตรวจเลือด โดยวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์สามารถตรวจหาแอนติบอดีของหัดเยอรมันที่สามารถพบได้ในเลือด ผลจากการตรวจจะช่วยให้แพทย์เข้าใจว่าผู้ป่วยเคยได้รับการฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน หรือว่ามีประวัติได้รับเชื้อหัดเยอรมัน


การรักษาโรคหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมันไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอาการ เนื่องจากโรคหัดเยอรมันอาการมักจะไม่รุนแรง แต่แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยทำการแยกตัวเองออกจากผู้อื่นในช่วงระยะแพร่เชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกำลังตั้งครรภ์

หากผู้ป่วยกำลังอยู่ในช่วงการตั้งครรภ์ ควรทำการปรึกษากับแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์หากมีการติดเชื้อ แพทย์จะทำการสั่งจ่ายซีรั่มอิมมูโนโกลบูลินให้แก่ผู้ป่วยเพื่อบรรเทาอาการของโรคหัดเยอรมัน ซีรั่มดังกล่าวทำจากแอนติบอดีซึ่งจะทำหน้าที่ทำโจมตีเชื้อหัดเยอรมันในร่างกาย แต่ซีรั่มจะไม่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดกับทารกแรกเกิดได้

แนวทางการรักษาทารกที่เกิดมาพร้อมกับโรคหัดเยอรมันแต่กำเนิดนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละกรณีและขอบเขตการแพร่กระจายของโรค เด็กที่มีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่างจำเป็นต้องได้รับการรักษาหรือควรรับวัคซีนหัดเยอรมันเพื่อป้องกันตั้งแต่แรกเริ่ม


การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตนเองที่บ้าน 

คำแนะนำในการดูแลตนเองเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการ เมื่อเกิดการโรคหัดเยอรมันทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

    การนอนพักบนเตียง
    การใช้ยาแก้ปวด (อย่างเช่น ยา Tylenol) เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวด 


32
รีวิวแท็บเล็ต HUAWEI MatePad Pro 12.6" แท็บเล็ตเรือธง จอใหญ่ สเปคแรง อัดแน่นทุกฟังก์ชัน ในราคา 28,990.-

วันนี้เรามากับ HUAWEI MatePad Pro 12.6 นิ้ว พี่ใหญ่ตระกูลแท็บเล็ตจากหัวเว่ยที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ เมื่อเดือนมิถุนายน 2021 นี้ กับสเปกจัดเต็มจนทึ่ง ด้วยหน้าจอ OLED HUAWEI FullView Display ขนาดใหญ่สุด ๆ ที่ 12.6 นิ้ว ความละเอียด 2K มีระดับความแม่นยำของสีสูง ชิปเซ็ต Kirin 9000E รับประกันความเร็วแรง พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานแท็บเล็ตที่เหนือชั้นในทุกด้านด้วย HarmonyOS รุ่นแรกของทางหัวเว่ย รองรับทั้ง HUAWEI M-Pencil และ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียนรู้ หรือความบันเทิงก็สามารถตอบโจทยได้ครบถ้วนทั้งสิ้น

HUAWEI MatePad Pro 12.6 นิ้ว วางจำหน่ายแล้ว
สี Matte Grey ในราคา 28,990 บาท
สี Olive Green ในราคา 34,990 บาท
พิเศษสุด! เมื่อซื้อสินค้าในช่วง Early Bird รับฟรีทันที HUAWEI Smart Magnetic Keyboard, HUAWEI M-Pencil, HUAWEI Cloud (200GB ระยะเวลา 3 เดือน), HUAWEI VDO (ระยะเวลา 1 เดือน), WPS VIP (ระยะเวลา 3 เดือน) และ FilmoraGo VIP (ระยะเวลา 3 เดือน) มูลค่ารวม 11,517 บาท! สามารถสั่งซื้อเป็นเจ้าของได้ ที่นี่ รวมถึง HUAWEI Store, JD Central, Lazada, Shopee, HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ

เปิดตัวด้วยการเป็นแท็บเล็ตระดับพรีเมียม พร้อมจัดหนักจัดเต็มของแถมขนาดนี้ เท่ากับว่าเราได้เป็นเจ้าของ HUAWEI MatePad Pro 12.6" ในราคาไม่ถึงหนึ่งหมื่นแปดพันบาทเลยทีเดียว มาดูกันต่อเลยดีกว่า ว่าแท็บเล็ตรุ่นใหญ่ตัวนี้น่าสนใจอย่างไร

การเชื่อมต่อ และรายละเอียดสเปคของ HUAWEI MatePad Pro 12.6"
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac รองรับ Wifi-6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot
Bluetooth 5.2, A2DP, LE
GPS, A-GPS, GLONASS, BDS, GALILEO, QZSS
USB Type-C 3.1, USB On-The-Go
หน้าจอ OLED ขนาด 12.6 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 pixels (240 ppi), อัตราส่วน 16:10, DCI-P3, รับการรับรองจาก TUV Rheinland Full Care Display 2.0
HarmonyOS 2.0
Kirin 9000E 5G
CPU Octa-core (1x3.13 GHz Cortex-A77 & 3x2.54 GHz Cortex-A77 & 4x2.05 GHz Cortex-A55)
GPU Mali-G78 MP22
RAM 8GB / ROM 256GB รองรับ Nano Memory สูงสุด 256GB
เซ็นเซอร์ Accelerometer, gyro, proximity, compass
กล้องหน้าความละเอียด 8MP F2.0
กล้องหลัง 3 เลนส์ ความละเอียด 13MP F1.8, (wide), PDAF + 8MP F2.4, (ultrawide) + 3D Sensing Camera
มาพร้อมเลนส์ Zeiss Optics และเทคโนโลยี Pixel Shift
บันทึกวีดีโอความละเอียด 4K 30FPS
ลำโพง harman/kardon 8 ตัว และไมโครโฟน 4 ชุด
แบตเตอรี่ความจุ 10,050 mAh รองรับชาร์จเร็ว Fast charging 40W, Reverse charging 5W, Wireless charging 27W, Wireless reverse charging 10W
วางจำหน่ายในสี Matte Grey
การออกแบบ (Design)

HUAWEI MatePad Pro 12.6" มีให้เลือกด้วยกัน 2 สี ได้แก่ Matte Grey และ Olive Green ซึ่งในตอนนี้วางขายในประเทศไทยเพียงแค่สี Matte Grey เท่านั้น ครั้งแรกที่ได้เห็นตัวเครื่องต้องบอกเลยว่าค่อนข้างตกใจกับขนาดที่ใหญ่เกือบเท่ากระดาษเอสี่ แต่ด้วยความบางเพียง 6.7 มิลลิเมตร ทำให้ไม่รู้สึกถึงความหนาหรือเทอะทะเลยแม้แต่น้อย ด้านหลังตัวเครื่องเป็นสีเทาเข้ม วัสดุทำจากพลาสติกแข็งทนทาน มีผิวสัมผัสด้าน ทั้งยังใช้เทคนิคพิเศษในการออกแบบให้ลดรอยนิ้วมือบนตัวเครื่อง แต่ส่วนตัวใช้แล้วพบว่าแม้ไม่ติดรอยนิ้วมือ แต่ติดคราบไขมันอะไรพวกนี้ค่อนข้างง่ายและเช็ดออกยากมาก ๆ แต่สำหรับใครที่ใส่เคสอยู่แล้ว ตรงนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไหร่ ส่วนตรงกลางด้านหลังพิมพ์โลโก้หัวเว่ย ถัดมาด้านล่างเป็นเครื่องหมายรับรองการจูนเสียงโดย harman/kardon

มุมขวาบนเป็นกล้องหลังที่จัดวางสไตล์คล้ายกับสมาร์ตโฟนของทางหัวเว่ย ซึ่งจะประกอบไปด้วยกล้องหลัง 3 ตัวและแฟลช พร้อมไมโครโฟนกล้องอีกหนึ่งตัวค่ะ

สำหรับหน้าจอ มาพร้อมจอแสดงผล OLED HUAWEI FullView Display ขนาด 12.6 นิ้ว อัตราส่วนภาพ 16:10 ขอบจอที่บางเฉียบเพียง 5.6 มิลลิเมตร ในอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่ 90% ทำให้ได้จอภาพที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตามากค่ะ (ฮ่า) ผนวกกับการซ่อนกล้องหน้าไว้บริเวณกึ่งกลางตรงกรอบหน้าจอด้านบน ทำให้ไม่มีอะไรมารบกวนสายตาระหว่างใช้งานเลย ถือว่าสอบผ่านเรื่องดีไซน์หน้าจอฉลุย

เลื่อนขึ้นไปด้านบนตัวเครื่องพบปุ่มพาวเวอร์ (Power) และลำโพงขนาดใหญ่ 4 ตัวแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ส่วนด้านล่างจะเจอกับพอร์ต USB Type-C และลำโพงขนาดใหญ่อีก 4 ที่เหลือ ตัวแบ่งออกเป็นสองฝั่งเช่นกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกกับแท็บเล็ตที่มีลำโพงสูงสุดถึง 8 ตัวเลยทีเดียว แบ่งเป็นลำโพงความถี่สูง 4 ตัว และลำโพงความถี่ครบทั้ง สูง-กลาง-ต่ำ อีก 4 ตัว

สำหรับด้านข้าง ขวามือจากหน้าจอจะเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และรูไมโครโฟน 3 ตัว ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นช่องถาดสำหรับใส่เมมโมรี่การ์ด 1 ช่อง รองรับความจุดสูงสุดที่ 256GB ซึ่งต้องขอเสริมเล็กน้อย เพราะหลายคนอาจจะสับสนว่านี่เป็นช่องสำหรับใส่ซิมการ์ด เนื่องจาก HUAWEI MatePad Pro 12.6" ที่วางขายในประเทศไทยจะรองรับ Wifi เท่านั้นค่ะ

แม้จะออกตัวไปตั้งแต่ต้นว่า HUAWEI MatePad Pro 12.6" เป็นแท็บเล็ตที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่กลับมีน้ำหนักที่รวมแบตเตอรี่แล้วเพียง 609 กรัม ซึ่งถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตขนาดพอ ๆ กันในท้องตลาด สามารถถือได้ด้วยมือเดียวกับสบาย ๆ พกพาไปไหนมาไหนได้ไม่ยากเลยค่ะ

กล่อง และอุปกรณ์
HUAWEI MatePad Pro 12.6" มาพร้อมกล่องสีขาวขนาดใหญ่ดีไซน์เรียบหรู ปั้มโลโก้แบรนด์, ระบุชื่อ และรุ่นของอุปกรณ์ พร้อมข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลหน่วยความจำ และสีของตัวเครื่อง โดยอุปกรณ์ภายในกล่องจะประกอบไปด้วย
ตัวเครื่องแท็บเล็ต (พร้อมแบตเตอรี่ในตัวเครื่อง)
อะแดปเตอร์รองรับชาร์จไว 40 วัตต์
สายเคเบิล USB Type-C
เข็มจิ้มถาดเมมโมรี่การ์ด
คู่มือการใช้งาน
ใบรับประกัน

อุปกรณ์เสริม (Gadget)
สำหรับอุปกรณ์เสริมที่รองรับสำหรับ HUAWEI MatePad Pro 12.6" โดยเฉพาะ จะประกอบไปด้วย HUAWEI Smart Magnetic Keyboard สี Dark Gray และ HUAWEI M-Pencil (2nd Generation) สี Metallic Silver

HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ออกแบบมาได้บางเฉียบ และมีน้ำหนักน้อยมาก ใช้วัสดุที่ให้เนื้อสัมผัสคล้ายหนัง จับติดมือ เมื่อสวมเข้ากับตัวเครื่องก็หนาขึ้นมาเพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้รู้สึกเทอะทะ ส่วนตัวชื่นชอบการออกแบบแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดของหัวเว่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะสามารถจัดวางระยะห่างแป้นพิมพ์ได้พอดีมือ แถมตัวนี้ยังมากับคีย์คำสั่งลัดบนแป้นพิมพ์ที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น ทั้งคำสั่งเพิ่ม-ลดเสียง, เพิ่ม-ลดความสว่างของหน้าจอ, คำสั่งล็อกหน้าจอ และคำสั่งจับภาพหน้าจอ ซึ่งไม่ต้องตกใจไปนะคะ ตัวที่วางขายมีเวอร์ชันภาษาไทยด้วย
สำหรับ HUAWEI M-Pencil ตัวนี้เป็น 2nd Generation ซึ่งออกแบบได้สวยพรีเมียมและจับถนัดมือมาก ให้สัมผัสเหมือนการจับปากกาจริง ๆ เลย สามารถชาร์จไฟได้ด้วยการวางไว้ด้านบนของตัวเครื่อง (ตามภาพ) แม่เหล็กบนตัวปากกาก็จะยึดเข้ากับแท็บเล็ต แต่ต้องระวังนิดนึงนะคะ เพราะว่าตัวแม่เหล็กไม่ได้ดูดแน่นมาก แนะนำว่าถ้าจะถือไปข้างนอกให้เก็บปากกาไว้ในกระเป๋าจะดีกว่าค่ะ

หน้าจอ และอินเตอร์เฟส
HUAWEI MatePad Pro 12.6" หน้าจอ OLED HUAWEI FullView Display ขนาด 12.6 นิ้ว ความละเอียดสูง 2K QHD ที่มีระดับความแม่นยำของสีสูง ด้วยช่วงสี DCI-P3 ที่กว้าง และความคอนทราสต์ที่มากถึง 1,000,000:1 ทำให้สามารถแสดงสีที่ชัดเจนและสมจริงยิ่งขึ้น โดยมีระดับความแม่นยำของสีที่ AE < 0.5 ซึ่งเป็นระดับความแม่นยำที่ให้ในจอภาพระดับโปร บอกเลยว่าถูกใจและตอบโจทย์งานสายกราฟิกดีไซน์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีโซลูชันฮาร์ดแวร์กรองแสงสีฟ้าที่ช่วยลดค่าแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ซึ่งถือว่าเป็นแท็บเล็ตเครื่องแรกของโลกได้รับการรับรองจาก TUV Rheinland Full Care Display 2.0 ช่วยลดอาการล้าของดวงตาได้อีกด้วย
มาพูดถึงระบบปฏิบัติการกันบ้าง HUAWEI MatePad Pro 12.6" เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของทางหัวเว่ยที่ทำงานบน HarmonyOS (2.0) ซึ่งหน้าตาสวยงาม สะอาด สบายตาสุด ๆ มีโหมดถนอมสายตาให้เลือกได้ตามการใช้งานเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Dark mode (โหมดกลางคืน), Eye Comfort (โหมดสบายตา) และ eBook mode (โหมดอ่านหนังสือ)

นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนหน้าตาของโฮมสกรีนได้อิสระมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสว่างของแสง, โทนสีของหน้าจอ, รูปแบบและขนาดของตัวหนังสือ, ธีมและรูปแบบของไอคอน รวมไปถึงการจัดเรียงไอคอนตามหมวดหมู่อีกด้วย ความพิเศษยังไม่หมดแค่นี้ เมื่อเจ้าOSตัวใหม่ยังมาพร้อมกับวิดเจ็ตให้เราสามารถตกแต่งหรือตั้งค่าหน้าจอใช้งานได้สนุกยิ่งขึ้น โดยวิธีใช้งานให้เราวางนิ้วบนหน้าจอโฮมสกรีนแล้วรวบนิ้วมาไว้ยังจุดกึ่งกลาง เมนูตั้งค่าก็จะแสดงขึ้นให้เราทันทีค่ะ

ขอพูดถึงหน้าตาอินเตอร์เฟสกันต่ออีกสักนิดค่ะ โดยส่วนตัวชื่นชอบ Desktop mode (โหมดเดกส์ท็อป) ของทางหัวเว่ยมาก ซึ่งเป็นโหมดที่จะแปลงร่างแท็บเล็ตของเราให้มีหน้าตาเหมือนกับคอมพิวเตอร์ แต่ใน HarmonyOS ที่ให้มันนั้นได้ตัดเอาโหมดดังกล่าวนี้ออกไป เพราะว่าตัวมันเองคือ Harmony Desktop ที่ถูกออกแบบให้เอื้อต่อการใช้งานในหลากหลายรูปแบบอยู่แล้ว โดยเราสามารถเลือกแอปพลิเคชันที่ใช้บ่อยมาไว้ยังแถบด้านล่าง (ตามรูป) โดยถัดไปขวามือจะเป็นแอปพลิเคชันล่าสุดที่เราเปิด ซึ่งนอกจากนี้ยังสามารถลากนิ้วจากขอบจอเพื่อเปิดแถบด่วนให้เราเลือกแอปพลิเคชันสำหรับใช้งานสองหน้าต่างได้ทันที

เมื่อพูดถึงการทำงานหลายหน้าต่าง หรือฟีเจอร์ Multi-Window เจ้า HUAWEI MatePad Pro 12.6" ก็สามารถไปไกลได้ถึงความสามารถในการเปิดใช้งานหน้าต่างได้สูงสุดถึง 4 แอปพลิเคชัน 4 หน้าต่าง (เต็มจอ 2 แอปฯ หน้าต่างลอย 2 แอปฯ) จากการทดลองใช้งานดูแล้ว สามารถสลับใช้งานได้โดยไม่มีปัญหาติดขัดเลยสักหน้าต่างค่ะ ถือว่าทำได้ดีเยี่ยมมาก ๆ และนอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกให้ด้วยการเก็บหน้าต่างลอยในแท็บเมนูด้านข้างได้มากถึง 10 หน้าต่างเลยทีเดียว

จุดเด่นอีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของหัวเว่ย คือฟีเจอร์ App-Multiplier ที่หนึ่งแอปพลิเคชันสามารถเปิดได้สองหน้าต่าง เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่สร้างความสะดวกได้อย่างมหาศาล คือเราสามารถกดดูข้อมูลที่อยู่อีกหน้าต่างได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนกลับไปมาให้เสียเวลาหรือสับสนเลย โดยแอปพลิเคชันที่ซัพพอร์ตฟีเจอร์ตัวนี้มีถึง 4000+ แอปฯ เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Pantip, Lazada, JD Central, Line TV, SE-ED, BBTV CH7, Joox Music, WeChat, Bugaboo.TV, Rabbit Rewards, The 1 และ 3BB เป็นต้น

ฟีเจอร์เด่น HUAWEI Multi-screen Collaboration with Laptop
HUAWEI Multi-screen Collaboration with Laptop คือ ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้เราสามารถผสานการทำงานระหว่างแท็บเล็ตกับแล็ปท็อปเข้าด้วยกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ เราสามารถเปลี่ยนแท็บเล็ตให้เป็นหน้าจอแยกสำหรับใช้งานแล็ปท็อปได้อีกหนึ่งจอนั่นเอง

โดยวิธีการเชื่อมต่อ ให้เราไปที่โปรแกรม PC Manager บนแล็ปท็อป เลือกที่ Tablet แล้วกด Connect (เชื่อมต่อ) จากนั้นโปรแกรมก็จะให้เราใส่รหัส ซึ่งรหัสนี้จะแสดงบนหน้าจอแท็บเล็ตที่เราต้องการจะเชื่อมต่อ เมื่อกรอกเรียบร้อยแล้วให้กด OK (ตกลง) ได้เลย

ความเก่งของเจ้าฟีเจอร์นี้ คือมีให้เลือกใช้งานด้วยกันทั้งหมด 3 โหมด คือ Mirror Mode หรือจอเสมือนที่เราสามารถควบคุมคำสั่งต่าง ๆ บนแล็ปท็อปผ่านแท็บเล็ตได้ง่าย ๆ Extend Mode หรือจอแยก เปลี่ยนแท็บเล็ตให้เป็นจอภาพสำหรับขยายการทำงานสองจอ หรือใช้เป็น Presentation ก็ได้ และ Collaboration Mode ที่ช่วยให้เราโยกย้ายข้อมูลไฟล์ต่าง ๆ ระหว่างแท็บเล็ตและแล็ปท็อปได้ง่ายดาย ซึ่งถ้าเราใช่งานร่วมกับปากกา HUAWEI M-Pencil ก็สามารถแก้ไขไฟล์ด้วยปากกาผ่านแท็บเล็ตได้เลยทันที
หลังจากที่ได้ทดลองใช้งานฟีเจอร์นี้ ต้องชื่นชมเลยว่าทางหัวเว่ยสามารถทำ Eco System ของตัวเองได้เสถียรและใช้งานได้แบบไร้รอยต่อจริง ๆ ถือเป็นจุดแข็งหนึ่งที่น่าพิจารณาซื้อเลยค่ะ


และสำหรับใครที่มีสมาร์ตโฟนหัวเว่ยอยู่ในมือ สามารถใช้งานในฟีเจอร์ HUAWEI Share เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานได้ ด้วยการแชร์หน้าจอสมาร์ตโฟนไปบนแท็บเล็ต จะโยนไฟล์ไปมาระหว่างดีไวซ์หรือการใช้ปากกาในการจดบันทึก ตอบข้อความระหว่างแอปฯ ก็สามารถทำได้บนแท็บเล็ตที่เดียวเลยได้แบบครบวงจร

ประสิทธิภาพ และการใช้งาน (Performance)
HUAWEI MatePad Pro 12.6" มาพร้อมขุมพลัง Kirin 9000E ขนาด 5 นาโนเมตร ซึ่งให้ความเร็วแรงพอสมควรเลยค่ะ สามารถใช้งานฟีเจอร์และแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ลื่นไหล พร้อมด้วย GPU Mali-G78 MP22 สำหรับการแสดงผลกราฟิกที่ดีขึ้น สามารถเล่นเกมด้วยกราฟิกคุณภาพสูงหรือชมคลิปที่มีความละเอียดได้สบาย ๆ ไม่ติดขัด สำหรับระบบความปลอดภัย HUAWEI MatePad Pro 12.6" รองรับการปลดล็อคด้วยการแสกนใบหน้า และการปลดล็อคแบบอัจฉริยะด้วยการเชื่อมต่อไอดีของเรากับอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อปลดล็อค และตามที่ได้บอกไว้ในตอนต้นว่าตัวเครื่องที่วางขายในประเทศไทยจะไม่รองรับการใส่ซิมการ์ด แต่ให้การรองรับ Wifi-6 ค่ะ โดยเจ้า HUAWEI MatePad Pro 12.6" ได้คะแนนทดสอบผลออกมาดังนึ้
คะแนนทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน
ทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu Benchmark ทำไปได้ 703,100 คะแนน
ทดสอบ MultiTouch รองรับ 10 จุด
ทดสอบด้วยแอปพลิเคชัน AndroBench ทำความเร็ว Storage ในการอ่านอยู่ที่ 2030.23 MB/s และการเขียน 1549.14 MB/s (UFS 2.1) ทำความเร็ว RAM ในการอ่านอยู่ที่ 318.61 MB/s และการเขียน 379.72 MB/s (LPDDR4X)
รองรับ DRM L1 สามารถรับชม Netflix FHD
ทดสอบการจับสัญญาณ GPS ภาคพื้นดินด้วยแอปพลิเคชัน GPS Tester พบว่าจับสัญญาณได้ 28 ดวงจาก 55 ดวง
ต้องบอกเลยว่าเป็นคะแนนโดยรวมที่ทำได้ดีมากเลยทีเดียวค่ะสำหรับแท็บเล็ต

แอปพลิเคชั่น และการดาวน์โหลด
เดาว่าหลายคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าผลิตภัณฑ์ของทางหัวเว่ยในปัจจุบันไม่มีการรองรับ Google Mobile Service (GMS) จากทาง Google ซึ่งทางเราก็ได้บอกเสมอว่าจุดนี้เป็นเพียงข้อพิจารณาเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะทางหัวเว่ยได้พัฒนา AppGallery ขึ้นมาให้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในนาม Huawei Mobile Service (HMS) ซึ่งตอนนี้มีการอัปเดตแอปพลิเคชันหลัก ๆ ที่ใช้งานกันเป็นส่วนใหญ่ให้สามารถดาวน์โหลดกันได้เกือบทั้งหมดแล้ว และทางหัวเว่ยยืนยันว่าจะยังมีการอัปเดตต่อไปอีกเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันอื่น ๆ ขึ้นมาทดแทนในส่วนของการทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น WPS Office, Petal Search สำหรับการค้นหา และ Petal Map สำหรับการนำทาง ทำให้การใช้งานในเรื่องของแอปพลิเคชันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการใช้งานแท็บเล็ตเลยแม้แต่น้อยค่ะ

สำหรับ Petal Search ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับการค้นหา (ซึ่งแน่นอนว่ามาแทนที่ Google Search) แต่ความดีงามของมันคือนอกจากจะสามารถค้นหาทั่วไปได้แล้ว ยังสามารถค้นหาแอปพลิเคชันต่าง ๆ ไม่ว่าจะมีรองรับอยู่ใน AppGallery หรือรองรับจากแหล่งดาวน์โหลดอื่น ๆ ให้เราสามารถเสิร์ชหาแอปฯที่ต้องการจะติดตั้งได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเสียเวลาเข้าเบราว์เซอร์ด้วยตัวเอง เรียกว่าหัวเว่ยพัฒนาฟีเจอร์มาได้แก้ปัญหาของผู้ใช้งานได้ตรงจุดสุด ๆ เลยค่ะ

การใช้งาน HUAWEI M-Pencil และ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ส่วนตัวชื่นชอบ คือการใช้งาน HUAWEI M-Pencil และ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ร่วมกับแท็บเล็ต ที่่ช่วยให้เรายืดหยุ่นการทำงานได้หลากหลายมากขึ้น สามารถใช้งานแท็บเล็ตได้แบบเต็มประสิทธิภาพครบฟังก์ชัน ซึ่งการทำงานของปากกาและคีย์บอร์ดในเบื้องต้น สามารถทำงานได้เสถียร เชื่อมต่อง่าย ยังไม่เจอจุดไหนที่ติดขัดค่ะ
HUAWEI M-Pencil (2nd generation) สำหรับตัวนี้เป็นปากการุ่นสอง ที่เพิ่มเซนเซอร์ความแม่นยำในการเขียน และมีความหน่วงน้อยลง รองรับแรงกดได้ที่ 4,096 ระดับ ให้การเขียนที่ลื่นไหลและสัมผัสเหมือนการจับปากกาเขียนบนกระดาษจริง ๆ ค่ะ HUAWEI M-Pencil ตัวนี้ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการช่วยปรับรูปทรงเลขาคณิตและตารางจากการวาดลายมือแบบฟรีสไตล์ให้โดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับสายกราฟฟิกและวาดรูปที่ต้องการตัวช่วยสำหรับสร้างสรรค์ผลงาน

และฟีเจอร์ Double-tap ที่เมื่อเราใช้นิ้วเคาะตรงหัวปากกาที่จับอยู่สองที อุปกรณ์ก็จะสลับการใช้งานเครื่องมือให้เราง่าย ๆ ทันที เช่น สลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์ปัจจุบันและอุปกรณ์ก่อนหน้านี้ หรือเปลี่ยนชุดสีต่าง ๆ จากการทดลองใช้งานจดโน้ต พบว่าใช้งานได้สะดวกมาก ถือว่าเป็นฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยย่นเวลาการทำงานได้อย่างเหลือเชื่อเลยค่ะ
อีกหนึ่งฟังก์ชันที่มากับปากกา คือ HUAWEI FreeScript ที่ช่วยเปลี่ยนลายมือให้เป็นตัวพิมพ์ เพียงแค่เราเขียนคำที่ต้องการบนช่องค้นหา หรือช่องตอบข้อความ ลายมือก็จะถูกเปลี่ยนให้เป็นตัวพิมพ์แบบอัตโนมัติ ซึ่งให้ความแม่นยำได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว ตอนนี้รองรับการใช้งานในช่องการค้นหาผ่านเบราว์เซอร์ หรือการจดบันทึกในแอปฐ HUAWEI Notepad, WeNote แอปพลิเคชันสนทนายอดนิยมอย่าง Line และ Facebook Messenger

HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ถูกออกแบบให้มีระยะห่างระหว่างตัวอักษรอยู่ที่ 1.3 มิลลิเมตร ให้สัมผัสที่ได้เหมือนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์พีซีทั่วไป ทำให้เวลาพิมพ์รู้สึกว่าพอดีมือมาก และที่สำคัญ มีขนาดที่บางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 350 กรัมเท่านั้น คีย์บอร์ดใช้แม่เหล็กในการยึดกับตัวเครื่อง สามารถสวมหรือถอดออกได้ง่ายและรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เราพบปัญหาที่ผู้ใช้งานคีย์บอร์ดหัวเว่ยมักพบ นั่นคือการพิมพ์ตัวอักษร ข และ ช ไม่ได้ ซึ่งทางเราก็ได้หา Tips เล็ก ๆ มาเป็นทางแก้ให้ไว้เรียบร้อยแล้วในบทความรีวิว HUAWEI MatePad 10.4" ค่ะ

สำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมทั้งสอง ส่วนตัวประทับใจมาก ๆ มองว่าเป็นการเสริมแรงกันและกัน ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงความสะดวกในการพกพา และฟังก์ชัน/ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สามารถใช้งานได้จริง ทำให้ HUAWEI MatePad Pro 12.6" กลายเป็นแท็บเล็ตที่สามารถใช้ทำงานหนัก ๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบ ให้เรายกงานไปทำที่ไหนก็ได้ เพียงแค่กางออกมาวางบนตักก็สามารถทำงานต่อได้แล้ว สะดวก ง่าย และเก่งมาก ๆ

การเล่นเกม
ด้วยชิปเซ็ต Kirin 9000E ขนาด 5 นาโนเมตร ทำให้เจ้า HUAWEI MatePad Pro 12.6" สามารถเล่นเกมหนัก ๆ ได้ลื่นไหล ไม่มีปัญหาเลยค่ะ จากการทดสอบด้วย PUBG Mobile ปรับกราฟฟิกสูงสุดได้ระดับ HDR HD เฟรมเรตที่ Ultra ลงสนามไปวิ่งก็ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ได้พ่วงมาคือเสียงรอบทิศทางจากลำโพง 8 ตัว ทำให้เล่นเกมได้สนุกมากยิ่งขึ้น เสียงวิ่ง เสียงฝีเท้าทางทิศทางไหน ได้ยินหมดเลย ถือเป็นแท็บเล็ตตัวหนึ่งที่ถือว่าทำได้ดีในเรื่องของเกมเลยทีเดียว

การรับชมความบันเทิง
สายดูคลิปวิดีโอ สายดูหนัง-ซีรีส์ต้องชอบ HUAWEI MatePad Pro 12.6" แน่นอนค่ะ ด้วยหน้าจอที่ใหญ่มากและสัดส่วนที่พอดีกับกรอบวิดีโอ ทำให้เหลือขอบจอบน-ล่างเพียงเล็กน้อย เวลารับชมความบันเทิงก็สามารถดูได้อย่างเต็มจอเต็มตา ผนวกกับความละเอียดหน้าจอสูง 2560 x 1600 พิกเซล ทำให้สามารถรับชมภาพแบบ 2K QHD คมกริบได้สบาย ๆ และยังให้สีสันที่สวยสดใสอีกด้วย
และที่สำคัญคืออรรถรสทางเสียงที่ได้จากลำโพงทั้ง 8 ตัวรอบตัวเครื่องที่ได้รับการจูนเสียงจาก harman/kardon ให้เสียงกระหึ่มรอบทิศทาง ดังมากขึ้นถึง 79dB และให้ความถี่ของเสียงกว้างขึ้น สมจริงขึ้น ได้ความรู้สึกเดียวกับการนั่งดูหนังในโรงภาพยนตร์เลยทีเดียว ถือว่าได้คะแนนเต็มสิบเรื่องอรรถรสในการชมคอนเทนต์

กล้องถ่ายรูป
HUAWEI MatePad Pro 12.6" ให้กล้องหลังมาถึง 3 เลนส์ ความละเอียด 13MP รูรับแสง F1.8, เลนส์ Ultra-wide 8MP รูรับแสง F2.4 พร้อมเซ็นเซอร์ 3D Depth รองรับการใช้งานด้าน AR สามารถบันทึกวีดีโอความละเอียด 4K 30FPS พร้อมโหมดถ่ายภาพที่ครอบคลุมการใช้งานเกือบทุกมิติ กล้องหน้าความละเอียด 8MP รูรับแสง F2.0 พร้อมโหมดบิวตี้ที่ให้ผลลัพธ์เซลฟี่เนียนสวยเป็นเอกลักษณ์ของหัวเว่ย ถือว่าคุณภาพกล้องเทียบเท่ากับสมาร์ตโฟนระดับกลางเลยทีเดียว ซึ่งน้อยมากที่แท็บเล็ตจะให้ความสำคัญกับกล้องขนาดนี้ ซึ่งภาพที่ได้มีความคมชัดและทำการเบลอขอบได้เนียน ถึงแม้สีสันจะไม่ได้สดใสมาก แต่ทำออกมาได้ดีเลยค่ะ
สำหรับหน้าอินเตอร์เฟสของกล้องจะประกอบไปด้วย
โหมดออโต้
โหมดรูรับแสง
โหมดกลางคืน
โหมดภาพถ่ายบุคคล
โหมดถ่ายวิดีโอ
ส่วนเมนู เพิ่มเติม จะประกอบไปด้วย โหมดถ่ายเอกสาร, โหมดจับเวลา (หน่วงเวลา), โหมดภาพขาวดำ, โหมดโปร (Pro), โหลดสโลว์-โมชัน (Slow-motion) และพาโนรามา เป็นต้น

การใช้พลังงานแบตเตอรี่
HUAWEI MatePad Pro 12.6" ให้แบตเตอรี่มาที่ความจุ 10,050 mAh ซึ่งถือว่าใหญ่มากเลยทีเดียว และยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีประหยัดพลังงานจากชิปเซ็ต ผนวกกับการทำงานของระบบปฏิบัติการตัวล่าสุด ทำให้เป็นแท็บเล็ตที่บริหารศัพยากรแบตเตอรี่ได้ดีมากตัวหนึ่งเลย ด้วยหน้าจอแสดงผลที่ค่อนข้างใหญ่ทำให้แบตไม่ได้อึดมาก แต่ก็ไม่ได้ไหลลดลงเร็วจนรับไม่ได้ จากการทดลองใช้ทำงานในหนึ่งวัน เล่นเกมบ้าง ดูวิดีโอบ้าง พบว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้เต็มวันแบบสบาย ๆ ถือว่าสอบผ่านค่ะ

ทั้งนี้ HUAWEI MatePad Pro 12.6" ยังรองรับการชาร์จเร็วที่ 40 วัตต์ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนิด ๆ ในการชาร์จให้เต็มเครื่อง รองรับการชาร์จไร้สายที่ 27 วัตต์ และเป็นหนึ่งในแท็บเล็ตไม่กี่ตัวที่รองรับการเป็นแบตเตอรี่สำรองไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ (Reverse Wireless Charge) อีกด้วย ซึ่งจะอยู่ที่ 10 วัตต์ค่ะ

บทสรุป
HUAWEI MatePad Pro 12.6" เป็นแท็บเล็ตเรือธงที่ให้ฟีเจอร์มาครบในทุกด้านจริง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องหน้าจอ ชิปเซ็ต คุณภาพเสียง กล้อง และฟีเจอร์การใช้งานต่าง ๆ รวมไปถึงอุปกรณ์เสริมที่เข้ามาขยายกรอบการใช้งานให้กว้างและหลากหลายขึ้น ซึ่งทุกองค์ประกอบสามารถทำงานได้อยู่ในระดับที่ดี ความได้เปรียบของหัวเว่ยคือการที่อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ให้การใช้งานผ่านหลายดีไวซ์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก เสริมแรงด้วย M-Pencil และ Smart Keyboard ลดข้อจำกัดของการทำงานบนแท็บเล็ตลงไปได้มาก ในส่วนของราคามองว่าอาจจะแรงไปสักหน่อย แต่สำหรับใครที่มองหาแท็บเล็ตดี ๆ สักเครื่องไว้ใช้งานหรือพกพาไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ว่าจะทำงาน เรียนรู้ หรือเพื่อความบันเทิง หากตัดสินใจซื้อในช่วงโปรโมชัน Early Bird นี้ มองว่าเป็นอะไรที่คุ้มมาก ๆ เลยค่ะกับสิ่งที่จะได้กลับมา

33
จัดฟันบางนา: จัดฟันให้เรียงสวย ต้องทำอย่างไร ?

เชื่อว่าทุกท่านน่าจะรู้จักกับการรักษาทางทันตกรรมที่เรียกว่า “การจัดฟัน” กันไม่มากก็น้อย ซึ่งการจัดฟันนี้จะช่วยทำให้ฟันที่เรียงตัวผิดปกติกลับมาเรียงตัวสวยงามได้ โดยการใช้กระบวนการติดตั้งเครื่องมือจัดฟันซึ่งมีหน้าที่ทำให้เกิดแรงกดลงไปที่ฟัน เพื่อทำให้ฟันเคลื่อนย้ายไปตามที่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมองแล้วว่าดีและสวยงาม โดยฟันของท่านจะค่อยๆขยับอย่างเป็นระเบียบจนกระทั่งเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ซึ่งอาจจะต้องใช้ระยะเวลาตามแต่ละบุคคล

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับข้อปฏิบัติต่างๆที่ควรคำนึงถึงในขณะที่ท่านจัดฟัน เพื่อให้ฟันเรียงตัวสวยงามตามที่ท่านได้ตั้งใจไว้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดฟัน เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ?

1.    ช่วงวัยที่เหมาะสมในการจัดฟัน

ต้องขอบอกก่อนเลยไม่ว่าท่านจะมีอายุเท่าไหร่ก็ตามสามารถทำการรักษาโดยวิธีการจัดฟันได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งมีข้อจำกัดในความสำเร็จและประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ได้ต่างกันอย่างชัดเจน

โดยส่วนใหญ่เมื่อในยุคสมัยก่อนนั้นทันตแพทย์มักจะแนะนำว่าการจัดฟันที่ดีที่สุดควรมีอายุประมาณ 7 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่กระดูกขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต ทำให้การจัดฟันจะได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด เนื่องจากในช่วงวัยนี้ กระดูกขากรรไกรและฟัน จะสามารถเคลื่อนตัวได้ง่ายกว่าในช่วงวัยที่หยุดการเจริญเติบโตแล้ว

แต่ถ้าหากว่าเลยช่วงวัยนี้ไปแล้ว อีกช่วงอายุที่ทันตแพทย์จะแนะนำในการจัดฟันก็คือ อายุประมาณ 12 – 13 ปี เนื่องจากว่าเป็นช่วงอายุที่มีฟันแท้ครบสมบูรณ์ และสามารถให้จัดฟันบนฟันแท้ทั้งหมดได้แล้ว แต่ถ้าหากว่าเลยช่วงอายุที่กล่าวไว้ไปแล้ว ก็สามารถทำการจัดฟันได้ไม่มีข้อห้าม แต่ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ก็อาจจะลดน้อยลงไปด้วยนั่นเอง


2.    ควรจัดฟันตามกำหนดเวลา

การจัดฟันนั้นไม่ใช่ว่าเพียงแค่ใส่อุปกรณ์จัดฟันแล้วจะเสร็จสิ้นกระบวนการ แต่จริงๆแล้วเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วในช่วงที่ใส่อุปกรณ์จัดฟันในช่วงแรกๆ ทันตแพทย์จะทำการนัดหมายผู้ที่ทำการจัดฟันให้มาพบทุกๆเดือน เนื่องจากว่าทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำเป็นที่จะต้องค่อยๆปรับหรือดึงอุปกรณ์จัดฟันให้รัดมากขึ้นเพื่อเป็นการปรับการเรียงตัวในทุกครั้งที่นัดหมาย

ต้องขอบอกเลยว่านัดหมายของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละครั้งนั้นจำเป็นและสำคัญมากๆกับผลลัพธ์ที่จะออกมาหลังจากการจัดฟัน ซึ่งการไปพบทันตแพทย์ในแต่ละครั้ง ทันตแพทย์จะทำการกำหนดทิศทางการเรียงตัวของฟันได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ระยะเวลาจัดฟันของแต่ละคนไม่มีทางเท่ากัน โดยขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพฟันและช่องปากของแต่ละคน รวมถึงระเบียบวินัยของผู้เข้ารับการจัดฟันที่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ก็จะสามารถทำให้การจัดฟันเห็นผลลัพธ์ที่ดีเป็นอย่างมาก


3.    ใส่รีเทนเนอร์ให้ถูกต้อง ?

หลังจากที่ทำกัดจัดฟันเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะทำการถอดอุปกรณ์ที่ทำการจัดฟันออกทั้งหมด แต่ฟันที่พึ่งเข้ารูปจะยังไม่มีความแข็งแรง และเมื่อทำการถอดอุปกรณ์การยึดบีบออกด้วยแล้ว มีโอกาสสูงมากที่จะทำให้ฟันที่มีความอ่อนแอและไม่มีที่ยึดติดสามารถล้มและกลับสู่สภาพก่อนที่จะทำการจัดฟันได้ ผู้ที่ถอดอุปกรณ์จัดฟันใหม่ๆจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องใส่รีเทนเนอร์ หรือ อุปกรณ์คงรูปตำแหน่งฟันให้เป็นระเบียบ โดยรีเทนเนอร์นั้นจะมี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ รีเทนเนอร์แบบถอดได้ และ รีเทนเนอร์แบบยึดติดกับฟัน

ซึ่งระยะเวลาในการใส่รีเทนเนอร์ของแต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยวิเคราะห์ของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นที่ถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่คือ ฟันกลับไปเรียงตัวไม่เป็นระเบียบแบบเดิม ซึ่งถือได้ว่าเป็นความล้มเหลวในการจัดฟัน มักเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้จัดฟันไม่ทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่จะเกิดในขณะที่นำอุปกรณ์จัดฟันออกไปแล้ว และใส่รีเทนเนอร์ไม่สม่ำเสมอ ผลสุดท้ายต้องแก้ไขโดยการเริ่มจัดฟันใหม่ทั้งหมดนั่นเอง

34
บิ๊กไบค์ ยามาฮ่า Yamaha YZF R9 ปี 2025
N/A

ยามาฮ่า Yamaha YZF R9 ปี 2025
ยามาฮ่า R9 ซูเปอร์สปอร์ตไบค์สายพันธ์ใหม่ล่าสุด ไลน์อัพใหม่ของ R-series ให้ความสนุกเร้าใจได้ทั้งบนถนนและแทร็คสนามแข่ง ด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์ CP3 ที่คุ้นเคยกันดีจากในหลากหลายรุ่นของยามาฮ่า เมื่อติดตั้งบนแชสซีส์ซูเปอร์สปอร์ตระดับนี้ พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดมากมาย

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์               Yamaha
   รุ่น                    ยามาฮ่า Yamaha YZF R9 ปี 2025
   ประเภทรถ           Sport Bigbike, Sport Bike
   ปีที่เปิดตัว            2025
   ราคา                 N/A

สเปค
   รูปแบบเกียร์         เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์           6 เกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์       3 สูบ DOHC 12 วาล์ว
   ระบบระบายความร้อน         น้ำ
   ระบบสตาร์ท                  สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      890 CC
   แบบเครื่องยนต์                4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด                 T.C.I.
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง      เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน               หัวฉีด
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)      14 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน              ล้อหน้า Telescopic fork, Ø 43 mm, ล้อหลัง link suspension, Swingarm
   ระบบเบรค                   ล้อหน้า ดิสก์เบรก (แบบลูกสูบคู่ 320 มม. + ABS), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (แบบลูกสูบเดี่ยว 220 มม. + ABS)
   แบบวงล้อ                   แมกซ์
   ขนาดยาง                   ล้อหน้า 120/70 ZR17 M/C 58W เเบบไม่มียางใน, ล้อหลัง 180/55 ZR17 M/C 73W เเบบไม่มียางใน
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)   2,070 x 705 x 1,180 มม.
   น้ำหนักตัวรถ                       195.00 กก.

35
จัดฟันบางนา: อายุมากแล้ว สามารถจัดฟันได้หรือไม่

การจัดฟัน เป็นการแก้ไขปัญหารูปร่างของฟันได้แทบทุกกรณีไม่ว่าจะเป็นฟันห่าง ฟันซ้อน ฟันเก ฟันยื่น หรือแม้กระทั่ง ฟันแท้ที่มีการขึ้นแบบผิดปกติ โดยในปัจจุบันนั้น การจัดฟัน ถือว่าได้รับความนิยมมาก สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งการจัดฟันนั้นสามารถจัดได้ตั้งแต่เด็กๆ เพราะเด็กบางคนมีการขึ้นของฟันแท้ที่ผิดปกติ อาจจะส่งผลทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟัน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับจัดฟัน หลายคนเกิดคำถามว่าการจัดฟันนั้นมีการจำกัดในช่วงของอายุหรือไม่ ต้องบอกก่อนว่า ในปัจจุบันนี้นวัตกรรมทางด้านทันตกรรมมีการก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดฟัน จะเห็นได้ว่ามีการจัดฟันให้เลือกหลายรูปแบบ

และยังสามารถจัดฟันได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดของการจัดฟันนั้นอยู่ในช่วงอายุประมาณ 10-14 ปี เนื่องจาก ร่างกายในวัยนี้ได้มีการเจริญเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้ามากที่สุดและฟันสามารถเคลื่อนที่ได้ง่ายซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการจัดฟันเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากผู้ที่มีอายุมากแล้วก็อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการจัดฟันที่นานกว่าปกติ ดังนั้น การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ดี ถือเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ การจัดฟัน ถือเป็นรูปแบบของการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างหนึ่ง เพื่อป้องกันและรักษาความผิดปกติของฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและมีการบดเคี้ยวอาหารได้ดียิ่งขึ้น โดยการนำเครื่องมือการจัดฟันมาช่วยแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและการสบฟันที่ผิดปกติทำให้มีโครงสร้างรูปหน้าที่ดีขึ้นและสวยงาม ซึ่งเครื่องมือจัดฟันที่ติดอยู่ภายในช่องปากนั้นจะเป็นตัวช่วยการเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่เหมาะสมทำให้ฟันเข้าที่และดูเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

และในวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงช่วงอายุที่เหมาะสำหรับการเข้ารับการจัดฟันและมาตอบคำถามที่ว่าผู้ที่มีอายุมากสามารถเข้ารับการจัดฟันได้หรือไม่ ซึ่งหลายคนมีความกังวลว่าหากอายุมากขึ้นแล้ว จะสามารถเข้ารับการจัดฟันได้หรือไม่ เพราะยิ่งอายุมากในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันก็จะยิ่งเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ แต่อายุก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นไม่ใช่ข้อจำกัดในการจัดฟัน แต่ว่าในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของผู้ที่มีอายุมากก็เสื่อมโทรมลงได้ตามอายุ ถึงแม้ว่าการจัดฟันจะเหมาะกับเด็กและวัยรุ่นมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุมากไม่ควรเข้ารับการจัดฟัน แต่การจัดฟันนั้นทันตแพทย์จะต้องดูความเหมาะสมตามสภาพร่างกายของผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย

โดยเฉพาะในเรื่องของโรคปริทันต์เป็นสิ่งที่ผู้เข้ารับการจัดฟันที่มีอายุมากจะต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ เพราะอาจจะทำให้เหงือกเกิดการเสียหายอย่างถาวรและจนถึงขั้นต้องสูญเสียฟันได้ หลายคนทราบกันดีว่าการจัดฟันนั้นเป็นการรักษาที่ค่อนข้างใช้ระยะเวลาและจะต้องอาศัยความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่เราจะต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือน ตามพี่ทันตแพทย์นัดและถ้าหากใครเป็นคนที่ไม่พร้อมเรื่องของเวลาก็อาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นเดียวกัน และอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาได้ในระยะยาว เพราะเนื่องจากการจัดฟันนั้นเป็นเรื่องของการรักษาที่ยาวนาน เพราะหลังจากการจัดฟันเสร็จแล้ว ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องสวมรีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องไปเรื่อยๆและถ้าหากไม่มีวินัยในการสวมใส่รีเทนเนอร์ก็จะทำให้ฟันอาจจะเคลื่อนได้ หรืออาจทำให้เกิดฟันห่างถึงจะต้องเสียเวลาเข้ารับการจัดฟันใหม่อีกรอบ ซึ่งก็จะเสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เรื่องของระเบียบวินัยจึงมีความสำคัญมากในการเข้ารับการจัดฟัน


แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 30-50 ปี ถ้าหากมีความพร้อมในเรื่องของการจัดฟัน ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ แต่ก็จะมีข้อบ่งชีในการรักษา เช่น ฟันหน้าห่าง ฟันซ้อน ฟันยื่น หากมีปัญหาเหล่านี้ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้ แต่ก็จะต้องมีสุขภาพช่องปากที่ดีพอ ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องมีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัยและมีความพร้อมที่จะร่วมมือในการรักษากับทันตแพทย์

การจัดฟันสามารถทำได้แทบทุกช่วงอายุ เพราะในสมัยนี้มีคนเข้ารับการจัดฟันเป็นจำนวนมาก และมีเครื่องมือการจัดฟันให้เลือกหลายอย่าง มีทั้งการสวมใส่เหล็กจัดฟันหรือการจัดฟันแบบใส ซึ่งในวัยผู้ใหญ่การจัดฟันแบบใสถือว่าตอบโจทย์ได้มากเลยทีเดียว เพราะการจัดฟันแบบใสนั้น สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้และยังทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายและยังได้ทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย ทำให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น มีบุคลิกภาพที่ดี มีรอยยิ้มที่ดูสดใสเป็นธรรมชาติ

หากสนใจเข้ารับการจัดฟันสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านทันตกรรมอย่างยาวนานและยังมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน จึงมั่นใจได้ว่าหากเข้ารับการจัดฟันที่คลินิก ก็จะทำให้คนกลับมามีรอยยิ้มที่สวยงาม มีฟันที่เรียงตัวสวยงามเป็นธรรมชาติ ช่วยเสริมบุคลิกภาพให้มั่นใจได้อย่างแน่นอน

36
คิดจะรีไฟแนนซ์บ้าน คิดถึงธนาคารไหน?...เปรียบเทียบให้ดี คำนวณให้คุ้ม ค่าใช้จ่ายจะได้ไม่บานปลาย!!

"รีไฟแนนซ์ (Refinance)" หลายคนสงสัยว่า เมื่อเรากู้ซื้อบ้านแล้ว เราจำเป็นจะต้อง รีไฟแนนซ์ ไหม? คำตอบของคำถามนี้บอกได้เลยค่ะว่า รีไฟแนนซ์ นั้น มีความจำเป็นสำหรับคนที่ต้องการลดการจ่ายดอกเบี้ยลง เพราะการ รีไฟแนนซ์ เป็นการเปลี่ยนเจ้าหนี้ จากผู้ให้สินเชื่อเดิมเพื่อไปขอกู้จากผู้ให้สินเชื่อใหม่ ซึ่งผู้ให้สินเชื่อใหม่จะเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยปกติแล้วธนาคารที่ให้สินเชื่อเดิมจะมีโปรโมชั่นสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดอยู่ที่ 3 ปีแรก และหลังจากนั้นก็จะเป็นดอกเบี้ยที่สูงขึ้นแบบลอยตัว รวมทั้งในเงื่อนไขของสินเชื่อแต่ละธนาคารก็ได้กำหนดให้เราต้องชำระเงินกู้ให้ครบ 3 ปีก่อน แล้วถึงจะทำการ รีไฟแนนซ์ เปลี่ยนสินเชื่อกับธนาคารใหม่ได้ ทั้งนี้ ในบางรายมีความจำเป็นที่จะต้องจ่ายค่างวดให้น้อยลงกว่าเดิม หรือต้องการตัดเงินต้นเพิ่มขึ้น การ รีไฟแนนซ์ นี้ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้เช่นกัน

เปรียบเทียบให้ดี เลือกให้คุ้ม ค่าใช้จ่ายไม่บานปลาย...ต้องดูอะไรบ้าง?
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่หันมาสนใจการ รีไฟแนนซ์ บ้านมากขึ้น ทำให้บรรดาธนาคารต่างๆ จัดโปรโมชั่นเกี่ยวกับสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านออกมาไม่ขาดสาย ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลดีกับผู้บริโภคอย่างเราๆ เนื่องจากการแข่งขันค่อนข้างสูง ยิ่งธนาคารไหนออกโปรโมชั่นที่จูงใจ และดึงดูดผู้บริโภคมากที่สุด ก็จะได้รับความนิยมมากเท่านั้น ดังนั้น ในฐานะผู้บริโภคอย่างเราควรจะต้องมีการเปรียบเทียบให้ดี ดูให้คุ้ม ว่าแบบไหนได้ประโยชน์มากที่สุด

ถ้าต้องรีไฟแนนซ์ จะเลือกธนาคารไหนดี?

 กรณีคำนึงถึงดอกเบี้ย
หลังจากที่ได้เห็นตารางเปรียบเทียบของหลายๆ ธนาคารข้างต้นแล้ว ถ้าดูจากเรื่องของดอกเบี้ยแล้วนั้น ธนาคารที่มีดอกเบี้ยถูกและน่าสนใจมากที่สุดในกลุ่มนี้ นั่นก็คือ "ธนาคารธนชาต" ด้วยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เริ่มต้น 3.29% ต่อปี กับ "สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์" โดยสินเชื่อนี้ทางธนาคารให้ผู้กู้สามารถเลือกได้ 2 ทางเลือก คือ

ทางเลือกที่ 1 อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3.290% ต่อปี
ปีที่ 1 - 2 : ดอกเบี้ย 3.290% ต่อปี
ปีที่ 3 : ดอกเบี้ย MLR - 3.360% ต่อปี
หลังจากนั้น : MLR - 1.150% ต่อปี
**อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 4.890% ต่อปี
ทางเลือกที่ 2 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี
ปีที่ 1 - 2 : 4.250% ต่อปี
ปีที่ 3 : MLR - 0.900% ต่อปี
หลังจากนั้น : MLR - 0.650% ต่อปี
**อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 5.623% ต่อปี
หมายเหตุ :
สามารถขอเพิ่มวงเงินกู้ เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบคุ้มครองวงเงินกู้ (MRTA) ได้
สิทธิพิเศษ ธนาคารจะมอบส่วนลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 12 เดือน ในกรณีลูกค้าทำประกันชีวิตที่คุ้มครองวงเงินกู้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 กับบริษัทผู้รับประกันตามนโยบายของธนาคารโดยอายุกรมธรรม์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของอายุสัญญากู้เงิน และไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือทำประกันชีวิตที่คุ้มครองวงเงินกู้ทั้งจำนวนกับบริษัทผู้รับประกันตามนโยบายของธนาคาร โดยอายุกรมธรรม์ไม่ต่ำกว่าอายุสัญญากู้เงินหรือไม่ต่ำกว่า 10 ปี

- ซื้อประกันชีวิต MRTA : ลดอัตราดอกเบี้ย 0.15%
- ซื้อประกันชีวิต MRTA Plus : ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%

 กรณีคำนึงถึงค่างวด
หากการเลือกรีไฟแนนซ์เพื่อต้องการจ่ายค่างวดให้น้อยลง และสามารถลดเงินต้นได้เพิ่มขึ้นนั้น ทาง สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์ ก็ยังสามารถตอบโจทย์นี้ได้อยู่ เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำเฉลี่ย 3 ปีแรก เริ่มต้น 3.29% ต่อปี เมื่อดอกเบี้ยน้อยลง ค่างวดก็น้อยลง และทำให้เงินต้นลดมากขึ้น พร้อมให้ระยะเวลาการผ่อนชำระนานสูงสุด 30 ปี ดังนั้น จึงจ่ายน้อย ผ่อนสบาย ซึ่งเป็นการลดภาระได้มากทีเดียว
 ตารางเปรียบเทียบการจ่ายค่างวดที่ลดลง และสามารถตัดเงินต้นได้มากขึ้น

เปรียบเทียบ


ธนาคารเดิม                      วงเงินกู้ (บาท)    2,000,000
ระยะเวลาผ่อน (ปี)            30             27
ค่างวดผ่อนต่อเดือน         12,800          12,500
อัตราดอกเบี้ย เฉลี่ย 3 ปีแรก    5.75%   3.29%
ดอกเบี้ยจ่าย 3 ปีแรก          334,741   184,895
เงินต้นที่จ่ายคืนใน 3 ปีแรก     126,059   265,105

จากตัวอย่างตารางเปรียบเทียบจะเห็นได้ชัดว่าถ้าเปลี่ยนมารีไฟแนนซ์บ้านกับธนชาต จะทำให้ยอดชำระค่างวดต่อเดือนลดลง เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง นอกจากนั้น ยอดดอกเบี้ยทั้งหมดของ 3 ปีแรกก็จ่ายน้อยลงด้วยเช่นกัน จึงทำให้จำนวนเงินต้นที่ถูกตัดไปก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย
 กรณีคำนึงถึงวงเงินกู้เพิ่ม
ความต้องการเพิ่มเติมของคนที่ต้องการรีไฟแนนซ์บ้านนั้น นอกจากจะต้องการดอกเบี้ยที่ลดลงแล้วหลายคนก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินส่วนต่างที่ได้จากการรีไฟแนนซ์เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งบางคนก็จะต้องนำไปปิดหนี้ในส่วนอื่นที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า หรือในบางคนก็ต้องการนำไปเป็นเงินทุนเพื่อใช้ในการลงทุนธุรกิจเพื่อให้เกิดรายได้ ดังนั้น วงเงินกู้เพิ่มจากการรีไฟแนนซ์บ้านจึงจำเป็นด้วยเช่นกัน ในกรณีนี้ธนาคารธนชาตเปิดโอกาสให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์สามารถขอกู้เพิ่มได้ตามเงื่อนไขวงเงิน โดยธนาคารธนชาตจะพิเศษกว่าหลายๆ ธนาคารตรงที่จะคิดดอกเบี้ยในช่วง 3 ปีแรกของวงเงินกู้เพิ่มที่อัตราดอกเบี้ยเดียวกับอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ซึ่งเมื่อเทียบกับหลายๆ ธนาคารในตลาด ณ ขณะนี้ก็ถือว่าถูกและพิเศษมากๆ
อยากขอกู้ "สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์" ต้องทำยังไง?
จากข้อมูลที่เห็นในข้างต้น เชื่อแน่ว่าหลายคนคงจะสนใจที่จะรีไฟแนนซ์กับธนาคารธนชาตแล้วใช่มั้ยคะ งั้นก็อย่ารอช้า...เรามาดูกันเลยค่ะว่า คุณสมบัติของคนที่จะขอกู้ สินเชื่อบ้านธนชาตรีไฟแนนซ์ ต้องเป็นแบบไหน? ใช้เอกสารอะไรบ้าง? เราจะมีคุณสมบัติที่จะขอกู้ได้หรือไม่? เช็คคุณสมบัติไปพร้อมกันเลยค่ะ
คุณสมบัติของผู้กู้
 บุคคลธรรมดา
 สัญชาติไทย หรือเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย กรณีที่ไม่มีสัญชาติไทยต้องมีเอกสารแสดงถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย หรือใบต่างด้าว หรือมีชื่อในทะเบียนบ้าน (ทร.14)
 อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี
 มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน/คน
 อายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี หากไม่ถึง 1 ปี ต้องมีเอกสารหรือหนังสือรับรองจากที่ทำงานเดิมมาแสดงว่ามีอายุงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
 กรณีผู้กู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
 กรณีมีผู้กู้ร่วม ผู้กู้ร่วมต้องมีส่วนในการผ่อนชำระหนี้ และต้องเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
 กรณี Refinance ต้องมีประวัติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินอื่นมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และบัญชีมีสถานะล่าสุด เป็นปกติ
ระยะเวลาการผ่อนชำระ
ผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 30 ปี โดยกำหนดอายุผู้กู้ร่วมกับระยะเวลาที่ผ่อนชำระ ดังนี้
 อาชีพพนักงานประจำ อายุรวมไม่เกิน 65 ปี
 เจ้าของธุรกิจ / ผู้ประกอบอาชีพอิสระ อายุรวมไม่เกิน 70 ปี
ประเภทหลักประกัน
 บ้านพร้อมที่ดิน, ทาวน์เฮ้าส์, ทาวน์โฮม, โฮมออฟฟิต, อาคารพาณิชย์ และอาคารชุด (คอนโดมิเนียม)
มูลค่าหลักประกันขั้นต่ำ
 กรุงเทพและปริมณฑล 700,000 บาท
 ต่างจังหวัด 500,000 บาท

วงเงินกู้
 วงเงินอนุมัติสูงสุด 100% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย แล้วแต่อย่างใดจะต่ำกว่า
 กรณีเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการกับธนาคาร เงื่อนไขเป็นไปตามรายละเอียดของแต่ละโครงการ
หมายเหตุ : ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร

37
การทำความเข้าใจความต้องการและกระบวนการทำงานท่อลมร้อน

การทำความเข้าใจความต้องการและกระบวนการทำงานของท่อลมร้อนเป็นรากฐานสำคัญของการออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาระบบให้ประสบความสำเร็จในโรงงานอุตสาหกรรมครับ หากขาดความเข้าใจในขั้นตอนนี้ อาจนำไปสู่การออกแบบที่ผิดพลาด, ระบบทำงานไม่มีประสิทธิภาพ, สิ้นเปลืองพลังงาน, ไม่ปลอดภัย, หรือมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซมสูงเกินความจำเป็นในระยะยาว

การทำความเข้าใจนี้ครอบคลุมประเด็นหลักๆ ดังนี้:

1. วัตถุประสงค์และบทบาทของท่อลมร้อนในกระบวนการผลิต

ก่อนอื่นต้องตอบให้ได้ว่า "ท่อลมร้อนนี้มีไว้เพื่ออะไร?" และ "มันจะส่งผลต่อกระบวนการอย่างไร?"

การอบแห้ง (Drying): ลมร้อนใช้สำหรับอบแห้งผลิตภัณฑ์ (เช่น อาหาร, ยา, สิ่งทอ, สี, เม็ดพลาสติก) คุณต้องเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ที่อบคืออะไร, มีความชื้นเริ่มต้นเท่าไหร่, ต้องการความชื้นสุดท้ายเท่าไหร่, และต้องใช้เวลาอบนานแค่ไหน
การให้ความร้อนในกระบวนการ (Process Heating): เช่น การให้ความร้อนแก่ถังผสม, เครื่องปฏิกรณ์, การรักษาอุณหภูมิของวัตถุดิบหรือสารเคมี คุณต้องรู้ว่าอุณหภูมิที่แน่นอนสำหรับปฏิกิริยาหรือกระบวนการนั้นคือเท่าไหร่ และต้องควบคุมความเสถียรของอุณหภูมิได้มากน้อยแค่ไหน
การฆ่าเชื้อ/ทำความสะอาด (Sterilization/Sanitization): ในอุตสาหกรรมที่เน้นสุขอนามัย (อาหาร, ยา) ลมร้อนอาจใช้ฆ่าเชื้ออุปกรณ์หรือบรรจุภัณฑ์ คุณต้องรู้มาตรฐานอุณหภูมิและเวลาที่จำเป็นสำหรับการฆ่าเชื้อ
การระบายอากาศ/ดูดอากาศเสีย (Ventilation/Exhaust): ในบางกรณี ลมร้อนอาจเป็นลมที่ถูกดูดออกมาจากแหล่งกำเนิดความร้อน หรือใช้ในการระบายอากาศที่ปนเปื้อนออกไปจากพื้นที่ทำงาน
การทำความร้อนในพื้นที่ (Space Heating): เพื่อควบคุมอุณหภูมิในอาคารหรือคลังสินค้า


2. คุณสมบัติเฉพาะของลมร้อน (Hot Air Properties)

การทราบคุณสมบัติเหล่านี้จะนำไปสู่การคำนวณและเลือกวัสดุที่ถูกต้อง:

อุณหภูมิของลมร้อน (Temperature):
อุณหภูมิสูงสุดที่ต้นทาง (Source Temperature): อุณหภูมิสูงสุดที่ลมร้อนจะถูกสร้างขึ้นหรือออกจากแหล่งกำเนิด
อุณหภูมิที่ต้องการ ณ จุดใช้งาน (Target Temperature): อุณหภูมิที่ลมร้อนต้องไปถึงที่ปลายทางของท่อ
ความเสถียรของอุณหภูมิ: อุณหภูมิของลมร้อนมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน? (มีผลต่อการขยายตัว/หดตัวของท่อ)
ปริมาณลมร้อนที่ต้องการ (Flow Rate):
หน่วย: ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (m³/hr) หรือลูกบาศก์ฟุตต่อนาที (CFM)
นี่คือกำหนดขนาดของท่อและขนาดของพัดลม (Blower/Fan) ที่เหมาะสม
แรงดันลม (Pressure):
แรงดันที่ต้องการ ณ จุดใช้งาน และแรงดันที่ระบบต้องสร้างขึ้นเพื่อเอาชนะแรงต้านทาน (Pressure Drop) ตลอดแนวท่อ
องค์ประกอบของลมร้อน (Air Composition):
ลมร้อนมีความบริสุทธิ์แค่ไหน? มีไอน้ำ, ฝุ่นละออง, ไอสารเคมี, หรืออนุภาคอื่น ๆ ปนเปื้อนหรือไม่? (มีผลอย่างมากต่อการเลือกวัสดุท่อเพื่อป้องกันการกัดกร่อน และระบบการกรองอากาศ)


3. สภาพแวดล้อมและข้อจำกัดของพื้นที่ (Environment & Site Constraints)

ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการออกแบบเส้นทาง การเลือกวัสดุ และมาตรการความปลอดภัย:

แผนผังโรงงาน (Plant Layout): ตำแหน่งของเครื่องจักร, อุปกรณ์, โครงสร้างอาคาร (เสา, คาน, ผนัง), ท่ออื่นๆ (น้ำ, ไอน้ำ, ไฟฟ้า) ที่อาจเป็นสิ่งกีดขวาง
สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ: อุณหภูมิแวดล้อม, ความชื้น, การมีสารเคมีในอากาศ (เช่น สารกัดกร่อน), ฝุ่นละออง, โอกาสเกิดการกระแทกหรือความเสียหายทางกายภาพ
พื้นที่ว่าง: มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเดินท่อขนาดใหญ่, การติดตั้งฉนวน, และการเข้าถึงเพื่อบำรุงรักษาหรือไม่
ความต้องการด้านสุขอนามัย/มาตรฐาน: หากเป็นโรงงานอาหาร, ยา, หรืออิเล็กทรอนิกส์ อาจมีข้อกำหนดด้านความสะอาดของลมร้อนหรือการป้องกันการปนเปื้อน


4. ข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและมาตรฐาน (Safety & Compliance Requirements)

ต้องรู้ว่าระบบนี้จะอยู่ภายใต้กฎระเบียบและมาตรฐานใดบ้าง:

มาตรฐานความปลอดภัย: ข้อกำหนดเกี่ยวกับอุณหภูมิผิวท่อ, ระยะห่างจากวัสดุไวไฟ, การป้องกันการสัมผัส, ระบบแจ้งเตือนและตัดการทำงานฉุกเฉิน (ESD)
กฎหมายและข้อบังคับของราชการ: เช่น กฎกระทรวงอุตสาหกรรม, ข้อกำหนดของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, หรือมาตรฐานสากลที่โรงงานยึดถือ (เช่น ASME, NFPA)
มาตรฐานคุณภาพของผลิตภัณฑ์: หากลมร้อนมีผลต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์ ต้องมีระบบควบคุมที่แม่นยำตามข้อกำหนด
การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกประเด็นข้างต้น จะเป็นข้อมูลตั้งต้นที่ใช้ในการคำนวณขนาดท่อ, เลือกวัสดุ, ออกแบบเส้นทาง, วางแผนการติดตั้ง และกำหนดแนวทางการบำรุงรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ระบบท่อลมร้อนที่ตอบโจทย์การใช้งานโรงงานของคุณได้อย่างแท้จริงครับ

38
จัดฟันเด็ก แก้ไขอาการฟันแท้หายได้อย่างไร

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กมีฟันน้ำนมผุ มาจากการดูแลเอาใจใส่ของครอบครัว การปล่อยให้เด็กนอนหลับคาขวดนม ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในนม สามารถเข้าไปทำลายเคลือบฟันของเด็กได้ เพราะคราบจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลในนมที่ค้างอยู่บนผิวฟัน ทำให้เกิดการสะสมของกรด ละลายผิวฟันเป็นรู ทำให้เกิดปัญหาฟันน้ำนมผุ การรับประทานขนมที่มีน้ำตามเป็นจำนวนมากตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันอาจจะทำให้บุตรหลานของท่านมีปัญหาในเรื่องของฟันผุอย่างแน่นอน นอกจากนี้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน มักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและการแปรงฟันของลูกมากนัก และลูกก็ยังไม่สามารถทำความสะอาดฟันอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายและนำไปสู่การสูญเสียฟัน


ซึ่งการที่เด็กสูญเสียฟันแท้เร็วกว่าเวลาอันควรจะทำให้เด็กเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาฟันแท้หายได้ ซึ่งมีผลมาจากการที่เด็กเกิดฟันผุจนทำให้เกิดการสูญเสียฟัน ซึ่งทำให้ฐานของฟันแม้ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งเด็กที่มีปัญหาในเรื่องดังกล่าว อาจจะเข้ารับการรักษาด้วยการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อทำการดึงฟันแท้ที่หายไปให้ขึ้นมาตามปกติ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็กที่ช่วยแก้ไขปัญหาอาการฟันหายให้กลับมาเรียงตัวอย่างสวยงามได้อีกครั้ง และยังสามารถทำให้เด็กได้มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัยและรับประทานอาหารได้เต็มที่โดยไม่มีอุปสรรค

ก่อนอื่น พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของฟันของเด็กให้มาก เพื่อที่เด็กจะได้ไม่มีปัญหาในเรื่องของช่องปากและฟันในอนาคต แต่ถ้าหากพบว่าฟันแท้ของเด็กยังไม่ยอมขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพราะการที่เด็กฟันแท้หายอาจต้องใช้วิธีการจัดฟันเพื่อดึงฟันฝังที่อยู่ภายในเหงือกออกมา โดยทันตแพทย์จะทำการผ่าตัดเล็ก เพื่อเปิดให้เห็นฟันซี่ที่ฝังอยู่ จากนั้นจะติดเครื่องมือที่ฟันซี่ดังกล่าว เพื่อดึงฟันฝังให้โผล่ขึ้นในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งในการรักษาในรูปแบบนี้ ทันตแพทย์จะทำการเปิดเหงือกโดยใช้การผ่าตัดเล็ก เพื่อให้เห็นฟันฝัง จากนั้นเครื่องมือจัดฟันจะถูกติดที่ฟันฝังซี่ดังกล่าว โดยมีลวดโลหะผูกติดบนแบร็กเก็ต โดยเหงือกจะถูกปิดลงที่เดิม


ในบางกรณี อาจเปิดเหงือกทิ้งไว้เล็กน้อย เพื่อให้เห็นฟันฝัง แต่ส่วนใหญ่แล้วเหงือกจะถูกปิดหมด เหลือไว้แต่ลวดโลหะเส้นเล็กๆ โผล่ออกมาเท่านั้น หลังที่ผ่าตัดแล้ว ทันตแพทย์จัดฟันจะเริ่มให้แรง เพื่อเคลื่อนฟันฝังให้โผล่ขึ้นมา ในตำแหน่งที่ต้องการ ซึ่งในขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาเป็นปี หรือนานกว่านั้น กว่าที่ฟันฝังจะเคลื่อนมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ส่วนระยะเวลาทั้งหมดที่ใช้จัดฟันนั้น ก็จะอยู่ประมาณ 2-4 ปี หรือนานกว่า เหมือนการจัดฟันทั่วไป สำหรับการจัดฟันเพื่อดึงฟันฝัง ก็เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ได้พอเข้าใจขั้นตอน และวิธีการรักษา ซึ่งไม่ได้ยุ่งยาก หรือน่ากลัวแต่อย่างใด ซึ่งหากการรักษาประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้บุตรหลาน ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษาอาการฟันฝังหรืออยากพาบุตรหลานเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทันตกรรมในเด็ก จึงสามารถให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น การที่เด็กมีสุขภาพฟันที่ดีนั้น จะช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการของลูกด้วย และจะทำให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีความสุขมากยิ่งขึ้น เพราะเราอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่เด็กจะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มุณภาพและสุขภาพดี

39
รถไฟฟ้า ev เนต้า Neta V II Smart ปี 2024
459,000 บาท

เนต้า Neta V II Smart ปี 2024
NETA V-II Smart รถยนต์ไฟฟ้าที่หลายคนรอคอยรุ่นประกอบในประเทศไทย นับว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์เล็ก ๆ เริ่มด้วยกระจังหน้าใหม่ลายตาข่ายดูหรูหราขึ้นกว่าเดิม ไฟท้ายลายใหม่พร้อมเส้นไฟยาวพาดเชื่อมถึงกัน และติดตั้งที่ปัดน้ำฝนกระจกหลัง เพิ่มระบบ ADAS - Adaptive Cruise Control แบต 36.1 kW วิ่งไกล 382 km. ชาร์จ DC ราคาจำหน่าย 569,000 บาท ปรับลดเหลือ 459,000 บาท มาพร้อมการรับประกัน ดังนี้
รับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
รับประกันคุณภาพมอเตอร์ไฟฟ้า 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร
รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร

ข้อมูลทั่วไป

แบรนด์                    Neta
รุ่น                         เนต้า Neta V II Smart ปี 2024
ประเภทรถ                รถเก๋ง 5 ประตู,Electric - EV
ปีที่เปิดตัว                 2024
ราคา                      459,000 บาท


สเปคละเอียด

มอเตอร์ไฟฟ้า                     Permanent Magnet Synchronous Motor กำลัง 95 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตันเมตร
กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)        แรงม้า
ระบบเกียร์                         เกียร์อัตโนมัติ
รูปแบบเกียร์
ระบบเบรค ABS                      มี
ชนิดแบตเตอรี่                      ไฟฟ้า
ความจุแบตเตอรี่                    36.1 kWh
ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง      382 กม.
น้ำหนักตัวรถ                          -
ประเภทยางรถยนต์                   -
ขนาดล้อ (นิ้ว)                       ล้ออัลลอย (16 นิ้ว)
ระบบขับเคลื่อน                      ขับเคลื่อนล้อหน้า

ดีไซน์

ภายนอก
สปอยเลอร์หลัง
ปัดน้ำฝนกระจกหลัง
ไฟท้าย LED (แบบ Through-type LED)
ขนาดยางหน้า-หลัง (185/55R16)
ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ (LED)
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (แผ่นปิดห้องเครื่องด้านหน้า,ไฟแสดงสถานะการชาร์จแบตเตอรี่,ไฟส่องนำทางขณะดับเครื่องยนต์)
ยางอะไหล่สำรอง (จะได้เป็นชุดซ่อมยางฉุกเฉิน)
ไฟ Daytime Running Lights
ล้ออัลลอย (16 นิ้ว)

ภายใน
กระจกมองหลังตัดแสง
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (เกียร์ไฟฟ้า)
พวงมาลัยไฟฟ้า

ความปลอดภัย
อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESC,ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS)
ตัวถังนิรภัย (HSS Body)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค (เมื่ออออกตัวรถ)
กุญแจรีโมท (Smart Key)
กุญแจนิรภัย (Immobilizer)
ไฟเบรกดวงที่ 3 (LED)
สัญญาณเตือนถอยหลัง
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบป้องกันการไหลโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง,ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS,ระบบจัดการอุณหภูมิแบตเตอรี่ HEPT 3.0,ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่)
เข็มขัดนิรภัย (คู่หน้าแบบรั้งตัวและดึงกลับอัตโนมัติ,แถวหลังแบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HAC/ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC)
อื่นๆ (ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน)
กล้อง (มองหลัง)
เทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Forward Collisio
เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking - IEB)
เบรกมือไฟฟ้า (EPB)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX)

40
บริการทำความสะอาด: ทำความสะอาดห้องนอนเด็กอ่อน

การทำความสะอาดห้องนอนของเจ้าตัวเล็ก มีความสำคัญไม่แพ้กับห้องอื่นๆ ภายในบ้านค่ะโดยเฉพาะห้องนอนของเด็กอ่อน นั้นจำเป็นต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ มาดูกันค่ะว่าในห้องนอนของหนูน้อย เราควรทำความสะอาดอย่างไรบ้าง


สิ่งที่ควรทำทุกวัน

•  สำหรับห้องนอนเด็กทารก คุณควรเปลี่ยนผ้าคลุมที่นอนทุกๆ วัน
หรืออาจจะหลายครั้งต่อวัน กรณีที่เจ้าตัวดีขับถ่ายเลอะเทอะ
คุณควรมีผ้ารองเบาะหลายๆ ผืน หากเบาะนอนของลูกไม่ได้เป็นแบบกันน้ำ
คุณควรหาซื้อผ้ายางมาวางรองอีกทบหนึ่ง การทำความสะอาดผ้ายาง
หรือเบาะนอนที่กันน้ำ ทำได้โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ปราศจากสารเคมี

•   ถังขยะสำหรับทิ้งผ้าอ้อมสำเร็จรูป หรือสำลีที่ใช้แล้ว
ควรนำไปเททิ้งทุกวัน หรืออย่างน้อย 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์

• ผ้าอ้อม เสื้อผ้าของลูก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ควรนำไปซักทุกวัน
หรืออย่างน้อย วันเว้นวัน

• ช่วงเช้าๆ ควรเปิดหน้าต่างห้องให้อากาศถ่ายเทวันละ 15 นาที
สิ่งที่ควรทำทุกสัปดาห์

• ดูดฝุ่นพื้นห้อง ปัดฝุ่น ตามตู้ โต๊ะ ชั้นวางของต่างๆ
(ควรทำเมื่อลูกไม่ได้อยู่ในห้องนะคะ)

• ซักผ้าห่มของลูก
สิ่งที่ควรทำทุกเดือน

• หากม่านของคุณถอดออกมาซักได้ คุณก็ควรถอดออกมาซัก สำหรับมู่ลี่
ควรเช็ดทำความสะอาดให้ปราศจากฝุ่น

• ทำความสะอาดของเล่นของลูก รวมทั้งของเล่นที่ลูกเล่นเวลาอาบน้ำ
ด้วยน้ำสบู่ แล้วล้างให้สะอาด


วิธีทำความสะอาดเตียงเด็กอย่างง่ายๆ

สำหรับเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น โซฟา โต๊ะ ตู้หรือเตียงนอนนอกจากจะต้องใส่ใจในเรื่องของคุณภาพก่อนซื้อแล้ว ต้องไม่ลืมดูแลทำความสะอาดกันเป็นประจำด้วยโดยเฉพาะเตียงเด็กอาจจะต้องใส่ใจดูแลกันเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกส่งผลเสียต่อสุขภาพของพวกเขา

ส่วนวิธีการทำความสะอาดก็ไม่ยาก ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ถึงแม้ว่าเตียงจะมีน้ำหนักมากก็ตามอันดับแรก สิ่งที่ควรทำก็คือการกำจัดฝุ่น โดยอาจจะใช้เครื่องดูดฝุ่นในการทำความสะอาดก็ได้เพราะถึงแม้เตียงของคุณจะมีคุณสมบัติ Anti-Mite แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในส่วนอื่นๆของห้องจะไม่มีฝุ่นเพราะฝุ่นสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ มันมักจะเกาะในที่ต่างๆไปทั่วไม่ว่าจะเป็นชุดเครื่องนอน เสื้อผ้า หรือตุ๊กตา สำหรับเด็กที่เป็นภูมิแพ้ได้ง่ายการกำจัดฝุ่นออกจากเตียงสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้ของเด็กได้ส่วนการดูดฝุ่นควรเริ่มจากหัวเตียงก่อน แล้วค่อยๆเลื่อนลงมาดูดฝุ่นที่ฟูกจากนั้นจึงค่อยทำความสะอาดตัวเตียงและถึงแม้การดูดฝุ่นอย่างเดียวจะไม่ช่วยทำความสะอาดเตียงได้อย่างสมบูรณ์แต่ก็ช่วยลดฝุ่นละอองได้มากในระดับที่น่าพอใจ

อันดับต่อมา ขึ้นชื่อว่าเป็นเตียงเด็ก ก็จะต้องมีความอับที่เกิดจากการฉี่รดที่นอนรวมถึงกลิ่นอับที่เกิดจากความชื้น ซึ่งโดยมากจะเกิดกับเตียงเด็กที่ตั้งไว้ไม่ค่อยถูกแสงแดดการกำจัดกลิ่นอับบนเตียงเด็กก็มีหลายวิธี ในเบื้องต้นอาจจะใช้สเปรย์ดับกลิ่นฉีดลงบนเตียงเด็กจากนั้นนำฟูกไปผึ่งลมเพื่อให้กลิ่นอับจางลง หรือนำไปตากแดดก่อนนำมาใช้สำหรับผ้าปูที่นอนก็ควรจะซักบ่อยๆ เพื่อป้องกันกลิ่นอับที่จะเกิดขึ้นและเพื่อลดปัญหากลิ่นอับที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอาจจะวางเตียงเด็กไว้ในจุดที่แสงแดดส่องผ่านถึงอยู่เสมอ

ส่วนอีกปัญหาหนึ่งที่พบสำหรับเตียงเด็กคือคราบขนมและน้ำหวานทั้งหลายซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้หากเด็กนำขนมขึ้นไปกินบนเตียง สำหรับการทำความสะอาดอันดับแรกถ้ารอยเปื้อนมีไม่มาก อาจจะใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชูซับคราบออก โดยอาจจะชุบน้ำเล็กน้อยก็ได้ จากนั้นชุบผ้าด้วยน้ำส้มสายชูหรือรับบิ้งแอลกอฮอล์หมาดๆแล้วเช็ดเตียงเด็กอีกรอบหนึ่งเพื่อทำความสะอาดคราบ เพียงเท่านี้ก็สามารถกำจัดคราบฝังบนตัวเตียงได้แต่ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการทานขนมหรือน้ำหวานบนเตียงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

และทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการง่ายๆในการดูแลทำความสะอาดเตียงเด็กทั่วไปที่สามารถประยุกต์ใช้กับเฟอร์นิเจอร์อื่นๆได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโซฟาโต๊ะเครื่องเขียน หรือเตียงสองชั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดก็ควรหมั่นดูแลเอาใจใส่เรื่องการทำความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของผู้ใช้และเป็นการปลูกฝังเรื่องความสะอาดให้กับเด็กๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน

41
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: คอพอก/ต่อมไทรอยด์โต (Goiter) คอพอกธรรมดา (Simple goiter/Nontoxic goiter)

คอพอก (ต่อมไทรอยด์โต) หมายถึง ภาวะที่ต่อมไทรอยด์* ตรงบริเวณคอหอยเกิดบวมโตผิดปกติ ทำให้คอโป่งเป็นลูกออกมาให้เห็นชัดเจน และสามารถคลำได้เป็นก้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาผู้ป่วยทำท่ากลืนน้ำลายก้อนนี้จะขยับขึ้นลงตามจังหวะการกลืน

คอพอกอาจมีลักษณะบวมโตแบบกระจาย (diffuse) หรือเป็นปุ่ม (เป็นปุ่มเดียวหรือหลายปุ่มก็ได้) อาจมีการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์เป็นปกติเรียกว่า คอพอกธรรมดา (simple goiter หรือ nontoxic goiter) สร้างไทรอยด์มากเกินเรียกว่า คอพอกเป็นพิษ หรือสร้างไทรอยด์น้อยเกินเรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์

ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดไม่ร้าย (benign) คือไม่ใช่มะเร็ง มักพบว่ามีลักษณะบวมโตแบบกระจาย หรือเป็นปุ่มหลายปุ่ม (multinodule) เช่น คอพอกที่เกิดจากภาวะขาดไอโอดีน (คอพอกประจำถิ่น) คอพอกเป็นพิษที่มีชื่อว่า โรคเกรฟส์ ต่อมไทรอยด์อักเสบ เป็นต้น

คอพอกที่มีลักษณะเป็นปุ่มหรือก้อนเดี่ยว (solitary thyroid nodule) มักเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้าย เช่น เนื้องอกไทรอยด์ (benign adenoma) ถุงน้ำไทรอยด์ (thyroid cyst) แต่บางรายอาจเป็นมะเร็งไทรอยด์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องวินิจฉันแยกโรคโดยการตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy)

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะคอพอกธรรมดา

*ต่อมไทรอยด์ (thyroid gland) เป็นต่อมไร้ท่อ (ต่อมเอนโดไครน์) ที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ที่ลำคอด้านหน้า ต่ำกว่าลูกกระเดือกเล็กน้อย มีรูปร่างเหมือนเกือกม้า ประกอบด้วยปีกซ้ายและปีกขวา เชื่อมต่อกันด้วยส่วนที่เรียกว่าคอคอด (isthmus) ปกติจะมีขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือเล็กน้อยและมองเห็นไม่ชัดเจน
ต่อมนี้มีหน้าที่สร้างฮอร์โมน เรียกว่า ฮอร์โมนไทรอยด์ (thyroid hormone) หรือไทร็อกซีน (thyroxine) โดยใช้ไอโอดีนจากอาหารที่เรากินเข้าไปเป็นวัตถุดิบ และมีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองที่เรียกว่า ฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (thyroid stimulating hormone/TSH) เป็นตัวควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์
ฮอร์โมนไทรอยด์มีหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญ (เมตาบอลิซึม) ของเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย ถ้ามีฮอร์โมนนี้มากเกินไป ร่างกายจะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากผิดปกติ เกิดเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกินหรือคอพอกเป็นพิษ ตรงกันข้าม ถ้ามีฮอร์โมนนี้น้อยเกินไป ร่างกายก็จะเฉื่อยชาเกิดโรคที่เรียกว่า ภาวะขาดไทรอยด์
ถ้าขาดฮอร์โมนนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ จะทำให้เด็กเจริญเติบโตไม่ดี ตัวเตี้ยแคระ ปัญญาอ่อน เรียกว่า สภาพแคระโง่ (cretinism) หรือเด็กเครติน (cretin)


สาเหตุ

คอพอกธรรมดา บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ที่ทราบสาเหตุ ได้แก่

    ภาวะขาดธาตุไอโอดีน (ซึ่งมีมากในเกลือทะเลและอาหารทะเล) ภาวะนี้จึงพบมากทางภาคเหนือและภาคอีสานในแถบที่ราบสูงหรือใกล้เขตภูเขา ซึ่งขาดแคลนเกลือทะเลและอาหารทะเล เมื่อร่างกายขาดธาตุไอโอดีนก็เกิดการขาดฮอร์โมนไทรอยด์ตามมา ทำให้ต่อมไทรอยด์ถูกฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง (ที่คอยกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงาน) กระตุ้นจนมีขนาดโตขึ้น กลายเป็นคอพอก

ในหมู่บ้านบางแห่ง อาจมีผู้ที่เป็นคอพอกเกือบทั้งหมดหมู่บ้าน จึงเรียกว่า คอพอกประจำถิ่น (endemic goiter)

โดยทั่วไปมักถือว่า ในชุมชนใดมีผู้ที่เป็นคอพอกจากการขาดธาตุไอโอดีนเกิน 10 คนใน 100 คน ก็บอกได้ว่าชุมชนนั้นมีคอพอกประจำถิ่นเกิดขึ้นแล้ว

    การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ด้านฮอร์โมน และเมตาบอลิซึม มักพบในผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น หรือกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งร่างกายต้องการฮอร์โมนไทรอยด์ (ไทร็อกซีน) มากขึ้น ต่อมไทรอยด์จึงต้องทำงานมากกว่าธรรมดา ทำให้เกิดเป็นคอพอก เรียกว่า คอพอกสรีระ (physiologic goiter)
    จากผลของยา เช่น พีเอเอส และเอทิโอนาไมด์ (ethionamide) ที่สมัยก่อนเคยใช้รักษาวัณโรค เฟนิลบิวตาโชน ลิเทียม โพรพิลไทโอยูราซิล อะมิโนกลูเททิไมด์ (aminoglutethimide)
    ปุ่มไทรอยด์ (thyroid nodule) อาจเป็นปุ่มเดียวหรือหลายปุ่ม ส่วนใหญ่จะสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ได้เป็นปกติ ส่วนน้อยที่สร้างไทรอยด์มากเกิน หรือเป็นคอพอกเป็นพิษ บางรายอาจพบว่าเป็นมะเร็ง
    ถุงน้ำไทรอยด์ (thyroid cyst) มีลักษณะเป็นถุงหุ้มมีน้ำบรรจุอยู่ภายใน ขนาดอาจเล็กกว่า 1 ซม. หรือโตจนแลดูน่าเกลียด บางรายอาจพบว่าเป็นมะเร็ง
    ต่อมไทรอยด์อักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดเรื้อรังจากภูมิต้านตนเอง (Hashimoto’s thyroiditis) ที่มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในเกณฑ์ปกติ (euthyroid) ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของคอพอกธรรมดาได้

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการคอโต (คอพอก) กว่าปกติ โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ไม่อ่อนเพลีย ไม่เหนื่อยง่าย น้ำหนักไม่ลด เป็นต้น แต่ถ้าก้อนโตมาก ๆ อาจทำให้เสียงแหบ กลืนลำบากหรือหายใจลำบากได้

ภาวะแทรกซ้อน

ต่อมไทรอยด์ที่มีขนาดโตมาก ๆ อาจกดหลอดอาหารทำให้กลืนลำบาก ถ้ากดถูกเส้นประสาทกล่องเสียงก็อาจทำให้เสียงแหบได้

ในรายที่มีต่อมไทรอยด์โตขยายลงไปที่หลังกระดูกลิ้นปี่ (substernal goiter) ก็อาจกดหลอดลมทำให้หายใจลำบาก หรือถูกท่อเลือดดำส่วนบน (superior vena cava) ทำให้หน้าแดงคล้ำหน้าบวมได้

ถุงน้ำไทรอยด์ อาจมีเลือดออกในถุงน้ำ ทำให้มีอาการเจ็บปวดและก้อนโตกดอวัยวะข้างใต้ทำให้กลืนลำบาก หรือเสียงแหบ

เด็กที่เกิดจากมารดาที่มีภาวะขาดไอโอดีน อาจเกิดภาวะขาดไทรอยด์ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมอง ทำให้ตัวเตี้ยแคระ หูหนวก เป็นใบ้ และปัญญาอ่อน เรียกว่า สภาพแคระโง่ประจำถิ่น (endemic cretinism) หรือเด็กเครติน (cretin) ซึ่งทางภาคเหนืออันเป็นเขตที่มีความชุกของโรคนี้ นิยมเรียกว่า โรคเอ๋อ (ดูภาวะไทรอยด์เพิ่มเติม)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบต่อมไทรอยด์โตจนคลำได้ชัดเจน

ถ้าเป็นถุงน้ำจะมีลักษณะนุ่มหรือหยุ่น ๆ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือดทดสอบการทำงานของไทรอยด์ (thyroid function test) ได้แก่ ฮอร์โมนไทร็อกซีน และฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) ตรวจเลือดหาระดับสารภูมิต้านทานต่อไทรอยด์ ตรวจระดับไอโอดีนในปัสสาวะ สแกนต่อมไทรอยด์ (thyroid scan) อัลตราซาวนด์ต่อมไทรอยด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้เข็มเจาะ (aspiration) ตรวจเซลล์มะเร็ง ตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

สำหรับคอพอกธรรมดา (ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ปกติ) แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุ ดังนี้

    คอพอกประจำถิ่น (ตรวจพบระดับไอโอดีนในปัสสาวะต่ำ) ให้กินเกลือไอโอดีน (เกลืออนามัย) หรือยาไอโอไดด์ (อาจเป็นชนิดเม็ด หรือชนิดน้ำ เช่น Lugol’s solution) เป็นประจำ

- โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้ลูกที่เกิดมากลายเป็นเด็กเครติน หรือโรคเอ๋อ
- ถ้าคอโตมาก ๆ หรือมีอาการหายใจหรือกลืนลำบาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    คอพอกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งพบในสาววัยรุ่นและหญิงตั้งครรภ์ โดยทั่วไปคอจะโตไม่มาก หรือแทบสังเกตไม่เห็น ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด จะยุบหายได้เอง เมื่อพ้นระยะวัยรุ่นหรือหลังคลอด

- แต่ถ้าคอโตมาก แพทย์จะให้ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ เลโวไทร็อกซีน (levothyroxine) ซึ่งอาจต้องกินนานเป็นปี ๆ ช่วยให้คอยุบได้
- แต่ถ้าคอโตมาก ๆ อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

    ในรายสงสัยว่าเกิดจากยา ควรหยุดยาที่กินหรือเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นแทนก็จะช่วยให้คอยุบหายไปได้เอง
    ปุ่มไทรอยด์ ถ้าเป็นหลายปุ่มที่ไม่มีภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน หรือปุ่มเดี่ยว แพทย์จะทำการตรวจชิ้นเนื้อ (fine needle aspiration biopsy) ถ้าไม่พบว่าเป็นมะเร็ง ก็จะลองติดตามทุก 1-2 เดือน ถ้าก้อนไม่ยุบจะทำการตรวจชิ้นเนื้อซ้ำทุก 2 เดือนอย่างน้อย 3 ครั้ง

ถ้าก้อนไม่ยุบ แพทย์จะให้ฮอร์โมนไทรอยด์ ได้แก่ เลโวไทร็อกซีน (levothyroxine) นาน 6 เดือน ถ้าก้อนยุบลงจะให้ยานานต่อไปประมาณ 2 ปี ถ้าก้อนไม่ยุบก็จะหยุดยา และอาจต้องทำการผ่าตัดถ้าก้อนโตมากหรือมีอาการเสียงแหบ กลืนลำบากหรือหายใจลำบาก

ยานี้ต้องระวังอย่าใช้เกินขนาด อาจทำให้มีอาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะเจ็บแน่นหน้าอก อาเจียนท้องเดิน นอนไม่หลับ มือสั่น น้ำหนักลดได้

    ถุงน้ำไทรอยด์ แพทย์จะใช้เข็มเจาะดูดน้ำและนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง ส่วนน้อยที่อาจพบว่าเป็นมะเร็ง ก็ให้การรักษาแบบมะเร็งไทรอยด์ ส่วนใหญ่จะเป็นถุงน้ำชนิดไม่ร้าย ถ้าก้อนมีขนาดเล็กก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าก้อนขนาดใหญ่จะทำการเจาะดูดน้ำออกแล้วติดตามผลทุก 2-4 สัปดาห์ ถ้าก้อนไม่ยุบอาจเจาะซ้ำหลายครั้ง ถ้าไม่ยุบหรือโตขึ้น ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
    ต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรังจากภูมิต้านตนเอง ในระยะที่มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรติดตามตรวจเลือดเป็นระยะ ถ้าหากพบว่ามีภาวะขาดไทรอยด์ตามมาควรให้ฮอร์โมนไทรอยด์ทดแทน (ดูโรคต่อมไทรอยด์อักเสบ)


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคอโต (คอพอก) กว่าปกติ หรือคลำได้ปุ่มหรือก้อนของไทรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นคอพอกหรือต่อมไทรอยด์โต ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลด หรือคอโตมากขึ้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. สำหรับคอพอกประจำถิ่นที่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน สามารถป้องกันด้วยการกินอาหารทะเลหรือกินเกลือที่ผสมธาตุไอโอดีน (เกลืออนามัย)

2. ในหมู่บ้านที่มีปัญหาคอพอกประจำถิ่น (มีคนที่เป็นคอพอกจากการขาดธาตุไอโอดีนเกิน 10 คนใน 100 คน) ควรมีการรณรงค์ให้ใช้เกลืออนามัยกันทุกครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงที่ตั้งครรภ์ หญิงที่ให้นมบุตร และเด็กเล็ก ๆ เพื่อป้องกันมิให้เด็ก ๆ กลายเป็นเด็กเครติน

ข้อแนะนำ

1. ทุกครั้งที่พบผู้ป่วยคอพอก ควรแยกให้ออกว่าเป็นคอพอกธรรมดา หรือคอพอกเป็นพิษ เพราะการรักษาต่างกัน

โดยทั่วไป คอพอกธรรมดาจะไม่มีอาการผิดปกติของร่างกาย (ยกเว้นคอโต) ส่วนคอพอกเป็นพิษ จะมีอาการแสดงได้หลายอย่าง (ดู "ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน/พิษจากไทรอยด์/คอพอกเป็นพิษ”)

2. ผู้ป่วยที่เป็นคอพอกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย (ที่พบในหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงวัยรุ่น) มักจะไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด และจะยุบหายได้เอง จึงไม่ต้องกังวลใจ

3. หากคอพอกลักษณะเป็นปุ่มแข็งควรส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เนื่องเพราะอาจมีสาเหตุจากมะเร็งไทรอยด์ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นปุ่มเดี่ยว

42
มอเตอร์ไซด์ใหม่ ยามาฮ่า Yamaha YZF R7 ปี 2024
339,000 บาท 

ยามาฮ่า Yamaha YZF R7 ปี 2024
Yamaha YZF-R7 คล่องตัว และหล่อเหลา มอบสมรรถนะสปอร์ตพร้อมความสนุกสนานในชีวิตประจำวัน ด้วยตัวถังที่เพรียวบางและกราฟิกสีน้ำเงิน Icon Blue เจเนอเรชันใหม่ R7 ถือเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของตระกูล R-Series ในตำนาน ด้วยเครื่องยนต์แรงบิดสูง 689 ซีซี และแชสซีขนาดกะทัดรัด R7 จึงเพิ่มมิติใหม่ให้กับประสบการณ์การขับขี่แบบ Supersport มี 3 สี ให้เลือก ได้แก่ สีเทาเมทัลลิก, ไอคอนบลู และ มิดไนท์แบล็ก

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                 Yamaha
   รุ่น                      ยามาฮ่า Yamaha YZF R7 ปี 2024
   ประเภทรถ             รถสปอร์ตขนาดกลาง, Sport Bike
   ปีที่เปิดตัว             2024
   ราคา                   339,000 บาท

สเปค
   รูปแบบเกียร์             เกียร์ธรรมดา
   ระบบเกียร์               6 เกียร์
   รายละเอียดเครื่องยนต์   2 สูบ,4 จังหวะ,DOHC,4 วาล์ว
   ระบบระบายความร้อน     น้ำ
   ระบบสตาร์ท              สตาร์ทไฟฟ้า (มือ)
   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)  689 CC
   แบบเครื่องยนต์           4 จังหวะ
   ระบบจุดระเบิด            T.C.I.
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง     เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, เบนซิน 95
   ระบบจ่ายน้ำมัน              หัวฉีด
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)     13 ลิตร
   ระบบกันสะเทือน           ล้อหน้า เทเลสโคปิกแบบหัวกลับ, ล้อหลัง อลูมิเนียมสวิงอาร์มพร้อมโช้คอัพ
   ระบบเบรค                   ล้อหน้า ดิสก์เบรก (คู่ไฮดรอลิก 298 มม.), ล้อหลัง ดิสก์เบรก (เดี่ยวไฮโดรลิก 245 มม.)
   แบบวงล้อ                   แม็ก
   ขนาดยาง                   ล้อหน้า 120/70 Z R17M/C (58W) เเบบไม่มียางใน, ล้อหลัง 180/55 Z R17M/C (73W) เเบบไม่มียางใน
   ขนาด (ยาวxกว้างxสูง มม.)   2,070 x 705 x 1,160 ความสูงเบาะ 835
   น้ำหนักตัวรถ                    188.00 กก.

43
เช็ก 6 อาการโรคเบาหวาน และ 10 กลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจโรคนี้

การประสบกับอาการเบาหวานเป็นสิ่งที่ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ลำบากมากขึ้น อาการเหล่านั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่รู้และไม่รู้ตัวว่าตนเป็นเบาหวานแล้ว ซึ่งในประเทศไทยเรามีจำนวนผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมาก ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น และไม่ว่าผู้ป่วยแต่ละคนจะป่วยโรคเบาหวานด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม การสังเกตอาการที่ผิดปกติมักเป็นจุดเริ่มต้นที่พาผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษา


6 สัญญาณอาการเบาหวานเริ่มต้น

ผู้ป่วยเบาหวานจะได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงโดยตรง ซึ่งอาการเบาหวานระยะแรกที่สามารถสังเกตได้มีดังต่อไปนี้

    ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เมื่อมีระดับน้ำตาลสูง ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลออกผ่านการปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำไปด้วย จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย คอแห้ง หิวน้ำ
    หิวบ่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อฮอร์โมนอินซูลินไม่สามารถนำเอาน้ำตาลกลูโคสไปส่งให้อวัยวะต่าง ๆ ใช้เป็นพลังงานได้ ร่างกายจะพยายามสลายพลังงานออกมาจากไขมันและกล้ามเนื้อ จึงมีอาการอ่อนเพลีย หิวบ่อย และน้ำหนักลด
    แผลหายยาก มีการติดเชื้อตามผิวหนังง่าย เกิดฝีบ่อย ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรคลดลง จึงติดเชื้อได้ง่าย
    คันตามผิวหนัง อาการนี้มีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น ผิวหนังแห้งเกินไป หรือการอักเสบของผิวหนังซึ่งพบได้บ่อยในผู้เป็นเบาหวาน
    ตาพร่ามัว มีสาเหตุหลายอย่าง เช่น สายตาสั้นลง ตามัวจากน้ำตาลในเลือดคั่งในตา ต้อกระจก หรือจอประสาทตาผิดปกติจากโรคเบาหวาน
    ชาปลายมือปลายเท้า หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เนื่องจากมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมาสักระยะ อาจทำให้เส้นประสาทเสื่อม การรับความรู้สึกลดลง จึงชาหรือไม่รู้สึกเจ็บปวด ทำให้เกิดแผลที่เท้าตามมา


พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการเบาหวาน

เมื่อสังเกตอาการที่ผิดปกติได้ใกล้เคียงกับอาการเบาหวานแล้ว สิ่งที่จะยืนยันความผิดปกตินี้ได้คือการตรวจสุขภาพกับแพทย์โดยปกติผู้ที่ไม่มีโรคเบาหวานก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ 70-99 mg/dl และหลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลมักจะไม่เกิน 140 mg/dl

แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงหรือผลตรวจดังต่อไปนี้อาจแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเสี่ยงหรือเป็นโรคเบาหวาน

    กรณีที่มีอาการของโรคเบาหวาน และมีระดับน้ำตาลในเลือด (ในขณะที่อดอาหารหรือไม่ก็ได้) ตั้งแต่ 200 mg/dl ขึ้นไป
    กรณีที่ไม่มีอาการ แต่ระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนรับประทานอาหารเช้า ตั้งแต่ 126 mg/dl ขึ้นไปอย่างน้อย 2 ครั้ง
    กรณีสงสัยว่าเป็นเบาหวาน (มีอาการของเบาหวาน) แต่ระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนรับประทานอาหารเช้าไม่ถึง 126 mg/dl ให้ตรวจเพิ่มเติมโดยการทดสอบดื่มสารละลายน้ำตาลกลูโคส
    ในกรณีที่ระดับน้ำตาลในเลือด ก่อนรับประทานอาหารเช้าอยู่ระหว่าง 100-125 mg/dl ถือว่ามีระดับน้ำตาลขณะอดอาหารผิดปกติ (Impaired Fasting Plasma Glucose หรือ IFG) ควรตรวจติดตามอาการทุกปี

หมายเหตุ ในการเจาะเลือดตรวจระดับพลาสม่ากลูโคสให้งดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือรับประทานลูกอม (สามารถดื่มน้ำเปล่าได้)

จะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็นเบาหวาน อาการเบาหวานมีอะไรบ้าง


ใครควรตรวจโรคเบาหวาน

ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวาน ดังตัวอย่างที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อแรกควรได้รับการตรวจ

หากอายุไม่เกิน 40 และยังไม่มีอาการของโรคเบาหวาน แต่มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน (ค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 23 สำหรับชาวเอเชีย หรือ มากกว่า 25 สำหรับชาวตะวันตก) ร่วมกับปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานดังต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ข้อ ควรได้รับการตรวจโรคเบาหวาน

    มีญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง
    มีประวัติความทนต่อน้ำตาลบกพร่อง (IGT) หรือระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ (IFG)
    เคยคลอดบุตรทีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4 kg
    เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
    มีความดันโลหิตสูงหรือรักษาความดันโลหิตสูงอยู่
    ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ไขมันดี HDL น้อยกว่า 35 mg/dl และ/หรือ ไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 250 mg/dl)
    มีโรคหลอดเลือดตีบแข็ง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดส่วนปลายที่เท้าตีบ
    มีโรคหรือลักษณะบ่งว่ามีภาวะดื้อต่ออินซูลิน เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome หรือ PCOS) ผิวหนังหนาและดำบริเวณต้นคอ หรือรักแร้ (Acanthosis nigricans)
    ไม่ได้ออกกำลังกาย
    มีเชื้อชาติที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคเบาหวาน เช่น ชาวอินเดีย ชาวหมู่เกาะแปซิฟิก

ในผู้ที่มีผลตรวจปกติ ควรมีการตรวจซ้ำทุก ๆ 3 ปี หรือตามความเหมาะสมที่แพทย์แนะนำ


โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหากละเลยอาการเบาหวาน

หากกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับโรคเบาหวานแล้วไม่ได้รับการตรวจ และการรักษาเบาหวานอย่างเหมาะสม ในระยะยาวอาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงได้


โรคแทรกซ้อนฉับพลัน

หมายถึงอาการผิดปกติจะเกิดรวดเร็ว รุนแรง ต้องรักษาอย่างรีบด่วน ได้แก่

    ภาวะหมดสติจากน้ำตาลสูงมาก (อาจมีหรือไม่มีกรดคีโตนคั่งในเลือด )
    ภาวะหมดสติจากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
    การติดเชื้อ


โรคแทรกซ้อนเรื้อรัง

โรคแทรกซ้อนมักเกิดหลังจากเป็นเบาหวานมานาน โดยมีการตีบแข็งและอุดตันของหลอดเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งอาจทำไปสู่โรคอันตรายที่สำคัญได้แก่

    หลอดเลือดที่หัวใจตีบ โอกาสเป็นโรคหัวใจ 2-4 เท่าของคนทั่วไป
    หลอดเลือดที่สมองอุดตัน โอกาสเป็นโรคอัมพาต 5 เท่าของคนทั่วไป
    หลอดเลือดที่ไตเสื่อม โอกาสเกิดโรคไตวายขั้นสุดท้าย 20 เท่าของคนทั่วไป
    ตา เลนส์ตาและจอประสาทตาเสื่อม เบาหวานขึ้นตา โอกาสเกิดตาบอด 25 เท่าของคนทั่วไป
    โรคหลอดเลือดตีบที่เท้าและเส้นประสาทส่วนปลายเสื่อม ทำให้การรับความรู้สึกผิดปกติซึ่งเป็นผลให้เกิดแผลที่เท้าได้ง่าย ในบางรายเป็นเหตุให้ต้องตัดขาในที่สุด
    ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม เป็นเหตุให้มีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด ระบบย่อยอาหารและขับถ่ายผิดปกติ สมรรถภาพทางเพศลดลง

หากใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติแล้วสังเกตถึงอาการแปลก ๆ และคล้ายคลึงกับอาการของผู้ป่วยเบาหวาน การตัดสินใจไปพบแพทย์เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยเราคัดกรองและยืนยันว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่

44
จัดฟันบางนา: จัดฟันได้สบายโดยไม่มีเหล็กจัดฟันมาคอยให้ยุ่งยากรำคาญ

 ในปัจจุบันนี้การเข้ารับการจัดฟัน ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน หลายคนมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันจนทำให้เกิดฟันผุ จนนำไปสู่การสูญเสียฟันได้ ซึ่งการสูญเสียฟันนั้นจะทำให้เกิดการผิดปกติของฟันหลายอย่าง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายตามมา หากไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งการที่เราสูญเสียฟันนั้น จะทำให้เรามีอาการฟันห่างฟัน ซ้อนเก ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด อาจจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมได้

ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงนิยมใช้วิธีการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติ โดยการจัดฟันนั้น แน่นอนว่า มีด้วยกันหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันแบบเครื่องมือแบบติดแน่น แบบที่เราเห็นกันทั่วไป การจัดฟันแบบใส การจัดฟันแบบเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าการจัดฟันในรูปแบบต่างๆก็จะมีผลการรักษาที่แตกต่างกันออกไปและสามารถแก้ไขปัญหาได้แตกต่างกัน สำหรับจุดประสงค์ของการเข้ารับการจัดฟันแน่นอนว่า

ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันจะต้องอยากมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ ถ้าหากพูดถึงเรื่องของความสวยงามที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ก็ต้องหนีไม่ผลการจัดฟันแบบใส เพราะ การจัดฟันแบบใสนั้น แน่นอนว่าจะไม่มีเครื่องมือการจัดฟันติดอยู่ภายในช่องปาก  ถือว่ามีความสะดวกสบายแก่ผู้เข้ารับการจัดฟันมากเลยทีเดียว สำหรับการจัดฟันแบบใสนั้น สามารถตอบโจทย์หลายสไตล์ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

เนื่องจากการจัดฟันแบบใสจะใช้เครื่องมือที่สามารถถอดออกได้ ใช้ในการแก้ไขปัญหาและช่วยทำหน้าที่เคลื่อนตัวฟันไปยังตำแหน่งที่ทันตแพทย์ได้กำหนดไว้ ก็จะทำให้ฟันของผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสมีความสวยงาม มีรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติ ปราศจากเหล็กอยู่ภายในช่องปาก ไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้เข้ารับการจัดฟัน

 โดยส่วนใหญ่แล้วผู้เข้ารับการจัดฟันมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับบุคลิกภาพ และบาดแผลภายในช่องปาก เนื่องจากมีเหล็กจัดฟันอยู่ภายในช่องปากทำให้เราติดนิสัยที่ผิดปกติ เช่น ใช้ลิ้นดุนเหล็กจัดฟัน อาจจะทำให้เกิดการระคายเคือง ทำให้เกิดแผลในช่องปากได้ ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อย สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟัน แต่ต้องบอกว่าการจัดฟันแบบใสนั้นจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสะดวกสบายเนื่องจากสวมใส่ได้อย่างง่ายดายและถอดออกได้

ขณะรับประทานอาหาร ซึ่งตอบโจทย์ต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะไม่ต้องมีเหล็กหรือลวดจัดฟันมาคอยทำให้ยุ่งยากรำคาญ ทำให้รับประทานอาหารได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การจัดฟันแบบใส จึงให้ความสบายสูงสุด และเพราะว่าผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถถอดมันได้ทุกเมื่อ มีอิสระสูงสุดที่จะรับประทานอาหารจานโปรดจานไหนๆได้อย่างเต็มที่

โดยไม่ต้องกังวลว่าเหล็กจะหลุดขณะรับประทานอาหาร รวมไปถึงการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันก็สามารถใช้ได้สะดวก และสะอาดทุกซอกทุกมุม จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถมีรอยยิ้มสวยสดใส ไม่ต้องพะวงหรือเก็บซ่อนรอยยิ้มนั้นไว้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากคุณสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์และเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษา และทันตแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันแบบใส มีประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมอย่างยาวนาน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างตรงจุด

นอกจากนี้ คลินิกของเรายังได้รับการรับรองสูงสุดจาก  invisalign ให้สามารถให้บริการทางด้านการจัดฟันแบบใส ได้อย่างปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล จึงทำให้ผู้เข้ารับการรักษาทุกคนมั่นใจได้ว่า คุณจะได้รับการรักษาที่มีความปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือได้อย่างแน่นอน เพราะเราอยากให้ทุกคนมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ เพื่อที่จะได้ ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

45
คอนโดติดรถไฟฟ้า ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153)
เริ่มต้น 1.89 ลบ.

ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153)
เตรียมพบกับ PREMIUM CONDO เลี้ยงสัตว์ได้ ใกล้เตรียมน้อมฯ 130 เมตร ถึง MRT น้อมเกล้า เร็วๆ นี้

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153)
 เจ้าของโครงการ         ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
 แบรนด์ย่อย               ออริจิ้น เพลส
 ราคา                      เริ่มต้น 1.89 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล             คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะกรรมสิทธิ์      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ขนาดห้องที่มี           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 เนื้อที่ทั้งหมด           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนตึก               โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนชั้น              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้อง            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ที่จอดรถทั้งหมด        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       รามคำแหง, บางกะปิ, เสรีไท
 ที่ตั้ง       แขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร 10240

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                     ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีส้ม, สถานี(ตลิ่งชัน - สุวินทวงศ์)(น้อมเกล้า)
 สถานที่สำคัญใกล้เคียง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ปีที่สร้างเสร็จ                โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

46
ก่อนตัดสินใจ ใช้ผ้ากันไฟในโรงงาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านใดบ้าง

ก่อนตัดสินใจใช้ผ้ากันไฟในโรงงาน เพื่อให้มั่นใจว่าการเลือกและการติดตั้งเหมาะสมกับความเสี่ยงและข้อกำหนดของโรงงาน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ดังนี้ครับ:

1. ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (Safety and Occupational Health Specialist):

การประเมินความเสี่ยงอัคคีภัย: ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จะสามารถประเมินความเสี่ยงในการเกิดอัคคีภัยในแต่ละพื้นที่ของโรงงานได้อย่างละเอียด ระบุประเภทของไฟที่อาจเกิดขึ้น และให้คำแนะนำเกี่ยวกับจำนวนและตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งผ้ากันไฟ
การวางแผนฉุกเฉิน: พวกเขาสามารถช่วยบูรณาการการใช้ผ้ากันไฟเข้ากับแผนฉุกเฉินของโรงงาน รวมถึงขั้นตอนการดับไฟเบื้องต้นและการอพยพ
การฝึกอบรมพนักงาน: พวกเขามีความรู้ในการออกแบบและดำเนินการฝึกอบรมการใช้งานผ้ากันไฟและอุปกรณ์ดับเพลิงอื่นๆ ให้กับพนักงานอย่างถูกต้องและปลอดภัย
การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน: พวกเขาจะทราบถึงกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยด้านอัคคีภัยที่เกี่ยวข้อง และสามารถให้คำแนะนำเพื่อให้โรงงานปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง


2. วิศวกรดับเพลิง (Fire Protection Engineer):

การออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัย: วิศวกรดับเพลิงมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัยโดยรวมของโรงงาน ซึ่งรวมถึงการพิจารณาความเหมาะสมของการใช้ผ้ากันไฟร่วมกับอุปกรณ์ดับเพลิงอื่นๆ เช่น ถังดับเพลิง สัญญาณเตือนภัย และระบบสปริงเกอร์
การเลือกชนิดและขนาดของอุปกรณ์: พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับชนิดและขนาดของผ้ากันไฟที่เหมาะสมกับประเภทของไฟและลักษณะการใช้งานในโรงงาน
การติดตั้งตามมาตรฐาน: พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงต่างๆ รวมถึงผ้ากันไฟ เพื่อให้มั่นใจว่าติดตั้งอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ


3. ผู้จำหน่ายหรือผู้ผลิตผ้ากันไฟที่มีความน่าเชื่อถือ:

ข้อมูลผลิตภัณฑ์: ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับคุณสมบัติ วัสดุ มาตรฐาน และอายุการใช้งานของผ้ากันไฟแต่ละชนิด
คำแนะนำในการเลือกซื้อ: พวกเขาสามารถช่วยแนะนำผ้ากันไฟที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของโรงงาน
บริการหลังการขาย: บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือมักมีบริการหลังการขายที่ดี เช่น การให้คำแนะนำในการติดตั้ง การบำรุงรักษา และการเปลี่ยนเมื่อหมดอายุ


4. เจ้าหน้าที่ดับเพลิงในพื้นที่ (Local Fire Department):

ข้อกำหนดและคำแนะนำ: เจ้าหน้าที่ดับเพลิงในพื้นที่อาจมีข้อกำหนดหรือคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยในโรงงาน
การให้ความรู้และฝึกอบรม: บางครั้งหน่วยงานดับเพลิงอาจมีโครงการให้ความรู้หรือฝึกอบรมเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัยเบื้องต้น


โดยสรุป:

เพื่อให้การตัดสินใจใช้ผ้ากันไฟในโรงงานเป็นไปอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และวิศวกรดับเพลิง เป็นหลัก เพื่อประเมินความเสี่ยง วางแผนการติดตั้ง และบูรณาการเข้ากับระบบป้องกันอัคคีภัยโดยรวม นอกจากนี้ การขอคำแนะนำจากผู้จำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือและหน่วยงานดับเพลิงในพื้นที่ ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ

47
จัดฟันบางนา: การสูบบุหรี่ ส่งผลต่อการจัดฟันแบบใส !

การสูบบุหรี่ถือเป็นการทำลายสุขภาพเป็นอย่างมาก ไม่แม้แต่สุขภาพกายแต่จะส่งผลถึงสุขภาพของช่องปากด้วย ในบางรายอาจจะทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งการสูบบุหรี่ของผู้เข้ารับการรักษาจะส่งผลโดยตรงต่อช่องปาก และยังทำให้เกิดกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์และทำให้เกิดคราบบนผิวฟันอีกด้วย ซึ่งจะทำให้เสียบุคคลิกภาพ

ถ้าหากผู้ที่เข้ารับการรักษาเป็น ผู้ที่สุบบุหรี่สามารถเข้ารับการักษาแบบปกติเพียงได้ แต่ระหว่างที่เข้ารับการรักษาแนะนำให้ถอดเครื่องมือการจัดฟันออกทุกครั้งที่สุบบุหรี่ เนื่องจากคราบนิโคตินจากบุหรี่อาจจะทำให้เครื่องมือจัดฟันแบบใสเปลี่ยนสี เกิดคราบเหลืองและอาจจะทำให้เครื่องมือมีกลิ่นได้

ทั้งนี้ก่อนการรักษา ผู้เข้ารับการรักษาควรแจ้งทันตแพทย์ก่อนเข้ารับการจัดฟันว่า ผู้เข้ารับการรักษาสูบบุหรี่ เพื่อที่จะได้วางแผนการรักษาและทำการตรวจช่องปากอย่างละเอียดก่อนเข้ารับการรักษา โดยทางคลีนิค มีทีมทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์ยาวนาน คอยให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการจัดฟันแบบใส เพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาเกิดความมั่นใจก่อนการเข้ารับการจัดฟัน

48
หมอประจำบ้าน: มะเร็งไทรอยด์ (Thyroid cancer)

มะเร็งไทรอยด์ เป็นโรคที่พบได้ในคนทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่จะพบมากในคนอายุ 20-40 ปี และ 50-70 ปี พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

ปัจจุบันมีแนวโน้มพบมะเร็งไทรอยด์ได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เหตุผลส่วนหนึ่งคือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยให้สามารถตรวจพบโรคตั้งแต่เริ่มก่อตัวเป็นมะเร็งขนาดเล็ก ๆ

มะเร็งไทรอยด์สามารถแบ่งเป็นหลายชนิด ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันไป ที่พบได้บ่อย ได้แก่

    มะเร็งไทรอยด์ชนิดแพพิลลารี (papillary) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด (ประมาณร้อย 70 ของมะเร็งไทรอยด์) พบมากในคนอายุ 20-40 ปี กับในวัยสูงอายุ และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-3 เท่า ก้อนมะเร็งจะโตช้า และมีความรุนแรงน้อย หลังการรักษาด้วยการผ่าตัด จะมีโอกาสมีชีวิตยืนยาวหรือหายขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าก้อนมะเร็งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 2 ซม.
    มะเร็งไทรอยด์ชนิดฟอลลิคูลาร์ (follicular) ซึ่งพบได้ ประมาณร้อยละ 15 ของมะเร็งต่อมไทรอยด์ มักพบในผู้สูงอายุ จะมีความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงมาก ถ้าเป็นชนิดรุนแรงมาก อาจลุกลามไปยังปอด กระดูกและสมอง และบางครั้งทำให้เกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน

ส่วนอีก 2 ชนิดพบได้ค่อนข้างน้อย ได้แก่ ชนิดเมดุลลารี (medullary) และชนิดอะนาพลาสติก (anaplastic) จะมีความรุนแรงสูง ก้อนมะเร็งจะโตเร็วและแพร่กระจายง่าย พบมากในผู้สูงอายุ ชนิดเมดุลลารีอาจมีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นด้วย


สาเหตุ

ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ

ส่วนน้อยอาจเกิดจากการสัมผัสรังสี ซึ่งอาจพบในมะเร็งชนิดแพพิลลารี และฟอลลิคูลาร์ (เช่น ได้รับรังสีบำบัดที่บริเวณคอมาก่อน การรับรังสีจากอุบัติเหตุ) บางรายอาจสัมพันธ์กับปัจจัยทางกรรมพันธุ์ คือพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นมะเร็งไทรอยด์ (เช่น กรณีที่เป็นมะเร็งไทรอยด์ชนิดเมดุลลารี)


อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการคอพอก (คอโต) หรือเป็นปุ่มเนื้อของต่อมไทรอยด์ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นก้อนแข็งชนิดเดี่ยว ๆ  ส่วนน้อยอาจเป็นหลายก้อน มักมีลักษณะติดแน่นกับเนื้อเยื่อโดยรอบ ขยับไปมาไม่ค่อยได้ และไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่มีเลือดออกซึมเข้าไปในก้อนมะเร็ง อาจทำให้มีอาการเจ็บปวดคล้ายต่อมไทรอยด์อักเสบได้

บางรายอาจมีอาการเสียงแหบ กลืนลำบาก หรือมีต่อมน้ำเหลืองข้างคอโตร่วมด้วย

ในรายที่ก้อนโตเร็ว อาจโตกดท่อลมหรือหลอดอาหาร ทำให้หายใจลำบากหรือกลืนลำบาก

ต่อมไทรอยด์ของผู้ป่วยส่วนมากยังหลั่งฮอร์โมนได้ตามปกติ มักไม่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินหรือภาวะขาดไทรอยด์

บางรายอาจไม่สังเกตเห็นความผิดปกติชัดเจน เนื่องจากก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก แต่แพทย์ตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพหรือผู้ป่วยไปพบแพทย์ด้วยโรคอื่น


ภาวะแทรกซ้อน

เซลล์มะเร็งอาจแพร่กระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอและประจันอก (mediastinum) หรือแพร่ผ่านกระแสเลือดไปที่สมอง ตับ ปอด และกระดูก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

คลำพบต่อมไทรอยด์โตเป็นปุ่มหรือก้อนแข็ง หรือมีลักษณะโตเร็ว หรือติดแน่นกับเนื้อเยื่อโดยรอบ บางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอโตร่วมด้วย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ (T4, free T4) และฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ในเลือด การตรวจอัลตราซาวนด์ต่อมไทรอยด์ การตรวจสแกนต่อมไทรอยด์ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ต่อมไทรอยด์ การตรวจชิ้นเนื้อไทรอยด์โดยการใช้เข็มเจาะดูด (fine needle aspiration biopsy)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะทำการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ และให้ฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อลดการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นไทรอยด์ (TSH) ซึ่งมีส่วนกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ในบางรายอาจต้องให้สารไอโอดีนกัมมันตรังสี (I131) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลือจากการผ่าตัด

ในรายที่เป็นชนิดรุนแรง หรือรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล แพทย์จะให้การรักษาด้วยรังสีบำบัด (การฉายรังสี) และ/หรือ เคมีบำบัด

ผลการรักษาขึ้นกับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค

สำหรับมะเร็งไทรอยด์ชนิดแพพิลลารี  ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด และมีความรุนแรงน้อย หลังการรักษาด้วยการผ่าตัด จะมีโอกาสมีชีวิตยืนยาวหรือหายขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าก้อนมะเร็งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 2 ซม.


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น คลำได้ก้อนไทรอยด์ หรือต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอ มีอาการเสียงแหบ หรือกลืนลำบากควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งไทรอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น น้ำหนักลด เจ็บคอ เสียงแหบ คอโตมากขึ้น มือจีบเกร็งหรือกล้ามเนื้อเป็นตะคริว
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งไทรอยด์ชนิดเมดุลลารี เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว แพทย์จะทำการตรวจสารพันธุกรรม ถ้าพบว่ามียีน (พันธุกรรม) ของมะเร็งชนิดนี้ แพทย์อาจทำการผ่าตัดไทรอยด์เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็ง


ข้อแนะนำ

1. ถ้าพบคอพอกมีลักษณะเป็นปุ่มหรือก้อนแข็ง เสียงแหบ กลืนลำบากหรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอโตร่วมด้วย ควรสงสัยว่าเป็นมะเร็งของไทรอยด์ และควรไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

2. มะเร็งไทรอยด์ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่โตช้าและรุนแรงน้อย เมื่อได้รับการผ่าตัดร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ก็มักหายขาดหรือมีชีวิตยืนยาว

3. อาการต่อมไทรอยด์โตเป็นก้อนเฉพาะแห่ง (โดยส่วนอื่น ๆ ของต่อมไทรอยด์เป็นปกติ) มีเพียงส่วนน้อยที่อาจเป็นมะเร็ง ส่วนมากจะมีสาเหตุที่ไม่ร้ายแรง เช่น ถุงน้ำไทรอยด์ (thyroid cyst) ซึ่งจะมีลักษณะค่อนข้างนุ่ม หรืออาจเป็นเนื้องอกไทรอยด์ (thyroid adenoma) ซึ่งมีลักษณะไม่แข็งมาก บางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินร่วมด้วย

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีก้อนที่คอ ควรแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ทุกราย และเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าไม่ใช่มะเร็ง ก็ขอให้สบายใจได้ การรักษาก้อนของต่อมไทรอยด์ที่ไม่ใช่มะเร็ง ถ้าก้อนขนาดเล็กอาจไม่ต้องทำอะไร ถ้าก้อนโตมากอาจต้องผ่าตัด

49
ซ่อมบำรุงอาคาร: การติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นให้ปลอดภัยต่อการใช้งาน

บ้านของเรา ถือว่าเป็นที่พักอาศัยที่เป็นปัจจัยสำคัญ เป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัยและเป็นที่พักผ่อนของเรา ดังนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความสะดวกสบายกับผู้อยู่อาศัย นอกจากจะให้สบายแล้ว ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพของคนในบ้านด้วย หากเราพูดถึงเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกหนึ่งชิ้นที่สำคัญที่จะต้องมีแทบทุกบ้าน เพราะน้ำเย็น ๆ ที่ส่งผ่านฝักบัวมาในยามเช้าหรือกลางดึก

อาจจะทำให้การอาบน้ำของทุกวันเป็นเรื่องยากลำบาก ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวัน และความต้องการของแต่ละคน บางคนก็ชอบอาบน้ำเย็นเพื่อให้รู้สึกสดชื่น แต่ในขณะที่หลายคนก็ชอบอาบน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายร่างกายจากความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ดังนั้น ตัวช่วยที่ดีก็คงหนีไม่พ้นเครื่องทำน้ำอุ่น ยิ่งในช่วงหน้าหนาว หากขาดเครื่องทำน้ำอุ่นไป ก็คงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ในปัจจุบันเครื่องทำน้ำอุ่นสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าและท้องตลาดทั่วไป

มีราคาที่ไม่แพงและสามารถติดตั้งได้ด้วยตนเอง แต่ในขั้นตอนการติดตั้งนั้น ก็ต้องอยู่ในพื้นฐานของความปลอดภัย หากติดตั้งไม่ถูกวิธีอาจจะทำอันตรายต่อชีวิตได้เลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นให้ปลอดภัยต่อการใช้งาน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนที่อยากจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยตัวเองให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานมากที่สุด

 
หากเราจะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นสักเครื่องภายในบ้านของเรา อย่างแรกคือต้องเข้าใจเกี่ยวกับระบบต่างของมันก่อน เพราะเครื่องทำน้ำอุ่น เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานควบคู่กับไปกับฝักบัวหรือก๊อกน้ำ โดยตัวเครื่องเป็นตัวกลางเปลี่ยนน้ำเย็น ๆ ให้อุ่นหรือร้อนขึ้นด้วยฮีตเตอร์ สามารถปรับอุณภูมิจากตัวเครื่องได้ เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้านและคอนโด เพราะมีขนาดเล็กกะทัดรัด ติดตั้งง่าย ช่วยให้การอาบน้ำได้ง่ายขึ้นในวันที่อากาศเย็น หรือน้ำเย็นจนเกินไป ทั้งยังทำให้ร่างกายตื่นตัว รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด


รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ สำหรับวิธีการติดตั้ง เรามักจะเห็นคำเตือนจากสติ๊กเกอร์ที่ติดมากับตัวเครื่องว่าควรติดตั้งสายดิน ก่อนอื่นเราควรศึกษาวิธีการติดตั้งจากคู่มือติดตั้งที่มาพร้อมกับเครื่อง เปิดฝาเครื่องทำน้ำอุ่น เพื่อตรวจสอบอุปกรณ์ จุดต่อสายไฟ และจุดติดตั้งกับผนัง และกำหนดตำแหน่งที่จะติดตั้ง โดยคำนึงถึงตำแหน่งที่สะดวกในการเชื่อมต่อกับก๊อกน้ำ และการเดินสายไฟ ควรสูงจากพื้นประมาณ 1.6 เมตร และตำแหน่งด้านขวาของฝักบัว ปิดเบรกเกอร์ที่ตู้ควบคุม เพื่อความปลอดภัยในการทำงาน

 
เดินสายไฟและสายดิน ไปยังจุดติดตั้งและควรติดตั้งเบรกเกอร์อีกตัวหน้าห้องน้ำ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ควรเลือกขนาดของสายไฟต้องได้มาตรฐาน และทำการเจาะผนังด้วยสว่าน ตอกพุกเข้าไปที่ผนัง แขวนเครื่องทำน้ำอุ่นเข้ากับสกรูที่ผนังให้แข็งแรงต่อสายไฟ และต่อสายดิน เข้ากับจุดต่อภายในเครื่องทำน้ำอุ่น หลังจากนั้นต่อสายน้ำดีเข้าเครื่อง ตามตำแหน่งน้ำเข้า แล้วต่อสายฝักบัวเข้าทางน้ำออก เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ควรเปิดน้ำเพื่อทดสอบการไหลของน้ำให้มีแรงดันปกติ และตรวจสอบการรั่วซึมต่าง ๆ


เปิดระบบไฟ เพื่อทดสอบการทำงานของเครื่องทำน้ำอุ่นว่าไฟสถานะการทำงานขึ้นปกติหรือไม่ และอุณหภูมิน้ำสูงตามระดับที่ปรับ กดปุ่ม Test อุปกรณ์ป้องกันไฟดูด ถ้าปกติเครื่องก็จะดับทันที เสร็จแล้วก็กด RESET เพื่อให้เครื่องทำงานตามปกติ ถ้ากด TEST แล้วพบว่าเครื่องไม่ดับต้องทำการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาก่อนการใช้งาน เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถใช้เครื่องทำน้ำอุ่นได้อย่างสบายใจและปลอดภัยได้อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในห้องน้ำซึ่งเสี่ยงจะเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ง่าย

 
ดังนั้น เวลาเลือกซื้อจึงต้องคำนึงถึงระบบความปลอดภัยของตัวเครื่องเป็นหลัก ตามมาตรฐานความปลอดภัยควรมีเครื่องป้องกันไฟฟ้ารั่วพร้อมคู่มือการใช้งาน ตัวเครื่องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ มีใบรับรองคุณภาพ พร้อมเครื่องหมาย มอก. หากจะให้ดีควรมีฉลากกำกับแสดงรายละเอียดสินค้า ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายที่เห็นข้อความชัดเจนและครบถ้วนด้วย
 
 
หรือถ้าหากอยากติดตั้งแต่ไม่ชัวร์ว่าจะปลอดภัยหรือไม่ สามารถติดต่อทางเราได้ เพราะเรามีบริการติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น รวมไปถึงบริการการจัดการน้ำต่างๆทั้งตามบ้านเรือนและอาคารสถานที่ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการออกแบบและติดตั้งระบบปั๊ม ระบบสุขาภิบาล มีทีมช่างเฉพาะทางที่พร้อมจะเข้าไปดูแล บำรุงรักษา ในส่วนของการจัดการระบบน้ำประปาและระบบสุขาภิบาลได้อย่างมีคุณภาพ เพราะคำนึงในเรื่องของความปลอดภัยของลูกค้า เพื่อให้มีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันและมีคุณภาพชีวิตและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี

50
Doctor At Home: นิ่วกระเพาะปัสสาวะ (Vesical calculus/Bladder stone)

นิ่วกระเพาะปัสสาวะ (นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ก็เรียก) เป็นโรคที่พบได้บ่อยทางภาคอีสานและภาคเหนือ พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบมากในเด็กผู้ชายอายุต่ำกว่า 10 ปีในหมู่ชาวชนบทที่ยากจน ทั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารของประชาชนในท้องถิ่นเหล่านี้ (เช่น การป้อนข้าวเหนียวหรือข้าวย้ำแก่ทารกเล็ก ๆ โดยได้รับอาหารโปรตีนจำนวนน้อย)

สาเหตุ

จากการศึกษาของศูนย์วิจัยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่านิ่วกระเพาะปัสสาวะที่พบในภาคอีสานและภาคเหนือ มีสาเหตุจากการขาดสารฟอสเฟต ซึ่งมีมากในอาหารประเภทโปรตีน ร่วมกับการกินผักที่มีสารออกซาเลต (oxalate) สูง และดื่มน้ำน้อย ทำให้มีการสะสมของผลึกของสารแคลเซียมออกซาเลตในกระเพาะปัสสาวะ จนกลายเป็นก้อนนิ่วในที่สุด

นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ในคนทั่วไปยังอาจพบนิ่วกระเพาะปัสสาวะร่วมกับภาวะอุดกั้นของท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน (cystocele) กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงานเนื่องจากเป็นอัมพาต (neurogenic bladder) เป็นต้น

ก้อนนิ่วอาจมีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่ขนาดเท่าเม็ดทรายจนถึงส้มโอ


อาการ

เนื่องจากก้อนนิ่วลงไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกระปรอย ปวดเบ่งคล้ายว่ายังถ่ายไม่สุด ปัสสาวะสะดุดและออกเป็นหยด

บางรายอาจปัสสาวะออกเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ หรืออาจถ่ายเป็นก้อนนิ่ว หรือเม็ดกรวดทรายเล็ก ๆ หรือปัสสาวะขุ่นขาวเหมือนมีผงแป้งปน

ถ้าก้อนนิ่วตกลงไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อยมาก ปัสสาวะไม่ออก และมีปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ

ภาวะแทรกซ้อน

มักทำให้มีอาการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะจากการติดเชื้อ ซึ่งถ้าปล่อยไว้เรื้อรังอาจกลายเป็นกรวยไตอักเสบและไตวายได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

การตรวจร่างกายมักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นบางรายอาจพบปัสสาวะมีลักษณะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ และถ้าจำเป็นอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (cystoscopy)


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. แพทย์จะนำเอานิ่วออก ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้

    การใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ (transurethral cystolitholapaxy) เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ใช้เครื่องมือทำให้นิ่วแตกละเอียดแล้วให้ปัสสาวะชะออกมา
    การใช้เครื่องสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy/ESWL)
    การผ่าตัด สำหรับนิ่วก้อนใหญ่หรือใช้วิธีอื่นไม่ได้ผล

2. ในรายที่มีสาเหตุชัดเจน ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน (cystocele)

ผลการรักษา เมื่อเอานิ่วออกมาได้ก็จะหายเป็นปกติ แต่ในรายที่มีสาเหตุของการเกิดนิ่วแล้วไม่ได้แก้ไข ก็อาจเกิดนิ่วก้อนใหม่ในเวลาต่อมาได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ปัสสาวะสะดุดและออกเป็นหยด ปัสสาวะออกเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ ถ่ายเป็นก้อนนิ่ว หรือเม็ดกรวดทรายเล็ก ๆ หรือปัสสาวะขุ่นขาวเหมือนมีผงแป้งปน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นนิ่วกระเพาะปัสสาวะ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการไข้ ขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกะปรอย หรือปัสสาวะขุ่นหรือเป็นเลือด
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    รับประทานอาหารประเภทโปรตีน (เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ซึ่งมีปริมาณของสารฟอสเฟตสูง
    ลดการกินผักที่มีสารออกซาเลต (เช่น ผักแพว ผักโขม ชะพลู ใบมันสำปะหลัง หน่อไม้ ผักสะเม็ด ผักกะโดน เป็นต้น)
    ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) ระวังอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ 
    รักษาโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของนิ่วกระเพาะปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน เป็นต้น

ข้อแนะนำ

อาการขัดเบาหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด นอกจากนิ่วแล้วยังอาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากโต เนื้องอกหรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น (ตรวจอาการ "ปัสสาวะลำบาก/ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย/ปัสสาวะขัด/ปัสสาวะบ่อย") และ (ตรวจอาการ "ปัสสาวะขุ่น/มีสีผิดปกติ") เพิ่มเติม

หน้า: [1] 2 3 4 5 6 ... 15