ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ตะวัน

หน้า: [1] 2 3 4
1
การไหว้แม่ย่านางรถนับเป็นอีกหนึ่งพิธีการที่ผู้ขับขี่รถยนต์หลายคนมีความเชื่อว่า จะช่วยเสริมสิริมงคลให้สามารถเดินทางบนท้องถนนได้อย่างปลอดภัย ปราศจากภยันตรายต่างๆ ที่อาจเข้ามาส่งผลกระทบต่อรถยนต์จนอาจสร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินของผู้ขับขี่ได้ แล้วการไหว้แม่ย่านางรถจะต้องใช้อะไรบ้าง
 
แม่ย่านางคือใคร

ข้อมูลจากเว็บไซต์ศิลปะวัฒนธรรม (https://www.silpa-mag.com/history/article_59176) ระบุว่า “แม่ย่านาง” เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยนิยมกราบไหว้บูชาในฐานะผู้คุ้มครองป้องกันภยันตรายประจำพาหนะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรือ รถยนต์ เครื่องบิน เนื่องจากสังคมไทยมีความเชื่อเรื่อง “ขวัญ” มีการทำขวัญสัตว์พาหนะ เช่น ทำขวัญช้าง ทำขวัญควาย, รวมถึงการทำขวัญพาหนะ เพื่อให้เป็นสิริมงคล คุ้มครองป้องกันภยันตราย และเป็นการกราบไหว้บูชาขอขมาเทพารักษ์ที่สถิตอยู่ในต้นไม้มาทำเป็นพาหนะ เช่น การทำขวัญเกวียน การทำขวัญเรือ การทำขวัญราชรถ-ราชยาน
 
ไหว้แม่ย่านางวันไหนดี

คนไทยส่วนใหญ่นิยมไหว้แม่ย่านางช่วงวันสงกรานต์ ในวันที่ 15 เมษายนซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยตามแบบโบราณ บางคนอาจนิยมไหว้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือทุกวันพระ ขึ้น 15 ค่ำ แต่ถ้าหากไม่สะดวกในวันดังกล่าว ก็จะถือฤกษ์ตามที่ตนเองสะดวก โดยรถยนต์และรถจักรยานยนต์จะนิยมไหว้กันปีละครั้ง แต่สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับรถ เช่น รถเครน รถบรรทุก รถทัวร์ เป็นต้น ก็ควรไหว้แม่ย่านางปีละ 2 ครั้ง โดยเวลาที่เป็นมงคลแก่การไหว้มักจะเป็นช่วงเช้าประมาณ 07.09 น. แต่จะไม่เกิน 10.09 น.

ของไหว้และผลไม้ไหว้แม่ย่านาง

การเตรียมของไหว้ หรือผลไม้ไหว้แม่ย่านางรถ แต่ละภาคแต่ละจังหวัดจะมีความแตกต่างกันตามขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละพื้นที่ แต่ของไหว้ที่จำเป็นต้องมีหลักๆ ก็จะมีดังต่อไปนี้

–   ผลไม้ไหว้แม่ย่านางรถ ควรเป็นผลไม้มงคล 5 ชนิด ได้แก่ กล้วยน้ำว้าสุก 2 หวี และผลไม้อื่น ๆ อีก 4 อย่าง
–   ข้าว 1 ถ้วย
–   น้ำ 1 แก้ว (ขวดใหม่)
–   หมาก, พลู และยาเส้นสีฟัน 3 คำ
–   ยาสูบ 3 มวน
–   ธูป 9 ดอก
 
ผลไม้มงคล 5 อย่าง สำหรับไว้แม่ย่านางรถ

1.   สับปะรด ตรงกับคำว่า “อั่งไล้” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า เรียกสีแดงมา ซึ่งหมายถึงการเรียกโชคลาภ เงินทองและความเป็นสิริมงคลให้เข้ามาหาตนเอง และสัปปะรถ ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ชาวจีนนำไปดัดแปลงเป็นโคม สำหรับไว้แขวนแต่งบ้านช่วงตรุษจีนด้วย

2.   แก้วมังกร เป็นผลไม้สีแดง ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นสีมงคล และนับถือมังกรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ใช้แทนความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวย ถ้าหากเป็นพันธุ์เนื้อแดง ก็จะยิ่งเพิ่มความมงคลมากเป็นวมีคูณ แก้วมังกรจึงเป็นผลไม้ที่คนเชื้อสายจีน นิยมไหว้ในทุกๆ เทศกาล

3.   ทับทิม เป็นผลไม้สีแดงเช่นเดียวกับแก้วมังกร สื่อถึงความแน่นแฟ้น ความสามัคคีกันภายในครอบครัวเหมือนเม็ดทับทิมที่อัดแน่นอยู่ในผล

4.   ส้ม เป็นผลไม้ที่มีสีส้มหรือสีทอง เป็นแห่งความสิริมงคล การมีโชคลาภ ประสบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ไต้กิก” ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “กิก” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว ที่แปลว่าโชคดี จึงเป็นผลไม้ที่คนเชื้อสายจีน นิยมใช้ไหว้ในทุกๆ เทศกาลเช่นกัน

5.   กล้วยหอม ในภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “เก็ง-เจีย” จะเล่นเสียงว่า “เก็ง-เจีย-เก็ง-ไล้” แปลว่า ถึงโชคเข้ามา เป็นสัญลักษณ์แทนการกวักเรียกโชคลาภ และความมงคลต่างๆ ให้เข้ามาหา

ขั้นตอนการไหว้แม่ย่านาง

1.   หลังจากที่เตรียมของไหว้เรียบร้อยแล้ว ก็ให้จัดโต๊ะเพื่อเตรียมทำพิธีไหว้แม่ย่านาง โดยบริเวณที่ตั้งโต๊ะไม่ควรอยู่ห่างจากรถที่นำมาทำพิธีมากจนเกินไป
2.   จากนั้นสตาร์ทรถแล้วบีบแตร 3 ครั้ง พร้อมกับจุดธูป 9 ดอกให้คนทำพิธี โดยกล่าวคำถวายของไหว้แม่ย่านาง
3.   เมื่อกล่าวคำถวายของไหว้แม่ย่านางจบแล้ว
4.   ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอพรให้ขับขี่ปลอดภัย แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง
5.   จากนั้นรอจนธูปหมด ค่อยกล่าวคำลาของไหว้แม่ย่านาง ก็เป็นอันเสร็จพิธี

คนไทยส่วนใหญ่ก็จะนิยมนำของไหว้กลับไปรับประทาน หรือแบ่งปันญาติมิตร เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตต่อไป โดยการไหว้แม่ย่านางจะช่วยในเรื่องของการขับขี่ให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ เป็นสิริมงคลแก่รถและผู้ใช้งาน ทั้งนี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคล แล้วแต่ว่าใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ถึงอย่างไรก็ตาม ความเชื่อเป็นสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจเราเท่านั้น
 
แม้ว่าการไหว้ย่านางรถเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้จิตใจรู้สึกดีที่ทุกการเดินทางจะมีท่านคอยปกปักรักษา แต่ก็ไม่ควรหลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในทุกการขับขี่บนท้องถนน ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม สนใจรายละเอียดคลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 พร้อมเช็กโปรไฟล์ของคุณได้ที่นี่ smkall.smk.co.th หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง  Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

2
เส้นทางที่หลายคนรอคอยใกล้จะเปิดให้บริการแล้ว เส้นทางสายตะวันตก มอเตอร์เวย์ M81 “บางใหญ่ - กาญจนบุรี”  กำลังจะเปิดให้ได้ทดลองใช้ฟรี 3 เดือนในปลายปีนี้  เป็นเส้นทางที่มีระยะทางประมาณ 96 กิโลเมตร ผ่าน 4 จังหวัด ตั้งแต่ กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม จนถึง กาญจนบุรี ช่วยให้การเดินทางไปยังภาคตะวันตกสะดวกขึ้นมาก ลดระยะเวลาการเดินทางจากนนทบุรีไปกาญจนบุรีไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง  อีกไม่นานเกินรอแล้วกับ “ทางหลวงพิเศษหมายเลข M81”  หรือ มอเตอร์เวย์ M81 “บางใหญ่ - กาญจนบุรี ”  มาทำความรู้จักกับทางพิเศษเส้นทางนี้กัน
 
 
โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง มอเตอร์เวย์ M81 “บางใหญ่ - กาญจนบุรี”

เป็นโครงการสําคัญอยู่ในแผนมาตรการเร่งรัดการลงทุนของกระทรวงคมนาคม และมาตรการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือ PPP Fast Track ของกระทรวงการคลัง เพื่อเร่งรัดการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2559  มีแผนเปิดบริการตั้งแต่ปี 2563 แต่ช่วงแรกมีปัญหาเรื่องการเวนคืนที่ดิน ทำให้งานล่าช้า วงเงินลงทุนรวม 56,178ล้านบาท ในความรับผิดชอบของสำนักก่อสร้างทางที่ 1 กรมทางหลวง (ทล.)

เส้นทางการก่อสร้างเริ่มต้นที่จุดตัดทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ด้านตะวันตกกับถนนรัตนาธิเบศร์ บริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี และไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 324  (ถนนกาญจนบุรี -อ.พนมทวน)  อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดโครงการ มีระยะทาง 96 กิโลเมตร ผ่าน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี ซึ่งจะทำให้การเดินทางจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไปยังภาคตะวันตกของประเทศ สะดวกและ ประหยัดเวลาขึ้น การเดินทางจาก อ.บางใหญ่ - กาญจนบุรี ใช้เวลาเพียง 50 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทางโดยใช้ทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชม. 30 นาที
 
เส้นทางจะมีทางแยกต่างระดับ (Interchange) เพื่อเชื่อมต่อกับโครงการกับทางหลวงสายสําคัญๆ มีทั้งหมด 8 แห่ง ดังนี้

1. ทางแยกต่างระดับบางใหญ่ เชื่อมต่อกับ ทางพิเศษหมายเลข 9 และ ถนนรัตนาธิเบศร์ (ทางหลวงหมายเลข 302)
2. ทางแยกต่างระดับนครชัยศรี (ทางหลวงหมายเลข 3323)
3. ชุมทางต่างระดับนครชัยศรี (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 91)
4. ทางแยกต่างระดับนครปฐมฝั่งตะวันออก (ทางหลวงหมายเลข 3036)
5. ทางแยกต่างระดับนครปฐมฝั่งตะวันตก (ทางหลวงหมายเลข 321)
6. ทางแยกต่างระดับท่ามะกา (ทางหลวงหมายเลข 3394)
7. ทางแยกต่างระดับท่าม่วง (ทางหลวงหมายเลข 3081)
8. ทางแยกต่างระดับกาญจนบุรี (ทางหลวงหมายเลข 324)

มีด่านเก็บค่าผ่านทางจำนวน 8 แห่ง ดังนี้
1. ด่านบางใหญ่
2. ด่านนครชัยศรี
3. ด่านศรีษะทอง
4. ด่านนครปฐมฝั่งตะวันออก
5. ด่านนครปฐมฝั่งตะวันตก
6. ด่านท่าม่วง
7. ด่านท่ามะกา
8. ด่านกาญจนบุรี

นอกจากนี้ ยังจัดให้มีที่พักริมทาง (Rest Area) เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้เส้นทางโดยตรงจำนวน 3 แห่ง ตลอดแนวเส้นทางโครงการ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. สถานที่บริการทางหลวง (Service Area) 2 แห่ง
- อำเภอนครชัยศรี
- อำเภอเมืองนครปฐม
2. จุดพักรถ (Rest Stop) 1 แห่ง
- อำเภอท่ามะกา


การจัดเก็บค่าผ่านทางของโครงการ มอเตอร์เวย์ M81 “บางใหญ่ - กาญจนบุรี”

การจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทาง กรมทางหลวงได้กำหนดให้จัดเก็บค่าผ่านทางแบบระบบปิด (Closed System) ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง โดยกรมทางหลวงจะกำหนดให้มีวิธีการจัดเก็บค่าผ่านทางทั้งแบบเงินสด (Manual Toll Collection : MTC) แบบอัตโนมัติ (Electronic Toll Collection : ETC ) และแบบ Multi-lane free flow (M-Flow) มีค่าบริการสำหรับรถยนต์ 4ล้อ โดยประมาณ 20 -150 บาท ตามระยะทาง
 
เส้นมอเตอร์เวย์ M81 “บางใหญ่ - กาญจนบุรี” คาดว่าจะเปิดทดลองให้ประชาชนได้ทดลองใช้งานฟรี ชั่วคราว 7 วัน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ปลายเดือนธันวาคม 2566 ตลอดเส้นทางยาว 96 กม. ตั้งแต่ บางใหญ่ จนถึงปลายทางที่ กาญจนบุรี ส่วนการเปิดให้ใช้งานจริงตลอดเส้นทาง เพื่อทดสอบระบบโดยยังไม่เก็บเงินค่าผ่านทางจะเปิดในเดือนกันยายน 2567 และเปิดเต็มรูปแบบพร้อมเก็บเงินค่าผ่านทางต้นเดือนมกราคม 2568 หลังวันหยุดยาวปีใหม่ 2568

อีกไม่นานเกินรอแล้วที่จะได้ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ M81 “บางใหญ่ - กาญจนบุรี”  จะเดินทางไปไหน ก็อุ่นใจทุกเส้นทาง
วางใจให้สินมั่นคงประกันภัยช่วยดูแลรถคุณ ประกันรถยนต์ตามเวลา จ่ายสบาย ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน  เลือกคุ้มครองได้ตามใจ 3, 6, 12 เดือน
คลิก www.smk.co.th/premotor  หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

3
ค่าเบี้ยประกันภัยรถหรูหลากหลายยี่ห้อถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างกว้างขวาง เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนกับรถยนต์ Rolls-Royce จนได้รับความเสียหาย (ส่องความเสียหายกระบะ หลังชน Rolls-Royce ซ่อมอย่างน้อย 100,000 แถมรถไม่มีประกัน https://hilight.kapook.com/view/235557) ทำให้เกิดความสงสัยว่า จริงๆ แล้ว รถยนต์หรูในประเทศไทย สามารถทำประกันรถยนต์ได้หรือไม่ ควรต้องทำประกันแบบไหนและมีค่าเบี้ยประกันรถหรูประมาณเท่าไร
 
กลุ่มรถหรูในประเทศไทยมีอะไรบ้าง?

กลุ่มรถหรูในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.   แบรนด์ตลาด
มักเป็นรถยนต์แบรนด์ที่ได้รับความนิยมเนื่องจากได้มาตรฐานความปลอดภัย มีรูปทรงที่สวยงามแข็งแรง และสร้างภาพลักษณ์ที่หรูหราให้กับผู้ที่ได้ขับขี่ เช่น Mercedes Benz, BMW, Audi และ Volvo (ยี่ห้อรถหรูมีอะไรบ้าง? ไม่ได้มีดีแค่แพง แต่ทั้งแกร่งและปลอดภัย https://www.smk.co.th/newsdetail/2993)

2.   รถซุปเปอร์คาร์
Supercar (รถซุปเปอร์คาร์) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Exotic car คือ รถสปอร์ตที่มีประสิทธิภาพสูง มาพร้อมขุมพลังที่เหนือชั้น สามารถใช้ได้ทั้งในการแข่งขันและวิ่งบนถนน โดยมีอัตราเร่ง 0-100 ต่ำกว่า 4 วินาที และความเร็วสูงสุดมากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีขุมพลังสูงสุดถึง 500 – 700 แรงม้า ทำให้เป็นรถยนต์ที่ขับสนุก แรง เร็ว เร้าใจ โดยส่วนมากจะมี 2 ที่นั่งและมาพร้อมรูปโฉมที่อลังการ เช่น Ferrari, Lambo, Porsche, Ford หรือ Mustang
 
รถยนต์ซูเปอร์คาร์ยังมักทำหน้าที่เป็นรถรุ่นเรือธงในกลุ่มรถสปอร์ตของผู้ผลิตรถยนต์ และมักจะมีเทคโนโลยีเสริมสมรรถนะด้านต่างๆ ที่ถ่ายทอดมาจากรถแข่งในสนามมอเตอร์สปอร์ต แต่ถึงแม้จะเป็นรถสมรรถนะเยี่ยมที่มาพร้อมเทคโนโลยีชั้นยอด ชาวไทยทั่วไปก็ยังไม่นิยมใช้รถซุปเปอร์คาร์ตามท้องถนน เนื่องจากรูปทรงของตัวรถซุปเปอร์คาร์ยังเป็นทรงเตี้ยเพื่อประโยชน์ในการทำความเร็ว แต่ไม่สามารถเผชิญหลุมบ่อ คอสะพาน กับน้ำรอระบายในเมืองไทย รวมไปถึงช่วงล่างของรถที่ส่วนใหญ่มักจะทำออกมาให้แข็งมากกว่ารถทั่วไป เพื่อช่วยในการเกาะถนนและการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง แต่ผลที่ตามมาก็คือ ตัวรถจะกระโดดกระเด้งเมื่อเจอถนนที่ขรุขระเป็นหลุมบ่อ ซึ่งเป็นลักษณะปกติของถนนในเมืองไทย

ภายในห้องโดยสารเองก็ไม่ได้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันเท่าไรนัก เช่น เบาะนั่งก็จะเป็นสไตล์รถสปอร์ตที่จะโอบรับกับตัวผู้โดยสารจนทำให้รู้สึกอึดอัด รวมไปถึงการใช้งานอื่นๆ อย่างการขนของขนาดใหญ่ซึ่งรถซุปเปอร์คาร์มักไม่มีที่ว่างให้ขนอะไรใหญ่ๆ เช่น กระเป๋าเดินทาง ในเวลาที่จำเป็น ยังไม่นับรวมถึงราคาที่สูง และค่าใช้จ่ายสำหรับบำรุงรักษาและค่าประกันภัยที่สูงลิ่ว
 
รถยนต์หรูเหมาะกับใคร?
รถหรูเหมาะสำหรับผู้ที่พร้อมจะลงทุน สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย และสำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การขับขี่คุณภาพสูงในทุกวัน นอกจากนี้รถหรูยังเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เดินทางไกลเป็นประจำ เนื่องจากคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นสูง รถหรูยังเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการดูแลลูกค้าอย่างมีระดับ หรือให้บริการการเดินทางสำหรับผู้บริหาร การนั่งรถหรู ยังเป็นวิธีที่สะดวก และมีสไตล์ที่สุดในการปรากฏตัวในการประชุม กิจกรรม และนัดหมายที่สำคัญ

ประกันรถหรู คุ้มครองต่างจากรถยนทั่วไปหรือไม่
สำหรับความคุ้มครองประกันรถยนต์ทั่วไปกับประกันรถหรูมีความใกล้เคียงกัน เเต่ต่างกันที่ว่าเจ้าของรถหรู หรือรถซูเปอร์คาร์ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันแพงกว่า เพราะรถหรูเหล่านี้มูลค่ารถสูงมาก หาอะไหล่ยาก และบางคันก็เป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ ผู้เอาประกันจะต้องเพิ่มทุนประกันโดยเป็นไปตามข้อตกลงของบริษัทประกัน

รถหรู ควรซื้อประกันรถยนต์ชั้นไหนดี?
รถหรู รถสปอร์ต ซูเปอร์คาร์ เป็นรถที่มีสมรรถนะสูง เครื่องยนต์ระดับไฮคลาส แรง เร็ว เน้นนวัตกรรมการผลิตและออกแบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอกภายใน มีความสวยงามและโดดเด่นมาก ทำให้รถหรูเหล่านี้มีราคาสูง ถึงแม้จะมีรอยขูดขีดบนรถเพียงนิดเดียวค่าซ่อมก็จะมีราคาที่แพงมาก จึงควรเลือกซื้อประกันรถที่ครอบคลุมมากที่สุด นั่นคือ ประกันรถยนต์ชั้น 1 เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับรถหรู ซึ่งประกันชั้น 1 ครอบคลุมอุบัติเหตุรถชนแบบมีคู่กรณี และไม่มีคู่กรณี คุ้มครองรถหาย รถไฟไหม้ น้ำท่วมรถ รวมถึงคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ชีวิตของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และความคุ้มครองอื่นๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งความคุ้มครองก็ใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 ตามปกติ แต่จะต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันที่มีราคาแพงกว่ารถยนต์ปกติ
 
ค่าเบี้ยประกันรถหรู ราคาเท่าไร?
การทำประกันรถหรูขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัทประกันภัย เช่น ประวัติการขับขี่ ประวัติการนำรถเข้า ประวัติอาชญากรรม หรือวัตถุประสงค์ในการใช้งาน จึงจำเป็นต้องสอบถามกับบริษัทประกันโดยตรง เพื่อให้ได้ซื้อประกันรถที่คุ้มค่า และตรงกับความต้องการมากที่สุด ทั้งนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วรถประเภทซุปเปอร์คาร์จะต้องมีการประเมินราคาเบื้องต้น ซึ่งเงื่อนไขในการประเมินราคาของแต่ละบริษัทก็จะมีราคาแตกต่างกันไป 

ค่าเบี้ยประกันรถหรูโดยทั่วไปตามมาตรฐานจะมีราคาต่อปีอยู่ที่ 3-5% ของทุนประกัน ขึ้นอยู่กับทุนประกันตามแต่ละบริษัทจะกำหนด เพราะมูลค่าของรถ มูลค่าทุนประกัน และความเสี่ยงที่บริษัทรับได้จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งมูลค่าประกันจะอยู่ที่ 80% ของราคาประเมิน โดยใช้หลักเกณฑ์ในการประเมินไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไป
 
ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) เช็กโปรไฟล์ของคุณได้ที่นี่ smkall.smk.co.th หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง  Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

4
รถยนต์ | Car / ป้ายภาษีรถยนต์หาย ทำอย่างไรดี
« เมื่อ: กันยายน 04, 2023, 09:32:05 AM »
สิ่งที่ต้องดูแลสำหรับคนมีรถนอกจากการบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะแล้ว ก็คือการต่อทะเบียนหรือการชำระภาษีรถยนต์ หรือที่มักเรียกกันว่า “ป้ายภาษี”  หรือ  “ป้ายวงกลม” เมื่อได้ชำระภาษีรถยนต์แล้วจะได้ป้ายภาษีรถยนต์เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมสำหรับติดไว้ที่กระจกหน้ารถเพื่อแสดงว่ารถยนต์ได้ ต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ และ ชำระภาษีรถยนต์ประจำปีแล้ว เพราะการชำระภาษีรถยนต์จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการทำ พ.ร.บ. แล้วจึงสามารถต่อภาษีได้  หากชำระภาษีแล้วแต่ทำแผ่นป้ายภาษีรถยนต์หรือแผ่นป้ายกระดาษสี่เหลี่ยมที่ติดไว้ที่หน้ากระจกรถยนต์หล่นหาย จะต้องทำอย่างไร สินมั่นคง ประกันรถยนต์ มีคำแนะนำมาฝากกันค่ะ
 
ป้ายภาษีรถยนต์ เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมที่ติดไว้ที่กระจกหน้ารถ เพื่อเป็นเอกสารแสดงว่ารถยนต์ของเราได้ต่อ พ.ร.บ.รถยนต์ และ ชำระภาษีรถยนต์ประจำปีแล้วเป็นที่เรียบร้อย หากไม่มีป้ายภาษีหรือติดแสดงให้เห็นชัดเจนมีโทษปรับสูงสุด 2,000 บาท

ป้ายภาษีรถยนต์หายต้องทำอย่างไร
1. ให้แจ้งความลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อป้องกันมิให้บุคคลอื่นนำป้ายภาษีของเราไปแอบอ้างหรือกระทำผิดกฎหมาย และจะได้มีหลักฐานยืนยันว่าทำสูญหายไป
2. เตรียมเอกสารในการขอป้ายภาษี
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ เล่มรถสีน้ำเงิน หากเป็นรถติดไฟแนนซ์ต้องแจ้งให้บริษัท ฯ ไฟแนนซ์ดำเนินการขอให้
- สำเนาใบแจ้งความ หรือ สำเนาบันทึกประจำวันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เราได้ไปแจ้งความหรือลงบันทึกประจำวันไว้
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าของรถ และนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงติดตัวไปด้วย

กรณีเจ้าของรถไม่ได้สามารถมาด้วยตัวเอง ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ ติดอากรแสตมป์ 10 บาท และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
 
 
ขั้นตอนการดำเนินการที่กรมขนส่งทางบก
- ติดต่อที่สำนักงานขนส่งทางบกที่รถยนต์ได้จดทะเบียนไว้ แจ้งเจ้าหน้าว่ามาติดต่อทำแผ่นป้ายภาษีเนื่องจากสูญหาย หากมีใบแจ้งความก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ แต่หากไม่มีทางเจ้าหน้าที่จะมีเอกสารให้กรอกเพิ่ม พร้อมใบคำร้องอีก 1 ใบ
- รับบัตรคิวกับเจ้าหน้าที่รอเรียกเพื่อดำเนินการ
- ชำระอัตราค่าธรรมเนียม 25 บาท (ค่าคำขอ 5 บาท ค่าธรรมเนียม 20 บาท)
- รอรับแผ่นป้ายภาษีใหม่
หมายเหตุ การยื่นคำขอรับเอกสารแทนการสูญหายต้องทำภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีการสูญหาย
 
 
หากยังไม่จ่ายภาษี ไม่มีแผ่นป้ายภาษี

1. ตรวจสภาพรถยนต์ และขอเอกสารรับรองการติดแก๊ส ( ในกรณีที่รถมีการติดแก๊ส )
รถยนต์ที่ใช้มีอายุเกิน 7 ปีขึ้นไป จะต้องทำการตรวจสภาพรถยนต์ที่สถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) แล้วนำใบตรวจสภาพรถยนต์มาใช้ในการต่อภาษีรถยนต์อีกครั้ง  สำหรับรถติดแก๊สไม่ว่าจะเป็นแก๊ส NGV หรือ LPG ต้องขอเอกสารรับรองการติดตั้งแก๊สจากสถานที่ติดตั้งแก๊สไว้ด้วย เพราะถือว่ารถยนต์ดังกล่าวมีการดัดแปลง ต้องแจ้งการติดตั้งกับกรมขนส่งทางบก   

2. ทำ พ.ร.บ. รถยนต์
ก่อนต่อภาษีรถยนต์ ต้องต่อ พ.ร.บ. รถยนต์ก่อน  เพราะจะได้นำเอกสารแนบท้ายหรือส่วนหางของ พ.ร.บ. รถยนต์มาใช้ในการต่อทะเบียนหรือต่อภาษีรถยนต์นั่นเอง

3. ตรวจเช็กเอกสารให้ครบถ้วนก่อนยื่นต่อภาษีรถยนต์
         1)  เล่มทะเบียนรถยนต์ หรือ สำเนารายการจดทะเบียนรถยนต์
         2)  พ.ร.บ. รถยนต์ ( ใช้เอกสารแนบท้ายหรือส่วนหางของ พ.ร.บ. รถยนต์ )
         3)  ใบรับรองการตรวจสภาพรถยนต์ (สำหรับรถยนต์ที่มีอายุเกิน 7 ปี)
         4)  เอกสารรับรองการติดตั้งแก๊ส (สำหรับรถยนต์ที่ติดตั้งแก๊ส NGV หรือ LPG)

4. สถานที่รับชำระภาษีรถยนต์
          - สำนักงานขนส่งทางบก
          - ที่ทำการไปรษณีย์
          - เคาน์เตอร์เซอร์วิส
          - ร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าที่รับต่อภาษีรถยนต์
          - ต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์ ได้ที่ https://eservice.dlt.go.th
 
 
เท่านี้ก็จะได้แผ่นป้ายภาษีติดรถใหม่แล้ว อย่าปล่อยให้ พ.ร.บ. รถยนต์หมดอายุ  สามารถซื้อ พ.ร.บ. ออนไลน์ได้ง่าย ๆ
รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ทันที พร้อมยื่นชำระภาษีรถยนต์ประจำปีกับกรมการขนส่งทางบกได้เลย
คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/16
ประกันรถยนต์ตามเวลา จ่ายสบาย ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน  เลือกคุ้มครองได้ตามใจ 3, 6, 12 เดือน
คลิก www.smk.co.th/premotor  หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com
สินมั่นคงประกันภัย ...ประกันรถ ประกันเวลา...

5
ผู้ที่สัญจรอยู่บนท้องถนน นอกจากจะประกอบไปด้วยรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และคนเดินถนนแล้ว ยังมีรถอีกหลายประเภทที่อาจมีความจำเป็นต้องใช้ถนนร่วมกัน ทั้งรถกระบะ รถบรรทุก (ประเภทรถบรรทุกมีอะไรบ้าง? ขับรถบรรทุกต้องใช้ใบขับขี่ประเภทใด? https://www.smk.co.th/newsdetail/2886) รวมถึงรถที่อยู่คู่วิถีชีวิตของคนไทยมานานอย่างรถพ่วงข้างหรือรถซาเล้ง และหลายครั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถพ่วงข้างหรือรถซาเล้งก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่โดยสารหรือจำเป็นต้องใช้งานรถพ่วงได้ แล้วรถพ่วงข้างหรือรถซาเล้งสามารถทำประกันภัยรถยนต์ได้หรือไม่ มีกฎหมายและข้อกำหนดในการใช้รถใช้ถนนอย่างไร
 
รถยนต์พ่วงข้าง คืออะไร

ตามพระราชบัญญัติรถจักรยานยนต์ระบุไว้ว่า รถจักรยานยนต์พ่วงข้าง คือ รถที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์หรือกำลังไฟฟ้าและมีล้อไม่เกินสองล้อ และพ่วงข้างมีล้อเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งล้อ และให้หมายความรวมถึงรถจักรยานที่ติดเครื่องยนต์ด้วย ในประเทศไทยจะสังเกตเห็นรถพ่วงข้างอยู่ทั่วไป ส่วนมากจะเป็นรถพ่วงข้างสำหรับขายของ บรรทุกสินค้า หรือบางครอบครัวก็เอาไว้ใช้เดินทางในชีวิตประจำวันวัน
 
ขนาดของรถพ่วงข้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ขนาดของรถพ่วงข้างที่ถูกกฎหมายนั้น รถพ่วงของรถจักรยานยนต์ต้องมีความกว้างไม่เกิน 1.10 เมตร ความยาวไม่เกิน 1.75 เมตร ความสูงไม่เกิน 2 เมตร และเมื่อนำมาพ่วงกับจักรยานยนต์แล้ว ต้องมีความกว้างวัดจากขอบยางด้านนอกสุดของล้อหลังรถจักรยานยนต์ถึงขอบยางด้านนอกสุดของล้อพ่วงไม่เกิน 1.50 เมตร

รถยนต์พ่วงข้างจดทะเบียนได้ไหม

ตามพระราชบัญญัติรถจักรยานยนต์ ระบุไว้ว่า รถใดที่จดทะเบียนแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้และใช้รถนั้น เว้นแต่เจ้าของรถนำรถไปให้นายทะเบียนตรวจสภาพก่อน

ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่ารถที่เปลี่ยนแปลงตามวรรคหนึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้เวลานำไปใช้ ให้สั่งเจ้าของรถแก้ไขและนำรถไปให้ตรวจสภาพก่อนการใช้งาน การตรวจสภาพดังกล่าวนายทะเบียนจะสั่งให้เจ้าของรถนำรถไปให้ตรวจสภาพ ณ สถานตรวจสภาพที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และให้นำมาตรา 12 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ถ้านายทะเบียนเห็นว่ารถคันดังกล่าวมีความปลอดภัยในเวลาใช้งาน ให้แก้ไขเพิ่มเติมรายการในทะเบียน และใบคู่มือจดทะเบียนรถนั้นด้วย
 
ขับขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างอย่างถูกกฎหมายทำอย่างไร

1.   รถจักรยานยนต์พ่วงข้าง (ซาเล้ง) ถือว่าเป็นรถจักรยานยนต์ตามกฎหมาย
2.   รถจักรยานยนต์พ่วงข้างต้องตรวจสภาพรถกับสถานตรวจสภาพที่ได้รับอนุญาตจากกรมขนส่งทางบก
3.   ต้องจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงสภาพรถต่อนายทะเบียนฯ
4.   ต้องจัดทำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจักรยานยนต์
5.   ต้องเสียภาษีประจำปีสำหรับรถจักรยานยนต์
6.   ผู้ขับขี่ต้องสวมหมวกนิรภัยตาม พ.ร.บ.จราจร

ประกันภัยสำหรับรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง

ประกันภัยสำหรับรถจักรยานยนต์พ่วงข้างภาคสมัครใจ ไม่มีผลิตภัณฑ์กรมธรรม์ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่เพื่อความปลอดภัยและเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย เจ้าของรถยนต์พ่วงข้างจึงควรให้ความสำคัญกับการทำประกันภัยภาคบังคับและเสียภาษีประจำปีสำหรับรถจักรยานยนต์อย่างต่อเนื่อง สำหรับความคุ้มครองของ พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์ สามารถสรุปได้ดังนี้

1.   ค่าเสียหายเบื้องต้นโดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ฝ่ายถูกผิด
•   ค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บ สามารถเบิก พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ ได้สูงสุดคนละไม่เกิน 30,000 บาท (จ่ายตามจริง)
•   ค่าชดเชยกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ เบิกได้คนละไม่เกิน 35,000 บาท
2.   ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติม เมื่อพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝ่ายถูกเท่านั้น
•   ค่ารักษาพยาบาล สามารถเบิก พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ ได้สูงสุดคนละไม่เกิน 80,000 บาท (จ่ายตามจริง)
•   กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ได้รับเงินค่าชดเชยคนละ 500,000 บาท
•   กรณีทุพพลภาพถาวร (ไม่สามารถประกอบอาชีพประจำได้) ได้รับเงินชดเชยคนละ 300,000 บาท
•   กรณีสูญเสียอวัยวะ
•   สูญเสียนิ้ว ตั้งแต่นิ้วเดียวขึ้นไป คนละ 200,000 บาท
•   สูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน คนละ 250,000 บาท
•   สูญเสียอวัยวะ 2 ส่วนขึ้นไป คนละ 500,000 บาท
•   กรณีนอนพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ในโรงพยาบาล ได้รับเงินค่าชดเชย 200 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 20 วัน
 
รถจักรยานยนต์พ่วงข้างเป็นยานพาหนะสำคัญของใครหลายคน เนื่องจากมีความสามารถในการบรรทุกได้มากกว่ารถจักรยานยนต์ แต่ก็ยังมีราคาถูกกว่ารถยนต์หรือรถกระบะ ผู้ขับขี่รถพ่วงจึงควรปฏิบัติตามกฎและระเบียบกติกาให้ถูกต้องตามกฎหมาย ต่อ พ.ร.บ.และเสียภาษีเป็นประจำทุกปี ขับขี่อย่างปลอดภัยและสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่ออกเดินทาง
ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็นกรมธรรม์ที่กฎหมายบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ บังคับให้รถยนต์ทุกคันต้องจัดทำประกันภัย เพื่อคุ้มครองความรับผิดตามกฎหมายของเจ้าของรถสำหรับความเสียหายต่อทรัพย์สิน การบาดเจ็บทางร่างกาย และ/หรือ เสียชีวิต ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วให้กับเจ้าของรถยนต์ทุกคัน เพียงเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.)  ผ่านแอปพลิเคชัน SMK aLL วันนี้ ง่าย สะดวก รวดเร็ว เลือกรับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้เลยทันที พร้อมยื่นชำระภาษีรถยนต์ประจำปีกับกรมการขนส่งทางบกผ่านทางเว็บไซต์ได้อัตโนมัติหลังชำระเงินเสร็จสิ้น สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/16 หรือ หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

6
ความรู้ด้านกฎจราจรเป็นสิ่งสำคัญที่คนขับรถยนต์ทุกคันต้องจำใส่ใจและให้ความสำคัญกับการระมัดระวังเมื่อต้องออกเดินทางอยู่บนท้องถนน ซึ่งหากหลงลืมหรือฝ่าฝืนกฎจราจรนอกจากอาจจะต้องถูกตัดแต้มใบขับขี่หรือจับปรับดำเนินคดีทางกฎหมายแล้ว อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุที่สร้างความเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนได้อีกด้วย (ข้อห้ามในการขับรถมีอะไรบ้าง? ข้อควรปฏิบัติที่ผู้ขับขี่ต้องระวัง! https://www.smk.co.th/newsdetail/3041) แล้วกฎจราจรที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้ มีอะไรบ้าง
 
ขับรถผ่านวงเวียนต้องปฏิบัติอย่างไร

ในกรณีมีสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจร โดยที่ถ้าไม่มีสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ ซึ่งขับอยู่ในวงเวียนทางด้านขวาของตนชับผ่านไปก่อน หรือในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ เห็นสมควรเพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจรจะให้สัญญาณเป็นอย่างอื่น ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงานหรือเจ้าหน้าที่กำหนด
 
บริเวณใดห้ามกลับรถ

1.   ในทางเดินรถที่สวนทางกันได้ห้ามกลับรถในขณะที่มีรถอื่นสวนทางมาหรือตามมาในระยะน้อยกว่า 100 เมตร
2.   ในเขตปลอดภัยหรือคับขัน
3.   บนสะพานหรือในระยะ 100 เมตร จากทางราบของเชิงสะพาน
4.   บริเวณทางร่วมทางแยก เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรอนุญาตให้กลับรถได้
5.   บริเวณที่มีเครื่องหมายห้ามกลับรถ

บริเวณใดห้ามขับแซง

1.   ห้ามแซงด้านซ้าย เว้นแต่รถที่ถูกแซงกำลังเลี้ยวขวาหรือให้สัญญาณจะเลี้ยวขวา หรือทางเดินรถนั้นได้จัดแบ่งเป็นช่อทางเดินรถในทิศทางเดี่ยวกันตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไป
2.   ห้ามแซงเมื่อรถกำลังขึ้นทางชัน ขึ้นสะพาน หรืออยู่ใกล้ทางโค้งเว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรให้แซงได้
3.   ห้ามแซงภายในระยะ 30 เมตรก่อนถึงทางข้าม ทางร่วม ทางแยก วงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้หรือทางเดินรถที่ตัดข้าทางรถไฟ
4.   ห้ามแซงเมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่น หรือควัน จะทำให้ไม่อาจเห็นทางข้างได้ในระยะ 60 เมตร
5.   ห้ามแซงเมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย
6.   ห้ามแซงล้ำเข้าไปในช่องเดินรถประจำทาง
7.   ห้ามแซงในบริเวณที่มีเส้นแบ่งช่องการเดินรถเป็นเส้นทึบ
 
บริเวณใดห้ามจอดรถ

1.   บนทางเท้า
2.   บนสะดานหรือในอุโมงค์
3.   ในทางร่วมทางแยกหรือในระยะ 10 เมตรจากทางร่วมทางแยก
4.   ในทางข้ามหรือในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม
5.   บริเวณที่มีเครื่องหมายห้ามจอดรถ
6.   ในระยะ 3 เมตรจากท่อน้ำดับเพลิง
7.   ในระยะ 10 เมตรจากที่ติดตั้งสัญญาณจราจร
8.   ในระยะ 15 เมตรจากทางรถไฟผ่าน
9.   จอดรถซ้อนกับรถคันอื่นที่จอดอยู่ก่อน (จอดรถซ้อนคัน)
10.   บริเวณปากทางเข้าออกอาคารหรือทางเดินรถ หรือในระยะ 5 เมตรจากปากทางเดินรถ
11.   ระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทางหรือในระยะ 10 เมตร นับจาปลายสุดของเขตปลอดภัยทั้ง 2 ข้าง
12.   ในที่คับขัน
13.   ในระยะ 15 เมตรก่อนถึงบริเวณที่ติดตั้งป้ายหยุดรถประจำทาง และเลยไปอีก 3 เมตร
14.   ในระยะ 3 เมตรจากตู้ไปรษณีย์
15.   ในลักษณะกีดขวางการจราจร
16.   จอดรถทางด้านขวาในกรณีที่เป็นทางเดินรถุสวนทางกัน
 
การบรรทุกของต้องปฏิบัติอย่างไร

1.   ความกว้าง ได้ไม่เกินส่วนกว้างของรถ
2.   ความยาว
•   ด้านหน้ายื่นไม่เกินหน้าหม้อรถ
•   ด้านหลังยื่นพ้นตัวรถไม่เกิน 2.50 เมตร
3.   ความสูง  กรณีรถบรรทุกให้บรรทุกสูงจากพื้นทางได้ไม่เกิน 3.00 เมตร แต่ถ้ารถมีความกว้างของรถเกินกว่า 2.30 เมตร ให้ บรรทุกสูงจากพื้นทางได้ไม่เกิน 3.80 เมตร
4.   ต้องจัดให้มีสิ่งป้องกันคน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุกตกหล่อน รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ อันอาจก่อให้ เกิดเหตุเดือนร้อน รำคาญทำให้สกปรกเสื่อมเสียสุขภาพอนามัยหรือก่อให้เกิดอันตรายแก่ประชาชนหรือทรัพย์สิน
 
บรรทุกของยื่นเกินกว่าความยาวของตัวรถต้องปฏิบัติอย่างไร

1.   ในเวลากลางวันติดธงสีแดงเรืองแสงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร ยาง 45 เซนติเมตร
2.   ในเวลากลางคืน หรือในเวลาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในระยะ 150 เมตร ต้องติดไฟสัญญาณสีแดงที่มองเห็นชัดเจนสนระยะ 150  เมตร

พบรถฉุกเฉินต้องปฏิบัติอย่างไร

1.   หยุดรถ หรือจอดรถให้อยู่ชิดขอบทางด้านซ้าย แต่ถ้ามีช่องทางเดินรถประจำทางให้หยุดชิดกับช่องทางเดินรถประจำทาง แต่ห้าม หยุดหรือจอดรถในทางร่วมทางแยก
2.   ขับรถตามหลังรถฉุกเฉินได้ในระยะไม่ต่ำกว่า 50 เมตร

เครื่องยนต์หรือเครื่องอุปกรณ์ของรถขัดข้อง (รถเสีย) ต้องปฏิบัติอย่างไร

1.   นำรถให้พ้นจากทางเดินรถโดยเร็วที่สุด
2.   ถ้าจำเป็นต้องจอดในทางเดินรถจะต้องจอดรถในลักษณะที่ไม่กีดขวางการจราจรและแสดงเครื่องหมายดังนี้

•   ในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา หรือเขตเทศบาลให้ใช้สัญญาณไฟกะพริบสีเหลืองอัน สีแดง หรือสีขาวที่ติดอยู่ด้านหน้าและท้ายรถทั้งด้านซ้ายและด้านขวา (ไฟฉุกเฉิน) หรือติดตั้งป้ายฉุกเฉินซึ่งมีลักษณะ เป็นรูปสามเหลี่ยมพื้นขาวขอบ แดง มีสัญลักษณ์ I สีดำตรงกลาง ทั้งด้านหน้าและท้ายรถ     
•   นอกเขต ให้แสดงเครื่องหมายป้ายฉุกเฉินซึ่งมีลักษณะ เป็นรูปสามเหลี่ยมพื้นขาวขอบ แดง มีสัญลักษณ์ I สีดำตรงกลาง ทั้งด้านหน้าและท้ายรถ โดยห่างจากรถไม่ต่ำกว่า 50 เมตร และให้สัญญาณไฟกระพริบ (ไฟฉุกเฉิน) ในเวลาที่มองเห็นไม่ชัดเจรน แสงสว่างไม่เพียงพอและจอดได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
 
ให้คุณปลอดภัยได้ทุกการเดินทาง ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดักและระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม เช็กโปรไฟล์ของคุณได้ที่นี่ https://smkall.smk.co.th สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

7
เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน สิ่งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนควรให้ความสำคัญเป็นอันแรกคือการรักษาสภาพของยางรถยนต์ให้ปลอดภัยพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ด้วยการหมั่นตรวจเช็กสภาพล้อยางและดอกยางไม่ให้เสื่อมสภาพ รวมถึงหมั่นตรวจเช็กลมยางตามประเภทของลมที่เติมอย่างสม่ำเสมอ (จะเลือกเติมอะไรดี?! ระหว่างลมไนโตรเจนหรือลมปกติ https://www.smk.co.th/newsdetail/1610) แต่อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญคือวันหมดอายุของยาง แล้วยางรถยนต์ที่ใช้งานอยู่ควรมีอายุกี่ปีนับจากวันผลิต
 
วิธีดูปีที่ผลิตยาง

สำหรับยางที่ถูกผลิตหลังปี 2000 สามารถดูอายุยางได้จาก “วันที่ผลิตยาง” ตรงแก้มยางด้านนอก ตัวเลขนี้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะบอกสัปดาห์และปีที่ผลิตด้วยรหัส 4 ตัว (WWYY) โดยให้มองไปตามแก้มยางในทิศทางตามเข็มนาฬิกา จะพบชุดอักษรและตัวเลขอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ซึ่งก็คือเลขรหัส 4 ตัวที่ระบุช่วงเวลาผลิตยาง โดยตัวเลข 2 ตัวแรกหมายถึงสัปดาห์ที่ผลิตยาง และตัวเลข 2 ตัวหลังหมายถึง ปีคริสตศักราชหรือเรียกย่อว่า ค.ศ. และจะเปลี่ยนไปตามล็อตการผลิตของแต่ละบริษัท

นอกจากนี้ ตัวเลขอื่นๆ บนขอบยางหรือแก้มยาง จะเป็นตัวบอกขนาดของยาง เส้นผ่าศูนย์กลาง และประเภทของยาง เป็นต้น ตัวอย่างเช่น 235/40 R 18 มีวิธีการอ่าน และความหมายดังนี้

•   235 : บอกความกว้าง หรือ ขนาดของหน้ายาง โดยมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
•   40 : บอกซีรีส์ยาง และ ความสูงของแก้มยาง โดยมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ เทียบกับความกว้างของหน้ายาง เช่น 40% ของ 235
•   R : ตัวย่อประเภทของยาง ในที่นี้หมายถึงยางประเภทเรเดียลหรือยางที่ไม่ใช้ยางใน
•   18 : เส้นผ่าศูนย์กลางของวงล้อ ที่ไว้ใส่กับกระทะล้อ โดยมีหน่วยเป็นนิ้ว มักเรียกกันว่า ขอบ 18 นิ้ว
 
ยางรถมีอายุการใช้งานกี่ปี

ยางรถยนต์ ถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุอินทรีย์ที่มาจากธรรมชาติจำนวนมาก ซึ่งสารประกอบต่าง ๆ ในยางรถก็จะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับวัสดุอินทรีย์อื่น ๆ สำหรับวิธีดูยางรถยนต์หมดอายุ หากมีการเก็บรักษายางอย่างเหมาะสม ยางก็จะมีอายุการเก็บรักษาในที่เก็บโดยเฉลี่ยเป็นเวลา 5 ปี โดยยังสามารถซื้อมาใช้ได้ แม้ว่าจะถูกผลิตจากโรงงานมาหลายเดือนแล้วก็ตาม

ยางใหม่จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 40,000 กิโลเมตร ปัจจุบันในประเทศไทยจะมีคำแนะนำการเปลี่ยนยางเมื่อเดินทางได้ 50,000 กิโลเมตร หรือมีอายุการใช้งานทุก ๆ 3.5 ปี ซึ่งอยู่ในเกณฑ์กำลังดี เพราะยังต่ำกว่าอายุยางสูงสุดที่แนะนำคือ 10 ปี แต่หากยางใหม่ถูกเก็บรักษาไม่ถูกวิธี และไปสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ยางจะเสื่อมสภาพไวขึ้น ส่งผลให้ยางเสียสภาพและแตกร้าวได้ และทำให้อายุการใช้งานของยางสั้นลงด้วย
 
ยางหมดอายุสังเกตอย่างไร?

ยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 4-5 ปี (นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน) หรือ 50,000-80,000 กิโลเมตรขึ้นไป แต่หากเป็นรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ขับ ยางไม่ค่อยได้ถูกการใช้งาน ก็อาจจะสามารถยืดอายุการใช้งานไปได้อีก 4-5 ปีเลยทีเดียว วิธีการสังเกตว่ายางหมดอายุหรือไม่พร้อมใช้งานในเบื้องต้น สามารถดูได้ดังนี้

1.   ไหล่ยางและแก้มยางรถมีรอยปริแตกหรือไม่ หากมี ถือเป็นสัญญาณเตือนให้คุณต้องเปลี่ยนยางได้เเล้วครับ เพื่อป้องกันการระเบิดของยางที่จะเกิดขึ้น
2.   ร่องรีดน้ำบนดอกยาง ควรมีความลึกอยู่ที่ 6-8 มิลลิเมตร หากวัดแล้วมีความลึกต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร เตรียมตัวเปลี่ยนยางเพื่อความปลอดภัยได้เลยครับ
3.   เนื้อยางของดอกยางและไหล่ยางเริ่มแข็งจนเกิดเสียงดังขณะเข้าโค้งหรือเหยียบเบรก หากมีเสียงดังกล่าว ก็เป็นอีก 1 สัญญาณเตือนให้คุณรู้ว่ายางอาจจะเริ่มหมดอายุ
4.   หน้ายาง ไหล่ยางและแก้มยางมีรูปลักษณ์ หรือดูแล้วบวมปูดผิดรูปหรือไม่
5.   ขณะขับขี่บนผิวถนนเรียบมีอาการรถส่ายหรือไม่และมีอาการกระแทกกระเทือนมากกว่าปกติบนผิวถนนขรุขระและไม่เกาะถนน อาการดังกล่าว เกิดจากดอกยางสึกหรอหรือกินไม่เท่ากัน เป็นอีกสัญญาณของยางที่กำลังจะหมดอายุ
 
จัดเก็บยางอย่างไรให้ถูกต้อง

ยางรถยนต์เป็นอะไหล่ที่ต้องมีติดรถ ซึ่งยางที่ซื้อเป็นแค่ยางอะไหล่แต่ก็ควรจัดเก็บให้ถูกต้อง ควรตั้งยางเป็นแนวตั้ง เพื่อไม่ให้ยางเสียทรง และหากตั้งยางบนพื้น ควรหมั่นมาหมุนยางเพื่อเปลี่ยนจุดสัมผัสพื้นเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ยางด้านใดด้านหนึ่งรับน้ำหนักมากจนเกินไป

ใช้งานยางอย่างไรให้ปลอดภัย

หลังจากเปลี่ยนยางครบทั้ง 4 ล้อแล้ว ควรให้ความสำคัญกับการใช้งานยางที่เหมาะสม เพื่อให้ยางใช้งานได้นานขึ้น

•   เติมลมยางอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ยางแบน เพราะลมยางที่อ่อนจะทำให้การรีดน้ำของยางทำได้ไม่ดี ส่งผลให้ยางยุบตัวและเคลื่อนตัวได้ช้า
•   หลีกเลี่ยงทางขรุขระ เนื่องจากเส้นทางขรุขระที่เต็มไปด้วยหินกรวด ของมีคมต่าง ๆ มีโอกาสทำให้ยางรั่ว และต้องเปลี่ยนยางก่อนเวลาอันควร หากเลี่ยงทางขรุขระได้ควรเลี่ยง
•   หมั่นตรวจสภาพยางรถยนต์เป็นประจำ จะช่วยให้เห็นปัญหาของยางได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เปลี่ยนยางได้อย่างทันท่วงที
 
ก่อนใช้งานรถยนต์ทุกครั้ง ควรตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ช่วยดูแลรถคุณให้ปลอดภัยได้มากขึ้น ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) เช็กโปรไฟล์ของคุณได้ที่นี่ https://smkall.smk.co.th หรือ สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

8
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ขับขี่ทุกคนต้องให้ความใส่ใจหมั่นคอยดูแลรถยนต์คู่ใจให้ปลอดภัยและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ (น้ำมันเครื่องควรเลือกอย่างไรดี https://www.smk.co.th/newsdetail/327) และในบางครั้ง ผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์อาจไม่สามารถหาน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ได้สะดวก เลยอาจมองหาน้ำมันเครื่องสำหรับใส่รถยนต์มาทดแทน เพราะเข้าใจว่ามีลักษณะเป็นของเหลวชนิดเดียวกันและทำหน้าที่หล่อลื่นเครื่องยนต์ได้เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สามารถทำได้หรือไม่
 
น้ำมันเครื่อง คืออะไร

น้ำมันเครื่อง คือของเหลวที่ทำหน้าที่หล่อลื่นชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างลื่นไหล เต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยปกป้องเครื่องยนต์จากสนิม ซึ่งในน้ำมันเครื่องบางยี่ห้ออาจใส่สารเติมแต่งต่าง ๆ ที่ช่วยชะล้างทำความสะอาดเครื่องยนต์ ป้องกันการเกิดตะกอนอีกด้วย

น้ำมันเครื่อง มีกี่ประเภท

น้ำมันเครื่องที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1.   น้ำมันเครื่องธรรมดา (Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่กลั่นจากน้ำมันปิโตรเลียม
2.   น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นธรรมดากับชนิดสังเคราะห์
3.   น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic) ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นที่สังเคราะห์จากน้ำมันปิโตรเลียม
 
มาตรฐานน้ำมันเครื่อง

มาตรฐานน้ำมันเครื่อง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1.   มาตรฐาน API หรือ American Petroleum Institute คือ องค์กรหรือหน่วยงานที่กำหนดคุณภาพของน้ำมันเครื่องชนิดนั้น ๆ ว่ามีค่าความหนืด การระบายความร้อน หรือการหล่อลื่นต่าง ๆ เป็นอย่างไร เพื่อให้ได้มาตรฐานน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับการใช้งานในรถยนต์ทุกชนิด โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มย่อยได้แก่
•   API-S สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
•   API-C สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
ทั้งนี้ จะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษต่อท้ายอีกหนึ่งตัวที่จะเป็นตัวกำหนดค่ามาตรฐานที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ในปัจจุบัน เช่น เครื่องยนต์เบนซิน API-SN คือค่ามาตรฐานน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุดในตอนนี้ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะเป็น API-CK ค่ามาตรฐานน้ำมันเครื่องล่าสุด

2.   มาตรฐาน JASO หรือ Japanese Automobile Standards Organization องค์กรมาตรฐานยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น ได้กำหนดมาตรฐานของน้ำมันเครื่องมอเตอร์ไซค์ โดยใช้ค่าแรงเสียดทานเป็นตัวกำหนดเพราะจะมีผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบคลัทช์ ซึ่งในรถมอเตอร์ไซค์นั้นจะมี คลัทช์เปียก และคลัทช์แห้ง

ประเภทของคลัทช์

ระบบคลัทช์ในรถจักรยานยนต์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

•   คลัทช์เปียก คือ เครื่องยนต์ที่มีระบบคลัทช์อยู่ในห้องเดียวกับตัวเครื่องยนต์ และอาศัยการหล่อลื่นจากน้ำมันเครื่องด้วยเช่นกัน จะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับไว้ เช่น JASO MA, JASO MA1 และ JASO MA2
•   คลัทช์แห้ง คือ เครื่องยนต์ที่ไม่ได้มีระบบการทำงานของคลัทช์อยู่ภายใน ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น จะมีตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับไว้ เช่น JASO MB และ JASO MA
 
น้ำมันเครื่องรถยนต์ ใส่กับมอเตอร์ไซค์ได้หรือไม่?

น้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์สามารถนำมาใช้ทดแทนกับน้ำมันเครื่องสำหรับรถจักรยานยนต์ได้ แต่ควรเป็นการใช้แต่เพียงแบบชั่วคราวหรือเหตุฉุกเฉินเท่านั้น แม้การใช้น้ำมันเครื่องรถยนต์ในมอเตอร์ไซค์จะไม่ได้ทำให้เครื่องยนต์เสียหายแบบทันที แต่ในระยะยาวก็อาจเกิดปัญหาได้ เนื่องจากการทำงานของเครื่องยนต์ของรถสองประเภทยังแตกต่างกัน ในรถยนต์การทำงานของเครื่องยนต์และเกียร์จะอยู่คนละส่วนกัน ใช้น้ำมันหล่อลื่นคนละชนิด แต่ในมอเตอร์ไซค์ เครื่องยนต์ เกียร์ และคลัทช์อยู่ในห้องเดียวกันใช้น้ำมันเครื่องร่วมกัน ดังนั้นการใช้น้ำมันเครื่องผิดประเภทจึงอาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้นั่นเอง
 
ข้อควรระวังเมื่อต้องใช้น้ำมันเครื่องรถยนต์ใส่กับมอเตอร์ไซค์

1.   สิ่งที่พบเห็นและได้ยินบ่อยครั้ง หากมอเตอร์ไซค์มีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันเครื่องรถยนต์ คือ “คลัทช์ลื่น” เนื่องจากในมอเตอร์ไซค์แบบมีเกียร์ส่วนใหญ่การทำงานของคลัทช์จะอยู่ในห้องเดียวกับเครื่องยนต์และใช้น้ำมันหล่อลื่นตัวเดียวเดียวกัน หรือที่เรียกว่ารถแบบคลัทช์เปียก เมื่อเราใส่น้ำมันเครื่องรถยนต์ที่มีค่าแรงเสียดทานไม่เหมาะสมก็อาจเกิดอาการคลัทช์ลื่น หรือคลัทช์หมดเร็วได้

2.   หากไม่รู้ว่ารถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ใช้น้ำมันเครื่องชนิดไหน หรือแบบใด สามารถดูได้จากคู่มือของรถซึ่งจะมีระบุไว้ได้

3.   น้ำมันเครื่องของรถยนต์ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับแรงอัดสูงของมอเตอร์ไซค์

4.   น้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์ ไม่ได้ผ่านการทดสอบกับคลัชท์เปียกและเกียร์ที่มีความโหลดสูงของรถมอเตอร์ไซค์

5.   ถึงแม้จะนำมาใช้กับมอเตอร์ไซค์แบบคลัทช์แห้ง น้ำมันเครื่องก็ยังต้องทำหน้าที่หล่อลื่น ปกป้องเกียร์ ป้องกันชิ้นส่วนที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งน้ำมันเครื่องของรถยนต์อาจทำไม่ได้
 
ผู้ขับขี่ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้ตรงกับประเภทของรถที่ใช้งาน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหา และใช้งานรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด คุ้มครองรถคุณให้ปลอดภัย ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน

แม้จะเป็นรถประเภทเดียวกัน มียี่ห้อ รุ่นรถ ปีเดียวกัน แต่อัตราเบี้ยจะแตกต่างกันตามโปรไฟล์ หรือปัจจัยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน โดยปัจจัยที่ใช้ในการคำนวณ ได้แก่ การใช้รถเฉลี่ยต่อวัน เพศ อายุ อาชีพ เกรดเฉลี่ย (กรณีเป็นนักศึกษา) การมีที่อยู่อาศัยของตนเอง และสถานภาพการมีบุตร
และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม เริ่มเช็กโปรไฟล์ของคุณได้แล้ว ที่นี่ https://smkall.smk.co.th สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

9
ปัญหาปวดใจบนท้องถนนมักเกิดขึ้นได้เมื่อมีผู้ฝ่าฝืนกระทำความผิดและสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้ร่วมใช้ถนน และหลายครั้งที่ปัญหาลุกลามบานปลายใหญ่โตจนเป็นสาเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  (ปัญหาปวดหัวกับถนนในหมู่บ้าน รถชนเด็ก รถจอดหน้าบ้าน ใครผิด? https://www.smk.co.th/newsdetail/2850) หรือหลายครั้งก็อาจสร้างผลกระทบให้กับผู้ร่วมทางคนอื่นๆ จนถึงขั้นได้รับบาดเจ็บ ไม่เว้นแม้แต่การขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า ที่สร้างความรำคาญใจให้กับคนเดินถนนและหลายครั้งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ แต่ทราบหรือไม่ว่า การขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้ามีความผิดตามกฎหมาย และมีโทษหนักมากยิ่งขึ้นหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น
 
ขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้ามีโทษ!
การขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้า นอกจากจะเป็นความผิดในคดีจราจรทางบกแล้ว ยังเป็นความผิดคดีอาญาด้วยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (7) กำหนดห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่รถลากเข็นสำหรับทารก คนป่วยหรือคนพิการ ซึ่งหากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400 - 1,000 บาท ตามมาตรตรา 157

ในส่วนของคดีอาญา การขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้า มีโทษปรับถึง 5,000 บาท ตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมาตรา 17(2) กำหนดว่า ห้ามมิให้ผู้ใดจอดรถหรือขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์หรือล้อเลื่อนบนทางเท้า เว้นแต่เป็นการจอดหรือขับขี่เพื่อเข้าไปในอาคารหรือมีประกาศของเจ้าพนักงานจราจรผ่อนผันให้จอดหรือขับขี่ได้ซึ่งหากผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ตามาตรา 56
ทั้งนี้ ผู้ที่แจ้งเบาะแสผู้กระทำความผิดขับขี่ หรือจอดรถบนทางเท้าต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากดำเนินคดีเปรียบเทียบปรับผู้กระทำความผิดแล้ว ประชาชนที่แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินส่วนแบ่งค่าปรับเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของค่าปรับตามมาตรา 48 วรรคสาม ประกอบมาตรา 57
 
ติดตั้ง AI จับมอเตอร์ไซค์ขับขี่บนทางเท้า
ปัญหาการขับขี่รถจักรยานยนต์บนทางเท้าเป็นปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนมามาก และเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมานาน ซึ่งที่ผ่านมากรุงเทพมหานครได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เทศกิจเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการจับปรับ ทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคนเป็นจำนวนมาก รวมถึงการใช้เจ้าหน้าปฏิบัติการอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งขัดแย้งกับผู้ที่โดนจับและอาจมีปัญหาเรื่องความโปร่งใสได้ กรุงเทพมหานครจึงได้นำเทคโนโลยีที่เป็นกล้อง AI มาจับทะเบียนรถ ติดตั้งบนทางเท้าและตีเส้นกรอบในจุดที่กำหนดไว้ เมื่อมีรถผ่านมาบนทางเท้าก็จะจับภาพที่ป้ายทะเบียนรถบันทึกไว้และสามารถนำข้อมูลนี้มาดำเนินการปรับผู้ที่ทำผิดซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก ทำให้ทราบเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์และผู้ขับขี่ได้ในเบื้องต้น โดยมีอัตราโทษปรับอยู่ที่ 2,000 บาทต่อรายซึ่งสูงกว่า พ.ร.บ.จราจร โดยติดตั้งไว้จำนวน 5 จุดนำร่อง ได้แก่

1.   จุดที่ 1 ปากซอยรัชดาภิเษก 36 (ซอยเสือใหญ่อุทิศ)
2.   จุดที่ 2 โรงเรียนนิเวศน์วารินทร์
3.   จุดที่ 3 ปากซอยเพชรเกษม 28
4.   จุดที่ 4 ปั๊มน้ำมัน ปตท. เทพารักษ์
5.   จุดที่ 5 ปากซอยเพชรบุรี 9
 
จ่ายค่าปรับขับขี่บนทางเท้าอย่างไร
สำหรับจ่ายค่าปรับการขับขี่จากการตรวจจับของกล้อง AI เทศกิจจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลแล้วจึงทำหนังสือส่งไปให้กับเจ้าของรถตามทะเบียนบ้านที่เชื่อมข้อมูลไว้กับกรมขนส่งทางบกเพื่อแจ้งให้จ่ายค่าปรับ ภายใน 15 วัน ในอัตรา 2,000 บาท หากยังไม่มาจะส่งหนังสือแจ้งเตือน ครั้งที่ 2 และนำรายได้เข้า กทม. ซึ่ง กทม. จะขยายเพิ่มอีก 100 จุด ในการติดตั้ง AI ให้ครอบคลุมภายใน 1-2 เดือน ซึ่งภายหลังจากที่ได้นำระบบ AI มาติดตั้งบนทางเท้าได้ 1 สัปดาห์แล้วก็พบว่า มีรถมอเตอร์ไซค์ ทำผิดกว่า 4,946 คัน ในจำนวนนี้ เป็นรถของประชาชนทั่วไปมากที่สุด 1,884 คัน และเป็นกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ 592 คัน และกลุ่มไรเดอร์ 309 คัน โดยจุดที่พบการทำผิดมากที่สุด คือ ทางเท้าปากซอยรัชดาภิเษก 36 หรือ ซอยเสือใหญ่อุทิศจำนวน 2,921 คัน

สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่มีเงินเสียค่า ปรับ 2,000 บาท เจ้าหน้าที่จะยึดรถมอเตอร์ไซค์ไปเก็บไว้ที่สำนักงานเขต หรือที่ที่ปลอดภัย ก่อนจะให้นำเงินมาเสียค่าปรับโดยมีระยะเวลา 1 ปี หลังวันที่ถูกปรับ หากไม่มารับคืนก็จะดำเนินการขายทอดตลาดต่อไป

ขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้าชนคน เสียค่าปรับเท่าไร
บทลงโทษตามกฎหมายจราจร ตามข้อกำหนดของกฎหมาย “ทางเท้า” ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้ประกาศไว้ว่า พื้นที่ที่ทำไว้สำหรับคนเดินซึ่งอยู่ข้างใดข้างหนึ่งของทาง หรือทั้งสองข้างของทางหรือส่วนที่อยู่ชิดขอบทางซึ่งใช้เป็นที่สำหรับคนเดิน หากขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้าและชนคนจนได้รับบาดเจ็บ มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157, ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390 โทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือว่าเป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 300 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังถือว่าผิดข้อหาขับรถบนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันควร ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (7), 157, พรบ รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 17, 56 โทษสูงสุดปรับไม่เกิน 5,000 บาท
 
ปัญหาการฝ่าฝืนกฎจราจรเป็นสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนมานาน การนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้คนได้มากขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนเดินถนนเพิ่มขึ้นด้วย ช่วยให้ชีวิตบนท้องถนนของคุณปลอดภัยได้มากขึ้น ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

10
เมื่อต้องซื้อขายรถยนต์หนึ่งคัน ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นจะต้องมีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างกันเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายรถ (สัญญาซื้อขายรถยนต์คืออะไร? ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง? https://www.smk.co.th/newsdetail/3034) การทำสัญญาซื้อขายรถยนต์จึงจำเป็นจะต้องให้ความระมัดระวังในการทำเอกสารต่างๆ อย่างถี่ถ้วน จะมีอะไรบ้าง
 
ข้อควรระวังที่ 1 : เอกสารซื้อขายรถ ต้องครบถ้วน

ในการทำหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์จะต้องมีเอกสารที่สำคัญที่ถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้สามารถดำเนินการต่อที่กรมขนส่งทางบกได้ โดยเอกสารที่จำเป็นมีดังนี้

1.   ทะเบียนรถยนต์ หรือสมุดคู่มือจดทะเบียนฉบับจริง

ผู้ซื้อรถจะตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับรายละเอียดของรถยนต์ที่ทำการซื้อขายต้องตรงกันกับในเล่มทะเบียนที่แจ้งไว้ ได้แก่ สีตัวถัง, เลขเครื่องยนต์, เลขตัวถัง เป็นต้น รวมทั้งตรวจดูประวัติการต่อภาษี, ประวัติการครองครอง, ประวัติการโอนกรรมสิทธิ์, ประวัติการเปลี่ยนแปลงแก้ไขทางทะเบียนต่างๆ รวมถึงนำมาใช้อ้างอิงแนบในสัญญาเพื่อบ่งชี้ทรัพย์สินที่ซื้อขาย

นอกจากนั้น ผู้ซื้อจะต้องตรวจสอบชื่อของผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์คนล่าสุดว่า ตรงกับกรรมสิทธิ์ผู้ขายและตรงกับที่ระบุใน เอกสารซื้อขายรถยนต์ ทั้งหมดหรือไม่ หรือถ้าผู้ขายไม่ใช่ผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์คนล่าสุด ก็ต้องมีหลักฐานแสดงว่าผู้ขายที่เป็นคู่สัญญามีอำนาจนำรถคันนั้นมาขาย เช่น ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ เป็นต้น
 
2.   สัญญาซื้อขายรถยนต์

หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ ควรมี 2 ฉบับเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานทั้งทางผู้ซื้อและผู้ขาย และควรใช้แบบฟอร์มโดยเฉพาะ เพื่อจะได้มีการระบุข้อมูลในสัญญาให้ครบถ้วน เพราะทุกอย่างสามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้ทั้งสิ้น

3.   ใบโอนและรับโอน

ทั้งสองใบควรกรอกข้อมูลของรถยนต์ที่ซื้อขายให้ครบถ้วน โดยทางผู้ขายหรือเจ้าของรถจะต้องเซ็นชื่อตรงผู้โอน และทางผู้ซื้อต้องเซ็นชื่อตรงช่องผู้รับโอน เพื่อแจ้งต่อนายทะเบียนให้ทำการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์เพื่อเป็นหลักฐานทางราชการและเป็นข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่ระบุเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนดังกล่าวจะยังไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์และการโอนกรรมสิทธิ์ตามนิติกรรมสัญญาซื้อขาย หากสัญญาดังกล่าวได้ทำและลงนามทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

4.   สำเนาบัตรประชาชน

สำหรับสำเนาบัตรประชาชนของทางผู้ขาย ผู้ซื้อควรตรวจสอบดูว่า มีชื่อตรงกับในเล่มทะเบียนรถหรือไม่ และจะต้องมีเอกสารการเปลี่ยนชื่อแนบเข้ามาด้วยถ้ามีการเปลี่ยนชื่อก่อนหน้านี้ และที่สำคัญที่สุดคือ บัตรประชาชนจะต้องไม่หมดอายุ และในกรณีซื้อขายในนามบริษัท ก็ควรมีหนังสือจดทะเบียนนิติบุคคลเป็นหลักฐานแนบมาด้วย

ข้อควรระวังที่ 2 : ตรวจเช็กสภาพรถก่อนทำสัญญาซื้อขายรถยนต์

แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อนจะเซ็น ใบสัญญาซื้อขายรถ ก็คือ การเช็คสภาพรถที่จะซื้อให้ดี ๆ เสียก่อน โดยเฉพาะถ้าคุณซื้อรถมือสองจากแหล่งซื้อขายที่ไม่มีการรับประกัน ก็ยิ่งต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า รถคันที่คุณสนใจอยู่ในสภาพที่น่าพึงพอใจหรือไม่ เพราะคุณจะไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้นอกเหนือจากสิ่งที่ระบุใน เอกสารซื้อขายรถ ที่คุณเซ็นไปเรียบร้อยแล้ว
 
ข้อควรระวังที่ 3 : ลายเซ็นในสัญญาซื้อขายรถยนต์ ต้องครบ ชัดเจน

แน่นอนว่า การเซ็นสัญญาซื้อขายรถหรือเอกสารรับทราบในการทำธุรกรรมใดๆ ผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่ายควรอ่านสัญญาให้ละเอียดรอบคอบก่อนเซ็นรับทราบ รวมทั้งต้องตรวจสอบลายเซ็นของอีกฝ่ายว่า ถูกต้อง ชัดเจน พร้อมตรวจสอบเงื่อนไขและข้อตกลงให้ดีทุกครั้ง

นอกจากนั้น ฝั่งผู้ซื้อที่จะต้องสังเกตลายเซ็นเจ้าของรถให้ดีว่า ตรงกับลายเซ็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในเล่มทะเบียนรถหรือไม่ หรือถ้าผู้ขายได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เอกสารทุกอย่างที่มีลายเซ็นก็ควรจะต้องมีตราประทับบริษัทประกอบในเอกสารด้วย เพราะผู้ขายไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถ ก็ควรมีเอกสารหลักฐานยืนยันอำนาจในการนำรถมาขายจริงประกอบการทำสัญญานั่นเอง
 
ข้อควรระวังที่ 4 : เก็บ ใบซื้อขายรถ และเอกสารต่างๆ ให้ดี

การทำสัญญาต่างๆ ควรมี หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ เตรียมไว้อย่างน้อยสองฉบับ โดยจะต้องมีข้อความเหมือนกันและมีการลงลายเซ็นของคู่สัญญาและพยานในลักษณะเดียวกัน เพื่อให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้เก็บสัญญาดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงป้องกันการฉ้อโกงกันในภายหลัง

ข้อควรระวังที่ 5 : ควรหลีกเลี่ยงและระวังการโอนลอย

การโอนลอย หมายถึง การที่คู่สัญญามีการลงชื่อในสัญญาการซื้อขายหรือใบมอบอำนาจเรียบร้อย แต่ตกลงกันว่า จะยังไม่จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในทันที และไม่ได้ไปทำธุรกรรมที่สำนักงานขนส่งซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายที่ทำให้การโอนรถสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ การโอนลอยจึงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของเต็นท์รถ เนื่องจากช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการโอนจนกว่ารถคันดังกล่าวจะมีลูกค้ามาซื้อไป

การโอนลอยอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อตัวผู้ขายเดิมถ้ารถคันนั้นเกิดอุบัติเหตุ ถูกนำไปก่ออาชญากรรม ไม่เสียภาษีรถยนต์ หรือมีปัญหาทางกฎหมาย เพราะผู้ถือกรรมสิทธิ์คนเดิมจะยังถูกอ้างอิงกับทะเบียนรถดังกล่าว ในทางกลับกัน ถ้ายังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ครบถ้วน แต่ผู้ขายไปแจ้งรถหาย ก็อาจจะโดนข้อหารับซื้อของโจรได้ ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การดำเนินการซื้อขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ด้วยตนเอง
 
คุ้มครองรถคุณให้ปลอดภัย ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsuranceและสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

11
แม้ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนจะเคยได้รับการเข้าอบรมหลักสูตรใบอนุญาตขับรถก่อนได้รับใบขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่กรมขนส่งทางบกได้เปิดให้มีการอบรบใบขับขี่ออนไลน์ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ขับขี่มากขึ้น (อบรมต่ออายุใบขับขี่ทางออนไลน์ รู้ผลทันที ไม่เสียเวลา https://www.smk.co.th/newsdetail/1579) แต่ความชำนาญในการขับขี่ก็อาจทำให้หลงลืมกฎข้อบังคับและข้อควรระวังที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยได้หลายประการ แล้วข้อห้ามที่สำคัญในการขับรถ ข้อควรปฏิบัติ และความรู้เกี่ยวกับกฎจราจรที่สำคัญข้อใดบ้างที่ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนควรให้ความใส่ใจ
 
ข้อห้ามสำคัญของผู้ขับรถ

ข้อความสำคัญสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ ได้แก่
1.   ห้ามอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถขับรถของตน
2.   ห้ามใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถที่จัดทำขึ้นเอง
3.   ห้าให้ผู้อื่นใช้ใบอนุญาตขับรถของตน
4.   ห้ามใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน
 
รถยนต์ที่ห้ามนำมาใช้บนท้องถนน

รถยนต์ที่ถูกห้ามนำมาใช้ในเส้นทาง ได้แก่

1.   รถที่มีสภาพที่ไม่มั่นคงแข็งแรง มีส่วนควบอุปกรณ์ไม่ครบถ้วนตามที่กำหนด หรืออาจเกิดอันตราย หรือ เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ผู้ใช้รถ คนโดยสารหรือประชาชน เช่น
•   รถที่มีโคมไฟหน้าหรือโคมท้ายชำรุด
•   รถที่มีเครื่องห้ามล้อชำรุด
•   รถที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบล เอ
•   รถที่มีควันดำเกินเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด
•   รถที่ไม่มีกระจกด้านหน้า
2.   รถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน (ไม่ว่าจะ 1 หรือ 2 แผ่นป้าย) ไม่ติดเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีหรือเครื่องหมายอื่น ๆ ที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถกำหนด
3.   รถที่มีเสียงอื้ออึงหรือมีสิ่งลากถูไปบนทางเดินรถ
4.   รถที่มีล้อหรือส่วนที่สัมผัสกับผิวทางที่ไม่ใช่ยาง ยกเว้น รถที่ใช้ในราชการสงครามหรือรถที่ใช้ในราชการตำรวจ
5.   รถที่มีเสียงแตรได้ยินในระยะน้อยกว่า 60 เมตร
6.   รถที่ผู้ขับขี่ยอมให้ผู้อื่นนั่งที่นั่งแถวหน้าเกินกว่า 2 คน (แถวด้านหน้าห้ามนั่งเกินกว่า 2 คน โดยรวมคนขับด้วย)
7.   รถที่ไม่ได้เสียภาษีประจำปี
8.   รถที่ใช้แผ่นป้ายที่ทำขึ้นเอง
 
ขับรถสวนทางกันอย่างไรไม่ผิดกฎ

ในการขับรถสวนทางกัน ผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติดังนี้

1.   ให้ผู้ขับขี่ขับรถชิดทางด้านซ้ายของทางเดินรถ และให้ถือกึ่งกลางของทางเดินรถหรือเส้น หรือแนวที่แบ่งทางเดินรถเป็นหลัก
2.   ทางเดินรถที่แคบ ให้ผู้ขับขี่แต่ละฝ่ายลดความเร็วของรถลง เพื่อให้สวนทางกันได้โดยปลอดภัย
3.   ทางเดินรถที่แคบซึ่งไม่อาจขับรถสวนทางกันได้โดยปลอดภัย ให้ผู้ขับขี่รถคันที่ใหญ่กว่าหยุดรถชิดขอบทางด้านซ้าย เพื่อให้ผู้ขับรถคันที่เล็กกว่าขับผ่านไปก่อน
4.   กรณีที่มีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วหรือหยุดรถให้รถคันที่สวนทางขับผ่านมาก่อน
 
ด้านซ้ายของถนนมีสิ่งกีดขวาง ขับอย่างไร

การขับรถในกรณีที่ด้านซ้ายของทางเดินรถมีสิ่งกีดขวาง ให้ขับรถหลีกสิ่งกีดขวางล้ำเข้าไปในเส้นกึ่งกลางของทางเดินรถทางด้านขวา และต้องไม่เป็นการกีดขวางการจราจรของรถที่สวนมา หากไม่สามารถขับผ่านไปได้ต้องหยุดรอให้รถที่ขับสวนทางรถขับผ่านมาก่อน ในการขับรถผู้ขับขี่ต้องขับรถในทางเดินรถด้านซ้ายและต้องไม่ล้ำกึ่งกลางของทางเดินรถเว้นแต่กรณีต่อไปนี้ที่ผู้ขับขี่สามารถขับล้ำกึ่งกลางของทางเดินรถหรือขับเข้าไปในทางเดินรถด้านขวาได้

•   ด้านซ้ายของทางเดินรถมีสิ่งกีดขวาง หรือถูกปิดการจราจร
•   ทางเดินรถนั้นเจ้าพนักงานจราจรกำหนดให้เป็นทางเดินรถทางเดียว
•   ทางเดินรถนั้นกว้างไม่ถึง 6 เมตร

กรณีใดบ้างที่ต้องขับรถชิดทางด้านซ้ายสุด

กรณีที่ผู้ขับขี่ต้องขับรถชิดทางด้านซ้ายสุดเมื่อมีช่องทางเดินรถตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไป ได้แก่

1.   ผู้ขับขี่รถที่มีความเร็วช้า หรือรถที่มีความเร็วต่ำกว่ารถคันอื่น ที่ขับรถในทิศทางเดียวกัน

2.   ผู้ขับขี่รถบรรทุก รถบรรทุกคนโดยสาร รถจักรยานยนต์ ยกเว้น กรณีที่มีช่องทางเดินรถประจำทางให้ขับรถในช่องทางเดินรถด้าน ซ้ายสุดที่ติดกับช่องทางเดินรถประจำทาง

ขับขี่รถลงจากทางลาดชันปฏิบัติอย่างไร

เมื่อผู้ขับขี่รถลงจากทางลาดชันหรือภูเขาจะต้องปฏิบัติดังนี้

1.   ห้ามใช้เกียร์ว่าง
2.   ห้ามเหยียบคลัทช์
3.   ห้ามใช้เบรกตลอดเวลา
4.   ห้ามดับเครื่องยนต์
5.   ใช้เกียร์ต่ำ
6.   ขับรถชิดขอบทางด้านซ้าย
7.   ให้เสียงสัญญาณเตือนรถที่อาจสวนทางมา 

ขับผ่านทางแยกไม่มีสัญญาณทำอย่างไร?

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกที่เป็นทางเอกตัดกันและไม่ปรากฏสัญญาณหรือเครื่องหมายจราจร ผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติดังนี้

1.   ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถในทางร่วมทางแยกนั้นขับผ่านไปก่อน

2.   ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน และไม่มีรถอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของคนขับผ่านไปก่อน

บริเวณใดห้ามผู้ขับขี่หยุดรถ

1.   ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถ ในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง
2.   บนทางเท้า
3.   บนสะพานหรือในอุโมงค์
4.   ในทางร่วมทางแยก
5.   ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ
6.   ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ
7.   ในเขตปลอดภัย
8.   ในลักษณะกีดขวางการจราจร
 
รักษากฎจราจรในการขับขี่อย่างเคร่งครัด ช่วยให้คุณปลอดภัยได้ทุกการเดินทาง ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดักและระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ หรือน้ำท่วม เช็กโปรไฟล์ของคุณได้ที่นี่ https://smkall.smk.co.th สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsuranceและสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

12
เมื่อปัจจัยทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเมืองที่การจราจรติดขัด ทำให้หลายคนเริ่มมองหาทางเลือกในการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” จึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย (รถยนต์ EV ประหยัดเงินได้เท่าไหร่? ชาร์จไฟอย่างไรให้คุ้ม? https://www.smk.co.th/newsdetail/2923) แล้วรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์น้ำมันแตกต่างกันอย่างไร?
 
ข้อดีของรถยนต์พลังงานน้ำมัน

1.   เติมน้ำมันได้ทุกที่ สามารถขับหรือเดินทางได้ทุกเส้นทางเพราะปั๊มน้ำมันมีอยู่ทุกที่ ทุกเมือง ทุกจังหวัด อีกทั้งยังเติมได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องคอยนานเหมือนการชาร์จไฟ

2.   มีอะไหล่หรือชิ้นส่วนให้เปลี่ยนมากมาย สามารถปรับแต่งหรือเพิ่มเติมชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าและหาซื้อได้ง่ายกว่าอีกด้วย

3.   ราคาถูก รถยนต์ใช้น้ำมันมีหลายรุ่นหลายยี่ห้อให้เราได้เลือกสรร อีกทั้งบางรุ่นก็มีราคาที่ถูกกว่ารถ EV อย่างเห็นได้ชัด

ข้อเสียของรถยนต์พลังงานน้ำมัน

1.   สร้างมลภาวะทางอากาศ รถใช้น้ำมันจะสร้างมลพิษจากควันที่ออกมาจากท่อไอเสีย ซึ่งส่งผลเสียโดยตรงต่อธรรมชาติและสุขภาพของเรา

2.   น้ำมันแพง อย่างที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมันในยุคปัจจุบันนี้กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ นี้ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ใช้รถต้องคอยแบกรับและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

3.   เสียงเครื่องยนต์ดัง รถใช้น้ำมันจะมีเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกว่ารถ EV ทำให้สร้างมลพิษทางเสียงได้มากกว่าหลายเท่า
 
ข้อดีของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

1.   ชาร์จไฟถูกกว่าเติมน้ำมัน หากขับขี่ในระยะทางที่เท่ากัน รถ EV จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ารถใช้น้ำมัน ซึ่งทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ อายุการใช้งาน รุ่นของรถ และพฤติกรรมในการขับขี่

2.   ชาร์จเองที่บ้านได้ หากติดตั้งเครื่องชาร์จไฟที่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย เราก็สามารถชาร์จไฟเองที่บ้านได้โดยไม่ต้องขับออกไปไหน

3.   เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รถ EV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทำให้ตัวรถไม่สร้างมลพิษเหมือนรถที่ใช้น้ำมัน ถือว่าเป็นมิตรกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก

4.   เงียบ เบา ไม่มีเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ เพราะรถ EV ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ตัวรถมีเสียงที่เบาและเงียบกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน

5.   มีการออกตัวและอัตราเร่งที่ดีกว่า เนื่องจากรถ EV ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าก็ทำให้มีอัตราเร่งและการออกตัวที่ดีกว่ารถใช้น้ำมันอย่างเห็นได้ชัด

ข้อเสียของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

1.   จุดบริการชาร์จไฟยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าไม่ตอบโจทย์ต่อการเดินทางไกลหรือในบางสถานที่ที่ไม่มีจุดชาร์จคอยให้บริการ

2.   ชาร์จไฟนาน การชาร์จไฟแต่ละครั้งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความจุของตัวแบตเตอรี่หรือรุ่นของรถ

3.   ราคาแพง รถ EV ในปัจจุบันยังมีราคาที่ค่อนข้างแพง เพราะรถทั้งคันเต็มไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยที่ถูกนำมาใช้

4.   อะไหล่แพง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่มีราคาค่อนข้างสูง ชิ้นส่วนอื่น ๆ ก็มีให้เปลี่ยนได้ไม่มาก ขาดความหลากหลาย ไม่สามารถปรับแต่งหรือทดแทนได้เท่าที่ควร

5.   มีระยะการขับที่สั้นกว่ารถใช้น้ำมัน คนใช้รถ EV จำเป็นต้องคำนวณเส้นทางหรือระยะเวลาในการขับขี่ให้ดี ว่าพลังงงานไฟฟ้าจะเพียงพอต่อการเดินทางหรือไม่ ซึ่งทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับความจุของตัวแบตเตอรี่ว่าสามารถเก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากขนาดไหน
 
เปรียบเทียบรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับรถยนต์น้ำมัน

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หรือ EGAT ได้ให้ข้อมูลข้อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง รถยนต์ EV และรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนมาขับรถยนต์ EV เปรียบเทียบได้เป็นข้อๆ ดังนี้

1.   แหล่งพลังงาน
รถยนต์ไฟฟ้า : สามารถชาร์จไฟได้จากที่บ้านโดยติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือหาสถานีชาร์จระหว่างทาง ซึ่งขณะนี้ทั้งภาครัฐและเอกชน ได้เริ่มขยายการติดตั้งเพิ่มมากขึ้น ส่วนระยะเวลาในการชาร์จปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 1 ชม. หรือมากกว่านั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ และกำลังไฟฟ้าของเครื่องชาร์จด้วย
รถยนต์น้ำมัน : เติมน้ำมันได้ที่สถานีบริการน้ำมันทั่วไป ใช้เวลาในการเติมน้ำมันไม่นาน

2.   การซ่อมบำรุง
รถยนต์ไฟฟ้า : ชิ้นส่วนทั้งคันน้อย ซ่อมบำรุงได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย
รถยนต์น้ำมัน : ใช้อะไหล่จำนวนที่มากกว่า และเครื่องยนต์มีความซับซ้อน เมื่อเกิดปัญหาสามารถซ่อมได้ที่อู่รถยนต์ทั่วไป

3.   การใช้งานทั่วไป
รถยนต์ไฟฟ้า : เครื่องยนต์เงียบ และมีอัตราการเร่งดีกว่า
รถยนต์น้ำมัน : มีเสียงดังกว่า และมีการกระชากจากเครื่องยนต์

4.   ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้า : ไม่ปล่อยมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
รถยนต์น้ำมัน : ปล่อยมลพิษหากเป็นรถยนต์รุ่นเก่า หรือได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้อง
 
การตัดสินใจที่จะเลือกใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถยนต์พลังงานน้ำมัน ก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละครอบครัว และให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยให้กับทุกคนในบ้าน ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

13
ทุกครั้งที่ต้องออกเดินทางบนท้องถนน สิ่งที่นักขับขี่ทุกคนต้องให้ความใส่ใจคือการระแวดระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากผู้ใช้รถใช้ถนนด้วยกัน และหลายครั้งที่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ก็อาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากผู้ใช้รถใช้ถนนแต่เกิดจากวัสดุข้างทางหรือวัตถุสิ่งของที่อาจตกหล่นจากอาคารข้างเคียงได้ แม้แต่สัตว์เลี้ยงของผู้ที่อยู่บนอาคารต่างๆ ก็สามารถตกลงมาได้เช่นกัน (จอดรถที่คอนโด นิติโทร. แจ้งมีแมวตกใส่ ตะลึงถึงขั้นกระจกแตก ที่แท้แมว 8 กก. https://hilight.kapook.com/view/233489) ซึ่งหากมีแมวตกใส่รถ หรือมีสิ่งของอื่นๆ ตกใส่รถยนต์จนได้รับความเสียหาย ประกันรถยนต์จะคุ้มครองหรือไม่
 
ประกันรถยนต์มีทั้งหมดกี่ประเภท

ประกันรถยนต์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท หลักๆ คือ

1.   ประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือที่เรียกติดปากกันว่า พ.ร.บ. เป็นประกันภัยที่กฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 โดยมีใจความสำคัญคือให้ความคุ้มครองกับผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ไม่ว่าจะเป็น ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือบุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุทุกคน เช่น คนเดินถนน คนขี่จักรยาน คนเดินฟุตบาท หรือคนที่โดนลูกหลงจากอุบัติเหตุ โดยจะเป็นความคุ้มครองทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อชีวิตและร่างกาย ให้ผู้ประสบเหตุได้รับเงินค่าเสียหายเบื้องต้นทันที เพื่อเป็นหลักประกันแก่สถานพยาบาลทุกแห่งว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ให้การรักษาแก่ผู้ประสบภัยจากรถยนต์

ทั้งนี้ ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. จะคุ้มครองเจ้าของรถ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอก เฉพาะอุบัติเหตุทางรถยนต์เท่านั้น จะไม่คุ้มครองกรณีอุบัติเหตุอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อเนื่องหรือมีส่วนทำให้รถของเจ้าของรถได้รับความเสียหาย เช่น เสาไฟฟ้าล้มทับ กิ่งไม้ตกใส่ เศษหินกระเด็นมาโดนกระจกรถแตก หรือแมวตกใส่รถ เจ้าของรถยนต์จะไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
 
2.   ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ

ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นประกันภัยที่กฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องทำ การเลือกซื้อความคุ้มครองจะขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของรถที่ต้องการกระจายความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งเจ้าของรถหรือผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกซื้อประกันภัยตามความคุ้มครองที่ต้องการเพื่อเพิ่มตัวเลือกที่นอกเหนือจาก พ.ร.บ. โดยสามารถแบ่งประเภทของประกันรถยนต์ภาคสมัครใจออกได้เป็นดังนี้

1)   ประกันรถยนต์ชั้น 1 – ให้ความคุ้มครองรถยนต์ทุกกรณี ไม่ใช่เฉพาะอุบัติเหตุจากรถชนรถเท่านั้นแต่รวมถึง รถสูญหาย ไฟไหม้ ถูกปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ และภัยธรรมชาติน้ำท่วม รวมถึงสิ่งของตกใส่ เฉี่ยวชนฟุตบาท ถอยชนกำแพง เสียหลักลงข้างทาง หนูกัดสายไฟ ยางแตกหรือยางระเบิด เป็นต้น

2)   ประกันรถยนต์ชั้น 2 - ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเฉพาะรถชนรถเท่านั้น และจะคุ้มครองเฉพาะรถของผู้เอาประกัน (ไม่คุ้มครองรถคู่กรณี) ที่สูญหาย ไฟไหม้ ถูกชิงทรัพย์ ถูกปล้นทรัพย์ หรือถูกยักยอกทรัพย์ เท่านั้น ประกันชั้น 2 จะไม่คุ้มครองความเสียหายตัวรถยนต์นอกเหนือจากที่กล่าวมา

3)   ประกันรถยนต์ชั้น 3 - ไม่คุ้มครองรถของเจ้าของรถยนต์ในทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุลักษณะใด และถึงแม้จะเป็นทั้งฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดก็ตาม

4)   ประกันรถยนต์ชั้น 4 - ไม่มีความคุ้มครองในส่วนของตัวรถยนต์ทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุลักษณะใดก็ตาม ทั้งเป็นฝ่ายถูกและฝ่ายผิด คุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเท่านั้น ไม่รวมการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต่อบุคคลภายนอก

5)   ประกันรถยนต์ชั้น 5 - ให้ความคุ้มครองเฉพาะรถยนต์ของเจ้าของรถ ต่อเมื่อเกิดอุบัติเหตุชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น หรือก็คือรถชนรถเพียงอย่างเดียว

สิ่งของตกใส่รถ แมวตกใส่รถประกันรถยนต์คุ้มครองหรือไม่

ในทางกฎหมายจะเรียกอุบัติเหตุที่เกิดจากสัตว์บนรถยนต์ของผู้เอาประกันว่า เป็นบาดแผลจากสัตว์ ซึ่งมีตั้งแต่ตกทะลุกระจกแบบในข่าว รถบุบจากการกระโดด รอยข่วนบนสีรถและล้อรถ เป็นต้น ซึ่งประกันรถยนต์ที่สามารถคุ้มครองได้ มีเพียงแค่ประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น แต่หากมีคู่กรณี (กรณีหาเจ้าของเจอ) ก็สามารถเคลมเป็นอุบัติเหตุได้ตามปกติ ซึ่งทางบริษัทประกันจะจัดการเรียกเก็บเงินจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงเอง แต่ในกรณีที่หาเจ้าของสัตว์ไม่ได้ หรือเป็นสัตว์จร เจ้าของกรมธรรม์อาจจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (ขึ้นอยู่กับรายละเอียดในกรมธรรม์) แล้วจึงนำรถไปเคลมเข้าซ่อม พร้อมถ่ายรูปเป็นหลักฐานหลังเกิดเหตุ โดยบันทึกวันและเวลาให้ชัดเจน แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ประกันให้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป
 
แมวตกใส่รถ ของหล่นจากระเบียงโดนรถยนต์ไม่มีประกัน ทำอย่างไร?

กรณีรถยนต์ไม่มีประกัน และเกิดเหตุไม่คาดฝัน กระถางต้นไม้ สิ่งของ หรือแมว หล่นจากระเบียงไปโดนรถยนต์ สิ่งที่เจ้าของรถยนต์ต้องทำอันดับแรกเลยคือหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น แมวที่ตกใส่รถ ตกมาจากระเบียงหอพัก หรือตกจากคอนโดที่อนุญาตให้เลี้ยงแมวได้แล้วหล่นโดนกระจกรถ หรือเป็นสิ่งของที่หล่นลงมาจากระเบียงห้องพัก หรือเป็นบุคคลที่พลักตกจากระเบียงห้องลงมาโดนรถ

จากนั้น เจ้าของรถยนต์ที่ไม่มีประกัน ควรดำเนินการเจรจากับเจ้าของห้องพัก เพื่อให้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เนื่องจาก พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 111 ระบุไว้ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดขี่จูงไล่ตอนหรือปล่อยสัตว์ไปบนทาง ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรและไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ” และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 ยังระบุด้วยว่า “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ เจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย”

คุ้มครองรถยนต์ของคุณไว้จากทุกอุบัติภัยรอบตัว ด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง ผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

14

การเป็นเจ้าของรถยนต์หนึ่งคันจำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดข้อมูลของรถยนต์อย่างละเอียดเพื่อให้ตรงกับความต้องการในการใช้งานของเจ้าของรถให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการศึกษารายละเอียดเอกสารและขั้นตอนทางกฎหมายต่างๆ เพื่อให้การซื้อขายรถยนต์มีความถูกต้องและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของรถ สัญญาซื้อขายรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อขาย และให้ความใส่ใจในรายละเอียดของสัญญาอย่างถี่ถ้วน สัญญาซื้อขายรถยนต์คืออะไร? ต้องมีรายละเอียดของข้อมูลอย่างไร

ซื้อขายรถยนต์ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?

1.   สมุดเล่มทะเบียนรถยนต์

เอกสารการขายรถมือสองที่สำคัญมากอย่างแรกคือสมุดเล่มทะเบียนรถตัวจริงพร้อมกับสำเนา ซึ่งสมุดนี้เองจะเป็นการบ่งบอกชัดเจนว่า ผู้ขายรถคันนี้เป็นเจ้าของรถยนต์ "ตัวจริง" ไม่ใช่ตัวหลอก หรือแอบอ้างมาขาย เพราะหากชื่อเจ้าของรถยนต์จะขายและชื่อในสมุดเล่มทะเบียนรถยนต์ไม่ตรงกัน จะทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่าเป็น เจ้าของตัวปลอม

2.   สำเนาบัตรประชาชน

ควรเตรียมเอาไว้สัก 2 ชุดเป็นอย่างน้อย โดยสำเนา 1 ใบเตรียมเอาไว้มอบอำนาจ กับอีก 1 ใบเอาไว้เพื่อการโอนรถยนต์ และหากจะป้องกันเพิ่มเติมก็เตรียมเอาไว้อีก 1 ใบ เพื่อให้ผู้ซื้อลงนามกำกับไว้ว่า "ยินยอมขายรถยนต์คันนี้ให้จริง" เพื่อยืนยันการซื้อขายที่ถูกต้อง

3.   สัญญาซื้อขาย

สำหรับสัญญาซื้อขายสามารถดึงเอาแบบฟอร์มจากอินเทอร์เน็ตได้ง่าย ๆ เพียงแค่ลองค้นหาคำว่า "สัญญาซื้อขายรถยนต์" ก็มีตัวอย่างให้กรอกแบบตามได้สามารถพรินต์ออกมาได้เลย หรือหาซื้อได้ตามร้านค้าออนไลน์ทั่วไปสัญญาซื้อขายรถยนต์ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับการโอนรถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบก และยังเป็นหลักฐานทางกฎหมายว่ามีการซื้อขายรถยนต์กันจริง และใช้เป็นหลักฐานยืนยัน ในกรณีที่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

4.   หนังสือโอนรถยนต์

หนังสือโอนรถยนต์สามารถขอได้ที่กรมการบนส่งทางบก จะเป็นข้อกำหนดในการเปลี่ยนชื่อ เจ้าของรถยนต์จากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งต้องใช้เป็นหลักฐานด้วย และในผู้ขายควรจะต้องจัดหามาให้เรียบร้อย

5.   หนังสือมอบอำนาจ

สามารถขอได้จากกรมการขนส่งทางบกด้วยเช่นกัน หนังสือมอบอำนาจนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ขายไม่ได้ไปโอนรถยนต์ให้กับผู้ซื้อที่กรมการขนส่งทางบก แต่จะใช้วิธีโอนลอย แล้วมอบหลักฐานคือหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ซื้อไปจัดการต่อ
 
สัญญาซื้อขายรถยนต์ คืออะไร?

หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ คือ แบบฟอร์มสัญญาซื้อขายรถยนต์ที่บันทึกรายละเอียดที่เกิดขึ้นระหว่างการซื้อขายในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายรถประเภทต่างๆ ทั้งรถมือหนึ่ง, รถมือสอง ฯลฯ รถยนต์ (ซื้อขายรถยนต์มือสองมีขั้นตอนอย่างไร? ใช้เอกสารอะไรบ้าง? https://www.smk.co.th/newsdetail/2785) รวมถึงรูปแบบการชำระเงินทั้งแบบผ่อนชำระ ขายดาวน์ หรือวางมัดจำเงินสด ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการซื้อหรือขายรถสามารถหาดาวน์โหลดหรือดูตัวอย่าง หนังสือซื้อขายรถ ได้ตามอินเตอร์เน็ตทั่วไป ทั้งไฟล์สัญญาซื้อขายรถยนต์แบบ Word และแบบ PDF จากนั้นสามารถกรอกข้อมูลแล้วสามารถนำใบสัญญาซื้อขายรถไปยื่นกับกรมการขนส่งทางบกได้เลย

สัญญาซื้อขายรถยนต์ มีความสำคัญอย่างไร

สัญญาซื้อขายรถยนต์ เป็นเอกสารทางกฎหมายที่สำคัญเมื่อต้องการซื้อขายรถยนต์ เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ก็เปรียบเสมือนหลักฐานที่ช่วยยืนยันรายละเอียดตามกระบวนการที่ถูกต้องและเป็นการเก็บหลักฐานเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง ดังนั้น เอกสารสัญญาซื้อขายรถยนต์ที่ไม่ครบถ้วนหรือการลงลายมือชื่อที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้ติดปัญหาการซื้อขายและไม่สามารถทำการโอนได้

นอกจากนั้น ระหว่างการซื้อขายก็มีส่วนที่ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะช่องว่างหรือการผิดพลาดใดๆ ที่เกิดขึ้นในสัญญาซื้อขายรถ ก็อาจจะเปิดช่องโหว่ให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเสียผลประโยชน์เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้
 
สัญญาซื้อขายรถยนต์ ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง

นอกจากการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้ การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายกันเกินกว่า 20,000 บาท หากไม่ได้มีการวางมัดจำหรือชำระเงินไปบางส่วนแล้ว จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและลงชื่อคู่สัญญาฝ่ายที่มีหน้าที่ จึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
 
ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องการ ทำสัญญาซื้อขายรถเอง หรือใช้เอกสารซื้อขายรถยนต์ที่แจกฟรีตามอินเทอร์เน็ต ก็ควรจัดการทำสัญญาซื้อขายกันให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งระบุรายละเอียดต่างๆ ที่ได้ตกลงไว้ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภายหลังและลดข้อโต้แย้งระหว่างการซื้อขาย นอกจากนั้น ยังป้องกันในกรณีหากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยสามารถใช้เป็นหลักฐานนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อบังคับกันได้ด้วย
 
ข้อมูลในสัญญาซื้อขายรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีอะไรบ้าง?

สัญญาซื้อขายรถ ที่ถูกต้องตามกฎหมายควรมีข้อมูลและรายละเอียดการซื้อขายให้ครบถ้วนดังต่อไปนี้

•   รายละเอียดการซื้อขาย เช่น วันเวลาสถานที่ซื้อขาย, ชื่อผู้ซื้อและผู้ขาย ฯลฯ
•   รายละเอียดรถยนต์ เช่น หมายเลขทะเบียน สี เลขเครื่องยนต์ เลขตัวถัง ฯลฯ
•   รูปแบบการชำระเงิน เช่น การวางมัดจำหรือการชำระเงินสด ฯลฯ
•   ราคาตกลงซื้อขาย
•   รูปแบบการส่งมอบรถ
•   ลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
•   เงื่อนไขการรับประกัน
 
ควรทำสัญญาซื้อขายรถยนต์มือสองอย่างไรถ้าจำเป็นต้องโอนลอย
ถ้าจำเป็นจะต้องทำการโอนลอยจริงๆ นอกจากตรวจสอบสภาพรถยนต์และเอกสารต่างๆ ตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว ผู้ซื้อยังต้องแน่ใจว่า ผู้ขายได้จัดเตรียมและลงนามในเอกสารคำขอและเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเอกสารสำคัญอย่าง “ใบมอบอำนาจ” ที่จะต้องมีลายเซ็นของผู้ขายตรงช่องผู้มอบอำนาจ พร้อมทั้งระบุจุดประสงค์ว่า ใช้สำหรับทำการโอนรถยนต์หรือแจ้งย้าย นอกจากนั้น ในเอกสารต้องระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์และขีดคร่อมในบรรทัดอื่นๆ เพื่อความปลอดภัย โดยผู้ซื้อสามารถตรวจสอบรายการเอกสารที่ใช้เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์และวิธีดำเนินการด้วยตนเองได้ที่กรมการขนส่งโดยตรง

ผู้ซื้อและผู้ขายรถยนต์ทุกคัน จึงควรให้ความใส่ใจในรายละเอียดของสัญญาซื้อขายรถยนต์อย่างเคร่งครัดเมื่อต้องการทำสัญญาซื้อขายรถยนต์เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และศึกษาหาข้อมูลให้ครบถ้วนด้วยเช่นกัน คุ้มครองรถยนต์คุณให้ปลอดภัยด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

15
“เมาแล้วขับ” นับเป็นการกระทำที่อาจส่งผลกระทบได้อย่างรุนแรงทั้งต่อตัวผู้ขับขี่และบุคคลอื่นบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็น คนเดินเท้า รถยนต์คันอื่นที่ใช้เส้นทางเดียวกัน หรือผู้โดยสารที่อยู่ภายในตัวรถคันเดียวกัน โทษของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับจึงมีอัตราโทษสูงมากในประเทศไทย แล้วกฎหมายของไทยมีการระบุโทษ “เมาแล้วขับ” ไว้ว่าอย่างไร ประกันรถยนต์ให้ความคุ้มครองหรือไม่ และหากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
 
เป่าแอลกอฮอล์เท่าไร ถึงมีโทษเมาแล้วขับ

ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก หากพบว่า ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้ ถือว่าเมาแล้วขับ ได้แก่

1)   ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
2)   ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เช่น มือใหม่ใบอนุญาตขับขี่ยังไม่ถึง 2 ปี
3)   ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
4)   ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่บุคคลที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหรือใบขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปี ก็จะถือว่าเมาแล้วขับเช่นกัน (แค่กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้ควบคุมพฤติกรรมได้ยาก https://www.smk.co.th/newsdetail/160)
หากเป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณเกินกำหนดทั้ง 2 กรณี จะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี
 
ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?
ในกรณีที่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับทันที ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

เมาแล้วขับ ได้รับโทษอย่างไรบ้าง?
สำหรับโทษของการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเป่าแอลกอฮอล์แล้วเกินกำหนดหรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ดังนี้

-   เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนด ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
 
-   เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

-   เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

-   เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

-   ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
 
เมาแล้วขับ ประกันคุ้มครองหรือไม่?

ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร หน้าที่ของ พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่ได้รับความคุ้มครอง

นอกจากนี้ หากตรวจพบว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย แต่หากแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม แต่คุ้มครองฝ่ายเสียหายตามเงื่อนไขของประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะไล่ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ประกันเพื่อนำไปชดใช้ให้ผู้เสียหายในลำดับถัดไป

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน แม้จะเป็นรถประเภทเดียวกัน มียี่ห้อ รุ่นรถ ปีเดียวกัน แต่อัตราเบี้ยจะแตกต่างกันตามโปรไฟล์ หรือปัจจัยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดักและระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง เช็กโปรไฟล์ของคุณได้แล้ววันนี้ https://smkall.smk.co.th หรือสนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

16
การเป็นเจ้าของรถยนต์หนึ่งคันจำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดข้อมูลของรถยนต์อย่างละเอียดเพื่อให้ตรงกับความต้องการในการใช้งานของเจ้าของรถให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการศึกษารายละเอียดเอกสารและขั้นตอนทางกฎหมายต่างๆ เพื่อให้การซื้อขายรถยนต์มีความถูกต้องและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าของรถ สัญญาซื้อขายรถยนต์ก็เป็นอีกหนึ่งเอกสารสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อขาย และให้ความใส่ใจในรายละเอียดของสัญญาอย่างถี่ถ้วน สัญญาซื้อขายรถยนต์คืออะไร? ต้องมีรายละเอียดของข้อมูลอย่างไรบ้าง มีข้อมูลมาฝาก

ซื้อขายรถยนต์ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
    1. สมุดเล่มทะเบียนรถยนต์

เอกสารการขายรถมือสองที่สำคัญมากอย่างแรกคือสมุดเล่มทะเบียนรถตัวจริงพร้อมกับสำเนา ซึ่งสมุดนี้เองจะเป็นการบ่งบอกชัดเจนว่า ผู้ขายรถคันนี้เป็นเจ้าของรถยนต์ "ตัวจริง" ไม่ใช่ตัวหลอก หรือแอบอ้างมาขาย เพราะหากชื่อเจ้าของรถยนต์จะขายและชื่อในสมุดเล่มทะเบียนรถยนต์ไม่ตรงกัน จะทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่าเป็น เจ้าของตัวปลอม

    2. สำเนาบัตรประชาชน
ควรเตรียมเอาไว้สัก 2 ชุดเป็นอย่างน้อย โดยสำเนา 1 ใบเตรียมเอาไว้มอบอำนาจ กับอีก 1 ใบเอาไว้เพื่อการโอนรถยนต์ และหากจะป้องกันเพิ่มเติมก็เตรียมเอาไว้อีก 1 ใบ เพื่อให้ผู้ซื้อลงนามกำกับไว้ว่า "ยินยอมขายรถยนต์คันนี้ให้จริง" เพื่อยืนยันการซื้อขายที่ถูกต้อง

    3. สัญญาซื้อขาย
สำหรับสัญญาซื้อขายสามารถดึงเอาแบบฟอร์มจากอินเทอร์เน็ตได้ง่าย ๆ เพียงแค่ลองค้นหาคำว่า "สัญญาซื้อขายรถยนต์" ก็มีตัวอย่างให้กรอกแบบตามได้สามารถพรินต์ออกมาได้เลย หรือหาซื้อได้ตามร้านค้าออนไลน์ทั่วไปสัญญาซื้อขายรถยนต์ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับการโอนรถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบก และยังเป็นหลักฐานทางกฎหมายว่ามีการซื้อขายรถยนต์กันจริง และใช้เป็นหลักฐานยืนยัน ในกรณีที่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

    4. หนังสือโอนรถยนต์
หนังสือโอนรถยนต์สามารถขอได้ที่กรมการบนส่งทางบก จะเป็นข้อกำหนดในการเปลี่ยนชื่อ เจ้าของรถยนต์จากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อรายใหม่ ซึ่งต้องใช้เป็นหลักฐานด้วย และในผู้ขายควรจะต้องจัดหามาให้เรียบร้อย

    5. หนังสือมอบอำนาจ
สามารถขอได้จากกรมการขนส่งทางบกด้วยเช่นกัน หนังสือมอบอำนาจนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ขายไม่ได้ไปโอนรถยนต์ให้กับผู้ซื้อที่กรมการขนส่งทางบก แต่จะใช้วิธีโอนลอย แล้วมอบหลักฐานคือหนังสือมอบอำนาจให้ผู้ซื้อไปจัดการต่อ

สัญญาซื้อขายรถยนต์ คืออะไร?
หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ คือ แบบฟอร์มสัญญาซื้อขายรถยนต์ที่บันทึกรายละเอียดที่เกิดขึ้นระหว่างการซื้อขายในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายรถประเภทต่างๆ ทั้งรถมือหนึ่ง, รถมือสอง ฯลฯ รถยนต์ ( ซื้อขายรถยนต์มือสองมีขั้นตอนอย่างไร? ใช้เอกสารอะไรบ้าง? ) รวมถึงรูปแบบการชำระเงินทั้งแบบผ่อนชำระ ขายดาวน์ หรือวางมัดจำเงินสด ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการซื้อหรือขายรถสามารถหาดาวน์โหลดหรือดูตัวอย่าง หนังสือซื้อขายรถ ได้ตามอินเตอร์เน็ตทั่วไป ทั้งไฟล์สัญญาซื้อขายรถยนต์แบบ Word และแบบ PDF จากนั้นสามารถกรอกข้อมูลแล้วสามารถนำใบสัญญาซื้อขายรถไปยื่นกับกรมการขนส่งทางบกได้เลย


สัญญาซื้อขายรถยนต์ มีความสำคัญอย่างไร?
สัญญาซื้อขายรถยนต์ เป็นเอกสารทางกฎหมายที่สำคัญเมื่อต้องการซื้อขายรถยนต์ เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย หนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์ก็เปรียบเสมือนหลักฐานที่ช่วยยืนยันรายละเอียดตามกระบวนการที่ถูกต้องและเป็นการเก็บหลักฐานเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง ดังนั้น เอกสารสัญญาซื้อขายรถยนต์ที่ไม่ครบถ้วนหรือการลงลายมือชื่อที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้ติดปัญหาการซื้อขายและไม่สามารถทำการโอนได้

นอกจากนั้น ระหว่างการซื้อขายก็มีส่วนที่ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน เพราะช่องว่างหรือการผิดพลาดใดๆ ที่เกิดขึ้นในสัญญาซื้อขายรถ ก็อาจจะเปิดช่องโหว่ให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเสียผลประโยชน์เนื่องจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้

สัญญาซื้อขายรถยนต์ ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง?
นอกจากการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์แล้ว ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้ การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายกันเกินกว่า 20,000 บาท หากไม่ได้มีการวางมัดจำหรือชำระเงินไปบางส่วนแล้ว จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและลงชื่อคู่สัญญาฝ่ายที่มีหน้าที่ จึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้

ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องการ ทำสัญญาซื้อขายรถเอง หรือใช้เอกสารซื้อขายรถยนต์ที่แจกฟรีตามอินเทอร์เน็ต ก็ควรจัดการทำสัญญาซื้อขายกันให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งระบุรายละเอียดต่างๆ ที่ได้ตกลงไว้ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภายหลังและลดข้อโต้แย้งระหว่างการซื้อขาย นอกจากนั้น ยังป้องกันในกรณีหากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยสามารถใช้เป็นหลักฐานนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อบังคับกันได้ด้วย

ข้อมูลในสัญญาซื้อขายรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีอะไรบ้าง?
สัญญาซื้อขายรถ ที่ถูกต้องตามกฎหมายควรมีข้อมูลและรายละเอียดการซื้อขายให้ครบถ้วนดังต่อไปนี้

    • รายละเอียดการซื้อขาย เช่น วันเวลาสถานที่ซื้อขาย, ชื่อผู้ซื้อและผู้ขาย ฯลฯ
    • รายละเอียดรถยนต์ เช่น หมายเลขทะเบียน สี เลขเครื่องยนต์ เลขตัวถัง ฯลฯ
    • รูปแบบการชำระเงิน เช่น การวางมัดจำหรือการชำระเงินสด ฯลฯ
    • ราคาตกลงซื้อขาย
    • รูปแบบการส่งมอบรถ
    • ลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
    • เงื่อนไขการรับประกัน


ควรทำสัญญาซื้อขายรถยนต์มือสองอย่างไรถ้าจำเป็นต้องโอนลอย?
ถ้าจำเป็นจะต้องทำการโอนลอยจริงๆ นอกจากตรวจสอบสภาพรถยนต์และเอกสารต่างๆ ตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว ผู้ซื้อยังต้องแน่ใจว่า ผู้ขายได้จัดเตรียมและลงนามในเอกสารคำขอและเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเอกสารสำคัญอย่าง “ใบมอบอำนาจ” ที่จะต้องมีลายเซ็นของผู้ขายตรงช่องผู้มอบอำนาจ พร้อมทั้งระบุจุดประสงค์ว่า ใช้สำหรับทำการโอนรถยนต์หรือแจ้งย้าย นอกจากนั้น ในเอกสารต้องระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์และขีดคร่อมในบรรทัดอื่นๆ เพื่อความปลอดภัย โดยผู้ซื้อสามารถตรวจสอบรายการเอกสารที่ใช้เปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์และวิธีดำเนินการด้วยตนเองได้ที่กรมการขนส่งโดยตรง

ผู้ซื้อและผู้ขายรถยนต์ทุกคัน จึงควรให้ความใส่ใจในรายละเอียดของสัญญาซื้อขายรถยนต์อย่างเคร่งครัดเมื่อต้องการทำสัญญาซื้อขายรถยนต์เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และศึกษาหาข้อมูลให้ครบถ้วนด้วยเช่นกัน คุ้มครองรถยนต์คุณให้ปลอดภัยด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง
สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com


17
“เมาแล้วขับ” นับเป็นการกระทำที่อาจส่งผลกระทบได้อย่างรุนแรงทั้งต่อตัวผู้ขับขี่และบุคคลอื่นบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็น คนเดินเท้า รถยนต์คันอื่นที่ใช้เส้นทางเดียวกัน หรือผู้โดยสารที่อยู่ภายในตัวรถคันเดียวกัน โทษของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับจึงมีอัตราโทษสูงมากในประเทศไทย แล้วกฎหมายของไทยมีการระบุโทษ “เมาแล้วขับ” ไว้ว่าอย่างไร ประกันรถยนต์ให้ความคุ้มครองหรือไม่ และหากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่
 
เป่าแอลกอฮอล์เท่าไร ถึงมีโทษเมาแล้วขับ

ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก หากพบว่า ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้ ถือว่าเมาแล้วขับ ได้แก่

1)   ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
2)   ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เช่น มือใหม่ใบอนุญาตขับขี่ยังไม่ถึง 2 ปี
3)   ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
4)   ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่บุคคลที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหรือใบขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปี ก็จะถือว่าเมาแล้วขับเช่นกัน (แค่กลิ่นของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้ควบคุมพฤติกรรมได้ยาก https://www.smk.co.th/newsdetail/160)
หากเป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณเกินกำหนดทั้ง 2 กรณี จะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี
 
ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?

ในกรณีที่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับทันที ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

เมาแล้วขับ ได้รับโทษอย่างไรบ้าง?

สำหรับโทษของการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเป่าแอลกอฮอล์แล้วเกินกำหนดหรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ดังนี้

-   เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนด ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
 
-   เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

-   เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

-   เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

-   ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522
 
เมาแล้วขับ ประกันคุ้มครองหรือไม่?
ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร หน้าที่ของ พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่ได้รับความคุ้มครอง

นอกจากนี้ หากตรวจพบว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย แต่หากแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม แต่คุ้มครองฝ่ายเสียหายตามเงื่อนไขของประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะไล่ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ประกันเพื่อนำไปชดใช้ให้ผู้เสียหายในลำดับถัดไป

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน แม้จะเป็นรถประเภทเดียวกัน มียี่ห้อ รุ่นรถ ปีเดียวกัน แต่อัตราเบี้ยจะแตกต่างกันตามโปรไฟล์ หรือปัจจัยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดักและระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง เช็กโปรไฟล์ของคุณได้แล้ววันนี้ https://smkall.smk.co.th หรือสนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

18
เมื่อโทรศัพท์มือถือ หรือ สมาร์ตโฟน ถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์สำคัญของผู้คนยุค 5G ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในทุกกิจกรรมประจำวัน เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน ทำให้แบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้โทรศัพท์สามารถใช้งานได้อยู่ตลอดเวลา นอกเหนือไปจากการพกพาเครื่องสำรองไฟติดตัวไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ยังเป็นอีกหนึ่งทางออกสำคัญที่จะช่วยชาร์จแบตเตอรี่ให้กับโทรศัพท์ได้เป็นอย่างดี (https://www.smk.co.th/newsdetail/2851 ที่ชาร์จแบตในรถยนต์มี่กี่แบบ? เลือกที่ชาร์จแบตในรถยนต์อย่างไร?) แต่การชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ในรถยนต์จะก่อให้เกิดอันตรายหรือสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์ได้หรือไม่
 
ข้อเสียของการชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือในรถยนต์

1.   ผลเสียสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์
ปกติแล้วระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี แต่การชาร์จแบตมือถือในรถยนต์ จะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลดลงเหลือประมาณ 15-18 เดือน และเมื่อแบตเสื่อมก็จะทำให้สตาร์ตรถติดยากขึ้น โดยเฉพาะหากมีการใช้งานโทรศัพท์มือถือระหว่างที่กำลังชาร์จอยู่ โทรศัพท์มือถือก็จะดึงกระแสไฟฟ้าจากรถยนต์มาใช้เป็นจำนวนมาก ทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้น

2.   ผลเสียสำหรับโทรศัพท์มือถือ
ส่วนมากแล้ว USB ในรถยนต์ถูกออกแบบมาให้จ่ายกระแสไฟได้น้อยอยู่ที่ราวๆ 0.5A เพื่อไว้ใช้สำหรับฟังและดาวน์โหลดเพลงมากกว่าจะไว้ใช้สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่โดยตรง จึงทำให้ชาร์จได้ช้ากว่าการเสียบที่จุดบุหรี่มาตรฐาน เพราะกระแสไฟฟ้าที่ถูกปล่อยผ่านที่จุดบุหรี่นั้นสามารถจ่ายไฟได้ถึง 1A หรือ 2.1A ซึ่งมีปริมาณมากพอจะไปเลี้ยงแบตเตอรี่มือถือได้ อย่างไรก็ตาม ระบบไฟฟ้าที่ถูกจ่ายผ่านแบตเตอรี่รถยนต์นั้นค่อนข้างจะผันผวนไม่สม่ำเสมอ อาจเกิดการกระชากเมื่อระบบแอร์ทำงาน หรือหยุดชะงักได้
 
การชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือในรถยนต์ อันตรายหรือไม่?

ตามปกติแล้วระบบไฟฟ้าในรถยนต์จะต้องผ่านฟิวส์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการลัดวงจรขึ้น หากชาร์จแบตจนเต็มแล้วยังไม่เอาออก หรืออุปกรณ์ชาร์จไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ฟิวส์ขาด หรือหนักกว่านั้นคือ ที่ชาร์จแบตมือถือ เกิดการหลอมละลายทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจร ลามไปจนถึงเกิดไฟไหม้รถได้

วิธีชาร์จโทรศัพท์มือถือในรถยนต์ให้ปลอดภัย

การชาร์จโทรศัพท์มือถือในรถยนต์สามารถทำได้อย่างปลอดภัย ด้วยวิธีการดังนี้

1.   สตาร์ตรถก่อนเสียบที่ชาร์จ

ในการสตาร์ตรถจะมีกำลังไฟฟ้าเข้ามาในรถเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับกระแสไฟฟ้าที่มีพลังงงานสูงเสียหายได้ ดังนั้น ควรเสียบที่ชาร์จมือถือเข้ากับรถหลังจากสตาร์ตรถเรียบร้อยแล้ว

2.   เสียบที่ชาร์จเข้ากับที่จุดบุหรี่
หลังจากที่สตาร์ตรถ ถือว่าปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ดังนั้นการเสียบอุปกรณ์ชาร์จไฟหลังจากรถสตาร์ตรถเรียบร้อย จะช่วยถนอมรักษาอุปกรณ์ให้ใช้ได้นานและรับไฟได้กำลังที่ถูกต้องอยู่เสมอ

3.   นำสายเสียบกับมือถือ
การเสียบมือถือก่อนแล้วค่อยเสียบปลั๊กเข้าทั้งไฟบ้านและรถนั้นทำให้ไฟฟ้ากระชากและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ ดังนั้นควรเสียบปลั๊กจากตัวรับไฟให้เรียบร้อยแล้วค่อยเสียบที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือ
 
4.   ไม่ควรเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถหลาย ๆ อย่างขณะชาร์จ
แม้ว่าที่ชาร์จจะเป็นของแท้และมีการันตีเรื่องป้องกันการช็อต ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าความดันไฟจะเสถียรตลอดเวลาที่ชาร์จ เพราะส่วนอื่น ๆ ของรถยนต์ก็ต้องการไฟฟ้าเช่นกัน เมื่อมีการจ่ายไฟออกไปในส่วนต่าง ๆ หลาย ๆ จุด โอกาสที่แรงดันไฟฟ้าจะไม่สม่ำเสมอก็มีสูง ซึ่งทำให้ตัวเครื่องกับแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้

5.   ดึงที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือออกจากที่เสียบก่อนดับเครื่อง
เมื่อต้องการจะดับเครื่องยนต์ ควรดึงที่ชาร์จออกทุกครั้ง ก่อนที่จะดับเครื่อง เพราะเหตุผลเดียวกันกับสตาร์ตรถ นั่นคือกระแสไฟฟ้าอาจจะหายไปทันที และอาจจะทำให้อุปกรณ์ได้รับความเสียหายได้หากใช้งานระยะเวลาที่ยาวนาน

6.   ควรเลือกที่ชาร์จที่ได้มาตรฐาน
การเลือกที่ชาร์จแบตเตอรี่ที่ได้มาตรฐานสามารถดูได้จากอุปกรณ์ที่มียี่ห้อน่าเชื่อถือ หรือมีคุณสมบัติการรับไฟฟ้าได้อย่างเหมาะสม ต้องมีรายละเอียดข้อมูลครบถ้วนและชัดเจน เช่น รองรับการจ่ายไฟกี่ Amp โดยสังเกตจากหน้ากล่องจะมีเครื่องหมายบอก เช่น 1A จะสามารถชาร์จไฟกับมือถือรุ่นปกติได้ แต่จะใช้เวลานาน 2.1A ชาร์จไฟกับมือถือรุ่นใหม่ ๆ หรือ Tablet ส่วนใหญ่ได้ เพราะถ้าเลือกมากไปนั้นผลเสียคือ เครื่องชาร์จจะมีความร้อนสูงและเป็นอันตราย ยกเว้นบางรุ่นที่มีระบบควบคุมการจ่ายไฟจะทำให้เกิดความปลอดภัยได้ แต่หากอุปกรณ์ที่รองรับการชาร์จได้มากกว่า 1 ช่องเสียบจะต้องรองรับไฟมากกว่า 2A ขึ้นไป ทั้งนี้ไม่ต้องห่วงว่าแบตเตอรี่รถจะหมดเร็วเมื่อชาร์จกับอุปกรณ์เหล่านี้ เพราะไฟฟ้าที่จ่ายเข้าไปส่วนมากจะรองรับแค่ 5V โดยรถยนต์จะจ่ายไฟได้สูงสุด 120V (โวลล์) เท่านั้นและที่สำคัญที่สุดคือ สายชาร์จมือถือ หรือที่ชาร์จมือถือ หากใช้งานแล้วพบว่ากระแสไฟจ่ายไม่เต็มที่ควรจะเปลี่ยนสาย หรืออุปกรณ์ชาร์จ เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายจนลัดวงจร
 
การพกพาแบตเตอรี่สำรองติดตัวไว้ ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือในรถยนต์ แต่ก็ไม่ควรวางแบตเตอรี่สำรองทิ้งไว้ในรถยนต์เช่นกัน เพราะอาจเกิดอันตรายจากแบตเตอรี่สำรองระเบิดเมื่อต้องจอดรถตากแดดทิ้งไว้นาน ๆ ได้

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม เช็กโปรไฟล์ของคุณได้ที่นี่ https://smkall.smk.co.th/ และสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

19
“เมาแล้วขับ” นับเป็นการกระทำที่อาจส่งผลกระทบได้อย่างรุนแรงทั้งต่อตัวผู้ขับขี่และบุคคลอื่นบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็น คนเดินเท้า รถยนต์คันอื่นที่ใช้เส้นทางเดียวกัน หรือผู้โดยสารที่อยู่ภายในตัวรถคันเดียวกัน โทษของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับจึงมีอัตราโทษสูงมากในประเทศไทย แล้วกฎหมายของไทยมีการระบุโทษ “เมาแล้วขับ” ไว้ว่าอย่างไร ประกันรถยนต์ให้ความคุ้มครองหรือไม่ และหากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เป่าแอลกอฮอล์จะผิดกฎหมายหรือไม่  มีข้อมูลมาฝาก

เป่าแอลกอฮอล์เท่าไร ถึงมีโทษเมาแล้วขับ
ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก หากพบว่า ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ใน 4 กรณี ดังต่อไปนี้ ถือว่าเมาแล้วขับ ได้แก่

    1) ผู้ขับขี่ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
    2) ผู้ขับขี่ซึ่งได้รับใบอนุญาตขับรถชั่วคราวตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เช่น มือใหม่ใบอนุญาตขับขี่ยังไม่ถึง 2 ปี
    3) ผู้ขับขี่ซึ่งมีใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถประเภทอื่นที่ใช้แทนกันไม่ได้
    4) ผู้ขับขี่ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่


หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ในกรณีที่บุคคลที่มีใบขับขี่ตลอดชีพหรือใบขับขี่ 5 ปี และมีอายุเกิน 20 ปี ก็จะถือว่าเมาแล้วขับเช่นกัน

หากเป่าแอลกอฮอล์แล้วพบว่า ปริมาณเกินกำหนดทั้ง 2 กรณี จะถือว่าเมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 160 ตรี

ไม่ยอมเป่าแอลกอฮอล์ได้หรือไม่?
ในกรณีที่ไม่เป่าแอลกอฮอล์ในทางกฎหมายจะถือว่าเมาแล้วขับทันที ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ

เมาแล้วขับ ได้รับโทษอย่างไรบ้าง?
สำหรับโทษของการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีเป่าแอลกอฮอล์แล้วเกินกำหนดหรือเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ผู้ขับขี่ที่ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น ดังนี้

    • เมาแล้วขับ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนด ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

    • เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

    • เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี และปรับตั้งแต่ 40,000-120,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 2 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

    • เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

    • ผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ กระทำผิดครั้งแรกจะมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับตั้งแต่ 50,000 – 100,000 บาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522

เมาแล้วขับ ประกันคุ้มครองหรือไม่?
ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไร หน้าที่ของ พ.ร.บ.รถยนต์ คือคุ้มครองผู้เอาประกันรถยนต์และคู่กรณี โดยไม่พิสูจน์ความถูกหรือผิด ซึ่งจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ค่าเสียที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของผู้เอาประกัน พ.ร.บ.รถยนต์ จะไม่ได้รับความคุ้มครอง

นอกจากนี้ หากตรวจพบว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันและฝ่ายเสียหาย แต่หากแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน แม้จะซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่มีเบี้ยสูงสุดก็ตาม แต่คุ้มครองฝ่ายเสียหายตามเงื่อนไขของประกันรถยนต์ที่ซื้อไว้ ซึ่งบริษัทประกันจะไล่ค่าเสียหายทั้งหมดจากผู้ประกันเพื่อนำไปชดใช้ให้ผู้เสียหายในลำดับถัดไป

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน แม้จะเป็นรถประเภทเดียวกัน มียี่ห้อ รุ่นรถ ปีเดียวกัน แต่อัตราเบี้ยจะแตกต่างกันตามโปรไฟล์ หรือปัจจัยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดักและระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง เช็กโปรไฟล์ของคุณได้แล้ววันนี้ https://smkall.smk.co.th หรือสนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

20
เมื่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันพุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนจึงเริ่มมองหาทางออกในการลดค่าใช้จ่ายด้วยการมองหาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืนไปพร้อมกัน “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” จึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ก็อาจยังไม่แน่ใจว่า จะสามารถดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร หากต้องตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า  มีข้อมูลมาบอกต่อ

รถยนต์ไฟฟ้า ควรต้องเช็กระยะอย่างไร
รถยนต์ไฟฟ้าอาจจะไม่ต้องการการดูแลเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน แต่ก็มีกำหนดเข้ารับบริการเช็กระยะกับศูนย์บริการแบบเดียวกับรถยนต์ใช้น้ำมัน คือทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าตัวเลขใดถึงก่อน และจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ารถใช้น้ำมันมาก จึงควรนำรถเข้ามาตรวจเช็กระยะตามกำหนด เพื่อจะได้ตรวจสอบความผิดปกติ สิ่งบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มอเตอร์ แบตเตอรี่ ระบบชาร์จไฟ รวมไปถึงไฟส่องสว่างและยางรถยนต์

การดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า มีอะไรบ้าง
แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนประกอบในการทำงานน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้การดูแลรักษาอาจไม่ยุ่งยาก แต่ก็อาจเกิดข้อผิดพลาดจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ ดังนี้

    1. มอเตอร์ไฟฟ้า

แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ต้องบำรุงรักษาในระดับเดียวกับเครื่องยนต์สันดาป ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือแม้แต่เปลี่ยนไส้กรอง แต่ควรนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปตรวจสอบระบบขับเคลื่อนกับศูนย์บริการที่ใช้ช่างมีประสบการณ์เฉพาะด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้าตามระยะการใช้งาน หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขังที่มีระดับความสูงเกิน 30 เซนติเมตร โดยเฉพาะมอเตอร์ขับเคลื่อนจะมีราคาแพงและลดหลั่นกันไปกับราคาของรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีทั้งแบบธรรมดาและมีประสิทธิภาพสูง มีราคาตั้งแต่แสนกว่าบาท หลายแสนไปจนถึงหลักล้าน

แม้ตัวมอเตอร์จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและเป็นสิ่งที่พังได้ยาก แต่ถ้าเกิดเสียหรือขัดข้องอาจทำให้เกิดความกังวลใจต่อผู้ขับขี่ เพราะมีราคาในการซ่อมหรือเปลี่ยนที่ค่อนข้างสูง จึงควรสังเกตการทำงานของมอเตอร์ว่าเป็นปกติดีหรือไม่ และนำรถเข้าเช็กระยะตามกำหนดเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง

2. ระบบเบรก

ระบบเบรกของรถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานของผ้าเบรกที่ยาวนานกว่าระบบเบรกของรถทั่วไป เนื่องจากระบบเบรกจะมีระบบชาร์จไฟกลับขณะที่เหยียบเบรก นอกจากจะช่วยเพิ่มกำลังไฟเพื่อการเดินทางที่ยาวขึ้นแล้ว ยังเป็นการถนอมผ้าเบรกให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น แต่ก็ควรสังเกตผ้าเบรกเป็นประจำว่ายังทำงานได้ปกติ มีเสียงดังหรือไม่ หากพบจะได้ตรวจสอบและแก้ปัญหาก่อนเกิดอันตรายได้

    3. แบตเตอรี่

แบตเตอรี่เป็นที่กักเก็บไฟทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในรถทำงานและเคลื่อนที่ ความชื้น จึงถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องระวัง เพราะความชื้นจะทำให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางกลไก เช่น ขั้วต่อแบตเตอรี่ จึงควรตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำอยู่เสมอ และไม่ควรจอดรถยนต์ไฟฟ้าไว้กลางแจ้งหรือที่ที่ไม่มีหลังคา เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่สะสมความร้อนมากเกินไป และทุกครั้งที่ชาร์จแบตเตอรี่ควรชาร์จให้เต็ม 100% เพื่อการใช้งานที่นานและถนอมเซลล์แบตเตอรี่

4. หัวชาร์จหรือที่ชาร์จไฟ

ควรเลือกใช้ที่ชาร์จเดิมที่ให้มาพร้อมกับรถ เพราะจัดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ได้การรับรองมาตรฐานมาแล้วจากศูนย์บริการ มีระบบความปลอดภัยและการป้องกันที่เหมาะสม ช่วยป้องกันประกายไฟ หรือไฟฟ้าลัดวงจร หากใช้หัวชาร์จหรือที่ชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไฟไม่เข้า การจ่ายไฟไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจเกิดการลัดวงจรได้
นอกจากนี้ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ จึงควรชาร์จไฟแบบค่อยๆ ปล่อยให้กระแสไฟไหลเข้าไปในแบตเตอรี่ด้วยการชาร์จแบบปกติหรือ AC แต่อาจจำเป็นต้องรอนาน 6-8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เนื่องจากการชาร์จเร็วด้วยไฟ DC จะทำให้แบตเตอรี่มีอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบระบายความร้อนของแบตฯ ต้องทำงานหนัก การชาร์จไฟด้วยระบบชาร์จเร็วบ่อยครั้ง หรือชาร์จไฟต่ำเกินไปจะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง จึงควรเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าให้แบตเตอรี่อยู่ในสถานะเต็ม 100%

    5. เปลี่ยนถ่ายของเหลวต่าง ๆ

แม้จะมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ลดลง แต่ก็ยังมีการใช้ของเหลวต่าง ๆ ในรถยนต์ไฟฟ้า เช่น น้ำหล่อเย็น น้ำมันเบรก และน้ำฉีดกระจก ควรหมั่นสังเกตและตรวจสอบเป็นประจำ หากมีปริมาณลดลงควรเติมเพิ่มเข้าไปหรือนำรถเข้าตรวจที่ศูนย์บริการ ซึ่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ มักจะใช้เกียร์อัตโนมัติความเร็วเดียว (Electric Motor Single speed Transmission for EV) แต่บางรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงแบบสองสปีด จึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางของการใช้งาน เพื่อให้ระบบหล่อลื่นของชุดเกียร์และมอเตอร์สามารถขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่นได้เป็นปกติในระหว่างการใช้งาน และควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ของรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อใช้งานถึงระยะทางที่กำหนด


    6. ยางรถยนต์

ไม่ว่าจะรถยนต์ใช้น้ำมัน หรือรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งหนึ่งที่มีการเสื่อมสภาพและต้องเปลี่ยนเป็นประจำก็คือ ยางรถยนต์ ซึ่งจะมีอายุการใช้งานที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรุ่น ยี่ห้อ หรือรูปแบบของการขับขี่ ส่วนใหญ่จะมีระยะทางใช้อยู่ที่ 20,000-50,000 กิโลเมตร จึงเปลี่ยนเส้นใหม่ แต่ก็มีที่ยังไม่ถึงกำหนดเปลี่ยนแต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาได้ เช่น ยางแตก ยางบวม หรือมีรอยฉีกขาด โดยยางรถยนต์ที่ติดมาจากโรงงาน สามารถใช้งานได้ประมาณ 30,000-40,000 กิโลเมตร ซึ่งเท่ากับยางของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป แต่อายุการใช้งานของยาง จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวถนนที่วิ่งเป็นประจำ น้ำหนักบรรทุก และลักษณะของการขับขี่ ที่จะส่งผลต่ออายุการใช้งานของยางโดยตรงด้วยเช่นกัน

ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ประกันรถยนต์ตามเวลา 1-3+  ช่วยให้คุณจ่ายประกันรถยนต์ได้สบายด้วยเบี้ยเบา ๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต กับ ประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง
สามารถแบ่งซื้อครั้งละ 3 หรือ 6 เดือนได้ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน เมื่อครบกำหนด คลิกเลือกต่อประกันและชำระเงินออนไลน์ รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่า จะลืมต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทฯ จะแจ้งเตือนการต่อประกันผ่าน SMS และโทรศัพท์จากพนักงาน ก่อนประกันหมดอายุ
สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

21
รถยนต์ | Car / เคล็ดลับขับรถยนต์หน้าร้อน
« เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2023, 04:22:03 AM »
แม้ในช่วงที่ผ่านมาสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยจะมีพายุฤดูร้อนพัดผ่านส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ แต่ช่วงระยะเวลาไม่นานอากาศก็กลับมามีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง แม้การตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานและดูแลรักษาสุขภาพของผู้ขับขี่ให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ จะเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนควรให้ความสำคัญเมื่อต้องขับขี่รถยนต์ในหน้าร้อน (ขับรถยนต์หน้าร้อนให้ปลอดภัย ต้องระวัง ! https://www.smk.co.th/newsdetail/3023) แต่เพื่อให้การขับขี่รถยนต์ในหน้าร้อนปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
 
1.   หลีกเลี่ยงการจอดรถยนต์ทิ้งไว้กลางแจ้ง

การจอดรถยนต์กลางแดดไม่เพียงแต่จะทำให้สีตัวถังรถยนต์ลดความเงางามเร็วกว่าที่ควรเท่านั้น แต่ยังทำให้ชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิมอีกด้วย ควรหาที่จอดในร่ม หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้แผ่นสะท้อนความร้อนปิดบังคอนโซลหน้า

2.   เปิดกระจกหรือประตูก่อนสตาร์ตรถยนต์

การเปิดกระจกหรือประตูระบายความร้อนก่อนสตาร์ต โดยเฉพาะเมื่อรถยนต์จอดอยู่กลางแจ้งจะช่วยให้ห้องโดยสารเย็นเร็วขึ้น และช่วยระบายความร้อนที่สะสมอยู่ภายในรถยนต์ออกไปก่อนที่จะเข้าไปนั่งในตัวรถยนต์

3.   ปกป้องผู้โดยสารเด็ก และสวมแว่นกันแดด

แสงแดดที่เจิดจ้าอาจเป็นอันตรายต่อทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ถึงแม้จะนั่งอยู่ในรถยนต์แต่ถ้าเดินทางไกลควรทาครีมกันแดดป้องกันรังสียูวี โดยเฉพาะที่แขนทั้งสองข้าง ถ้ามีเด็กโดยสารมาด้วยที่เบาะหลัง ควรใช้ม่านบังแดดปกป้องผิว ขณะเดียวกันผู้ขับขี่ควรสวมแว่นกันแดดขณะขับขี่เพื่อปกป้องดวงตาตลอดการเดินทาง
 
4.   ทำความสะอาดกระจกรอบคันเพื่อทัศนวิสัยชัดเจน

ในช่วงหน้าร้อน แสงแดดช่วงเช้าตรู่หรือช่วงค่ำก่อนพระอาทิตย์ตกดินจะกินเวลายาวนานกว่าปกติ แสงแดดจะส่องตรงมาที่กระจกหน้า ถ้ามีคราบฝุ่นติดหนาอาจทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่และก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นควรทำความสะอาดกระจกหน้า รวมถึงกระจกรอบคันให้ใสสะอาดอยู่เสมอ

5.   ระมัดระวังพายุฝน

บางครั้งอาจมีฝนหรือพายุฤดูร้อนโปรยปรายลงมาในช่วงหน้าร้อน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ผู้ขับขี่ควรระมัดระวังเมื่อฝนเริ่มตกลงมาใหม่ๆ เพราะพื้นผิวถนนที่มีคราบสิ่งสกปรกเกาะอยู่มากมายโดยจะชะล้างออกและทำให้ถนนลื่นกว่าปกติ อุบัติเหตุร้ายแรงมักเกิดขึ้นเมื่อฝนเริ่มตกใหม่ๆ

6.   ไม่ทิ้งเด็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถยนต์ที่จอดกลางแจ้ง

อุณหภูมิภายในรถยนต์ที่จอดกลางแจ้งสามารถยนต์พุ่งทะยานสูงขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที ถึงแม้จะเปิดกระจกแง้มไว้เล็กน้อยก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนัก ดังนั้นจึงไม่ควรทิ้งเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถยนต์แม้แต่วินาทีเดียว เพราะอาจทำให้เกิดภาวะฮีตสโตรกหรือความร้อนในร่างกายพุ่งสูงเกินไปจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
 
7.   รักษาแรงดันลมยางให้เหมาะสม

การเติมลมยางให้เหมาะสมเป็นวิธีง่ายๆ เพราะการเติมลมยางที่เหมาะสมนั้นช่วยให้รถยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในหน้าร้อนได้ด้วย โดยการรักษาลมยางให้อยู่มีแรงดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์นั้นตามที่กระทรวงพลังงาน (DOE) กล่าวนั้นจะสามารถยนต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 3% ยิ่งถ้าปล่อยให้รถยนต์มีแรงดันลมยางต่ำ ทำให้รถยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น

8.   เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่คู่มือรถยนต์กำหนด

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่คู่มือกำหนดไว้นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยในหน้าร้อน เพราะถ้าปล่อยให้น้ำเครื่องแห้งในหน้าร้อนนั้นอาจส่งผลทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้และยังทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นอีกด้วย ควรตรวจสอบน้ำมันเครื่องเป็นประจำเพราะอาจมีน้ำมันเครื่องรั่วไหล

9.   หลีกเลี่ยงการขับรถยนต์เร่งเครื่องและเบรกกะทันหัน

นอกจากจะเป็นอันตรายแล้ว การเร่งเครื่องและเบรกรถยนต์กะทันหันเมื่อถูกบวกสภาพอากาศที่ร้อนระอุ อาจทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกด้วย
 
10.   หลีกเลี่ยงการขับขี่ระยะสั้นบ่อยๆ

บางครั้งหากต้องขับรถยนต์ในเมืองที่มีรถยนต์ติดหรือใช้รถยนต์ขับขี่ใกล้ ๆ บ้าน ก็อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การขับขี่รถยนต์ในระยะสั้นๆ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ สามารถยนต์ทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึงครึ่งแกลลอนต่อชั่วโมง

11.   ขับรถยนต์ด้วยความเร็วที่คงที่

ทุกครั้งที่ขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกิน 80 กิโลเมตร/ต่อชั่วโมง ในสภาพอากาศร้อนจะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงได้อย่างรวดเร็ว

12.   ไม่ควรเปิดแอร์ในรถยนต์จนมีอุณหภูมิเย็นจัด

การใช้เครื่องปรับอากาศในรถยนต์เป็นปัจจัยหลักในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงท่ามกลางสภาพอากาศร้อนได้ดี หากมีเป้าหมายเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า ไม่ควรปรับเครื่องปรับอากาศให้ต่ำกว่า 25 องศา หรือถ้าหากขับขี่ในระยะทางสั้นๆ ไม่ไกลมากการปิดแอร์แล้วเปิดกระจกแทนก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้

เพราะเราเข้าใจ...ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบา ๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต กับประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง สามารถแบ่งซื้อครั้งละ 3 หรือ 6 เดือนได้ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน เมื่อครบกำหนด คลิกเลือกต่อประกันและชำระเงินออนไลน์ รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่า จะลืมต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทฯ จะแจ้งเตือนการต่อประกันผ่าน SMS และโทรศัพท์จากพนักงาน ก่อนประกันหมดอายุ สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

22
หลายครั้งที่ทริปการเดินทางท่องเที่ยวจำเป็นต้องใช้การเดินทางที่สนามบินเพื่อช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางให้สั้นลง และลดทอนความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นจากการเดินทางได้แม้จะเป็นเพียงการเดินทางแค่ในประเทศก็ตาม (คำแนะนำการเตรียมตัวก่อนการเดินทาง https://www.smk.co.th/newsdetail/144) แต่ทราบหรือไม่ว่า การเดินทางโดยสารด้วยเครื่องบินมีข้อกำหนดหลายประเด็นที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน แม้แต่เรื่องคำพูดที่ใช้ในสนามบินก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้โดยสารควรให้ความใส่ใจ จะมีคำไหนบ้างที่เป็นคำต้องห้ามพูดเมื่ออยู่ในอาณาเขตของสนามบิน
 
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (https://www.airportthai.co.th/th/) ได้ให้ข้อมูลที่เป็นการกระทำที่เป็นความผิดต่อกฎหมาย ทั้งคำพูด ลักษณะท่าทาง หรือการสื่อสาร ไว้ดังนี้

1.   คำพูดที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด เป็นเหตุให้ผู้อื่นตื่นตกใจ

•   ระเบิด (Bomb, Explosive) เช่น พูดว่า มีระเบิด, เปิดกระเป๋าระวังเจอระเบิด, จะระเบิดสนามบิน, จะระเบิดเครื่องบิน ซึ่งคำนี้ถือเป็น คำพูดต้องห้ามในสนามบิน และในเครื่องบินที่ไม่ควรพูดเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นกฎสากลที่ปฏิบัติกันทั่วโลกที่ทุกคนต้องรู้และปฎิบัติตาม หากเกิดหลุดพูดประโยคนี้ขึ้นมา เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการขั้นสูงสุดได้เลยทันที หรือกัปตันสามารถสั่งหยุดการเดินทาง นำเครื่องลงจอดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย และอาจทำให้เที่ยวบินดีเลย์ ถือเป็นความเสียหายต่อส่วนรวมได้เลยทีเดียว

•   การก่อการร้าย (Terrorist Attack) เช่น นี่คือการก่อการร้าย, นี่คือการจี้เครื่องบิน เป็นคำพูดต้องห้ามในสนามบินและบนเครื่องบิน เกี่ยวกับเรื่องการก่อการร้ายเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมาก ไม่ควรนำมาพูดเล่นๆ เพราะการก่อการร้ายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าเผลอพูดออกไป อาจจะโดนเจ้าหน้าที่ตรวจค้นและถูกจับได้

•   จี้เครื่องบิน ปล้นเครื่องบิน (Hijack) เช่น พูดว่า นี่คือการจี้เครื่องบิน, Hijack หรือการขู่ว่ามีอาวุธและวัตถุอันตราย อย่างเช่น ปืน มีด หรือสารอันตราย ก็เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่ไม่ควรพูดออกมา เพราะความปลอดภัยของการบินนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่เข้มงวดมาก ถ้าคุณเผลอพูดออกไป ไม่ว่าจะพูดเล่นๆ หรือไม่ได้ตั้งใจ เจ้าหน้าที่อาจจะดำเนินการกับคุณในฐานะบุคคลต้องสงสัยได้ทันที
 
2.   คำพูด เขียนข้อความ หรือการกระทำอื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่พิจารณาว่าคุกคาม ข่มขู่ หรือเป็นภัย 

•   พูดว่า ตรวจได้แต่ระวังเชื้ออีโบลา เนื่องจากโรคระบาดร้ายแรง เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพูดถึงในขณะการเดินทาง หรือแสดงการกระทำเหมือนว่า กำลังติดโรคระบาด ไม่ว่าจะระหว่างการตรวจในสนามบินหรือบนเครื่องบิน เนื่องจากความปลอดภัยของการบินนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่เข้มงวดมาก โดยเฉพาะโรคที่สามารถติดต่อได้ทางอากาศ เพราะนอกจากจะสร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสารคนอื่นแล้ว อาจจะถูกส่งตัวไปตรวจหาโรคที่โรงพยาบาลอีกด้วย

•   ตะโกนว่า เครื่องบินลำนี้กำลังจะตก
•   เขียนคำว่า “ระเบิด” ไว้ที่กระจก
•   โยนกระเป๋าหรือสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ กลุ่มผู้โดยสาร หรือผู้ใช้บริการแล้ววิ่งหนี เนื่องจากการกล่าวคำหยาบคายที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราด โมโห รวมทั้งคำทะลึ่งนั้นสามารถก่อให้ความรำคาญและทำให้รู้สึกไม่สบายใจกับผู้โดยสารท่านอื่นได้ โดยเฉพาะการพูดด้วยน้ำเสียงหรืออารมณ์ที่รุนแรงต่อพนักงานภาคพื้นหรือบนเครื่องบิน เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัว และนำตัวคุณไปสงบสติอารมณ์ได้ รวมถึงไม่ควรแสดงการกระทำให้ดูต้องสงสัย เช่น การโยนกระเป๋าใส่เจ้าหน้าที่หรือกลุ่มผู้โดยสารแล้ววิ่งหนี
 
พูดคำต้องห้ามในสนามบินมีโทษอย่างไร?

1.   บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน

พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มาตรา 22 ระบุว่า ผู้ใดแจ้งข้อความหรือส่งข่าวสารซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ และการนั้นเป็นเหตุหรือน่าจะเป็นเหตุให้ผู้ที่อยู่ในท่าอากาศยานหรือผู้ที่อยู่ในอากาศยานในระหว่างการบินตื่นตกใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการกระทำนั้นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อความปลอดภัยของอากาศยานในระหว่างการบิน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-15 ปี หรือปรับตั้งแต่ 200,000 – 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.   บทลงโทษสำหรับผู้ร่วมฝ่าฝืน

ทั้งนี้บทลงโทษของความคึกคะนองไม่ได้ถูกจำกัดแค่คนที่กระทำความผิดข้างต้นเท่านั้น เพราะคำพูดต้องห้ามในสนามบิน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นผู้สนับสนุน ร่วมกันเป็นกลุ่มแก๊งตามความคึกคะนอง ก็ถือว่าได้กระทำความผิดเทียบเท่าตัวการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558

•   มาตรา 23 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามมาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 18 มาตรา 19 มาตรา 20 มาตรา 21 หรือมาตรา 22 ต้องระวางโทษ เช่นเดียวกับตัวการ

•   มาตรา 24 ผู้ใดพยายามกระทำความผิดตามมาตรา 15 มาตรา 16 มาตรา 17 มาตรา 18 มาตรา 19 มาตรา 20 มาตรา 21 หรือมาตรา 22 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำ

การโดยสารหรือใช้บริการสนามบินที่มีผู้เข้าใช้บริการเป็นจำนวนมากและหลากหลาย หากไม่ปฏิบัติตามกฎย่อมสร้างความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในด้านภาพลักษณ์และความมั่นคง คำพูดต้องห้ามในสนามบินจึงเป็นเรื่องที่ต้องควบคุมและระวางโทษทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันเหตุบานปลายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
 
ประกันภัยการเดินทาง คุ้มครองทั้งผู้เอาประกันภัยที่เดินทางรายเดี่ยวหรือเป็นหมู่คณะทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ หรือทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีกำหนดการเดินทางที่แน่นอนโดยให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงในช่วงระยะเวลาเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productpadetail/3 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

23
อู่ซ่อมรถในประเทศไทยมีให้พบเห็นอยู่มากมายหลายระดับ รวมถึงประเภทของอู่ซ่อมรถยนต์ที่ก็มีความเชี่ยวชาญของช่างแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น อู่ซ่อมหม้อน้ำ อู่ซ่อมกระจกรถยนต์ หรืออู่ซ่อมทั่วไป การหาอู่ซ่อมรถยนต์ที่ดีจึงเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจสำหรับผู้ขับรถทุกคน เพราะอู่ซ่อมรถที่ใกล้ที่สุดอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสมอไป จึงมีเคล็ดลับดีๆ ในการเลือกอู่ซ่อมรถยนต์มาฝาก เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกอู่ซ่อมรถเมื่อต้องนำรถยนต์เข้าส่งซ่อม

เลือกซ่อมห้าง หรือ ซ่อมอู่?
การเลือกทำประกันรถยนต์นั้น จะมีเงื่อนไขของเบี้ยประกันที่ระบุว่า จะเลือกใช้ซ่อมกับศูนย์บริการ (ซ่อมห้าง) หรือเลือกซ่อมกับอู่รถยนต์ทั่วไป ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ( นำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์ซ่อมหรืออู่ซ่อมควรเตรียมตัวอย่างไร ) รายละเอียดดังนี้

    1. ซ่อมห้าง หรือซ่อมกับศูนย์บริการ

ข้อดี
    • ได้อะไหล่แท้ สามารถตรวจสอบได้ และมีมาตรฐานสูง
    • มีช่างผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากรถยนต์แต่ละแบรนด์มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกัน การซ่อมรถจึงจำเป็นต้องใช้ช่างซ่อมที่มีความเข้าใจในลักษณะของรถแต่ละแบบเป็นอย่างดี ซึ่งศูนย์บริการจะมีช่างที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่ที่ศูนย์ด้วย
    • สามารถตรวจสอบได้ทุกรายการซ่อม และมีการรับประกันจากทางศูนย์ หากนำรถออกจากศูนย์ไปแล้วเกิดปัญหาจากการซ่อม ก็สามารถนำรถยนต์กลับมาเคลมได้


ข้อเสีย
    • มีราคาสูง เนื่องจากต้องมีค่าบริการของศูนย์รวมถึงมีการเก็บเบี้ยประกันที่ราคาสูง และในการซ่อมบางกรณีอาจมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วย
    • หาศูนย์ซ่อมยาก ศูนย์ซ่อมรถที่ได้มาตรฐานมักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีผู้คนอาศัยอยู่เยอะ อย่างเช่นย่านใจกลางเมือง หรือในพื้นที่ใหญ่ ๆ แต่ไม่ได้กระจายตัวไปยังเขตเล็ก ๆ ของเมืองมาก จึงมีปัญหาเรื่องการเดินทาง
    • ต้องใช้ระยะเวลารอซ่อมนานกว่า เนื่องจากหากเป็นกรณีเร่งด่วนมาก ๆ อาจไม่สามารถทำได้ เพราะต้องทำทุกอย่างตามระบบตั้งแต่เริ่มส่งเข้าศูนย์ซ่อมจนถึงตอนรับรถออกจากศูนย์ซ่อม

 2. ซ่อมอู่

ข้อดี

    • มีอู่ทางเลือกมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นอู่ซ่อมรถแถวบ้าน หรืออู่ซ่อมรถตามสถานบริการน้ำมัน ที่เข้าไปใช้บริการได้สะดวกกว่า ในช่วงเวลาที่ต้องการหาที่ซ่อมรถแบบเร่งด่วน
    • เบี้ยประกันถูกกว่า ประกันรถยนต์แบบซ่อมอู่ จะมีราคาเบี้ยประกันที่ราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับคนที่มีงบสำหรับประกันรถยนต์ในจำนวนจำกัด
    • ไม่ต้องต่อคิวรอซ่อมนาน เนื่องจากช่างซ่อมรถที่อู่จะสามารถดำเนินการให้ได้ในทันที หากเป็นรถยนต์ที่มีปัญหาหรือเสียหายเพียงเล็กน้อยอาจใช้เวลาซ่อมเพียงไม่กี่วัน
    • สามารถเลือกอะไหล่ได้ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ ก็สามารถเลือกได้ว่าจะใช้อะไหล่เกรดไหน แบรนด์อะไร อะไหล่แท้ อะไหล่เทียบ หรืออะไหล่เทียม

ข้อเสีย
    • หากไม่ใช่อู่ที่คุ้นเคย อาจเกิดปัญหาได้ เพราะบางอู่ซ่อมอาจเมินเฉย ไม่จริงใจในการแก้ปัญหา จึงควรเช็กข้อมูลของอู่ให้ดีก่อนตัดสินใจ
    • ความเสี่ยงจากอะไหล่ปลอม เนื่องจากช่างอาจจะย้อมแมวเอาอะไหล่เทียมมาเปลี่ยนให้ แล้วคิดราคาซ่อมในราคาเดียวกับการใช้อะไหล่จริง
    • ไม่มีการรับรองมาตรฐาน อู่ซ่อมรถแต่ละอู่จะมีแนวทางการซ่อมที่แตกต่างกัน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าได้ช่างที่ดี ตรงกับความต้องการ

ซ่อมอู่แบบไหน? รถไม่พัง
    1. มีทีมงานที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ สังเกตได้จากวิธีการให้ข้อมูลและตอบคำถามของหัวหน้าช่าง อาจจะพาคนที่มีความรู้เรื่องการซ่อมรถหรือเคยซ่อมรถบ่อยๆ ไปด้วย เพื่อช่วยตรวจสอบจากการพูดคุยว่าอู่ซ่อมรถยนต์นั้นมีทีมงานที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จริงหรือไม่

    2. มีใจบริการ ซึ่งสามารถสัมผัสได้จากการพูดคุยกับช่างว่ามีใจบริการและพร้อมต้อนรับเราหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสอบถามทางโทรศัพท์หรือการเข้าไปสอบถามข้อมูลที่อู่โดยตรง โดยอู่ซ่อมรถที่ดีมักจะใส่ใจความต้องการของลูกค้า และพยายามหาทางแก้ไขที่ตรงใจได้มากที่สุด พร้อมยินดีตอบคำถามด้วยข้อมูลที่ชัดเจนทุกข้อตามต้องการ

    3. เสนอราคาก่อนซ่อมได้อย่างยุติธรรม โดยเฉพาะหากต้องการจะซ่อมรถจากอู่ซ่อมรถยนต์ในเครือบริษัทประกัน ที่จะต้องมีการประเมินราคาเพื่อส่งให้บริษัทประกันอนุมัติก่อนทำการซ่อม อู่ซ่อมรถควรประเมินราคามาให้ดูอย่างละเอียด แยกเป็นทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่ พร้อมกับอิงจากราคาอู่กลางที่ได้มาตรฐาน

    4. มีการรับประกันงานซ่อม ควรรับประกันงานซ่อมขั้นต่ำ 6 เดือน ซึ่งถ้าหากพบว่าภายในระยะเวลานี้พบความผิดปกติใดที่เกี่ยวกับงานซ่อม ควรสามารถนำรถเข้าตรวจเช็กและเข้าแก้ไขได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

    5. จัดพื้นที่เป็นสัดส่วน ไม่ดูยุ่งเหยิงหรือสกปรกจนเกินไป เป็นสัญญาณว่า อู่ซ่อมรถอาจมีความไม่เป็นมืออาชีพในการซ่อมรถ

การเลือกอู่ซ่อมรถยนต์เป็นสิ่งที่เจ้าของรถยนต์ทุกคันต้องให้ความใส่ใจเพื่อให้ได้อู่ซ่อมรถยนต์ที่ดี มีมาตรฐาน หรืออาจเลือกอู่ซ่อมรถยนต์ในเครือบริษัทประกันภัยเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับเจ้าของรถทุกคัน แล้วเลือกคุ้มครองรถยนต์ด้วย ประกันรถยนต์ตามเวลา ให้ความคุ้มครอง 3 6 และ 12 เดือน เลือกได้ตามใจ จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1020
หรือ เช็กเบี้ยได้เลย คลิก SMK aLL App
หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurane

24
โค้งสุดท้ายเลือกตั้งปี 66 กำลังเดินทางมาถึงแล้วในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ หลายคนเริ่มออกเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมตั้งแต่วันนี้ เพื่อไปใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้งครั้งใหญ่ของประเทศ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีข้อห้ามอย่างไรบ้างที่ห้ามทำโดยเด็ดขาด รวมไปถึงหากติดเชื้อโควิดจะสามารถไปเลือกตั้งได้หรือไม่ สินมั่นคงประกันเดินทางมีข้อมูลมาฝากค่ะ
 
ข้อห้ามสำคัญวันเลือกตั้ง

เว็บไซต์ iLaw (https://ilaw.or.th) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อควรระวังทั้งก่อนการเลือกตั้งและระหว่างการเลือกตั้งไว้ดังนี้

1.   ห้ามโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัคร ส.ส. หรือพรรคการเมือง ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 (วันก่อนเลือกตั้งหนึ่งวัน) จนจบวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 กฎหมายเลือกตั้งกำหนดห้ามไม่ให้ผู้ใด โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองก็ตาม เช่นใส่เสื้อ เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ฯลฯ ที่มีสัญลักษณ์โลโก้พรรคการเมือง หรือมีสีและหมายเลขพรรคการเมืองโพสต์ข้อความ อัปโหลดภาพหรือคลิปที่มีเนื้อหาหาเสียงให้พรรคการเมือง ลงบนโซเชียลมีเดีย แจกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหาเสียง บริเวณใกล้หน่วยเลือกตั้ง หรือที่อื่นๆ

2.   ห้ามจำหน่าย-แจกสุราในเขตเลือกตั้ง ในระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 เวลา 18.00 น. ไปจนถึง 14 พฤษภาคม 2566 เวลา 18.00 น.

3.   ห้ามพนันขันต่อผลการเลือกตั้ง หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้เล่นมีกำหนด 10 ปี และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้จัดให้มีการเล่น

4.   ห้ามเปิดเผยโพลสำรวจความเห็นช่วง 7 วันก่อนเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดการออกเสียงลงคะแนน (7 พฤษภาคม 2566 ถึง 14 พฤษภาคม 2566) หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
5.   ห้ามซื้อสิทธิ-ขายเสียง โดยการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีดังนี้

•   จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
•   ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
•   ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่าง ๆ ยกเว้นการใช้ความรู้ความสามารถทางศิลปะของตน หาเสียงให้แก่ตนเองโดยไม่ใช้อุปกรณ์ในการแสดงมหรสพ
•   เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
•   หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
 
6.   ห้ามจัดรถเกณฑ์คนไปเลือกตั้ง เพื่อจูงใจ-ควบคุมให้เลือกผู้สมัคร ส.ส. คนใด โดยห้ามไม่ให้จัดยานพาหนะ นำผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป-กลับจากการลงคะแนนในที่เลือกตั้ง โดยไม่เสียค่าโดยสาร เพื่อจูงใจหรือควบคุมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด (มาตรา 76) แต่หากเป็นการจัดยานพาหนะฟรีไม่เสียค่าโดยสาร เพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป-กลับจากหน่วยเลือกตั้ง ตามปกติประเพณี โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะจูงใจหรือควบคุมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเลือกหรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดก็สามารถทำได้ ไม่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง เช่น พาเพื่อนบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงไปรถคันเดียวกัน โดยไม่ได้จูงใจหรือควบคุมให้ลงคะแนนเสียงผู้สมัคร ส.ส. คนไหน

7.   ห้ามผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง เอาบัตรประชาชนของคนอื่น/ปลอมแปลง ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายเลือกตั้ง ห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง พยายามจะใช้สิทธิเลือกตั้งโดยแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือหลักฐานอื่นที่เป็นของคนอื่น หรือที่ปลอมแปลงขึ้นมา ต่อกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (มาตรา 94) ได้แก่

•   ผู้ที่อายุยังไม่ถึง 18 ปี ในวันเลือกตั้ง
•   เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
•   อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่
•   ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
•   วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

8.   ห้ามใช้บัตรอื่นที่ไม่ใช่บัตรเลือกตั้งที่รับจากเจ้าหน้าที่ ทั้งบัตรปลอม บัตรที่พิมพ์มาเอง หรือได้มาจากคนอื่น จะไม่สามารถใช้ได้

9.   ห้ามนำบัตรเลือกตั้ง ออกไปจากหน่วยเลือกตั้ง

10.   ห้ามทำเครื่องหมายเป็นจุดสังเกตในบัตรเลือกตั้ง

11.   ห้ามถ่ายภาพบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนแล้ว

12.   ห้ามโชว์บัตรเลือกตั้งที่กาแล้วให้คนอื่นเพื่อให้ทราบว่าเลือกใคร

13.   ห้ามขัดขวาง-หน่วยเหนี่ยว ไม่ให้คนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

14.   ห้ามนายจ้าง ขัดขวางไม่ให้ลูกจ้างไปเลือกตั้ง

ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใช้สิทธิเลือกตั้งได้หรือไม่

สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 และผู้มีความเสี่ยงสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้เช่นกัน โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังนี้

1.   เตรียมอุปกรณ์ส่วนตัวที่จำเป็น เช่น บัตรประจำตัวประชาชน เจลแอลกอฮอล์ ปากกา
2.   สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
3.   หลีกเลี่ยงการใช้บริการขนส่งสาธารณะ แนะนำให้เดินเท้าหรือใช้รถยนต์ส่วนตัว
4.   เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร
5.   เข้าคูหาที่จัดไว้สำหรับผู้ป่วยโควิด-19 เท่านั้น
6.   ทำการหย่อนบัตรด้วยตนเอง ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่
7.   เมื่อเสร็จจากการเลือกตั้งกลับที่พักทันที

เจ็บป่วยและไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ต้องทำอย่างไร?

กกต.เปิดช่องทางอุทธรณ์สิทธิ แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  ผ่าน 2 ขั้นตอน ดังนี้

1.   ก่อนหรือหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน ขอรับแบบ ส.ส.28 หรือทำหนังสือชี้แจงเหตุที่ทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ และให้ระบุเลขประจําตัวประชาชนและที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน

2.   ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่น โดยสามารถยื่นด้วยตนเองหรือมอบหมายผู้อื่น หรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน หรือแจ้งทางอินเทอร์เน็ต
 
ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลระยะสั้นให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางของผู้เอาประกันภัยซึ่งอยู่ระหว่างการท่องเที่ยว คุ้มครองทั้งผู้เอาประกันภัยที่เดินทางรายเดี่ยวหรือเป็นหมู่คณะทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ หรือทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีกำหนดการเดินทางที่แน่นอนโดยให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงในช่วงระยะเวลาเดินทางตามที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งไว้ สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.smk.co.th/productpadetail/3 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

25
รถยนต์ | Car / เคล็ดลับขับรถยนต์หน้าร้อน
« เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2023, 07:47:12 AM »
แม้ในช่วงที่ผ่านมาสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยจะมีพายุฤดูร้อนพัดผ่านส่งผลให้เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ แต่ช่วงระยะเวลาไม่นานอากาศก็กลับมามีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง แม้การตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานและดูแลรักษาสุขภาพของผู้ขับขี่ให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ จะเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนควรให้ความสำคัญเมื่อต้องขับขี่รถยนต์ในหน้าร้อน แต่เพื่อให้การขับขี่รถยนต์ในหน้าร้อนปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มีเคล็ดลับมาฝาก

1. หลีกเลี่ยงการจอดรถยนต์ทิ้งไว้กลางแจ้ง
การจอดรถยนต์กลางแดดไม่เพียงแต่จะทำให้สีตัวถังรถยนต์ลดความเงางามเร็วกว่าที่ควรเท่านั้น แต่ยังทำให้ชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิมอีกด้วย ควรหาที่จอดในร่ม หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้แผ่นสะท้อนความร้อนปิดบังคอนโซลหน้า


2. เปิดกระจกหรือประตูก่อนสตาร์ตรถยนต์
การเปิดกระจกหรือประตูระบายความร้อนก่อนสตาร์ต โดยเฉพาะเมื่อรถยนต์จอดอยู่กลางแจ้งจะช่วยให้ห้องโดยสารเย็นเร็วขึ้น และช่วยระบายความร้อนที่สะสมอยู่ภายในรถยนต์ออกไปก่อนที่จะเข้าไปนั่งในตัวรถยนต์


3. ปกป้องผู้โดยสารเด็ก และสวมแว่นกันแดด
แสงแดดที่เจิดจ้าอาจเป็นอันตรายต่อทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ถึงแม้จะนั่งอยู่ในรถยนต์แต่ถ้าเดินทางไกลควรทาครีมกันแดดป้องกันรังสียูวี โดยเฉพาะที่แขนทั้งสองข้าง ถ้ามีเด็กโดยสารมาด้วยที่เบาะหลัง ควรใช้ม่านบังแดดปกป้องผิว ขณะเดียวกันผู้ขับขี่ควรสวมแว่นกันแดดขณะขับขี่เพื่อปกป้องดวงตาตลอดการเดินทาง

4. ทำความสะอาดกระจกรอบคันเพื่อทัศนวิสัยชัดเจน
ในช่วงหน้าร้อน แสงแดดช่วงเช้าตรู่หรือช่วงค่ำก่อนพระอาทิตย์ตกดินจะกินเวลายาวนานกว่าปกติ แสงแดดจะส่องตรงมาที่กระจกหน้า ถ้ามีคราบฝุ่นติดหนาอาจทำให้ทัศนวิสัยย่ำแย่และก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นควรทำความสะอาดกระจกหน้า รวมถึงกระจกรอบคันให้ใสสะอาดอยู่เสมอ


5. ระมัดระวังพายุฝน
บางครั้งอาจมีฝนหรือพายุฤดูร้อนโปรยปรายลงมาในช่วงหน้าร้อน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ผู้ขับขี่ควรระมัดระวังเมื่อฝนเริ่มตกลงมาใหม่ๆ เพราะพื้นผิวถนนที่มีคราบสิ่งสกปรกเกาะอยู่มากมายโดยจะชะล้างออกและทำให้ถนนลื่นกว่าปกติ อุบัติเหตุร้ายแรงมักเกิดขึ้นเมื่อฝนเริ่มตกใหม่ๆ

6. ไม่ทิ้งเด็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถยนต์ที่จอดกลางแจ้ง
อุณหภูมิภายในรถยนต์ที่จอดกลางแจ้งสามารถยนต์พุ่งทะยานสูงขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที ถึงแม้จะเปิดกระจกแง้มไว้เล็กน้อยก็ไม่ช่วยอะไรได้มากนัก ดังนั้นจึงไม่ควรทิ้งเด็กที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถยนต์แม้แต่วินาทีเดียว เพราะอาจทำให้เกิดภาวะฮีตสโตรกหรือความร้อนในร่างกายพุ่งสูงเกินไปจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

7. รักษาแรงดันลมยางให้เหมาะสม
การเติมลมยางให้เหมาะสมเป็นวิธีง่ายๆ เพราะการเติมลมยางที่เหมาะสมนั้นช่วยให้รถยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในหน้าร้อนได้ด้วย โดยการรักษาลมยางให้อยู่มีแรงดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์นั้นตามที่กระทรวงพลังงาน (DOE) กล่าวนั้นจะสามารถยนต์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 3% ยิ่งถ้าปล่อยให้รถยนต์มีแรงดันลมยางต่ำ ทำให้รถยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น


8. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่คู่มือรถยนต์กำหนด
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่คู่มือกำหนดไว้นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยในหน้าร้อน เพราะถ้าปล่อยให้น้ำเครื่องแห้งในหน้าร้อนนั้นอาจส่งผลทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้และยังทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นอีกด้วย ควรตรวจสอบน้ำมันเครื่องเป็นประจำเพราะอาจมีน้ำมันเครื่องรั่วไหล

9. หลีกเลี่ยงการขับรถยนต์เร่งเครื่องและเบรกกะทันหัน
นอกจากจะเป็นอันตรายแล้ว การเร่งเครื่องและเบรกรถยนต์กะทันหันเมื่อถูกบวกสภาพอากาศที่ร้อนระอุ อาจทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีกด้วย

10. หลีกเลี่ยงการขับขี่ระยะสั้นบ่อยๆ
บางครั้งหากต้องขับรถยนต์ในเมืองที่มีรถยนต์ติดหรือใช้รถยนต์ขับขี่ใกล้ ๆ บ้าน ก็อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การขับขี่รถยนต์ในระยะสั้นๆ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ สามารถยนต์ทำให้รถยนต์กินน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึงครึ่งแกลลอนต่อชั่วโมง


11. ขับรถยนต์ด้วยความเร็วที่คงที่
ทุกครั้งที่ขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกิน 80 กิโลเมตร/ต่อชั่วโมง ในสภาพอากาศร้อนจะทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงได้อย่างรวดเร็ว


12. ไม่ควรเปิดแอร์ในรถยนต์จนมีอุณหภูมิเย็นจัด
การใช้เครื่องปรับอากาศในรถยนต์เป็นปัจจัยหลักในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงท่ามกลางสภาพอากาศร้อนได้ดี หากมีเป้าหมายเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า ไม่ควรปรับเครื่องปรับอากาศให้ต่ำกว่า 25 องศา หรือถ้าหากขับขี่ในระยะทางสั้นๆ ไม่ไกลมากการปิดแอร์แล้วเปิดกระจกแทนก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้

เพราะเราเข้าใจ...ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบา ๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต กับ ประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง สามารถแบ่งซื้อครั้งละ 3 หรือ 6 เดือนได้ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน เมื่อครบกำหนด คลิกเลือกต่อประกันและชำระเงินออนไลน์ รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่า จะลืมต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทฯ จะแจ้งเตือนการต่อประกันผ่าน SMS และโทรศัพท์จากพนักงาน ก่อนประกันหมดอายุ
สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

26
แม้ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว แต่ก็ยังมีบางวันที่พบฝนหลงฤดูตกลงสู่พื้นที่ประเทศไทย สร้างความลำบากในการเดินทางให้กับผู้คนที่ยังสัญจรบนท้องถนน ทั้งปัญหาน้ำท่วมขัง ปัญหาถนนลื่น หรือแม้แต่ปัญหาหลุมบ่อขรุขระ ตั้งแต่หลุมเล็ก ๆ หน้าปากซอย ไปจนถึงหลุมขนาดใหญ่ตามเส้นทางเข้าออกทั่วภูมิภาค แล้วหลุมถนนเกิดขึ้นจากอะไร? หากรถตกหลุม ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ และประกันจะยอมจ่ายค่าเสียหายหรือไม่ มีคำตอบ

สาเหตุของการเกิดหลุมถนน
หลุมถนน สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากฝีมือมนุษย์ การใช้งานถนน ไปจนถึงการทรุดตัวของหน้าดินที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ หลุมจึงแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1. หลุมบนถนนทั่วไป

เกิดจากแรงกระแทกของรถยนต์ ฝนฟ้าอากาศ และอายุการใช้งาน กว้างไม่เกิน 2 ฟุต และลึกไม่เกิน 2-3 นิ้ว พบเห็นได้ทั่วไปบนถนนยางมะตอยที่มีรถพลุกพล่าน

2. หลุมยุบ
มีความกว้างและลึก 1 เมตรขึ้นไป เกิดจากการทรุดตัวของชั้นดินใต้ถนน โดยปากหลุมจะขยายกว้างขึ้นจนกว่าจะเสถียร มักพบเห็นได้บนถนนยางมะตอยตามต่างจังหวัด ที่สร้างบนดินทราย หรือชั้นดินที่มีน้ำบาดาลขังอยู่

หลุมแบบไหนถึงเรียกว่าอันตราย
    • มีความลึกประมาณ 1 ส่วน 3 ของล้อรถ จะทำให้รถไต่ขึ้นจากปากหลุมได้ยากขึ้น โดยเฉพาะรถที่มีตัวเครื่องต่ำ และล้อเตี้ย

    • ปากหลุมตั้งฉาก  หรือไม่มีความลาดชันเพียงพอที่จะให้รถขับเคลื่อนขึ้นจากหลุมเองได้

    • ก้นหลุมเป็นโคลน หรือมีน้ำขัง ทำให้รถเร่งไม่ขึ้น ยิ่งพยายามเร่ง ล้อจะยิ่งบดให้พื้นหลุมลึกและลื่นขึ้น

ความเสียหายเมื่อรถตกหลุม
การที่รถตกหลุมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่รถกำลังวิ่งอยู่บนถนนด้วยความเร็วสูง จะทำให้ช่วงล่างของรถเกิดการกระแทกจนยาง โช๊ก และลูกหมากมีปัญหาได้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาระยะยาวกับรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รถบังคับรถยาก รถเลี้ยวไม่ค่อยไป หรือเครื่องยนต์มีเสียงแปลก ๆ คล้ายเสียงเหล็กกระทบกัน

ขับรถระวัง ป้องกันหลุมถนน
หากต้องขับรถยนต์ผ่านหลุมแบบกะทันหัน ให้ควบคุมสติให้มั่น อย่าตกใจ และควรปฎิบัติตามหลักการนี้
    • ควรตรวจสอบลมยางบ่อย ๆ เพราะจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดกับรถได้
    • จับพวงมาลัยให้แน่น และนิ่ง เพื่อไม่ให้รถเสียศูนย์
    • หากไม่สามารถขับเลี่ยงได้ ให้ชะลอรถก่อนขับผ่านหลุมด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ไม่ควรเร่งเครื่องแรง ๆ และห้ามเบรกตอนรถอยู่ในหลุม
    • หลีกเลี่ยงการขับผ่านหลุมที่มีน้ำท่วมขัง เพราะหลุมอาจลึกและชันกว่าที่เห็น


รถตกหลุมเสียหาย ใครรับผิดชอบ?

ตามกฎหมาย การบำรุงรักษาถนนเพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกเป็นหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ หากประชาชนได้รับความเสียหายเพราะถนนชำรุดเป็นเหตุ หน่วยงานของรัฐจะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากเกิดอุบัติเหตุเพราะสภาพถนนไม่พร้อมใช้งาน ก็สามารถเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับศาลปกครองได้ แต่จะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ถนนเส้นที่ประสบอุบัติเหตุอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานใด ซึ่งถนนหลวงแบ่งออกเป็น 5 ประเภทได้แก่

    1. ทางหลวงพิเศษ เป็นถนนที่ให้จราจรผ่านได้ตลอดรวดเร็วเป็นพิเศษ อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง
    2. ทางหลวงแผ่นดิน เป็นถนนสายหลักเชื่อมระหว่างภาค จังหวัด และอำเภอ ดูแลโดยกรมทางหลวงเช่นกัน
    3. ทางหลวงชนบท ถนนประเภทนี้มีตัวอักษรกำกับ 2 ตัว เช่น นบ หมายถึงนนทบุรี ดูแลโดยกรมทางหลวงชนบท
    4. ทางหลวงท้องถิ่น ถนนประเภทนี้มีตัวอักษรกำกับ 3 ตัว เช่น นบ.ถ. หมายถึงท้องถิ่นนนทบุรี ดูแลโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
    5. ทางหลวงสัมปทาน เป็นถนนที่เอกชนรับสัมปทานดูแล ดูแลโดยกรมทางหลวง

เมื่อเข้าสู่กระบวนการร้องขอความเป็นธรรม ศาลปกครองจะดำเนินการพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ และหากต้นเหตุของอุบัติเหตุเกิดจากถนนที่ไม่พร้อมใช้งานจริง ศาลก็จะให้หน่วยงานที่ดูแลถนนเส้นนั้นเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหาย

รถตกหลุม เคลมประกันได้หรือไม่?
ช่วงล่างของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ยางรถยนต์ ล้อแม็ก เพลาล้อ ปีกนก คันชัก หรือตัวถัง หากเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เช่น ขับรถตกหลุม ก็สามารถเคลมประกันชั้น 1 ได้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันได้ทำไว้ ไม่ว่าอุบัติเหตุนั้นจะมีคู่กรณีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม โดยบริษัทประกันจะชดเชยค่าเสียหายตามจริงและอาจมีการหักค่าเสื่อมสภาพของอะไหล่ เนื่องจากชิ้นส่วนบางชิ้น เช่น ยางรถยนต์ จะมีการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพจากการใช้งานมาอยู่ก่อนแล้ว การเคลมช่วงล่างในแต่ละครั้งจึงมีการพิจารณาค่าเสื่อมสภาพของอะไหล่แต่ละชิ้นเข้าไปประกอบด้วย


หลายครั้งเมื่อฝนตกหนัก ส่งผลให้ถนนหลายสายที่สภาพไม่ดีอยู่แล้วมีน้ำขังเป็นหลุมเป็นบ่อ และไม่สามารถเห็นได้ว่าหลุมนั้นลึกหรือไม่ จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ที่นอกจากอาจจะต้องเจ็บตัวแล้ว ยังต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลและค่าซ่อมแซมรถยนต์ส่วนที่เสียหายอีก คุ้มครองคุณให้ปลอดภัยด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ประเภท 1 เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance
พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

27
การเลือกซื้อประกันรถยนต์กับบริษัท นอกจากจะต้องดูแพคเกจประกันที่มีความเหมาะสมกับการใช้งานของผู้ขับขี่แล้ว ยังต้องดูถึงเงื่อนไขที่อยู่ในกรมธรรม์นั้นด้วยว่า ครอบคลุมในสิ่งที่เจ้าของรถยนต์ต้องการหรือไม่ และมีหลายกรณีที่บริษัทประกันไม่ยินยอมจ่ายค่าสินไหมรถยนต์และสามารถปฏิเสธความคุ้มครองที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งรวมไปถึงการแจ้งเคลมประกันเท็จ ที่อาจส่งผลให้บริษัทประกันปฏิเสธได้ด้วยเช่นกัน มีข้อมูลมาฝาก

ใช้รถแบบไหนที่ประกันไม่รับเคลม

    1. ใช้รถทำสิ่งผิดกฎหมาย เนื่องจากหากนำรถยนต์ไปใช้ทำสิ่งผิดกฎหมาย เช่น ขนอาวุธเถื่อน ขนยาเสพติด ถ้าเกิดอุบัติเหตุชนขึ้นมา บริษัทประกันจะไม่รับเคลม

    2. ใช้รถแข่งความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถยนต์แข่งความเร็วตามสนามแข่งที่ถูกกฎหมาย หรือแข่งความเร็วกันตามถนนแบบผิดกฎหมาย บริษัทประกันจะไม่รับเคลมความเสียหายทั้งสิ้น

    3. ขับรถยนต์ออกนอกเขตความคุ้มครอง การใช้รถยนต์นอกพื้นที่เขตความคุ้มครองของประกัน หากรถเกิดเหตุชนขึ้นมาจะไม่ได้รับความคุ้มครอง เช่น ทำประกันรถยนต์ไว้ในเขตประเทศไทย แต่เกิดอุบัติเหตุรถชนที่ต่างประเทศ บริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าความเสียหาย

    4. เมาแล้วขับ ในทางกฎหมายจะถือว่าถ้าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมจะถือว่าเมาทันที หากเกิดเหตุชนแล้วพบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินที่กฎหมายกำหนดจะไม่สามารถเคลมประกันภาคสมัครใจได้

    5. การใช้รถไปลากจูง โดยหากเจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปใช้ลากจูง เช่น นำรถส่วนบุคคลไปใช้ลากจูงรถอีกคันที่จอดเสียข้างทาง หากเกิดอุบัติเหตุรถชนได้รับความเสียหาย บริษัทประกันจะปฏิเสธการเคลมโดยทันที เพราะถือว่าผิดเงื่อนไขการใช้รถยนต์

6. ใช้รถยนต์เพื่อก่อการร้าย หากรถยนต์มีร่องรอยความเสียหายเกิดขึ้น โดยตรวจสอบพบว่าได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปใช้เพื่อก่อการร้าย หรือจอดรถยนต์อยู่บริเวณพื้นที่ประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) จะไม่สามารถเคลมประกันรถยนต์ได้เช่นกัน

    7. ผู้ขับขี่ไม่มีใบขับขี่ หรือถูกเพิกถอนใบขับขี่ หากผู้ขับขี่รถยนต์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ หรือเคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ไป รวมถึงการนำใบอนุญาตขับขี่รถจักจักรยานยนต์มาใช้แทนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ หากเกิดเหตุรถชนบริษัทประกันจะไม่จ่ายค่าความเสียหายให้ เท่ากับว่าเคลมประกันภัยรถยนต์ไม่ได้ ( ไม่มีใบขับขี่ บริษัทประกันจะรับเคลมหรือไม่ )

    8. รถชนกับรถบุคคลในครอบครัว กรณีที่รถชนกับรถบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ สามี ภรรยา บุตร บริษัทประกันภัยจะไม่จ่ายค่าความเสียให้รถคันคู่กรณี แต่ถ้าเจ้าของรถยนต์ต้องการนำรถยนต์ของตัวเองเข้าซ่อมจะต้องจ่ายค่า Excess เงื่อนไขละ 1,000 บาท เพราะเป็นการชนแบบไม่มีคู่กรณี

    9. ทำลายทรัพย์สินตนเอง ถ้าบริษัทประกันพบว่าเจ้าของรถจัดฉากทำลายรถยนต์ของตัวเองให้ได้รับความเสียหายเพื่อหวังเงินเคลมประกันภัย นอกจากจะเคลมประกันไม่ได้แล้ว ยังผิดกฎหมายอีกด้วย

    10. สลับตัวผู้ขับขี่เมื่อเกิดเหตุชน การสลับตัวผู้ขับขี่หลังจากที่เกิดเหตุชนเกิดขึ้นนอกจากจะเคลมประกันไม่ได้แล้ว ยังถือว่าผู้ขับขี่มีเจตนาทุจริต ถ้าบริษัทประกันสืบเจออาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย

แบบไหนถึงเรียกว่า แจ้งเคลมประกันเท็จ?
ปกติแล้วเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับรถยนต์ ทางบริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมรถยนต์ ค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บ) รวมถึงความคุ้มครองกรณีรับผิด ซึ่งการเคลมประกันภัยรถยนต์นั้น ผู้ขับขี่ควรมีจรรยาบรรณไม่แจ้งเคลมประกันเท็จ เนื่องจากหากทางบริษัทประกันได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า เกิดการแจ้งเคลมประกันเท็จ ซึ่งผู้เคลมประกันรถยนต์เลือกที่จะแจ้งเคลมเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบและค่าเสียหายจากการซ่อมรถยนต์ของตัวเอง หรือแจ้งเคลมประกันเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก เนื่องจากอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในเรื่องของการแจ้งเคลม

ปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่ได้มีแค่เพียงบริษัทประกันปฏิเสธไม่ออกใบเคลม ประกันไม่อนุมัติซ่อม หรือโดนยกเลิกประกัน แต่อาจจะบานปลายจนถึงการถูกบริษัทประกันรถยนต์ฟ้องร้องเนื่องจากผู้ขับขี่จะมีความผิด และโทษในทางอาญา ที่ระบุว่า “ให้ความเท็จเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากประกันวินาศภัย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ” หรืออาจมีกรณีต่อเนื่องไปถึงการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่พนักงาน ส่งผลให้เกิดการเดือดร้อนต่อบุคคลที่ 3 หรือทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเกิดความเสียหาย จะถือว่ามีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

ทั้งการแจ้งเคลมเท็จและการแจ้งความเท็จนั้นมีสิทธิ์ที่ทางบริษัทอาจจะยื่นเรื่องคดีฉ้อโกงไปยังผู้เคลมหากได้มีการตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง รวมทั้งเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายจากทางบริษัทประกัน หรือบุคคลที่ 3 ก็ถือจะนับเป็นคดีฉ้อโกงด้วย และแม้ว่าการทำประกันชั้น 1 จะสามารถแจ้งเคลมประกันรถยนต์ได้ทุกกรณี แต่หากเจ้าของรถทำผิดข้อยกเว้นความคุ้มครองตาม ก็อาจทำให้โดนปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมและยังถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอีกด้วย

คุ้มครองครอบคลุมได้ตามใจ 3, 6, 12 เดือน ด้วย ประกันรถยนต์ตามเวลา ประเภท 1 จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596  Line : @smkinsurance พร้อมติดตามอ่านข้อมูลและเนื้อหาสาระดีดีเพิ่มเติมได้ที่  https://smkinsurance.blogspot.com

28
การเดินทางด้วยระบบขนส่งผู้โดยสารในปริมาณมากช่วงเทศกาล มักมีความแตกต่างกันออกไปตามความสะดวก ความจำเป็น และงบประมาณค่าเดินทางของผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางด้วยเครื่องบิน รถไฟ ทางเรือ หรือรถยนต์ส่วนตัว โดยเฉพาะรถโดยสารประจำทางข้ามจังหวัด ที่ได้รับความนิยมจากประชาชนหลากหลายกลุ่มที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือออกเดินทางท่องเที่ยว สถานีขนส่งผู้โดยสารในกรุงเทพมหานคร จึงนับว่าเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่จะช่วยขนส่งผู้โดยสารให้กระจายออกไปทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ จะมีที่ไหนบ้าง แล้วเดินทางอย่างไร  มีข้อมูลมาฝาก

สถานีขนส่งผู้โดยสาร คืออะไร ?
สถานีขนส่งผู้โดยสาร (Bus Terminal) เป็นสถานที่ที่รถโดยสารจากหลาย ๆ สายมาจอดรวมในบริเวณเดียวกันและมีบริการต่าง ๆ จัดไว้ให้ เช่น ที่พักผู้โดยสาร ห้องสุขา ห้องอาหาร เป็นต้น ไว้สำหรับการบริการผู้โดยสาร มีการเก็บค่าใช้สถานีตามประเภทของรถโดยสารตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก โดยกรมการขนส่งจะทำหน้าที่กำกับดูแลสถานีขนส่งต่าง ๆ ทั่วประเทศ

สถานีขนส่งผู้โดยสาร บขส. มีที่ไหนบ้าง ?
ปัจจุบัน บริษัทขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ( www.transport.co.th ) มีสถานีขนส่งผู้โดยสารที่ได้รับใบอนุญาตประกอบการจากกรมการขนส่งทางบกจำนวน 7 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพมหานครจำนวน 3 แห่ง สถานีในส่วนภูมิภาค 4 แห่ง ได้แก่

    1. สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต 2

    2. สถานีขนส่งผู้โดยสารเอกมัย

    3. สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ ถนนบรมราชชนนี

    4. สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุพรรณบุรี

    5. สถานีขนส่งผู้โดยสาร อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ

    6. สถานีขนส่งผู้โดยสาร อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์

    7. สถานีขนส่งผู้โดยสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี

นอกจากการบริการสถานีขนส่งผู้โดยสารจำนวน 7 แห่งแล้ว บริษัทฯยังมีที่ทำการสถานีเดินรถในส่วนภูมิภาคอีกจำนวน 113 สถานี อีกด้วย

เดินทางไปยังสถานีขนส่งหมอชิตอย่างไร?
สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หมอชิต หรือสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หมอชิต 2 หรือที่เรียกว่า สถานีขนส่งผู้โดยสารจตุจักร เป็นสถานีขนส่งในกรุงเทพฯ ที่ให้บริการรถประจำทางสายด่วน ไปยัง ภาคเหนือ ของประเทศไทย เช่น พิษณุโลก, สุโขทัย, และเชียงใหม่ สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิตจึงมักถูกเรียกว่า สถานีขนส่งผู้โดยสารเขตภาคเหนือ ในกรุงเทพมหานคร

ที่ตั้งของสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ หมอชิต อยู่ในเขตจตุจักร อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต และสถานีรถไฟใต้ดินจตุจักรโดยใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 15 นาที หากมาจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือ MRT สามารถโดยสารรถประจำทางหรือแท็กซี่ไปยังสถานีขนส่งได้ มีรถโดยสารประจำทางหลายสายที่ผ่านสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสและสถานีรถไฟใต้ดินไปที่สถานีขนส่ง อย่างไรก็ตาม หากเดินทางด้วยรถแท็กซี่อาจจะสะดวกกว่าและมีราคาประมาณ 100 บาท หรือสามารถเช่ารถจักรยานยนต์รับข้าง เพื่อไปยังสถานีขนส่งได้เช่นกัน

เดินทางไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) อย่างไร?
สถานีขนส่งกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่) เป็นที่รู้จักกันในชื่อ สายใต้ใหม่ ของผู้เดินทางทั่วไป ตั้งอยู่บนถนนบรมราชชนนี ซึ่งให้บริการรถโดยสารประจำทางไปยังภาคใต้ของประเทศไทย เช่น จังหวัดกระบี่,สุราษฎร์ธานี, ชุมพร, ระนอง, ภูเก็ต, และหาดใหญ่

วิธีเดินทางที่สะดวกที่สุด คือการเรียกรถแท็กซี่ แม้ว่าอาจมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็ยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วยการลดระยะทางให้สั้นลงด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เช่น นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปลงสถานีสยาม และเปลี่ยนรถไฟฟ้าสายสีลม ไปลงยังสถานีบางหว้า และสามารถขึ้นรถบัส หรือรถแท็กซี่ ต่อไปยัง สถานีขนส่งกรุงเทพฯ (สายใต้ใหม่)

สำหรับรถโดยสารประจำทาง มีรถโดยสารสาย 28 (สายอำเภอไทรน้อย) หรือ 159 164 หรือ 177 หรือ 183 หรือ 201 หรือ 515 หรือ 539 หรือ 542 แนะนำให้ใช้สาย 515 เนื่องจากไม่มีป้ายหยุดรถโดยสารมากจึงสามารถใช้เวลาถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วขึ้น

เดินทางไปยังสถานีขนส่งภาคตะวันออกกรุงเทพฯ (เอกมัย) อย่างไร?
สถานีขนส่งภาคตะวันออกกรุงเทพฯ (เอกมัย) ตั้งอยู่บน ถนนสุขุมวิท และไม่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยมากนัก โดยใช้เวลาเดินจากสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยไปยังสถานีขนส่งเอกมัยเพียง 5 นาที มีให้บริการรถโดยสาร และรถตู้ จาก กรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดทางภาคตะวันออก ซึ่งจะรวมเส้นทางจาก กรุงเทพฯ ไป ตราด , ระยอง, สระแก้ว, จันทบุรี, ชลบุรี และพัทยา

เนื่องจาก สถานีขนส่งสายตะวันออกเอกมัยตั้งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปทางทิศตะวันออกเล็กน้อยห่างจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิประมาณ 50 นาที จึงสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท และลงที่สถานีเอกมัย หรือจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสถานีขนส่งสายตะวันออกเอกมัย – ขึ้นแอร์พอร์ตลิงค์ ไปยังสถานีมักกะสัน (สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเพชรบุรี) เปลี่ยนเป็น MRT และจากสถานีเพชรบุรีไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสุขุมวิท (สถานีรถไฟฟ้าอโศก) จากนั้นเปลี่ยนเป็นขึ้น BTS อีกรอบ เพื่อไปยัง สถานีรถไฟฟ้าเอกมัยก็ได้เช่นกัน

นอกจากนี้ หากเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง ก็สามารถนั่ง MRT จากสถานี MRT หัวลำโพงไปยังสถานี MRT สุขุมวิท (สถานีรถไฟฟ้า BTS อโศก) ซึ่งต้องเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า BTS จากนั้นเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า BTS อโศกไปยังสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยได้อีกด้วย

เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย อุ่นใจทุกครั้งที่ออกเดินทาง ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ประกันชั้น 1-3+ เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต
สนใจรายละเอียดและเช็กเบี้ยได้ที่ คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

29
เมื่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันพุ่งสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อทุกชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนจึงเริ่มมองหาทางออกในการลดค่าใช้จ่ายด้วยการมองหาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทน รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้เกิดความยั่งยืนไปพร้อมกัน “รถยนต์พลังงานไฟฟ้า” จึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม (รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท? ประเภทรถไฟฟ้าแบบไหนที่เหมาะ? https://www.smk.co.th/newsdetail/2873) แต่ก็อาจยังไม่แน่ใจว่า จะสามารถดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างไร หากต้องตัดสินใจเลือกใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า
 
รถยนต์ไฟฟ้า ควรต้องเช็กระยะอย่างไร

รถยนต์ไฟฟ้าอาจจะไม่ต้องการการดูแลเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน แต่ก็มีกำหนดเข้ารับบริการเช็กระยะกับศูนย์บริการแบบเดียวกับรถยนต์ใช้น้ำมัน คือทุก ๆ 10,000 กิโลเมตร หรือ 6 เดือน ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าตัวเลขใดถึงก่อน และจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ารถใช้น้ำมันมาก จึงควรนำรถเข้ามาตรวจเช็กระยะตามกำหนด เพื่อจะได้ตรวจสอบความผิดปกติ สิ่งบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น มอเตอร์ แบตเตอรี่ ระบบชาร์จไฟ รวมไปถึงไฟส่องสว่างและยางรถยนต์
 
การดูแลรักษารถยนต์ไฟฟ้า มีอะไรบ้าง

แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนประกอบในการทำงานน้อยกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้การดูแลรักษาอาจไม่ยุ่งยาก แต่ก็อาจเกิดข้อผิดพลาดจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ ดังนี้

1.   มอเตอร์ไฟฟ้า

แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะไม่ต้องบำรุงรักษาในระดับเดียวกับเครื่องยนต์สันดาป ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือแม้แต่เปลี่ยนไส้กรอง แต่ควรนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปตรวจสอบระบบขับเคลื่อนกับศูนย์บริการที่ใช้ช่างมีประสบการณ์เฉพาะด้านยานยนต์พลังงานไฟฟ้าตามระยะการใช้งาน หลีกเลี่ยงการลุยน้ำท่วมขังที่มีระดับความสูงเกิน 30 เซนติเมตร โดยเฉพาะมอเตอร์ขับเคลื่อนจะมีราคาแพงและลดหลั่นกันไปกับราคาของรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีทั้งแบบธรรมดาและมีประสิทธิภาพสูง มีราคาตั้งแต่แสนกว่าบาท หลายแสนไปจนถึงหลักล้าน

แม้ตัวมอเตอร์จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและเป็นสิ่งที่พังได้ยาก แต่ถ้าเกิดเสียหรือขัดข้องอาจทำให้เกิดความกังวลใจต่อผู้ขับขี่ เพราะมีราคาในการซ่อมหรือเปลี่ยนที่ค่อนข้างสูง จึงควรสังเกตการทำงานของมอเตอร์ว่าเป็นปกติดีหรือไม่ และนำรถเข้าเช็กระยะตามกำหนดเพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง

2.   ระบบเบรก

ระบบเบรกของรถยนต์ไฟฟ้ามีอายุการใช้งานของผ้าเบรกที่ยาวนานกว่าระบบเบรกของรถทั่วไป เนื่องจากระบบเบรกจะมีระบบชาร์จไฟกลับขณะที่เหยียบเบรก นอกจากจะช่วยเพิ่มกำลังไฟเพื่อการเดินทางที่ยาวขึ้นแล้ว ยังเป็นการถนอมผ้าเบรกให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น แต่ก็ควรสังเกตผ้าเบรกเป็นประจำว่ายังทำงานได้ปกติ มีเสียงดังหรือไม่ หากพบจะได้ตรวจสอบและแก้ปัญหาก่อนเกิดอันตรายได้
 
3.   แบตเตอรี่

แบตเตอรี่เป็นที่กักเก็บไฟทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในรถทำงานและเคลื่อนที่ ความชื้น จึงถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องระวัง เพราะความชื้นจะทำให้เกิดการกัดกร่อนของชิ้นส่วนทางกลไก เช่น ขั้วต่อแบตเตอรี่ จึงควรตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำอยู่เสมอ และไม่ควรจอดรถยนต์ไฟฟ้าไว้กลางแจ้งหรือที่ที่ไม่มีหลังคา เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่สะสมความร้อนมากเกินไป และทุกครั้งที่ชาร์จแบตเตอรี่ควรชาร์จให้เต็ม 100% เพื่อการใช้งานที่นานและถนอมเซลล์แบตเตอรี่

4.   หัวชาร์จหรือที่ชาร์จไฟ

ควรเลือกใช้ที่ชาร์จเดิมที่ให้มาพร้อมกับรถ เพราะจัดว่าเป็นอุปกรณ์ที่ได้การรับรองมาตรฐานมาแล้วจากศูนย์บริการ มีระบบความปลอดภัยและการป้องกันที่เหมาะสม ช่วยป้องกันประกายไฟ หรือไฟฟ้าลัดวงจร หากใช้หัวชาร์จหรือที่ชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น ไฟไม่เข้า การจ่ายไฟไม่ได้มาตรฐาน หรืออาจเกิดการลัดวงจรได้

นอกจากนี้ เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ จึงควรชาร์จไฟแบบค่อยๆ ปล่อยให้กระแสไฟไหลเข้าไปในแบตเตอรี่ด้วยการชาร์จแบบปกติหรือ AC แต่อาจจำเป็นต้องรอนาน 6-8 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เนื่องจากการชาร์จเร็วด้วยไฟ DC จะทำให้แบตเตอรี่มีอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบระบายความร้อนของแบตฯ ต้องทำงานหนัก การชาร์จไฟด้วยระบบชาร์จเร็วบ่อยครั้ง หรือชาร์จไฟต่ำเกินไปจะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง จึงควรเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าให้แบตเตอรี่อยู่ในสถานะเต็ม 100%
 
5.   เปลี่ยนถ่ายของเหลวต่าง ๆ

แม้จะมีชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ลดลง แต่ก็ยังมีการใช้ของเหลวต่าง ๆ ในรถยนต์ไฟฟ้า เช่น น้ำหล่อเย็น น้ำมันเบรก และน้ำฉีดกระจก ควรหมั่นสังเกตและตรวจสอบเป็นประจำ หากมีปริมาณลดลงควรเติมเพิ่มเข้าไปหรือนำรถเข้าตรวจที่ศูนย์บริการ ซึ่งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่ มักจะใช้เกียร์อัตโนมัติความเร็วเดียว (Electric Motor Single speed Transmission for EV) แต่บางรุ่นที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงแบบสองสปีด จึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางของการใช้งาน เพื่อให้ระบบหล่อลื่นของชุดเกียร์และมอเตอร์สามารถขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่นได้เป็นปกติในระหว่างการใช้งาน และควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ของรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อใช้งานถึงระยะทางที่กำหนด

6.   ยางรถยนต์

ไม่ว่าจะรถยนต์ใช้น้ำมัน หรือรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งหนึ่งที่มีการเสื่อมสภาพและต้องเปลี่ยนเป็นประจำก็คือ ยางรถยนต์ ซึ่งจะมีอายุการใช้งานที่ต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรุ่น ยี่ห้อ หรือรูปแบบของการขับขี่ ส่วนใหญ่จะมีระยะทางใช้อยู่ที่ 20,000-50,000 กิโลเมตร จึงเปลี่ยนเส้นใหม่ แต่ก็มีที่ยังไม่ถึงกำหนดเปลี่ยนแต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมาได้ เช่น ยางแตก ยางบวม หรือมีรอยฉีกขาด โดยยางรถยนต์ที่ติดมาจากโรงงาน สามารถใช้งานได้ประมาณ 30,000-40,000 กิโลเมตร ซึ่งเท่ากับยางของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป แต่อายุการใช้งานของยาง จะขึ้นอยู่กับสภาพผิวถนนที่วิ่งเป็นประจำ น้ำหนักบรรทุก และลักษณะของการขับขี่ ที่จะส่งผลต่ออายุการใช้งานของยางโดยตรงด้วยเช่นกัน
 
ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ประกันรถยนต์ตามเวลา 1-3+ ช่วยให้คุณจ่ายประกันรถยนต์ได้สบายด้วยเบี้ยเบา ๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต กับ ประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง

สามารถแบ่งซื้อครั้งละ 3 หรือ 6 เดือนได้ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน เมื่อครบกำหนด คลิกเลือกต่อประกันและชำระเงินออนไลน์ รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่า จะลืมต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทฯ จะแจ้งเตือนการต่อประกันผ่าน SMS และโทรศัพท์จากพนักงาน ก่อนประกันหมดอายุ
สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

30
ประเด็นปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 นับเป็นข้อกังวลใจสำคัญของประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นจนอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของทุกคน (คนเชียงราย-เชียงใหม่ ต่อสู้อย่างไร หลังฝุ่นพิษทำเสี่ยง "ตายผ่อนส่ง" https://www.bbc.com/thai/articles/cd12dw19y72o) หลายบ้านที่พอมากำลังทรัพย์เลยจำเป็นจะต้องจัดหาเครื่องฟอกอากาศติดตั้งไว้ที่บ้าน เพื่อซื้ออากาศสะอาดให้กับคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไปหรือไม่
 
เครื่องฟอกอากาศในรถ มีความจำเป็นขนาดไหน?

เมื่อกระแส PM 2.5 ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายคนจึงหาวิธีการป้องกัน ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น และอีกวิธีหนึ่งที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น คือ การซื้อเครื่องฟอกอากาศภายในรถ เพราะเครื่องฟอกอากาศจะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่เข้ามาในห้องโดยสาร ทำให้อากาศภายในห้องโดยสารให้ดีขึ้น แถมยังสามารถทำให้กลิ่นเหม็นต่างๆ เช่น กลิ่นรองเท้า กลิ่นน้ำมันรถยนต์ กลิ่นบุหรี่ ที่เข้ามาในรถยนต์ให้สามารถหายไปได้

เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อากาศ เนื่องมาจากว่าอากาศภายในรถยนต์ที่เพื่อนๆ นั่งโดยสารอยู่นั่นมีลักษณะปิด เมื่อมีอากาศหรือฝุ่นเข้ามาภายในรถยนต์ จะไม่มีการระบายออกเหมือนเช่นข้างนอก

ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศ

เครื่องฟอกอากาศสามารถเปลี่ยนอากาศที่มีฝุ่นละอองในรถให้ปลอดโปร่งโล่งสบาย เพราะทำหน้าที่กรอง และฆ่าเชื้อที่อยู่ในรถยนต์ การทำงานของเครื่องฟอกอากาศจะทำการปล่อยประจุที่เรียกว่า Plasma cluster ออกมาเกาะดักจับฝุ่นให้มีน้ำหนัก และร่วงลงมาสู่พื้นหรือติดที่ตะแกรงกรองของเครื่องกรองอากาศ ซึ่งประจุตัวนี้สามารถฆ่าเชื้อโรค ทั้งแบคทีเรีย รา และไวรัสที่เล็กจนสามารถทะลุผ่านไส้กรองได้ แต่ไม่มีหน้าที่กัน ฝุ่นละอองไม่ให้เข้ามาในรถเหมือน กรองอากาศ หรือกรองแอร์รถยนต์ หรือก็คือไม่สามารถปกป้องสิ่งสกปรกเชื้อโรคฝุ่นละอองไม่ให้เข้ามาในรถ เเต่จะช่วยฆ่าเชื้อในรถได้นั่นเอง
 
เช็กลิสต์เครื่องฟอกอากาศจำเป็นหรือไม่?

1. มีความจำเป็นที่จะต้องใช้หรือไม่?

ผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องใช้เครื่องฟอกอากาศ มักจะเป็นผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ มีอาการของโรคภูมิแพ้ หรือต้องการลดฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กระดับไมครอน หรือต้องทำงานในห้องที่รับแขกมากมายตลอดทั้งวันอย่าง ร้านอาหาร ธนาคาร คลินิก โรงพยาบาล เป็นต้น และการติดตั้งไว้ในห้องเด็กหรือผู้สูงอายุก็เป็นข้อสำคัญในการพิจารณา

2. อยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่

หากเราอยู่ในพื้นที่ที่พบว่ามีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน การเลือกเครื่องฟอกอากาศไว้ในที่พัก หรือภายในอาคาร ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ต้องเลือกสเปกเครื่องฟอกอากาศจากจำนวนอากาศที่สร้างได้ต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งผู้ผลิตจะแจ้งไว้ในคุณสมบัติของเครื่องฟอกอากาศตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศในรถ หรือเครื่องฟอกอากาศในบ้านก็ตาม

3. ต้องการไส้กรองแบบไหน

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศในบ้านหรือรถยนต์ แบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง คือ เครื่องฟอกอากาศที่ใช้แผ่นกรองเป็นตัวกรอง หรือใช้อนุภาคอิเล็กตรอนดักจับฝุ่นละออง โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ซึ่งปัจจุบันหลายพื้นที่ในประเทศไทยมีฝุ่น PM 2.5 ปริมาณสูงส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งการเลือกไส้กรองจะส่งผลต่อราคาของเครื่องฟอกอากาศด้วย

4. ตั้งงบประมาณไว้เท่าไร

สิ่งที่ทำให้ราคาเครื่องฟอกอากาศสเปกเดียวกัน แต่มีราคาแตกต่างกันก็คือ คุณสมบัติของไส้กรองที่ใช้ฟอกอากาศ ตัววัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตโครงสร้าง รวมถึงหน้าจอ LED ที่วัดค่าสุขภาพหลายๆ อย่างได้ รวมถึงระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ตั้งเวลา และติดตั้งบลูทูธสำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อีกด้วย

5. ต้องเปิดใช้งานเครื่องฟอกอากาศกี่ชั่วโมง

การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศมีปัจจัยจากการดูแลรักษาด้วย เพราะต้องคอยเปลี่ยนไส้กรองตามอายุการใช้งาน และหากเราไม่มีเวลาดูแล จะสูญเสียค่าเครื่องไปอย่างไร้ความหมายทีเดียว เพราะฉะนั้นต้องดูที่ซื้อไส้กรองเปลี่ยนเผื่ออนาคตด้วย รวมถึงบริการหลังการขายที่บริษัทจะมาดูแลถึงบ้าน หรือเราต้องดูแลเครื่องฟอกอากาศเองหลังซื้อ

เลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ ต้องดูอะไรบ้าง?

•   พื้นที่ : รู้ขนาดของห้อง รู้ขนาดของห้องโดยสาร
•   กำลังไฟ : ในบ้านคำนวณการใช้ไฟในจุดตั้งปลั๊กเต้ารับเต้าเสียบ ในรถยนต์คำนวณกับกำลังไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์
•   แผ่นกรอง : ดักฝุ่น ดักกลิ่น ดักแก๊ส ระดับดักกลิ่น และดักเชื้อไวรัส
•   ที่ตั้ง : ตั้งในที่อยู่อาศัยต้องคำถึงถึง ห้องพักผ่อน ห้องรับแขก ห้องเด็ก-ผู้สูงอายุ ในรถยนต์พิจารณาไว้ใกล้ที่เขี่ยบุหรี่ หรือช่องเสียบ USB

เมื่อจำเป็นจะต้องอยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงต่อค่าฝุ่นเกินมาตรฐานและไม่สามารถย้ายที่อยู่อาศัยไปในสถานที่อื่นได้ การเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตหากสถานการณ์ยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น แต่หากเลือกไส้กรองผิดประเภทจะทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการดักฝุ่นได้เพียงพอ ส่งผลให้เครื่องเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว (ไส้กรองแอร์อุปกรณ์ที่ควรใส่ใจในช่วงอากาศมีมลพิษ https://www.smk.co.th/newsdetail/353) เพราะฉะนั้นผู้ขับขี่รถยนต์จึงควรศึกษาเรื่องไส้กรองและความคงทนของเครื่องฟอกอากาศ เพื่อความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันให้ได้มากที่สุด
 
ประกันรถยนต์ตามเวลา ประกันชั้น 1-3+ เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

31
เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนเมษายนที่สภาพอากาศร้อนระอุ หลายคนเลือกวิธีคลายร้อนด้วยการออกเดินทางไปเที่ยวคลายร้อนทั้งแบบภูเขาและทะเล ทำให้การขับรถท่ามกลางอุณหภูมิกว่า 40 องศาเป็นเรื่องที่ทรมานสำหรับหลายคน จนต้องเร่งเครื่องปรับอากาศให้ทำงานหนักขึ้น (การดูแลแอร์รถในช่วงหน้าร้อน https://www.smk.co.th/newsdetail/197) และนอกจากเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ต้องทำงานหนักแล้ว การขับรถท่ากลางอากาศร้อน ยังจำเป็นจะต้องดูแลรถยนต์มากขึ้นเป็นกรณีพิเศษด้วยเช่นกัน จะมีเทคนิคในการขับรถหน้าร้อนอย่างไรให้ปลอดภัย
 
1.   ยางรถยนต์
หากเปรียบแสงแดดเป็นเชื้อเพลิง ผิวถนนก็ไม่ต่างกับกระทะที่ร้อนระอุ แต่พื้นถนนที่สะสมความร้อนจนร้อนจัดนั้น ไม่ได้มีผลอะไรกับยางรถยนต์จนทำให้ระเบิดได้ เพราะขณะที่รถกำลังวิ่ง แรงลมจะเข้าปะทะกับล้อรถที่หมุน จึงช่วยลดอุณหภูมิลงแม้ยางจะสัมผัสกับถนนโดยตรงก็ตาม แต่เมื่อใดที่ผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วเกินพิกัดยางที่กำหนดไว้ หรือสูบลมยางมาก-น้อยจนเกินไป อาจมีผลให้ยางรถยนต์เสียหาย เมื่อขับไปนาน ๆ อาจยางแตกในที่สุดได้เช่นกัน

ผู้ขับขี่จึงควรตรวจสอบลมยาง และสภาพยางรถยนต์ก่อนขับขี่ ไม่ควรปล่อยให้ยางหมดอายุการใช้งาน หรือใช้ยางเก่าที่มีความเสียหาย เช่น แก้มยางมีรอยแตกลายงา บวม ฉีกขาด ดอกยางหมดสภาพ เป็นต้น รวมถึงขับขี่ด้วยอัตราความเร็วที่ไม่เกินกำหนด บรรทุกของด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม หรือหากเปลี่ยนยางใหม่ ก็ไม่ควรสวมจุ๊บเติมลมอันเก่าเพื่อความปลอดภัยนั่นเอง
 
2.   ภาพลวงตา

แสงแดดเป็นตัวการทำให้เกิดภาพลวงตาที่เรียกว่ามิราจ (Mirage) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการหักเหของแสง จากอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ผิวถนนรวมถึงชั้นอากาศที่อยู่เหนือผิวถนนร้อนตามจนเกิดเป็นชั้นอากาศร้อน และชั้นอากาศเย็นที่แบ่งตัวกัน เมื่อแสงแดดเดินทางผ่านจึงเกิดการหักเห ผู้ขับขี่จึงเห็นภาพสะท้อนบนผิวถนน โดยส่วนหนึ่งสะท้อนภาพวัตถุข้างหน้าตามปกติ อีกส่วนหนึ่งเกิดการโค้งและสะท้อนภาพเดิมซ้ำจนเห็นเป็นภาพคล้ายบ่อน้ำ อาจทำให้ผู้ขับขี่เกิดความสับสน ต้องใช้สายตามากกว่าปกติ มีอาการตาพร่า ตาล้า แสบตา และเหนื่อยล้าในขณะขับรถนาน ๆ ได้

ผู้ขับขี่ไม่ควรโฟกัสที่ถนนเพียงจุดใดจุดหนึ่งจนเกินไป แต่ให้พยายามเปลี่ยนมุมมองสายตาไปทิศทางอื่น ๆ โดยการมองให้รอบด้านมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนโฟกัสของดวงตา หรือจะหาตัวช่วยมาบังแสงแดดที่แยงตา เช่น แว่นกันแดด ม่านกันแดด หรือติดฟิล์มกรองแสง จะช่วยลดแสงรบกวนไม่ให้บดบังทัศนียภาพในการขับขี่

3.   สภาพร่างกายผู้ขับขี่

เมื่ออากาศร้อนจัดจะส่งผลต่อสุขภาพผู้ขับขี่ อาจเกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัด การจราจรที่ติดขัด มลภาวะต่าง ๆ รวมถึงสุขภาพของผู้ขับขี่ที่เกิดความเครียดสะสม เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ขับขี่มีอาการวูบ หรือหมดสติร่วมด้วย โดยสาเหตุของการวูบเกิดได้หลายปัจจัย เช่น เป็นลม เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การวิงเวียน เพราะมีปัญหาระบบการทรงตัวที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาท อาการชักเนื่องจากความผิดปกติชั่วคราวของกระแสไฟฟ้าในสมอง รวมไปถึงความรู้สึกหวิว ๆ ใจสั่น ที่เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วคราว เป็นต้น

ร่างกายไม่แข็งแรงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ได้ โดยเฉพาะการนอนหลับ ผู้ขับขี่ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนขับรถทางไกล ทำจิตใจให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด ดื่มน้ำมาก ๆ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว แนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพเสมอ และหากผู้ขับขี่มีอาการผิดปกติทางร่างกายขณะขับรถ ควรจอดรถทันที เพราะอาจเสี่ยงหมดสติระหว่างทางได้ จากนั้น ปรับที่นั่งให้อยู่ในท่านอนราบ สังเกตอาการ หากไม่ดีขึ้นให้โทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่ และเพื่อนร่วมทาง
 
4.   เครื่องยนต์ร้อนจัด

ขณะขับขี่รถยนต์ในสภาพอากาศร้อนจัด อาจส่งผลให้รถยนต์ทำงานหนัก และเครื่องยนต์เกิดความร้อนสูง ซึ่งสาเหตุที่มักพบเจอได้บ่อย มาจากหม้อน้ำแห้ง โดยผู้ขับขี่สามารถสังเกตได้จากเกจวัดความร้อน หรือสังเกตจากอุณหภูมิภายในห้องโดยสารที่ร้อนผิดปกติ แอร์เริ่มไม่ค่อยเย็น หรือไฟเตือนที่มาตรวัดว่ามีสัญลักษณ์เตือนเกี่ยวกับอุณหภูมิหรือไม่ หากร้อนจนผิดปกติ ผู้ขับขี่ไม่ควรฝืนขับรถต่อ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนจนถึงขั้นโอเวอร์ฮีต และเป็นอันตรายได้

ผู้ขับขี่ควรรีบปิดแอร์เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์ จากนั้นค่อย ๆ นำรถเข้าจอดข้างทาง และรีบเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายความร้อนออกจากห้องเครื่อง ที่สำคัญห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะไอน้ำร้อนที่มีแรงดันสูงในหม้อน้ำอาจพุ่งขึ้นมาทำให้คุณบาดเจ็บได้ ควรรอให้เครื่องยนต์เริ่มเย็นตัวเสียก่อนจึงเปิดฝาหม้อน้ำ แล้วค่อย ๆ เติมน้ำสะอาดลงไปทีละน้อย เมื่อความร้อนลดลงอยู่ในระดับปกติแล้ว จึงสามารถขับไปที่อู่ หรือศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กต่อไปได้
 
การตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานและดูแลรักษาสุขภาพของผู้ขับขี่ให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนควรให้ความสำคัญ ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ประกันรถยนต์ตามเวลา 1-3+ ช่วยให้คุณจ่ายประกันรถยนต์ได้สบายด้วยเบี้ยเบา ๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต กับประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง

สามารถแบ่งซื้อครั้งละ 3 หรือ 6 เดือนได้ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน เมื่อครบกำหนด คลิกเลือกต่อประกันและชำระเงินออนไลน์ รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่า จะลืมต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทฯ จะแจ้งเตือนการต่อประกันผ่าน SMS และโทรศัพท์จากพนักงาน ก่อนประกันหมดอายุ สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

32
รถยนต์ | Car / เอาตัวรอดจากไฟไหม้รถ
« เมื่อ: เมษายน 26, 2023, 06:55:03 AM »
ในยุคที่น้ำมันมีราคาแพง อาจทำให้เจ้าของรถยนต์หันมาให้ความสนใจกับพลังงานทางเลือกที่อาจเป็นทางออกแห่งอนาคต แต่ก็มีเจ้าของรถยนต์รุ่นเก่าหลายรายที่ยังคงให้ความนิยมนำรถยนต์ไปติดแก๊สทั้งแบบ NGV หรือ LPG เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย จนทำให้หลายครั้ง เมื่อรถยนต์ที่ติดแก๊สเกิดอุบัติเหตุจนไฟลุกท่วมไหม้ตัวรถ อาจสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินให้กับผู้คนได้มากมาย แล้วหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไฟกำลังไหม้ตัวรถ  ผู้โดยสารหรือผู้ที่ติดอยู่ในตัวรถ จะต้องทำอย่างไรเพื่อเอาชีวิตรอด  รวบรวมข้อมูลมาไว้ให้ที่นี่แล้ว

วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้รถ
เหตุไฟไหม้รถมักเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส LPG หรือ NGV ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมานาน รถที่ผ่านการปรับแต่งสภาพ รวมถึงขาดการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ใช้อะไหล่ที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้แนะนำวิธีเอาตัวรอดพร้อมวิธีป้องกันจากไฟไหม้รถ ไว้ดังนี้

    1. กรณีไฟไหม้รถเล็กน้อย

    • หากเป็นรถที่ติดตั้งระบบแก๊ส ให้รีบปิดสวิตช์การทำงานของระบบแก๊สและดับเครื่องยนต์
    • นำถังดับเพลิงเคมีฉีดพ่นบริเวณต้นเพลิง
    • หากมีเปลวไฟออกมาจากฝากระโปรงรถให้ปลดสลักฝากระโปรงออกแล้วฉีดพ่นผ่านช่องฝากระโปรงที่แง้มไว้
    • ห้ามเปิดฝากระโปรงทันที เพราะจะทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น
    • เมื่อไฟเริ่มสงบจึงค่อยๆ แง้มฝากระโปรงขึ้นโดยใช้ผ้ารอง หรือสวมถุงมือเพื่อป้องกันความร้อนจากบริเวณฝากระโปรง
    • นำถังดับเพลิงมาฉีดพ่นให้ทั่วห้องเครื่อง จนมั่นใจว่าไฟดับสนิทแล้ว
    • รีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเปลวไฟทะลุขึ้นมาอีก


    2. กรณีไม่มีถังดับเพลิง

- ใช้ผ้าแห้ง ผ้าเปียก หรือทราย มาโปะบริเวณที่เกิดไฟไหม้รถ
- ใช้ขวดน้ำเจาะปากขวดเป็นรูเล็กๆ ฉีดบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้


    3. กรณีที่ไฟไหม้รถลุกลามอย่างรวดเร็ว

- ให้ตั้งสติ ดับเครื่องยนต์ แล้วรีบออกจากรถ
- วิ่งออกไปให้ห่างจากรถให้มากและเร็วที่สุด เพราะอาจเกิดการระเบิดได้
- รีบโทรศัพท์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191 ศูนย์รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ 199 หรือสายด่วนนิรภัย 1784 มาควบคุมเพลิงให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง

วิธีการใช้งานถังดับเพลิง 4 ขั้นตอน
    1. ดึง - เอาถังดับเพลิงวางไว้ด้านที่ถนัด หันด้านฉลากเข้าหาลำตัว จากนั้น “ดึง” สลักนิรภัยออก และหิ้วถังดับเพลิงไปที่จุดเกิดไฟไหม้ โดยยืนห่างจากกองไฟ ประมาณ 3-4 เมตร และยืนเหนือทิศทางลม

    2. ปลด - ปลดปลายสายออกจากตัวถัง จับปลายสายให้แน่นอย่าให้หลุดมือ เล็งไปยังบริเวณฐานของกองไฟ (ห้ามฉีดที่เปลวไฟ)

    3. กด - กดคันบีบของถังดับเพลิงให้สุดคันบีบ ให้เคมีออกมาอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง

    4. ส่าย - ส่ายปลายสายถังดับเพลิงไปมา เพื่อให้ผงเคมีที่ฉีดออกมาครอบคลุมทั่วทั้งกองไฟ โดยระหว่างดับไฟให้ย่อตัวลงเล็กน้อย เพื่อหลบเปลวไฟและความร้อน ฉีดจากตำแหน่งใกล้ไปไกล เมื่อแน่ใจว่าไฟดับสนิทแล้วจึงถอยออกจากที่เกิดเหตุ

วิธีป้องกันไฟไหม้รถ
    1. ก่อนขับรถ
        - ตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งานเสมอ เช่น เติมน้ำหม้อน้ำในระดับเท่าที่กำหนด ไม่มีเศษวัสดุติดในหม้อน้ำและในท่อยาง
        - เช็กสภาพท่อน้ำมันเชื้อเพลิงว่าไม่มีรอยรั่ว สายพานรถมีความตึงในค่าที่กำหนด
        - เช็กกระโปรงหน้ารถว่ามีเขม่าดำเกาะหรือไม่ เพราะแสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานไม่สมบูรณ์
        - ตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีรอยน้ำมันหยดหรือไม่ หากมีควรรีบซ่อมแซมโดยด่วน
        - ควรเตรียมขวดบรรจุน้ำ ถังดับเพลิงเคมีไว้ที่ด้านข้างคนขับหรือบริเวณที่หยิบได้ง่าย เพื่อให้ใช้งานได้ทันทีหากไฟไหม้รถ


    2. ขณะขับรถ
        - ควรสังเกตสัญญาณเตือนอยู่เสมอ เช่น มาตรวัดระดับความร้อนของเครื่องยนต์ซึ่งอยู่บริเวณหน้าปัดรถยนต์ หากหม้อน้ำแห้ง พัดลมระบายความร้อนขัดข้อง จะทำให้รถยนต์ร้อนจัดจนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้รถยนต์ได้ เพราะบริเวณกระโปรงหน้ารถเป็นที่ตั้งของเครื่องยนต์และสายไฟต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดประกายไฟ
        - รถยนต์ที่ใช้แก๊สต้องระวังบริเวณส่วนท้ายรถเพราะเป็นที่ตั้งของถังแก๊ส หากรถมีอาการกระตุกขณะขับขี่ควรนำไปตรวจสอบสภาพ เพราะเครื่องยนต์อาจขัดข้องหรือถังน้ำมันรั่วทำให้อากาศเข้าไปจนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดไฟไหม้รถได้


    3. ก่อนสตาร์ตรถควรตรวจเช็กความเรียบร้อยของเครื่องยนต์ทุกครั้งว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุไฟไหม้รถที่อาจเกิดขึ้นได้


    4. ไม่ควรซื้อรถมือสองที่ไม่ทราบประวัติการขับขี่มาใช้งาน และเรียนรู้วิธีแก้ไขเหตุฉุกเฉิน ที่สำคัญไม่ควรขับรถเร็วเกินกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยช่วยลดแรงปะทะจากอุบัติเหตุที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้

แม้การใช้รถยนต์ที่ติดตั้งแก๊ส LPG หรือ NGV จะมีส่วนช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ให้บริการรถโดยสารที่มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นปัจจัยหลัก แต่ก็ต้องนำมาซึ่งความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้นทั้งต่อตัวรถโดยสารและผู้ใช้บริการ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ก็อาจนำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงตามมาได้เช่นกัน
ประกันรถยนต์ตามเวลา ประกันชั้น 1-3+ เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

33
หลังจากที่ พ.ร.บ. จราจรทางบก มีผลบังคับใช้กำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนบนรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์ ไม่เว้นแม้แต่เด็กที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี ที่กำหนดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือคาร์ซีต (ผบช.น. แจง "Car Seat" ยังไม่บังคับใช้ เน้นสร้างความเข้าใจ https://www.bangkokbiznews.com/news/1003369) ทำให้ผู้ปกครองหลายคนต่างต้องซื้อหาที่นั่งนิรภัย หรือจัดหาที่นั่งที่สามารถใช้คู่กับเข็มขัดนิรภัยที่ติดตั้งในรถยนต์ได้ (วิธีเลือกคาร์ซีตสำหรับเด็ก https://www.smk.co.th/newsdetail/3007) แล้ววิธีติดตั้งคาร์ซีตสำหรับเด็ก ทั้งเบาะหน้า เบาะกลาง หรือการติดตั้งคาร์ซีตในรถตู้ จะมีวิธีการอย่างไร
 
การติดตั้งคาร์ซีตมีกี่ระบบ?

จากผลวิจัยการทดสอบในทางวิทยาศาสตร์ พบว่า คาร์ซีตมีส่วนช่วยในการลดโอกาสหรือความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ เพราะโครงสร้างและวัสดุของคาร์ซีตจะช่วยรองรับสรีระทั้งศีรษะ คอ และแผ่นหลังของเด็ก ป้องกันไม่ให้สมองกับกระดูกสันหลังได้รับความกระทบกระเทือนจากแรงกระแทกขณะเกิดอุบัติเหตุ ระบบการติดตั้งคาร์ซีตที่ใช้ในปัจจุบัน จะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี ได้แก่

1.   Belt การติดตั้งกับเข็มขัดนิรภัยของที่นั่งรถ

2.   ISOFIX การติดตั้งคาร์ซีตรูปแบบใหม่ที่ง่ายขึ้นและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งได้รับมาตรฐานสากลจากทางเอเชียและทางยุโรป
 
ตำแหน่งติดตั้งคาร์ซีตที่เหมาะสำหรับประเทศไทย

เนื่องจากระบบการเดินรถจราจรของประเทศไทยแตกต่างจากทวีปยุโรปและอีกหลาย ๆ ประเทศ ดังนั้นตำแหน่งที่ติดตั้งคาร์ซีตจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมด้วยเช่นกัน นั่นคือตำแหน่ง “เบาะหลังฝั่งตรงข้ามคนขับ” ด้วยเหตุผลสำคัญ ต่อไปนี้

•   รถยนต์ในประเทศไทยเป็นการขับเลนขวา ทำให้ฝั่งคนขับอยู่ด้านเดียวกับเกาะกลางถนน ซึ่งมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าฝั่งซ้ายที่อยู่ด้านเดียวกับทางเท้า

•   คนขับมักจะปรับเบาะที่นั่งของตัวเองให้รู้สึกสบายมากที่สุดในการขับรถ ตัวอย่างเช่น การปรับพนักพิงเอนหลังหรือความสูงต่ำของเบาะ แต่ก็อาจจะทำให้ช่องว่างระหว่างเบาะกับคาร์ซีตติดกันเกินไป หากเกิดอุบัติเหตุอาจทำให้ลูกน้อยบาดเจ็บจากแรงกระแทกของเบาหน้าของคนขับได้

•   การติดตั้งคาร์ซีตฝั่งด้านติดกับทางเท้า จะช่วยให้ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเล็กขึ้นลงรถได้สะดวกและปลอดภัยกว่า
 
ตำแหน่งติดตั้งคาร์ซีตสำหรับรถตู้และรถประเภทอื่น

ตำแหน่งการติดตั้งคาร์ซีตที่ปลอดภัย จะเหมาะกับรถเก๋งสี่ที่นั่งที่ใช้โดยทั่วไป แต่ในรถยนต์บางประเภทที่มีที่นั่งมากกว่า 2 ตอน หรือที่นั่งตอนเดียวอย่างเช่น รถตู้ รถกระบะ จะมีวิธีติดตั้งและข้อควรระวังเพิ่มมากขึ้น

1.   การติดตั้งคาร์ซีตสำหรับรถ SUV หรือรถตู้ รถประเภทนี้จะมีที่นั่งมากกว่า 2 ตอนขึ้นไป ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือแถวสุดท้ายของตัวรถ โดยการขยับเบาะที่นั่งให้ห่างจากประตูหลังเพื่อเพิ่มช่องว่างระยะห่างกับประตู ช่วยให้ผู้โดยสารที่เป็นเด็กเล็กมีความปลอดภัยหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิด

2.   การติดตั้งคาร์ซีตสำหรับรถกระบะ โดยปกติแล้ว จะไม่แนะนำให้ติดตั้งคาร์ซีตที่เบาะหน้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ Airbag ระเบิด และผู้โดยสารที่เป็นเด็กเล็กอาจได้รับอันตรายบาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิต แต่รถบางรุ่นก็สามารถปิดการทำงานระบบ Airbag เฉพาะที่นั่งด้านข้างคนขับได้ซึ่งมักถูกซ่อนอยู่ที่ตำแหน่งบริเวณคอนโซลหน้ารถข้างประตู สำหรับรถกระบะที่มีที่นั่งตอนหลังเป็นลักษณะแคป ก็สามารถติดตั้งคาร์ซีตในตำแหน่งเบาะที่นั่งด้านข้างคนขับได้ โดยปิดสวิตช์การทำงานของ Airbag หรือถ้าไม่ได้มีปุ่มสวิตช์นี้ก็สามารถนำไปที่ศูนย์ให้ช่างปิดฟังก์ชันการทำงานของ Airbag นี้ได้

ตำแหน่งในรถที่ไม่ควรติดตั้งคาร์ซีต

รถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันหรืออาจกล่าวได้ว่าแทบทุกรุ่นและทุกประเภทนั้น พบว่า ตำแหน่งที่ไม่ควรติดตั้งคาร์ซีตมากที่สุดคือด้านข้างของคนขับ ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งที่มองเห็นผู้โดยสารเด็กเล็กได้ถนัดที่สุดตลอดเวลาการขับรถก็ตาม เนื่องจากรถยนต์สมัยนี้ มีระบบรักษาความปลอดภัยในห้องโดยสารที่มาพร้อมกับการผลิตรถเพื่อจำหน่าย นั่นก็คือระบบถุงลมนิรภัย (Airbag) หรือที่เรียกติดปากกันว่า “แอร์แบ็ก” โดยเมื่อเกิดอุบัติเหตุอย่างรุนแรง ระบบแอร์แบ็กจะทำงานด้วยการพองตัวรวดเร็วออกมาจากคอนโซลหน้ารถยนต์

ดังนั้นการติดตั้งคาร์ซีตไว้ที่เบาะด้านข้างคนขับแล้วเกิดอุบัติเหตุ พอแอร์แบ็กทำงานก็จะไปกระแทกกับคาร์ซีตโดยตรง ซึ่งอาจทำให้ลูกน้อยได้รับบาดเจ็บได้ นอกจากนี้คาร์ซีตบางรุ่นที่มีขนาดใหญ่จะส่งผลให้ทัศนวิสัยการมองเห็นขณะขับรถของคนขับนั้นลดน้อยลง จึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางค่อนข้างมาก
 
วิธีติดตั้งคาร์ซีตให้ปลอดภัย

ตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการติดตั้งคาร์ซีตให้ปลอดภัย คือ ตำแหน่งเบาะด้านหลังฝั่งตรงข้ามคนขับสำหรับรถยนต์ที่มีลักษณะ 2 ตอน ส่วนรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 2 ตอน อย่างเช่น รถตู้และรถ SUV ควรติดตั้งไว้ที่ตำแหน่งตอนที่ 3 หรือ 4 โดยติดตั้งให้เบาะที่นั่งอยู่ห่างจากประตูเพื่อความปลอดภัย ข้อสำคัญที่สุดคือควรระมัดระวังการขับขี่รถยนต์อยู่ตลอดเวลาและใช้รถใช้ถนนตามวินัยกฎจราจร

คาร์ซีตจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญของเด็กเล็กสำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ที่ไม่สามารถรัดเข็มขัดนิรภัยได้ พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควรให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อคาร์ซีตและติดตั้งคาร์ซีตในตำแหน่งที่เหมาะสมกับรถยนต์ของตัวเอง ให้คุณและทุกคนในครอบครัวปลอดภัย ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

34
เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนเมษายนที่สภาพอากาศร้อนระอุ หลายคนเลือกวิธีคลายร้อนด้วยการออกเดินทางไปเที่ยวคลายร้อนทั้งแบบภูเขาและทะเล ทำให้การขับรถท่ามกลางอุณหภูมิกว่า 40 องศาเป็นเรื่องที่ทรมานสำหรับหลายคน จนต้องเร่งเครื่องปรับอากาศให้ทำงานหนักขึ้น และนอกจากเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ต้องทำงานหนักแล้ว การขับรถท่ากลางอากาศร้อน ยังจำเป็นจะต้องดูแลรถยนต์มากขึ้นเป็นกรณีพิเศษด้วยเช่นกัน จะมีเทคนิคในการขับรถหน้าร้อนอย่างไรให้ปลอดภัย มีข้อมูลมาฝาก

1. ยางรถยนต์
หากเปรียบแสงแดดเป็นเชื้อเพลิง ผิวถนนก็ไม่ต่างกับกระทะที่ร้อนระอุ แต่พื้นถนนที่สะสมความร้อนจนร้อนจัดนั้น ไม่ได้มีผลอะไรกับยางรถยนต์จนทำให้ระเบิดได้ เพราะขณะที่รถกำลังวิ่ง แรงลมจะเข้าปะทะกับล้อรถที่หมุน จึงช่วยลดอุณหภูมิลงแม้ยางจะสัมผัสกับถนนโดยตรงก็ตาม แต่เมื่อใดที่ผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วเกินพิกัดยางที่กำหนดไว้ หรือสูบลมยางมาก-น้อยจนเกินไป อาจมีผลให้ยางรถยนต์เสียหาย เมื่อขับไปนาน ๆ อาจยางแตกในที่สุดได้เช่นกัน

ผู้ขับขี่จึงควรตรวจสอบลมยาง และสภาพยางรถยนต์ก่อนขับขี่ ไม่ควรปล่อยให้ยางหมดอายุการใช้งาน หรือใช้ยางเก่าที่มีความเสียหาย เช่น แก้มยางมีรอยแตกลายงา บวม ฉีกขาด ดอกยางหมดสภาพ เป็นต้น รวมถึงขับขี่ด้วยอัตราความเร็วที่ไม่เกินกำหนด บรรทุกของด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม หรือหากเปลี่ยนยางใหม่ ก็ไม่ควรสวมจุ๊บเติมลมอันเก่าเพื่อความปลอดภัยนั่นเอง

2. ภาพลวงตา

แสงแดดเป็นตัวการทำให้เกิดภาพลวงตาที่เรียกว่ามิราจ (Mirage) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการหักเหของแสง จากอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ผิวถนนรวมถึงชั้นอากาศที่อยู่เหนือผิวถนนร้อนตามจนเกิดเป็นชั้นอากาศร้อน และชั้นอากาศเย็นที่แบ่งตัวกัน เมื่อแสงแดดเดินทางผ่านจึงเกิดการหักเห ผู้ขับขี่จึงเห็นภาพสะท้อนบนผิวถนน โดยส่วนหนึ่งสะท้อนภาพวัตถุข้างหน้าตามปกติ อีกส่วนหนึ่งเกิดการโค้งและสะท้อนภาพเดิมซ้ำจนเห็นเป็นภาพคล้ายบ่อน้ำ อาจทำให้ผู้ขับขี่เกิดความสับสน ต้องใช้สายตามากกว่าปกติ มีอาการตาพร่า ตาล้า แสบตา และเหนื่อยล้าในขณะขับรถนาน ๆ ได้

ผู้ขับขี่ไม่ควรโฟกัสที่ถนนเพียงจุดใดจุดหนึ่งจนเกินไป แต่ให้พยายามเปลี่ยนมุมมองสายตาไปทิศทางอื่น ๆ โดยการมองให้รอบด้านมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนโฟกัสของดวงตา หรือจะหาตัวช่วยมาบังแสงแดดที่แยงตา เช่น แว่นกันแดด ม่านกันแดด หรือติดฟิล์มกรองแสง จะช่วยลดแสงรบกวนไม่ให้บดบังทัศนียภาพในการขับขี่

3. สภาพร่างกายผู้ขับขี่
เมื่ออากาศร้อนจัดจะส่งผลต่อสุขภาพผู้ขับขี่ อาจเกิดอุบัติเหตุจนถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัด การจราจรที่ติดขัด มลภาวะต่าง ๆ รวมถึงสุขภาพของผู้ขับขี่ที่เกิดความเครียดสะสม เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ขับขี่มีอาการวูบ หรือหมดสติร่วมด้วย โดยสาเหตุของการวูบเกิดได้หลายปัจจัย เช่น เป็นลม เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การวิงเวียน เพราะมีปัญหาระบบการทรงตัวที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาท อาการชักเนื่องจากความผิดปกติชั่วคราวของกระแสไฟฟ้าในสมอง รวมไปถึงความรู้สึกหวิว ๆ ใจสั่น ที่เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วคราว เป็นต้น

ร่างกายไม่แข็งแรงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ได้ โดยเฉพาะการนอนหลับ ผู้ขับขี่ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนขับรถทางไกล ทำจิตใจให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียด ดื่มน้ำมาก ๆ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว แนะนำให้หมั่นตรวจสุขภาพเสมอ และหากผู้ขับขี่มีอาการผิดปกติทางร่างกายขณะขับรถ ควรจอดรถทันที เพราะอาจเสี่ยงหมดสติระหว่างทางได้ จากนั้น ปรับที่นั่งให้อยู่ในท่านอนราบ สังเกตอาการ หากไม่ดีขึ้นให้โทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ขับขี่ และเพื่อนร่วมทาง

    4. เครื่องยนต์ร้อนจัด

ขณะขับขี่รถยนต์ในสภาพอากาศร้อนจัด อาจส่งผลให้รถยนต์ทำงานหนัก และเครื่องยนต์เกิดความร้อนสูง ซึ่งสาเหตุที่มักพบเจอได้บ่อย มาจากหม้อน้ำแห้ง โดยผู้ขับขี่สามารถสังเกตได้จากเกจวัดความร้อน หรือสังเกตจากอุณหภูมิภายในห้องโดยสารที่ร้อนผิดปกติ แอร์เริ่มไม่ค่อยเย็น หรือไฟเตือนที่มาตรวัดว่ามีสัญลักษณ์เตือนเกี่ยวกับอุณหภูมิหรือไม่ หากร้อนจนผิดปกติ ผู้ขับขี่ไม่ควรฝืนขับรถต่อ เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์ร้อนจนถึงขั้นโอเวอร์ฮีต และเป็นอันตรายได้

ผู้ขับขี่ควรรีบปิดแอร์เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์ จากนั้นค่อย ๆ นำรถเข้าจอดข้างทาง และรีบเปิดฝากระโปรงรถเพื่อระบายความร้อนออกจากห้องเครื่อง ที่สำคัญห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัด เพราะไอน้ำร้อนที่มีแรงดันสูงในหม้อน้ำอาจพุ่งขึ้นมาทำให้คุณบาดเจ็บได้ ควรรอให้เครื่องยนต์เริ่มเย็นตัวเสียก่อนจึงเปิดฝาหม้อน้ำ แล้วค่อย ๆ เติมน้ำสะอาดลงไปทีละน้อย เมื่อความร้อนลดลงอยู่ในระดับปกติแล้ว จึงสามารถขับไปที่อู่ หรือศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กต่อไปได้

การตรวจสอบสภาพรถยนต์ให้พร้อมใช้งานและดูแลรักษาสุขภาพของผู้ขับขี่ให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนควรให้ความสำคัญ ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ประกันรถยนต์ตามเวลา 1-3+ ช่วยให้คุณจ่ายประกันรถยนต์ได้สบายด้วยเบี้ยเบา ๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต กับ ประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง
สามารถแบ่งซื้อครั้งละ 3 หรือ 6 เดือนได้ ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินก้อน เมื่อครบกำหนด คลิกเลือกต่อประกันและชำระเงินออนไลน์ รับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่า จะลืมต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทฯ จะแจ้งเตือนการต่อประกันผ่าน SMS และโทรศัพท์จากพนักงาน ก่อนประกันหมดอายุ
สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance
และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

35
นับเป็นกระแสที่สำคัญของโลก เมื่อการประชุมวาระโลก COP27 และ APEC2022 ที่ผ่านมาได้มีการเน้นย้ำเรื่อง Net Zero เพื่อให้ทุกภาคส่วนของโลกช่วยกันเร่งแก้ไขปัญหามลพิษโลกให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ ด้วยการจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการทรัพยากรยั่งยืน ตลอดจนการลดและจัดการของเสียอย่างยั่งยืน การผลิตพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้สอยภายในบ้านจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนกำลังมองหา การติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาจะช่วยลดค่าไฟได้เท่าไร? ขนาดไหนบ้างที่เหมาะกับบ้านเรา?
 
โดยทั่วไปแล้วการติดตั้งโซลาเซลล์ในครัวเรือนจะติดตั้งตามขนาดของการใช้งานภายในบ้าน โดยวิศวกรจะเป็นผู้คำนวนขนาดการติดตั้งให้เหมาะสมกับขนาดการใช้ไฟของแต่ละบ้านและลักษณะการใช้งานไฟฟ้าว่าเป็นที่พักอาศัยหรือโรงงานอุตสาหกรรม แต่แผงโซลาเซลล์จะมีประสิทธิภาพได้สูงสุดกี่วัตต์นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น ประเภท ขนาด และจำนวนแผงเซลล์

ติดโซลาเซลล์ ช่วยลดค่าไฟได้เท่าไร?
สำหรับการติดตั้งระบบโซลาเซลล์ จะช่วยลดค่าไฟได้เท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของการผลิตไฟฟ้าที่ได้ โดยโซลาเซลล์ที่ติดตั้งกันทั่วไป จะมีด้วยกัน 3 ขนาดหลักๆ คือ


    1. โซล่าเซลล์ขนาด 3kw
มีกำลังการผลิต 3,000 w สามารถใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ทุกประเภท ด้วยระบบการติดตั้งแบบออนกริดที่เชื่อมต่อกับระบบการไฟฟ้า
    • ใช้พื้นที่ในการติดตั้ง 12 ตรางเมตร
    • ใช้แผงโซล่า ขนาด 450W จำนวน 6 แผง
    • ช่วยลดค่าไฟได้มากถึง 1,500-2,000 บาท/เดือน


    2. โซล่าเซลล์ขนาด 5kw
มีกำลังการผลิต = 5,000 w สามารถใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ทุกประเภท ด้วยระบบการติดตั้งแบบออนกริดที่เชื่อมต่อกับระบบการไฟฟ้า
    • ใช้พื้นที่ในการติดตั้ง 22 ตรางเมตร
    • ใช้แผงโซล่า ขนาด 450W จำนวน 11 แผง
    • ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากถึง 2,500-4,000 บาท/เดือน


    3. โซล่าเซลล์ขนาด 10kw
มีกำลังการผลิต = 10,000 w สามารถใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ทุกประเภท ด้วยระบบการติดตั้งแบบออนกริดที่เชื่อมต่อกับระบบการไฟฟ้า
    • ใช้พื้นที่ในการติดตั้ง 22 ตรางเมตร
    • ใช้แผงโซล่า ขนาด 450W จำนวน 11 แผง
    • ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้มากถึง 5,000-7,000 บาท/เดือน

โซลาเซลล์ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
ระบบโซลาเซลล์ มีส่วนประกอบสำคัญ หลักๆ คือ ตัวแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งจะทำหน้าที่รับแสงอาทิตย์เพื่อใช้ในการสร้างไฟฟ้ากระแสตรง และอินเวอร์เตอร์มีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้จากแผงโซลาร์เซลล์ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับเพื่อให้ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

    1. แผงโซลาเซลล์ (Solar Panel)
แผงโซลาเซลล์ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งานได้ มีหลายประเภท ซึ่งประเภทที่นิยมกัน คือ แบบใช้สารกึ่งตัวนำซิลิคอน (Silicon Semiconductor) มีหน้าที่เป็นตัวดูดซับพลังงานจากแสงอาทิตย์แล้วเปลี่ยนพลังงานเป็นกระแสไฟฟ้าแบบ DC แบ่งออกเป็นอีก 3 ชนิดคือ
    • โมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Silicon Solar Cells)
    • โพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Silicon Solar Cells)
    • แผงโซล่าเซลล์ชนิด ฟิล์มบาง (Thin Film Solar Cells)
แผงโซลาเซลล์สามารถใช้งานได้เหมือนกันแต่มีความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ต่างกันซึ่งในประเทศไทยจะนิยมใช้แผงโซล่าเซลล์ชนิด โมโนคริสตัลไลน์ เพราะเป็นชนิดที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ดีที่สุด และ มีอายุการใช้งานนานที่สุด ถึง 25 ปี


    2. เครื่องแปลงไฟฟ้า (Inverter)
เครื่องแปลงไฟฟ้า หรือ Inverter เป็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้สำหรับเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งไฟฟ้าที่ได้จากแผงโซลาเซลล์จะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง และจะส่งผ่านไปยัง Inverter มีหน้าที่แปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ

 3. เครื่องควบคุมการชาร์จไฟฟ้า (Solar Charge Controller)
เป็นเครื่องควบคุมประจุแบตเตอรี่ของโซลาเซลล์ โดยการชาร์จเข้าแบตเตอรี่ต้องอาศัยเครื่องควบคุมประจุแบตเตอรี่ เนื่องจากหากต่อระบบโซลาเซลล์เข้ากับแบตเตอรี่โดยตรง จะมีแรงดันไฟฟ้าที่ดันกันระหว่างแรงดันไฟฟ้าของโซลาเซลล์กับแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ จึงต้องควบคุมประจุแบตเตอรี่ให้รองรับกับแรงดันระบบที่เลือกใช้


    4. แบตเตอร์รี่ (Battery)
เป็นตัวที่จะช่วยเก็บสะสมพลังงานไฟฟ้า ซึ่งแบตเตอร์รี่ในปัจจุบันจะมีหลายแบบหลายประเภท จะต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับประเภทของการใช้งาน สำหรับแบตเตอร์รี่ที่ใช้ แนะนำเป็นแบตเตอรี่ที่มีไว้สำหรับสำรองไฟฟ้า (Stationary/Standby Battery) โดยแบตเตอรี่ประเภทนี้มีหน้าที่เก็บพลังงานไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน กรณีไฟตก ไฟดับ และไฟกระชาก เป็นต้น


    5. อุปกรณ์ไฟฟ้า Dc/Ac
เป็นอุปกรณ์ไฟ้ฟ้าที่มีไว้สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างไฟฟ้าแบบ DC กระแสไฟฟ้าตรง และ AC กระแสไฟฟ้าสลับ ในระบบการติดตั้งโซลลาเซลล์ เพื่อให้ระบบนั้นมีความสมบูรณ์ และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

แม้อาจจะรู้สึกว่าการติดตั้งโซลาเซลล์จะมีค่าใช้จ่ายสูงในการติดตั้งครั้งแรก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนลดค่าไฟที่ได้รับก็นับว่าเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการช่วยแก้ไขปัญหามลพิษและลดค่าใช้จ่ายรายเดือนได้มากขึ้น ให้ประกันภัยบ้านอยู่อาศัยรักษ์บ้าน ช่วยความคุ้มครองที่อยู่อาศัยคุณ ทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านจัดสรร ที่อาจได้รับความเสียหายต่อสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินภายในจากไฟไหม้, ฟ้าผ่า, ภัยระเบิด, ภัยจากยวดยานพาหนะ, ภัยจากอากาศยาน ภัยเนื่องจากน้ำ และภัยธรรมชาติ
สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/others/ประกันรักษ์บ้าน หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance และสามารถติดตามอ่านข่าวสารและเรื่องราวดีๆ ได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

36
เบรกรถยนต์ เป็นอุปกรณ์และชิ้นส่วนสำคัญสำหรับรถยนต์ที่หากปล่อยปละละเลยไม่ดูแลรักษาให้คงอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน อาจทำให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนนได้อย่างคาดไม่ถึง (วิธีถนอมผ้าเบรกแบบง่ายๆ ยืดอายุการใช้งาน ที่คนใช้รถควรรู้ https://www.smk.co.th/newsdetail/1622) และหากพบสิ่งผิดปกติก็ควรต้องรีบนำรถยนต์เข้าตรวจสอบกับศูนย์บริการหรือช่างผู้ชำนาญการอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเบรกเกิดมีอาการเสียงดังระหว่างขับรถ แล้วเสียงดังที่เบรกนั้นเกิดจากอะไร จะสามารถแก้ไขได้อย่างไรบ้าง
 
ประเภทของเบรกรถยนต์

เบรกรถยนต์ ถือเป็นส่วนสำคัญของรถยนต์ เพราะต้องทำหน้าที่ชะลอหรือหยุดรถ โดยระบบเบรกจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ดิสก์เบรก และดรัมเบรก ขึ้นอยู่กับรถยนต์แต่ละรุ่น หรือบางรุ่นอาจใช้เบรกทั้ง 2 ประเภทก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์และการออกแบบของผู้ผลิต แต่หลักการเดียวกันคือเพื่อลดความเร็ว หรือทำให้รถยนต์หยุดนิ่ง

1.   ดิสก์เบรก (Disc Brake) หลักการทำงานคือการใช้แรงบีบผ้าเบรกให้สัมผัสกับจานเบรกเพื่อให้รถหยุด โดยชิ้นส่วนของระบบดิสก์เบรกจะมองเห็นง่ายกว่า ประกอบไปด้วย จานเบรก คาลิเปอร์เบรก โดยภายในตัวคาลิปเปอร์ก็จะมีกลไก ลูกสูบ เพื่อสร้างแรงกดให้ผ้าเบรกจับกับจานเบรก

2.   ดรัมเบรก (Drum Brake) หลักการทำงานคือการใช้แรงผลักผ้าเบรกให้ถ่างออกไปสัมผัสกับตัวดรัมที่อยู่ล้อมรอบ (เรียกดรัมเพราะมีลักษณะเหมือนกลองที่จับวางตั้งขึ้น) เพื่อทำให้ล้อรถเกิดแรงเฉื่อย ซึ่งภายในจะมีชุดกลไก เช่น สปริง ลูกสูบ ก้ามเบรก ผ้าเบรก เป็นต้น
 
เหยียบเบรกแล้วเสียงดัง เกิดจากอะไร

กรณีที่เราเหยียบเบรกแล้วเกิดเสียงดังขึ้น แสดงว่าระบบเบรกมีความผิดปกติ และรูปแบบของเสียงเบรกก็แตกต่างกันออกไปตามสาเหตุที่เกิดขึ้น เมื่อเหยียบเบรกแล้วเสียงดัง อาจมีหลายสาเหตุ ได้ดังนี้

1.   เหยียบเบรก แล้วได้ยิน เสียง ครืดๆๆ อาจเกิดจาก ผ้าเบรก กับ จานเบรก สกปรก เนื่องจากเกิดจากฝุ่นหรือหินหลุดเข้าไปเสียดสีกัน และมีสิ่งแปลกปลอมเกาะที่จานเบรกหรือผ้าเบรก เมื่อรถถูกใช้งาน เช่น วิ่งลุยน้ำ ลุยโคลน อาจทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปเกาะในจานเบรกหรือผ้าเบรกได้ อาการดังกล่าวไม่เป็นอันตราย แต่ก่อให้เกิดความรำคาญ หากใช้ไปสักพักยังไม่หาย ควรให้ช่างตรวงจสอบแก้ไข

2.   เหยียบเบรก แล้วได้ยิน เสียง จี๊ดๆๆ คาดว่า ผ้าเบรกสึกใกล้จะหมด ทำให้ดิสก์หรือดรัม เสียดสีกับจานเบรก ซึ่งเมื่อผ้าเบรกหมด เมื่อเราเหยียบเบรกแล้วเกิดเสียงดังอี๊ด ๆ จะเป็นสัญญาณเตือนที่ผู้ผลิตออกแบบมาให้ผู้ขับขี่ทราบว่าผ้าเบรกใกล้จะหมด ควรรีบนำรถเข้ารับบริการเพื่อเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ หากปล่อยไว้นานจนผ้าเบรกหมด นอกจากจะทำให้จานเบรกเสียหายไปด้วย หรือทำให้รถเบรกไม่อยู่จนอาจเกิดอุบัติเหตุ

3.   เหยียบเบรก แล้วได้ยิน เสียงเอี๊ยดๆ อาจเกิดจากผ้าเบรก กับ จานเบรก ที่น่าจะเสียดสีกัน จากการที่จานเบรกเป็นร่อง เนื่องจากเมื่อผ่านการใช้งานมาได้สักระยะ ผิวหน้าสัมผัสจะเกิดการเสียดสีกับผ้าเบรกจนเกิดการสึกเป็นร่อง เมื่อหน้าสัมผัสของจานเบรกไม่สม่ำเสมอ เวลาเหยียบเบรกผ้าเบรกจะจับกับจานที่ไม่เรียบก็จะส่งเสียงดัง วิธีแก้ไขจึงต้องเจียรจานเบรกเมื่อมีรอยเหล่านั้นมากผิดปกติ

4.   เสียงเบรกจากการลุยน้ำ หลังจากที่เราขับรถลุยน้ำ หรือหลังล้างรถใหม่ ๆ คืออีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงดังขณะที่เราเหยียบเบรก เพราะผ้าเบรกอาจเปียกหรือเลอะน้ำต่าง ๆ วิธีแก้แค่ย้ำเบรกแบบถี่ ๆ 2-3 ครั้ง เพื่อไล่ความชื้นออกจากผ้าเบรก เสียงดังก็จะค่อย ๆ ลดหายไปเอง
ไม่ว่าจะเริ่มจากเสียงเอี๊ยดๆ อี๊ดๆ หรือจะเป็นเสียงเหมือนโลหะครูดกันก็ตาม นับเป็นสัญญาณเตือนของผ้าเบรกกับจานเบรกที่อาจจะหมดแล้วเสียดสีกันจนทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมา ผู้ขับขี่รถยนต์จึงไม่ควรซ่อมรถด้วยตัวเอง และควรเร่งนำรถยนต์ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโดยตรง และอาจต้องเล่าอาการให้ช่างทราบหรือได้ยินเสียงด้วยระหว่างขับขี่ เพื่อหาสาเหตุได้ตรงจุด
 
หากมีเสียงดังผิดปกติขณะเบรก หรือเมื่อเวลาที่เหยียบเบรกแล้วได้ยินเสียงแปลก ๆ จากเดิมทีไม่เคยเกิดขึ้น นับเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความบกพร่องของระบบเบรก ที่ผู้ใช้รถยนต์ทุกคนต้องระมัดระวัง เพราะเบรกเป็นส่วนสำคัญในการชะลอความเร็วและหยุดรถ ดังนั้น หากละเลยกับเสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับระบบเบรกหรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ
 
ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน อัตราเบี้ยจะแตกต่างกันตามโปรไฟล์ หรือปัจจัยความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย เช็กโปรไฟล์ของคุณได้ที่นี่ smkall.smk.co.th สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

37
ประเด็นปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 นับเป็นข้อกังวลใจสำคัญของประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นจนอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของทุกคน ( คนเชียงราย-เชียงใหม่ ต่อสู้อย่างไร หลังฝุ่นพิษทำเสี่ยง "ตายผ่อนส่ง" ) หลายบ้านที่พอมากำลังทรัพย์เลยจำเป็นจะต้องจัดหาเครื่องฟอกอากาศติดตั้งไว้ที่บ้าน เพื่อซื้ออากาศสะอาดให้กับคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไปหรือไม่

เครื่องฟอกอากาศในรถ มีความจำเป็นขนาดไหน?
เมื่อกระแส PM 2.5 ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลายคนจึงหาวิธีการป้องกัน ซึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การใส่หน้ากากป้องกันฝุ่น และอีกวิธีหนึ่งที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น คือ การซื้อเครื่องฟอกอากาศภายในรถ เพราะเครื่องฟอกอากาศจะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่เข้ามาในห้องโดยสาร ทำให้อากาศภายในห้องโดยสารให้ดีขึ้น แถมยังสามารถทำให้กลิ่นเหม็นต่างๆ เช่น กลิ่นรองเท้า กลิ่นน้ำมันรถยนต์ กลิ่นบุหรี่ ที่เข้ามาในรถยนต์ให้สามารถหายไปได้

เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อากาศ เนื่องมาจากว่าอากาศภายในรถยนต์ที่เพื่อนๆ นั่งโดยสารอยู่นั่นมีลักษณะปิด เมื่อมีอากาศหรือฝุ่นเข้ามาภายในรถยนต์ จะไม่มีการระบายออกเหมือนเช่นข้างนอก

ประโยชน์ของเครื่องฟอกอากาศ
เครื่องฟอกอากาศสามารถเปลี่ยนอากาศที่มีฝุ่นละอองในรถให้ปลอดโปร่งโล่งสบาย เพราะทำหน้าที่กรอง และฆ่าเชื้อที่อยู่ในรถยนต์ การทำงานของเครื่องฟอกอากาศจะทำการปล่อยประจุที่เรียกว่า Plasma cluster ออกมาเกาะดักจับฝุ่นให้มีน้ำหนัก และร่วงลงมาสู่พื้นหรือติดที่ตะแกรงกรองของเครื่องกรองอากาศ ซึ่งประจุตัวนี้สามารถฆ่าเชื้อโรค ทั้งแบคทีเรีย รา และไวรัสที่เล็กจนสามารถทะลุผ่านไส้กรองได้ แต่ไม่มีหน้าที่กัน ฝุ่นละอองไม่ให้เข้ามาในรถเหมือน กรองอากาศ หรือกรองแอร์รถยนต์ หรือก็คือไม่สามารถปกป้องสิ่งสกปรกเชื้อโรคฝุ่นละอองไม่ให้เข้ามาในรถ เเต่จะช่วยฆ่าเชื้อในรถได้นั่นเอง

เช็กลิสต์เครื่องฟอกอากาศจำเป็นหรือไม่?
 
1. มีความจำเป็นที่จะต้องใช้หรือไม่?

ผู้ที่มีความจำเป็นจะต้องใช้เครื่องฟอกอากาศ มักจะเป็นผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ มีอาการของโรคภูมิแพ้ หรือต้องการลดฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กระดับไมครอน หรือต้องทำงานในห้องที่รับแขกมากมายตลอดทั้งวันอย่าง ร้านอาหาร ธนาคาร คลินิก โรงพยาบาล เป็นต้น และการติดตั้งไว้ในห้องเด็กหรือผู้สูงอายุก็เป็นข้อสำคัญในการพิจารณา


2. อยู่ในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่


หากเราอยู่ในพื้นที่ที่พบว่ามีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน การเลือกเครื่องฟอกอากาศไว้ในที่พัก หรือภายในอาคาร ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ต้องเลือกสเปกเครื่องฟอกอากาศจากจำนวนอากาศที่สร้างได้ต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งผู้ผลิตจะแจ้งไว้ในคุณสมบัติของเครื่องฟอกอากาศตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศในรถ หรือเครื่องฟอกอากาศในบ้านก็ตาม


3. ต้องการไส้กรองแบบไหน

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศในบ้านหรือรถยนต์ แบ่งออกได้เป็น 2 อย่าง คือ เครื่องฟอกอากาศที่ใช้แผ่นกรองเป็นตัวกรอง หรือใช้อนุภาคอิเล็กตรอนดักจับฝุ่นละออง โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ซึ่งปัจจุบันหลายพื้นที่ในประเทศไทยมีฝุ่น PM 2.5 ปริมาณสูงส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งการเลือกไส้กรองจะส่งผลต่อราคาของเครื่องฟอกอากาศด้วย

4. ตั้งงบประมาณไว้เท่าไร

สิ่งที่ทำให้ราคาเครื่องฟอกอากาศสเปกเดียวกัน แต่มีราคาแตกต่างกันก็คือ คุณสมบัติของไส้กรองที่ใช้ฟอกอากาศ ตัววัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ผลิตโครงสร้าง รวมถึงหน้าจอ LED ที่วัดค่าสุขภาพหลายๆ อย่างได้ รวมถึงระบบซอฟต์แวร์ที่ใช้ตั้งเวลา และติดตั้งบลูทูธสำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้อีกด้วย


5. ต้องเปิดใช้งานเครื่องฟอกอากาศกี่ชั่วโมง

การเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศมีปัจจัยจากการดูแลรักษาด้วย เพราะต้องคอยเปลี่ยนไส้กรองตามอายุการใช้งาน และหากเราไม่มีเวลาดูแล จะสูญเสียค่าเครื่องไปอย่างไร้ความหมายทีเดียว เพราะฉะนั้นต้องดูที่ซื้อไส้กรองเปลี่ยนเผื่ออนาคตด้วย รวมถึงบริการหลังการขายที่บริษัทจะมาดูแลถึงบ้าน หรือเราต้องดูแลเครื่องฟอกอากาศเองหลังซื้อ

เลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ ต้องดูอะไรบ้าง?
    • พื้นที่ : รู้ขนาดของห้อง รู้ขนาดของห้องโดยสาร

    • กำลังไฟ : ในบ้านคำนวณการใช้ไฟในจุดตั้งปลั๊กเต้ารับเต้าเสียบ ในรถยนต์คำนวณกับกำลังไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์

    • แผ่นกรอง : ดักฝุ่น ดักกลิ่น ดักแก๊ส ระดับดักกลิ่น และดักเชื้อไวรัส

    • ที่ตั้ง : ตั้งในที่อยู่อาศัยต้องคำถึงถึง ห้องพักผ่อน ห้องรับแขก ห้องเด็ก-ผู้สูงอายุ ในรถยนต์พิจารณาไว้ใกล้ที่เขี่ยบุหรี่ หรือช่องเสียบ USB

เมื่อจำเป็นจะต้องอยู่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงต่อค่าฝุ่นเกินมาตรฐานและไม่สามารถย้ายที่อยู่อาศัยไปในสถานที่อื่นได้ การเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตหากสถานการณ์ยังไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น แต่หากเลือกไส้กรองผิดประเภทจะทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการดักฝุ่นได้เพียงพอ ส่งผลให้เครื่องเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นผู้ขับขี่รถยนต์จึงควรศึกษาเรื่องไส้กรองและความคงทนของเครื่องฟอกอากาศ เพื่อความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันให้ได้มากที่สุด

ประกันรถยนต์ตามเวลา ประกันชั้น 1-3+ เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

38
หลายครั้งที่ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องเลือกใช้บริการจากอู่ซ่อมรถยนต์ที่มีช่างผู้ชำนาญการเฉพาะที่ไว้ใจได้ เนื่องจากมีราคาย่อมเยา จับต้องได้ มากกว่าการเลือกใช้บริการที่ศูนย์บริการซึ่งอาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า แต่ก็ต้องปวดหัวกับประเภทของอะไหล่รถยนต์ที่ช่างเสนอมาให้เลือกใช้ ว่าต้องการอะไหล่รถยนต์มีประเภทไหนกันบ้าง? (11 อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อครบกำหนด https://www.smk.co.th/newsdetail/331)

ประเภทของอะไหล่รถยนต์
ประเภทของอะไหล่รถยนต์ตามภาษาเรียกของช่างและคนทั่วไป สามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้

1. อะไหล่แท้
คืออะไหล่ที่มาจากบริษัทรถยนต์โดยตรงทำให้มีราคาสูง มีคุณสมบัติและคุณภาพที่ได้มาตรฐานจากบริษัทรถยนต์เป็นของใหม่ มีกล่องหรือหีบห่อที่เป็นโลโก้เดียวกับรถยนต์ สามารถเบิกจากศูนย์บริการได้ แต่การสั่งผ่านร้านอะไหล่อาจเจออะไหล่ปลอมที่ทั้งตัวอะไหล่และกล่องบรรจุ อะไหล่แท้จึงควรซื้อจากศูนย์หรือร้านอะไหล่ใหญ่ๆ ที่ไว้ใจได้

2. อะไหล่เทียมแท้
เป็นอะไหล่ใหม่แกะกล่อง แต่เป็นยี่ห้ออิสระที่มีราคาถูกกว่าอะไหล่ของแท้ราว 15-40% แล้วแต่ประเภทของอะไหล่ โดยร้านที่จำหน่ายมักอ้างว่าเป็นบริษัทเดียวกับที่ผลิตให้บริษัทรถยนต์ มีบางยี่ห้อที่ผลิตให้กับบริษัทรถยนต์จริง แต่ก็มีหลายยี่ห้อที่ไม่ใช่ จำเป็นต้องหาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพราะอะไหล่ OEM ที่ผลิตให้กับโรงงานประกอบรถยนต์นั้นจะมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อ แล้วแต่ประเภทว่าเป็นอะไหล่ส่วนไหนของเครื่องยนต์

3. อะไหล่เทียม
คืออะไหล่ที่ลอกเลียนเลียบแบบอะไหล่แท้และอะไหล่เทียบโดยใช้วิธีการปลอมสินค้า ผลิตขึ้นจากโรงงานที่ขาดความสามารถในการทำการผลิตแข่งขันกับบริษัทอื่นๆ ส่วนมากจะปลอมอะไหล่ยี่ห้อที่ได้รับการยอมรับหรือยี่ห้อขายดีในตลาด แต่เป็นอะไหล่คุณภาพต่ำ มีข้อจำกัดเรื่องราคาและเทคโนโลยีการผลิต ทำให้ได้อะไหล่ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพมากนัก เน้นราคาถูกไว้ก่อน ซึ่งอายุการใช้งานจะสั้นมาก และบางครั้งอาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าปกติ

4. อะไหล่เทียบ
คืออะไหล่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้ในรถยนต์ที่ผลิตขึ้นจากต่างบริษัทหรือต่างยี่ห้อได้ ตัวอย่างเช่น รถญี่ปุ่นและรถเกาหลีมีปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์หัวฉีดที่มีขนาดเท่ากัน รวมถึงลักษณะคล้ายกันจึงใช้ทดแทนกันได้ มากกว่านั้นการเลือกอะไหล่เทียบมาใช้แทนอะไหล่แท้ก็เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่าย และสามารถให้ประสิทธิภาพในการทำงานที่เท่าๆ กัน ซึ่งอะไหล่แท้บางยี่ห้อจะมีราคาแพงมาก ก็สามารถเลือกยี่ห้อถูกกว่ามาใช้แทนแต่มีคุณภาพจัดอยู่ในระดับอะไหล่แท้ได้

5. อะไหล่มือสอง
คืออะไหล่ที่ถอดจากรถรุ่นเดียวกัน มาได้จากทั้งในและต่างประเทศ และอะไหล่บางชนิดก็สามารถใช้ได้และดีกว่าอะไหล่เทียมบางยี่ห้อ แต่ต้องมีทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญในการเลือกซื้อ ควรหาอะไหล่มือสองจากร้านที่สามารถตรวจสอบที่มาของอะไหล่ได้จะดีที่สุด เนื่องจากชิ้นส่วนต่างๆ ภายในรถยนต์จะมีความแตกต่างกันไปในรายละเอียดการเลือกซื้อและพิจารณาเลือกชิ้นส่วน

อะไหล่รถยนต์แต่ละประเภทราคาเท่าไร?
เมื่อเลือกประเภทของอะไหล่ที่ต้องการเลือกใช้เพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วนของรถยนต์ที่เสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้แล้ว ก็ควรหาข้อมูลเรื่องราคาของอะไหล่แต่ละยี่ห้อเพื่อเปรียบเทียบกันด้วย (ร้านอะไหล่รถยนต์ออนไลน์ คลิก https://www.milework.com) ดังนี้

1. กระบอกสูบ (Cylinders) ราคาประมาณ 300,000 บาท
กระบอกสูบเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของเครื่องยนต์ ทำหน้าที่เป็นช่องทางขึ้น-ลงของลูกสูบเพื่อจุดระเบิดเครื่องยนต์ ราคาโดยประมาณของกระบอกสูบจะอยู่ที่ 2-3 แสนบาท ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากต้องเปลี่ยนกระบอกสูบขึ้นมาจริงๆ เจ้าของรถส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจขายรถคันนั้นและหาซื้อรถคันใหม่แทน

2. แบตเตอรี่ ไฮบริด ราคาประมาณ 180,000 บาท
แบตเตอรี่สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริดคืออุปกรณ์สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง เพราะเป็นแหล่งรวมพลังงานเกือบทั้งหมดในการขับเคลื่อน และรถยนต์รุ่นที่เป็นไฮบริดจะราคาสูงขึ้นกว่ารุ่นเครื่องยนต์ปกติในหลักแสนบาท เพราะราคาแบตเตอรี่ไฮบริดซึ่งเป็นลิเธียมไอออนราคาสูงถึงประมาณ 180,000 บาท ส่งผลให้ค่ายรถที่ผลิตรถประเภทนี้ออกมาขาย ส่วนใหญ่จะมีการรับประกันแบตเตอรี่เป็นระยะเวลา 5-10 ปี

3. ชุดเกียร์ (Transmission) ราคาประมาณ 150,000 บาท
ระบบส่งกำลังหรือ “เกียร์” ถือเป็นชุดอะไหล่ที่มีราคาแพงลำดับต้นๆ ในรถยนต์บางรุ่นบางยี่ห้อชุดเกียร์อัตโนมัติหากเปลี่ยนที่ศูนย์บริการจะมีราคาสูงระดับ 2 แสนบาท แต่หากคิดเฉลี่ยทุกยี่ห้อออกมาแล้ว ประมาณราคาอยู่ที่ 150,000 บาท ซึ่งโดยปกติแล้วรถยนต์ 1 คัน อาจไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์เลยก็ได้ตลอดอายุการใช้งาน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้เกียร์รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถบางรุ่นและบางคันเท่านั้น

4. ชุดช่วงล่าง (Suspension) ราคาประมาณ 105,000 บาท
อีกหนึ่งส่วนสำคัญของรถยนต์คือช่วงล่าง ซึ่งตอบสนองได้ทั้งความนุ่มนวลในการขับขี่ ระบบเบรก ระบบสมดุลของรถ ส่งผลด้านความปลอดภัย โดยชุดช่วงล่างจะมีส่วนประกอบสำคัญหลายชิ้น และสามารถแยกซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่แต่ละชิ้นได้ แต่หากต้องเปลี่ยนช่วงล่างยกชุด ราคาจะประมาณอยู่ที่ 105,000 บาท

5. เพลาลูกเบี้ยว (Camshaft) ราคาประมาณ 50,000 บาท
Camshaft หรือในภาษาไทยเรียกอะไหล่ชิ้นนี้ว่า “เพลาลูกเบี้ยว” ทำหน้าที่ปิดเปิดลิ้นไอเสีย และเคลื่อนที่ด้วยเฟืองที่ขบกับเฟืองของเพลาข้อเหวี่ยง เมื่อการใช้งานผ่านไปเพลาลูกเบี้ยวจะมีเศษสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตัน ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องถือเป็นการรักษาอะไหล่ชิ้นนี้ไปในตัว แต่หากเพลาลูกเบี้ยวแตก ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชิ้น ซึ่งราคาของตัวเพลาอาจไม่แพงมาก แต่ขั้นตอนในการเปลี่ยนค่อนข้างยุ่งยาก เมื่อรวมค่าแรงแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท

ดูแลรถคุณให้ปลอดภัย ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบาๆ บรรเทาภาระในยามวิกฤต เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 969 บาทต่อปี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 Line : @smkinsurance

39
เมื่อกระแสนิยมของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV เริ่มเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นไปตามราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น จนอาจทำให้เกิดความกังวลว่า ในความจริงแล้ว รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริงหรือไม่ แล้วควรต้องชาร์จไฟอย่างไรให้คุ้มค่ากับเงินค่าไฟที่สุด

ประเภทของการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
การชาร์จไฟฟ้า “รถยนต์ EV” มีหลายวิธี และมีราคาที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge)

เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ซึ่งความเร็วชาร์จไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 7.4 kW ต่อ 1 ชม. ใช้ระยะเวลาในการชาร์จเต็มประมาณ 12-16 ชม. มีค่าชาร์จอยู่ที่ 4.2 บาท ต่อ 1 kWh


2. การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge)

เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งความเร็วชาร์จไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 22 kW ต่อ 1 ชม. โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม. มีค่าชาร์จอยู่ที่ 5.5 บาท ต่อ 1 kWh

3. การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge)

เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) เข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที ซึ่งความเร็วชาร์จไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 50 kW ต่อ 1 ชม. มีค่าชาร์จอยู่ที่ 6.5 บาท ต่อ 1 kWh
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างรถยนต์เติมน้ำมันกับรถยนต์ EV

การคำนวณอัตราค่าพลังงานน้ำมัน มีรายละเอียดดังนี้
    • ราคาน้ำมันอัตราเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 40 บาท/ลิตร
    • รถยนต์กินน้ำมันเฉลี่ยในปริมาณ 16 km/ลิตร
    • ทุก 1 กิโลเมตร จึงเสียค่าน้ำมัน 2.5 บาท
    • หากโดยทั่วไปใช้รถยนต์เดือนละ 2,000 km 
    • จะเสียค่าน้ำมันตกเดือนละ 5,000 บาท


ในขณะที่ การคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าของการชาร์จรถยนต์ EV มีรายละเอียดดังนี้

    • ค่าไฟบ้านปกติหน่วยละ 4.5888  บาท รวมค่า FT
    • เปลี่ยนมาใช้ EV แล้วชาร์จไฟที่บ้านในอัตรา TOU ของไฟฟ้านครหลวง (www.mea.or.th/profile/109/111) หลัง 4 ทุ่มจะเหลือหน่วยละ 2.804 บาท รวมค่า FT

    • รถยนต์ EV โดยเฉลี่ยกินไฟประมาณ 5 km/หน่วยไฟฟ้า
    • ให้วิ่งในอัตราเดียวกันเดือนละ 2,000 km ทุก 1 km จึงเสียค่าไฟ 0.5608  บาท
    • จะเสียค่าไฟในอัตราเดือนละ 1,121  บาท

การใช้รถยนต์ EV จึงสามารถประหยัดค่าน้ำมันไปได้ถึงเดือนละ 3,787 บาท เลยทีเดียว

ชาร์จไฟรถยนต์ EV อย่างไรให้คุ้ม?
    1. การชาร์จไฟที่บ้านจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายค่าใช้จ่ายในการชาร์จได้มาก เนื่องจากสามารถชาร์จไฟในเวลากลางคืน ทำให้อัตราค่าไฟที่บ้านเป็นแบบ TOU ที่ช่วงกลางคืนมีราคาถูก (หลัง 4 ทุ่มถึง 9 โมงเช้า)

    2. ชาร์จไฟตาม Charging Station ที่ให้บริการฟรีมีอยู่หลายที่ แต่อาจต้องเสียเวลานั่งรอครั้งละประมาณ 30 นาทีเป็นต้นไป

อุปกรณ์ติดตั้งระบบชาร์จรถไฟฟ้า EV ที่บ้าน
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถไฟฟ้า EV มาใช้งาน จำเป็นต้องเข้าใจระบบไฟฟ้าภายในบ้านก่อนติดตั้ง เพื่อความปลอดภัยและป้องกันปัญหาที่ตามมา โดยต้องคำนึงถึงอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้

1. ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า
โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 15(45) 1 เฟส(1P) หมายถึงมิเตอร์ ขนาด 15 แอมป์(A) และสามารถใช้ไฟได้มากถึง 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถไฟฟ้าในบ้าน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) แนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30(100) ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป


2. สายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB)
สำหรับสายเมนของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ต้องปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต (MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100(A) เพื่อให้ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) มีความสอดคล้องกัน


3. ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB)
ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเพื่อติดตั้ง Circuit Breaker อีก 1 ช่องหรือไม่ เพราะการชาร์จไฟของรถไฟฟ้า EV จะต้องมีส่วนตัว และแยกใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่น ๆ หรือถ้าหากภายในตู้หลักไม่มีช่องว่าง ต้องเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุด


4. เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD)
เครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ในอนาคต กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม


5. เต้ารับ (EV Socket)
สำหรับการเสียบชาร์จรถไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) ต้องทนกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) โดยรูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถไฟฟ้า EV แต่ละรุ่น

ก่อนที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จำเป็นจะต้องศึกษารายละเอียดของตัวรถยนต์ด้วย ว่าแบตเตอรี่ของรถยนต์ขนาดเท่าไร? On Board รับพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดเท่าไหร่? ซึ่งมีผลกับความเร็วในการชาร์จ และค่าไฟบ้าน นอกจากนี้ ค่าไฟฟ้าของแต่ละจังหวัดก็ยังมีอัตราไม่เท่ากัน จึงควรตรวจสอบกับการไฟฟ้าในพื้นที่อีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมด้วย


ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปี คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ Blog : https://smkinsurance.blogspot.com/ โทร.1596 Line : @smkinsurance

40
การดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอเป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของรถยนต์ควรทำ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ร่วมใช้รถใช้ถนน นอกจากการตรวจเช็กอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์แล้ว ยังจำเป็นจะต้องเปลี่ยนถ่ายของเหลวอย่างน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนด (ทำไมต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง https://www.smk.co.th/newsdetail/296) แล้วเจ้าของรถยนต์ ควรจะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไหน ตามระยะทาง หรือระยะเวลา หรือเวลาใดที่เหมาะสมต่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง

รถยนต์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไหน

1.   เปลี่ยนตามที่ระบุไว้ในคู่มือรถ

ในคู่มือของรถยนต์ทุกคันจะมีระบุไว้ว่า ควรต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องช่วงเวลาไหน รวมไปถึงค่าความหนืด และค่าต่างๆ ที่มีระบุไว้ เจ้าของรถยนต์สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องได้ตามที่คู่มือระบุไว้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ใหม่ป้ายแดง หรือผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ต้องดูแลรถยนต์มาก่อน เนื่องจากในคู่มือรถมีระบุไว้

2.   เปลี่ยนตามระยะทาง

สำหรับรถยนต์เก่าที่อาจไม่มีคู่มือมาพร้อมกับตัวรถ หรือคู่มือรถหายไปแล้ว อาจทำให้ไม่รู้ว่ารถต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไหน ให้สังเกตป้ายน้ำมันเครื่องที่แขวนอยู่ตรงข้างพวงมาลัยรถยนต์ จะมีแจ้งระยะทางที่ควรเปลี่ยนไว้ เจ้าของรถสามารถดูเลขไมล์รถยนต์เทียบกับตัวเลขในแผ่นป้ายได้ หากระยะทางถึงกำหนดต้องเปลี่ยนก็ถึงเวลาที่ควรต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้วส่วนใหญ่มักเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000 – 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ใช้ ซึ่งถ้าน้ำมันเครื่องเกรดดีสามารถวิ่งได้ถึง 15,000 กิโลเมตร และขึ้นอยู่กับการใช้งานรถด้วย ถ้าใช้รถบ่อยๆ ควรเปลี่ยนตั้งแต่ 5,000 กิโลเมตร ซึ่งตามข้อมูลของ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ได้สรุประยะที่ควรเปลี่ยนถ่ายไว้ดังนี้

•   น้ำมันเครื่องธรรมดา(ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนที่ระยะ 7,000-7,500 กม.
•   น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000-15,000 กม.
•   น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000-20,000 กม.

3.   เปลี่ยนตามระยะเวลา
 
สำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้เดินทางบ่อย ทำให้ตัวเลขไมล์ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแต่ก็ไม่ควรรอให้ครบระยะทางตามที่ระบุไว้ถึงค่อยเปลี่ยน ดังนี้

•   น้ำมันเครื่องธรรมดา(ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน
•   น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนทุก 6-9 เดือน
•   น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี

ตามระยะทาง หรือระยะเวลา เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน

สำหรับป้ายเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่เขียนห้อยติดรถไว้นั้น เป็นอีกสิ่งที่ช่วยเตือนความจำว่า ควรต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน ซึ่งก็มีทั้งวันที่เปลี่ยนล่าสุด และกำหนดระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยน แล้วควรจะต้องยึดเกณฑ์ใดสำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หลักคิดคือ ตัวเลขใดถึงกำหนดก่อนให้ยึดตามตัวเลขนั้น เช่น เลขไมล์ถึงระยะตามกำหนดที่ต้องเปลี่ยน หรือถ้ารถที่จอดทิ้งไว้หรือไม่ค่อยได้ใช้งาน ให้คำนวณตามวันเวลาที่กำหนดไว้ แต่ก็อาจมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายขึ้นอยู่กับการใช้งานของรถยนต์แต่ละคันด้วยเช่นกัน
 
วิ่งเกินระยะกำหนด มีผลต่อ “น้ำมันเครื่อง” อย่างไร?

หากรถยนต์วิ่งเกินระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ส่วนใหญ่จะมีผลในด้านลบ เนื่องจากน้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของเครื่องยนต์ และสารหล่อลื่นที่อยู่ในตัวเครื่องก็เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อน การปล่อยให้เกินระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จะทำให้การหล่อลื่นและการระบายความร้อนทำได้ไม่ดี ชิ้นส่วนกลไกจะเกิดการเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด

การปล่อยให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันเครื่องเก่า ๆ ที่ผ่านการใช้นาน ๆ จะดำสกปรกจากเศษชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ การไม่เปลี่ยนตามระยะทางที่ควรเปลี่ยนหรือปล่อยไว้นานเกินไปจะยิ่งส่งผลให้ชิ้นส่วนภายในเสียหายรุนแรงขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ จากการใช้งานด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกันหากรถคันไหนไม่ค่อยได้ใช้งาน และจอดทิ้งไว้นาน ๆ ยิ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามเวลาที่กำหนด เพราะน้ำมันเครื่องจะทำปฏิกิริยากับอากาศทำให้คุณภาพของน้ำมันเครื่องลดลง หากไม่เปลี่ยนอาจเกิดอันตรายกับเครื่องยนต์ได้

สภาพอากาศส่งผลต่อ “น้ำมันเครื่อง”

สภาพอากาศก็เป็นตัวกำหนดในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเช่นกัน หากอากาศหนาวจะทำให้รถสตาร์ตติดยากขึ้น เนื่องจากตอนเริ่มสตาร์ตการเผาไหม้ยังไม่สมบูรณ์ คราบน้ำมันเผาไหม้ไม่หมด ทำให้น้ำมันเครื่องอาจเกิดการปนเปื้อนได้จนต้องเปลี่ยนน้ำมันถ่ายเครื่องบ่อยมากขึ้น ซึ่งควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องไปพร้อมกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
 
รถขับน้อยต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไม่

สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนดในคู่มือรถ หรือตามประเภทของน้ำมันเครื่องที่ใช้งาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดระยะเวลาอยู่ที่ 6 เดือน ซึ่งเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแม้ไม่ค่อยได้ใช้รถนั้น ก็เนื่องจากว่าน้ำมันเครื่องจะมีการเสื่อมประสิทธิภาพลงตามเวลา และการที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมของเครื่องยนต์ที่ไม่ได้สตาร์ตมาเป็นเวลานานอาจเกิดความชื้นขึ้นภายในเครื่องยนต์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสนิมหรือคราบเขม่าตามมาได้หากฝืนใช้งาน
ในบางกรณีไม่จำเป็นต้องรอจนครบระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด หากตรวจเช็กรถในเบื้องต้นแล้วพบว่าน้ำมันเครื่องมีปริมาณที่ลดลง หรือน้ำมันเครื่องมีสีที่ดำมากกว่าปกติ ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในทันที นอกจากนี้ยังต้องนำรถเข้าตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะลักษณะแบบนี้อาจแสดงให้เห็นว่ารถยนต์เริ่มมีอาการผิดปกติแล้ว

การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ได้ระยะเวลานาน จึงควรหมั่นตรวจเช็กและดูแลรักษารถยนต์ให้ปลอดภัยพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ช่วยให้รถยนต์ของคุณปลอดภัยในมากกว่า ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

41
การดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอเป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของรถยนต์ควรทำ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่และป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ร่วมใช้รถใช้ถนน นอกจากการตรวจเช็กอุปกรณ์ต่างๆ ของเครื่องยนต์แล้ว ยังจำเป็นจะต้องเปลี่ยนถ่ายของเหลวอย่างน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนด (ทำไมต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง https://www.smk.co.th/newsdetail/296) แล้วเจ้าของรถยนต์ ควรจะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไหน ตามระยะทาง หรือระยะเวลา หรือเวลาใดที่เหมาะสมต่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง สินมั่นคงประกันรถยนต์ มีข้อมูลมาฝากค่ะ
 
รถยนต์เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไหน

1. เปลี่ยนตามที่ระบุไว้ในคู่มือรถ

ในคู่มือของรถยนต์ทุกคันจะมีระบุไว้ว่า ควรต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องช่วงเวลาไหน รวมไปถึงค่าความหนืด และค่าต่างๆ ที่มีระบุไว้ เจ้าของรถยนต์สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องได้ตามที่คู่มือระบุไว้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ใหม่ป้ายแดง หรือผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ต้องดูแลรถยนต์มาก่อน เนื่องจากในคู่มือรถมีระบุไว้

2. เปลี่ยนตามระยะทาง

สำหรับรถยนต์เก่าที่อาจไม่มีคู่มือมาพร้อมกับตัวรถ หรือคู่มือรถหายไปแล้ว อาจทำให้ไม่รู้ว่ารถต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตอนไหน ให้สังเกตป้ายน้ำมันเครื่องที่แขวนอยู่ตรงข้างพวงมาลัยรถยนต์ จะมีแจ้งระยะทางที่ควรเปลี่ยนไว้ เจ้าของรถสามารถดูเลขไมล์รถยนต์เทียบกับตัวเลขในแผ่นป้ายได้ หากระยะทางถึงกำหนดต้องเปลี่ยนก็ถึงเวลาที่ควรต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้วส่วนใหญ่มักเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000 – 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ใช้ ซึ่งถ้าน้ำมันเครื่องเกรดดีสามารถวิ่งได้ถึง 15,000 กิโลเมตร และขึ้นอยู่กับการใช้งานรถด้วย ถ้าใช้รถบ่อยๆ ควรเปลี่ยนตั้งแต่ 5,000 กิโลเมตร ซึ่งตามข้อมูลของ กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ได้สรุประยะที่ควรเปลี่ยนถ่ายไว้ดังนี้

•   น้ำมันเครื่องธรรมดา(ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนที่ระยะ 7,000-7,500 กม.
•   น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000-15,000 กม.
•   น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนที่ระยะ 15,000-20,000 กม.

3. เปลี่ยนตามระยะเวลา
 
สำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้เดินทางบ่อย ทำให้ตัวเลขไมล์ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแต่ก็ไม่ควรรอให้ครบระยะทางตามที่ระบุไว้ถึงค่อยเปลี่ยน ดังนี้

•   น้ำมันเครื่องธรรมดา(ปิโตรเลียม) ควรเปลี่ยนทุก 6 เดือน
•   น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ควรเปลี่ยนทุก 6-9 เดือน
•   น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ ควรเปลี่ยนทุก 1 ปี

ตามระยะทาง หรือระยะเวลา เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน

สำหรับป้ายเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่เขียนห้อยติดรถไว้นั้น เป็นอีกสิ่งที่ช่วยเตือนความจำว่า ควรต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตอนไหน ซึ่งก็มีทั้งวันที่เปลี่ยนล่าสุด และกำหนดระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยน แล้วควรจะต้องยึดเกณฑ์ใดสำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หลักคิดคือ ตัวเลขใดถึงกำหนดก่อนให้ยึดตามตัวเลขนั้น เช่น เลขไมล์ถึงระยะตามกำหนดที่ต้องเปลี่ยน หรือถ้ารถที่จอดทิ้งไว้หรือไม่ค่อยได้ใช้งาน ให้คำนวณตามวันเวลาที่กำหนดไว้ แต่ก็อาจมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายขึ้นอยู่กับการใช้งานของรถยนต์แต่ละคันด้วยเช่นกัน
 
วิ่งเกินระยะกำหนด มีผลต่อ “น้ำมันเครื่อง” อย่างไร?

หากรถยนต์วิ่งเกินระยะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ส่วนใหญ่จะมีผลในด้านลบ เนื่องจากน้ำมันเครื่องเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของเครื่องยนต์ และสารหล่อลื่นที่อยู่ในตัวเครื่องก็เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อน การปล่อยให้เกินระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง จะทำให้การหล่อลื่นและการระบายความร้อนทำได้ไม่ดี ชิ้นส่วนกลไกจะเกิดการเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด

การปล่อยให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันเครื่องเก่า ๆ ที่ผ่านการใช้นาน ๆ จะดำสกปรกจากเศษชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ การไม่เปลี่ยนตามระยะทางที่ควรเปลี่ยนหรือปล่อยไว้นานเกินไปจะยิ่งส่งผลให้ชิ้นส่วนภายในเสียหายรุนแรงขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ จากการใช้งานด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกันหากรถคันไหนไม่ค่อยได้ใช้งาน และจอดทิ้งไว้นาน ๆ ยิ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามเวลาที่กำหนด เพราะน้ำมันเครื่องจะทำปฏิกิริยากับอากาศทำให้คุณภาพของน้ำมันเครื่องลดลง หากไม่เปลี่ยนอาจเกิดอันตรายกับเครื่องยนต์ได้

สภาพอากาศส่งผลต่อ “น้ำมันเครื่อง”

สภาพอากาศก็เป็นตัวกำหนดในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องเช่นกัน หากอากาศหนาวจะทำให้รถสตาร์ตติดยากขึ้น เนื่องจากตอนเริ่มสตาร์ตการเผาไหม้ยังไม่สมบูรณ์ คราบน้ำมันเผาไหม้ไม่หมด ทำให้น้ำมันเครื่องอาจเกิดการปนเปื้อนได้จนต้องเปลี่ยนน้ำมันถ่ายเครื่องบ่อยมากขึ้น ซึ่งควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องไปพร้อมกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
 
รถขับน้อยต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไม่

สำหรับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะเวลาที่กำหนดในคู่มือรถ หรือตามประเภทของน้ำมันเครื่องที่ใช้งาน โดยส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดระยะเวลาอยู่ที่ 6 เดือน ซึ่งเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแม้ไม่ค่อยได้ใช้รถนั้น ก็เนื่องจากว่าน้ำมันเครื่องจะมีการเสื่อมประสิทธิภาพลงตามเวลา และการที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมของเครื่องยนต์ที่ไม่ได้สตาร์ตมาเป็นเวลานานอาจเกิดความชื้นขึ้นภายในเครื่องยนต์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสนิมหรือคราบเขม่าตามมาได้หากฝืนใช้งาน
ในบางกรณีไม่จำเป็นต้องรอจนครบระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด หากตรวจเช็กรถในเบื้องต้นแล้วพบว่าน้ำมันเครื่องมีปริมาณที่ลดลง หรือน้ำมันเครื่องมีสีที่ดำมากกว่าปกติ ก็ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในทันที นอกจากนี้ยังต้องนำรถเข้าตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะลักษณะแบบนี้อาจแสดงให้เห็นว่ารถยนต์เริ่มมีอาการผิดปกติแล้ว

การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ได้ระยะเวลานาน จึงควรหมั่นตรวจเช็กและดูแลรักษารถยนต์ให้ปลอดภัยพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ช่วยให้รถยนต์ของคุณปลอดภัยในมากกว่า ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

42
อุบัติเหตุทางรถยนต์ มักเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด การเตรียมอุปกรณ์ระงับเหตุติดรถไว้ ก็เป็นสิ่งที่เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนควรต้องใส่ใจ ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้รถยนต์ อุปกรณ์ที่จำเป็นในขณะนั้นคือถังดับเพลิงในรถยนต์ (ไฟไหม้รถยนต์เกิดจากอะไร https://www.smk.co.th/newsdetail/285) แต่จะทราบได้อย่างไรว่า ถังดับเพลิงในรถยนต์แบบไหน ชนิดไหน หรือขนาดไหนที่จะเหมาะไว้พกพาติดในรถยนต์ แล้วถ้าเป็นถังดับเพลิงขนาดเล็กสามารถป้องกันไฟไหม้รถยนต์ได้หรือไม่ สินมั่นคงประกันรถยนต์มีข้อมูลมาฝากค่ะ
 
ถังดับเพลิงคืออะไร
ถังดับเพลิง หรือ Fire Extinguisher เป็นอุปกรณ์ดับเพลิงแบบเคลื่อนที่ ประกอบด้วยถังแรงดันซึ่งบรรจุน้ำหรือสารเคมีดับไฟอื่น ๆ พร้อมมือจับ ไก เปิดปิด สลักนิรภัย และสายฉีด ออกแบบไว้สำหรับการดับเพลิงไหม้ที่ยังไม่ลุกลาม ในตัวถังดับเพลิงนั้นมักจะเป็นสีแดง เพื่อให้มองเห็นได้ง่ายและติดตั้งไว้เป็นระยะห่าง ๆ กันภายในอาคาร ซึ่งเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ผู้ใช้สามารถหิ้วถังจากจุดติดตั้งมาในบริเวณที่เกิดเหตุ ดึงสลักนิรภัยออก จับสายฉีดให้ปลายหันเข้าหาเปลวไฟ และเมื่อทำการบีบไก น้ำหรือสารเคมีที่อยู่ภายในถังก็จะพุ่งตรงไปยังบริเวณที่ไฟไหม้และดับไฟลงในที่สุด
 
ประเภทและคุณสมบัติของถังดับเพลิง
ในการเลือกถังดับเพลิง จำเป็นจะต้องเลือกประเภทของถังให้เหมาะกับประเภทของเพลิงไหม้ ดังนี้

1.   Class A : จะเป็นเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงของแข็ง ไม้ กระดาษ พลาสติก ยาง สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท สเปร์ยโฟม, ผงเคมีแห้ง, สารเหลวระเหย และ เคมีสูตรน้ำ
2.   Class B : เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซหุงต้ม สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท สเปร์ยโฟม (แบบจำกัด), ผงเคมีแห้ง, สารเหลวระเหย และ เคมีสูตรน้ำ
3.   Class C : เกิดจากอุปกรณ์ที่เกิดจากไฟฟ้า อิเล็กโทรนิค สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท ผงเคมีแห้ง (แบบจำกัด), สารเหลวระเหย และ เคมีสูตรน้ำ
4.   Class K : เกิดจากน้ำมันพืช สามารถใช้ถังดับเพลิงประเภท เคมีสูตรน้ำ ได้อย่างเดียว

ถังดับเพลิงมีหลายชนิดตั้งแต่แบบผงเคมีแห้ง แบบฟองโฟม และ แบบสารระเหย แต่สาระสำคัญอยู่ที่ฉลากข้างถัง ซึ่งจะระบุว่า ถังดับเพลิงนั้นสามารถใช้ดับไฟแบบไหนได้บ้าง เครื่องดับเพลิงมีหลายแบบ ถัง 2 ปอนด์สำหรับติดรถราคาประมาณ 600-1000 บาท และถังดับเพลิงที่เหมาะสมสำหรับพกติดในรถ ควรเป็นชนิดสารระเหยที่มีฉลากสัญลักษณ์ A กับสัญลักษณ์ B ติดอยู่ ซึ่งทั้งสองแบบมีข้อดีคือ เมื่อดับเพลิงเสร็จแล้วจะไม่ทิ้งคราบสกปรกเอาไว้ ต่างจากพวกโฟมหรือผงเคมีแห้ง

สิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกถังดับเพลิงติดรถ

1.   น้ำหนัก และขนาด
ควรพิจารณาถึงขนาดและน้ำหนักของถังดับเพลิงติดรถยนต์ในการเลือกซื้อที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการติดตั้งไว้ในรถยนต์จึงควรเลือกถังดับเพลิงขนาดเล็ก หรือถังดับเพลิงพกพา ถังดับเพลิงเล็กติดรถได้ ถังดับเพลิงขนาดพกพาที่ควรติดรถไว้คือ ถังดับเพลิง 2 ปอนด์ ไปจนถึง 5 ปอนด์

2.   ประเภทไฟที่ดับได้
เนื่องจากประเภทเพลิงไหม้ที่อาจเกิดได้ในรถ มี 3 ประเภทคือประเภท A B และ C จึงควรเลือกถังดับเพลิงติดรถยนต์ที่มีคุณสมบัติสามารถดับเพลิงได้ทั้งสามประเภทข้างต้น

3.   ราคา
ถังดับเพลิงมีหลากหลายราคาด้วยกัน โดยมากแล้วราคาของถังดับเพลิงจะขึ้นอยู่กับ

คุณสมบัติของถังดับเพลิงตามแต่ละประเภท

•   ชนิดของสารเคมีที่อยู่ภายในถังดับเพลิง เช่น หากเป็นถังดับเพลิง Co2 อาจมีราคาอยู่ในช่วงระหว่าง 2000 – 6000 บาท
•   ขนาดถังดับเพลิง ถังดับเพลิงขนาดเล็กจะมีราคาถูกกว่าถังดับเพลิงขนาดใหญ่
•   มาตรฐานที่ได้รับการรับรอง Fire rating หรือ ความสามารถในการดับเพลิงของถังดับเพลิงแต่ละประเภท และแต่ละขนาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาของถังดับเพลิงต่างกัน
 
การติดตั้งถังดับเพลิงในรถยนต์

การติดตั้งถังดับเพลิงในรถยนต์ควรติดตั้งในที่ที่สามารถหยิบมาใช้ได้โดยง่าย ทั้งนี้ควรติดตั้งถังดับติดรถยนต์ให้แน่นหนา ไม่ให้หลุดออกมาได้ง่ายเพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุอื่นๆ และควรหลีกเลี่ยงการติดตั้งตรงจุดที่สัมผัสแดดโดยตรง จุดที่แนะนำให้ติดตั้งถังดับเพลิงรถยนต์ คือ

1.   ติดตั้งภายในห้องโดยสาร ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ ควรติดตั้งถังดับเพลิงขนาดเล็ก หรือถังดับเพลิงขนาด 2 ปอนด์ ไว้อย่างน้อย 2 จุด ได้แก่บริเวณเบาะหน้าใกล้คนขับ และบริเวณเบาะหลัง

2.   ติดตั้งภายในฝากระโปรงหลัง หากมีพื้นที่บริเวณฝากระโปรงหลังมากพอ แนะนำให้ติดตั้ง ถังดับเพลิงขนาด 15 ปอนด์ เพื่อให้รองรับเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ได้ ทั้งนี้หากมีพื้นที่ไม่มากพอก็สามารถเลือกขนาดที่เล็กกว่านี้ได้ตามความเหมาะสม

หากไม่สามารถควบคุมเพลิงไหม้ได้ หรือต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินยามไฟไหม้ได้แก่

•   191 – แจ้งเหตุด่วน เหตุร้ายทุกชนิด
•   199 – แจ้งเหตุไฟไหม้ ดับเพลิง
•   1669 – หน่วยฉุกเฉิน (ทั่วประเทศ)
•   1646 – หน่วยฉุกเฉิน (กทม.)

ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคันโดยเฉพาะรถยนต์ประเภทใช้แก๊สแทนน้ำมัน ควรมีถังดับเพลิงในรถยนต์พกพาติดไว้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนทุกคน เพราะมีโอกาสจะเกิดไฟไหม้ได้มากกว่า หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดก็สามารถหยิบฉวยมาใช้ได้ทันเวลา

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์  ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ประกันประเภท 1 ซ่อมอู่ ที่เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับข้อมูลผู้ซื้อประกัน และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) ผู้ที่มีโปรไฟล์ดี หรือความเสี่ยงน้อย เบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งถูกตามไปด้วย ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

43
แม้จะมีการบังคับใช้ “การตัดแต้มใบขับขี่” หรือ การตัดคะแนนความประพฤติของผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ ที่มีใบขับขี่ มาตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลเพื่อสร้างวินัยจราจรที่ดี (ตัดคะแนนใบขับขี่ เริ่มบังคับใช้แล้วใน 20 ฐานความผิด https://car.kapook.com/view264191.html) ซึ่งผู้ขับขี่ทุกคนจะมีคะแนนเต็มที่ 12 คะแนน แต่ถ้าหากโดนตัดคะแนนครบทั้ง 12 คะแนนแล้ว จะต้องดำเนินการอย่างไร? สามารถขอคะแนนใบขับขี่คืนได้หรือไม่
 
โดนตัดคะแนนใบขับขี่ครบ 12 คะแนน

หากโดนตัดคะแนนใบขับขี่จนครบ 12 คะแนน จะมีเอกสารส่งแจ้งให้ทราบทางไปรษณีย์ โดยมีบทลงโทษเพิ่มเติมหากออกไปกระทำผิดซ้ำ ได้แก่

•   หากออกไปกระทำผิดซ้ำ ถูกสั่งพักใบอนุญาตเป็นเวลา 90 วัน
•   หากยังออกไปขับรถโดยขณะที่ถูกสั่งพักใบอนุญาต จะมีโทษจำคุกสูงสุด 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
•   คะแนน “ขับดี” จะถูกหักเพิ่มกลายเป็นติดลบ ซึ่งจะกลายเป็น – 2 คะแนน
•   ถ้ากระทำผิดซ้ำซาก เช่น โดนพักใบขับขี่  90 วัน หลังครบกำหนด ยังทำผิดจนโดนหักจนหมด 12 คะแนนอีก โทษสูงสุดคือ “เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่” ไม่ต้องขับอีกตลอดชีวิต

ขอคะแนนขับดีคืน ทำอย่างไร?

หลังจากที่ระบบตัดคะแนนใบขับขี่หรือตัดคะแนนความประพฤติ มีผลบังคับใช้ ผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ ที่เข้าข่ายใน 20 ฐานความผิด อาจเริ่มถูกตัดคะแนนไปบ้างแล้ว แต่ใครที่ยังไม่รู้ว่าคะแนนใบขับขี่เหลือเท่าไร ก็สามารถดูวิธีเช็กคะแนนใบขับขี่ได้ที่ (แอปขับดี โหลดได้! โหลดดี! เช็กคะแนนใบขับขี่ได้ด้วย! https://www.smk.co.th/newsdetail/3004)
 
ทั้งนี้ ระบบตัดคะแนนใบขับขี่ หรือตัดคะแนนความประพฤติจะกำหนดให้ผู้ที่มีใบขับขี่ ใบอนุญาตขับรถ มีคนละ 12 คะแนนเต็ม หากถูกตัดคะแนนไม่ว่าจะ 1 2 3 และ 4 คะแนน ตามเกณฑ์การทำความผิด หรือโดนหักจนเหลือ 0 คะแนน (พักใช้ใบขับขี่) คะแนนที่ถูกหักไปจะได้รับคืนกลับมาโดยอัตโนมัติเมื่อครบ 1 ปี จากวันที่กระทำความผิด แต่หากไม่อยากรอถึง 1 ปี ก็สามารถขอคะแนนคืนได้ง่าย ๆ เพียงเข้าอบรม และทำการทดสอบกับกรมการขนส่งทางบก มีขั้นตอนและวิธีการ ดังนี้

1.   จองคิวเข้ารับการอบรม โดยเลือกวัน เวลา และสถานที่ ผ่านทางเว็บไซต์ gecc.dlt.go.th หรือทางแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue

2.   เข้ารับการอบรม โดยเดินทางไปตามวัน เวลา และสถานที่ที่เราเลือกไว้ ซึ่งหลักสูตรการอบรมและค่าใช้จ่าย มีดังนี้

•   อบรมครั้งที่ 1
o   หลักสูตรคืนไม่เกิน 12 คะแนน อบรม 4 ชั่วโมง 300 บาท
o   หลักสูตรคืนไม่เกิน 9 คะแนน อบรม 3 ชั่วโมง 250 บาท
o   หลักสูตรคืนไม่เกิน 6 คะแนน อบรม 2 ชั่วโมง 200 บาท

•   อบรมครั้งที่ 2
o   หลักสูตรคืนกลับมาเป็น 6 คะแนน อบรม 3 ชั่วโมง 250 บาท
o   อบรมกรณีถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ เหลือ 0 คะแนน คืนกลับมาเป็น 12 คะแนน อบรม 4 ชั่วโมง 300 บาท

3.   เข้ารับการทดสอบ หลังจากผ่านการอบรมแล้ว ต้องเข้ารับการทดสอบโดยต้องทำคะแนนได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 จึงจะถือว่าผ่านการอบรมและทดสอบ

4.   กรณีทดสอบไม่ผ่าน สามารถสอบเป็นครั้งที่ 2 ได้ ในวันเดียวกันและหากยังสอบไม่ผ่านอีก เจ้าหน้าที่จะออกใบนัดให้มาทดสอบ ครั้งที่ 3 ภายใน 7 วัน นับจากวันที่สอบครั้งแรกไม่ผ่าน

5.   เมื่อผ่านการทดสอบแล้วกรมการขนส่งทางบกจะแจ้งผลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติคืนคะแนนให้ต่อไป
หากผู้ขับขี่ถูกหักเหลือน้อยกว่า 6 คะแนน จะสามารถเข้ารับการอบรมขอคืนคะแนนได้ปีละ 2 ครั้ง เท่านั้น ณ สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งหากไม่อยากถูกตัดคะแนนจนต้องไปเข้ารับการอบรมเพื่อขอคืนคะแนน หรือถูกตัดคะแนนจนเหลือ 0 ถึงขั้นถูกพักใช้ใบขับขี่และห้ามขับรถ ผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และยานพาหนะอื่น ๆ ควรเคารพ และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อวินัยจราจรที่ดีและความปลอดภัยบนท้องถนน

ตำรวจใช้วิธีใดในการตัดคะแนน

1.   เมื่อเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า เช่น เห็นเราขับรถบนทางเท้า เขาก็จะเขียนใบสั่งพร้อมกับตัด 1 คะแนนทันที และหากไม่ชำระใบสั่งในระยะเวลาที่กำหนด ระบบก็จะตัดเพิ่มอีก 1 คะแนน

2.   หากเป็นการพบเห็นความผิดจากกล้อง หากกล้องเจอฝ่าไฟแดง ระบบจะตรวจจับและหักคะแนน

ตรวจสอบคะแนนใบขับขี่ได้ที่ไหนบ้าง

1.   ตรวจสอบผ่านแอปชำระค่าปรับของตำรวจ PTM หรือ Police Ticket Management
2.   ผ่านแอป “ขับดี”
3.   ผ่านแอปเป๋าตังค์

วิธีจ่ายค่าปรับ
1.   จ่ายผ่านแอป PTM
2.   ผ่านแอปธนาคารกรุงเทพ
3.   ผ่านแอปธนาคารอื่น ๆ โดยสแกน QR Code บนใบสั่ง
4.   สามารถใช้บัตรเครดิตจ่ายค่าปรับได้ (อาจต้องไปผูกบัตรเครดิตในแอป)
 
นับเป็นเรื่องดีที่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการปรับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนเป็นสำคัญ แม้ว่าจะเป็นการจับปรับที่มีโทษไม่หนัก แต่ก็นับว่าเป็นการให้โอกาสได้แก้ไขปรับตัว ให้รถคุณปลอดภัย เลือกทำประกันรถยนต์ ด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง ผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

44
รถยนต์ | Car / วิธีเลือกคาร์ซีตสำหรับเด็ก
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2023, 08:14:11 AM »
ภายหลังจากที่มีการออกกฎหมายบังคับใช้คาร์ซีตมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2565 เป็นต้นมา ส่งผลให้ผู้โดยสารทุกคนบนรถจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์ และสำหรับเด็กที่มีอายุไม่เกิน 6 ปี จะต้องนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเท่านั้น แล้วคาร์ซีตมีทั้งหมดกี่ประเภท เราควรต้องเลือกซื้อคาร์ซีตแบบไหน
 
ประเภทของ Car Seat

การเลือกซื้อคาร์ซีตต้องคำนึงถึงอายุ ขนาดตัว และน้ำหนักของเด็ก โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.   Rearward Facing Seats (แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ)
คาร์ซีตประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี คาร์ซีตแบบนี้จะสามารถปกป้องศีรษะ คอ และกระดูกสันหลังของทารกได้ดีกว่าคาร์ซีตที่หันไปด้านหน้า และหากต้องการติดตั้งคาร์ซีตไว้ตรงที่นั่งข้างคนขับก็ควรปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยเพื่อความปลอดภัยด้วย

2.   Forward Facing Seats (แบบหันหน้าออกจากเบาะ)
คาร์ซีตประเภทนี้ออกแบบให้มีสายรัดจำกัดการเคลื่อนที่ของเด็กไม่ให้ไหลไปข้างหน้าในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และมาพร้อมกับสายรัดสำหรับการยึดที่นั่ง เป็นคาร์ซีตที่เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 2-7 ปี

3.   Booster Seats
เป็นคาร์ซีตสำหรับเด็กที่มีขนาดตัวโตเกินกว่าขนาดของคาร์ซีตธรรมดา แต่ยังไม่โตพอที่จะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้เต็มที่ คาร์ซีตประเภทนี้เหมาะกับเด็กช่วงอายุ 4-12 ปี สายคาดควรพาดผ่านกระดูกเชิงกราน หน้าอก และไหล่ของเด็ก ส่วนเข็มขัดคาดเอวควรพาดผ่านอุ้งเชิงกรานโดยให้เส้นทแยงมุมอยู่เหนือไหล่ไม่ใช่ที่คอ
 
วิธีติดตั้ง Car Seat

1.   ประเภท Rearward Facing Seats
-   สำหรับเด็กอายุไม่ถึง 1 ขวบ ควรติดตั้งคาร์ซีตแบบหันหน้าเข้าหาเบาะเสมอ
-   ห้ามติดตั้งคาร์ซีตแบบหันหน้าเข้าหาเบาะตรงที่นั่งข้างคนขับที่มีถุงลมนิรภัยแบบไม่สามารถปิดใช้งานได้
-   จะสามารถติดตั้งคาร์ซีตประเภทนี้ตรงที่นั่งข้างคนขับได้ในกรณีที่มีการปิดการทำงานของถุงลมนิรภัยแล้วเท่านั้น
-   ต้องใช้สายรัดแบบ 3 จุดหรือ 5 จุดสำหรับเด็อายุไม่ถึง 1 ขวบตามประเภทของเบาะรถยนต์

2.   ประเภท Forward Facing Seats
-   สำหรับคาร์ซีตที่หันหน้าออกจากเบาะควรติดตั้งตรงที่นั่งผู้โดยสารเบาะหลัง
-   หากจำเป็นต้องติดคาร์ซีตสำหรับเด็กไว้ที่ด้านหน้า ให้ปรับเบาะรถยนต์ให้ห่างจากถุงลมนิรภัยให้มากที่สุด (ทำตามคู่มือการติดตั้ง)
-   สำหรับเด็กน้ำหนัก 9 – 12 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 5 จุด
-   สำหรับเด็กน้ำหนัก 15 – 25 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 5 จุด
-   สำหรับเด็กน้ำหนัก 22 – 36 กก. ควรใช้สายรัดแบบ 3 จุด

ติด Car Seat ฝั่งไหนจะปลอดภัยที่สุด?

แล้วควรติดคาร์ซีตตรงฝั่งไหนถึงจะปลอดภัยที่สุด? จากผลการศึกษาพบว่า เบาะหลังคือตำแหน่งที่คาร์ซีตจะได้รับแรงกระทบเทือนน้อยที่สุดหากเกิดอุบัติเหตุ และไม่ควรวางคาร์ซีตที่เบาะข้างคนขับเพราะถุงลมนิรภัยอาจจะบีบอัดกับตัวเด็กหรือคาร์ซีตได้ และตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุดก็คือตรงกลางของเบาะหลังนั่นเอง เพราะปลอดภัยจากแรงกระแทกต่างๆ
 
วิธีเลือกซื้อคาร์ซีต

การเลือกซื้อคาร์ซีตควรคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้คาร์ซีตสามารถป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

1.   เลือกประเภทตามอายุ น้ำหนัก และขนาดตัวของเด็ก
คาร์ซีตมีอยู่ทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่แบบหันหน้าเข้าหาเบาะ (สำหรับเด็กแรกเกิด – 2 ปี) แบบหันหน้าออกจากเบาะ (สำหรับเด็ก 2-7 ปี) และแบบบูสเตอร์ (สำหรับเด็ก 4-12 ปี) ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อให้เหมาะสมและถูกประเภท

2.   เลือกแบบติดตั้งถาวรหรือแบบเคลื่อนย้ายได้
การเลือกคาร์ซีตแบบติดตั้งถาวรเหมาะกับการใช้แบบระยะยาว ไม่ต้องถอดเข้าถอดออกและมีความปลอดภัยสูง แต่มีข้อเสียคือมักจะหมุนไม่ได้และมีราคาสูงกว่า ส่วนคาร์ซีตแบบเคลื่อนย้ายได้สามารถใช้งานได้อิสระกว่า นำไปใช้กับรถเข็นเด็กก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะตัดสินใจเลือกซื้อแบบไหน

3.   เลือกที่มีสัญลักษณ์มาตรฐานความปลอดภัยสากล
ควรเลือกซื้อคาร์ซีตที่มีมาตรฐาน ยิ่งคาร์ซีตเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันอันตรายแล้วก็ต้องยิ่งให้ความสำคัญกับมาตรฐานเป็นพิเศษ โดยสามารถเลือกซื้อคาร์ซีตที่มีมาตรฐานได้จากสัญลักษณ์ความปลอดภัย เช่น ECE R44/04 มาตรฐานของสหภาพยุโรปหรือ FMVSS 213 มาตรฐานประเทศสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้เลือกคาร์ซีตที่มีระบบติดตั้งมาตรฐาน UN หรือที่เรียกว่า ISOFIX :7j’เป็นรูปแบบคาร์ซีตที่ยึดติดกับตัวรถได้อย่างปลอดภัยที่สุด มีลักษณะเป็นแกนเหล็กที่ติดตั้งมาจากโรงงาน สามารถเสียบยึดติดกับรถที่รองรับ ISOFIX ได้เลย เพราะการติดตั้งคาร์ซีตแบบนี้จะปลอดภัยกว่าแบบยึดติดโดยเข็มขัดนิรภัย แต่ก็ไม่ใช่รถยนต์ทุกรุ่นที่จะมีระบบนี้รองรับ ดังนั้นจึงควรต้องตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อ

4.   เลือกคาร์ซีตที่เหมาะสมกับรถยนต์
การเลือกซื้อคาร์ซีตต้องมีความเหมาะสมกับรถยนต์ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตรวจสอบอุปกรณ์ติดตั้ง และตรวจสอบคาร์ซีตที่ต้องการว่า ออกแบบมาสำหรับเข็มขัดนิรภัยกี่จุด และรถยนต์สามารถติดตั้งได้ตามนั้นหรือไม่ ยิ่งหากเป็นคาร์ซีตมาตรฐาน ISOFIX ด้วยแล้ว ต้องยิ่งเช็กว่ารถยนต์ที่มีอยู่รองรับการติดตั้งหรือไม่
 
การติดตั้ง Car Seat เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความปลอดภัยของเด็ก และควรคำนึงถึงช่วงอายุ น้ำหนัก และขนาดตัวของเด็กก่อนจะเลือกซื้อคาร์ซีตด้วย การติดตั้งคาร์ซีตที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานจะช่วยลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางในเมืองกรุงที่มีปัญหาจราจรบนท้องถนน ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

45
เพราะความปลอดภัยบนท้องถนน เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้นำระบบบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับรถ หรือ "ระบบตัดแต้ม" ใบขับขี่ มาเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา (ตัดคะแนนใบขับขี่ เริ่มบังคับใช้แล้วใน 20 ฐานความผิด คะแนนเหลือ 0 ห้ามขับรถ 90 วัน https://car.kapook.com/view264191.html) แต่ถึงแม้จะใช้ความระมัดระวังในการขับขี่บนท้องถนนมากเพียงใด แต่ก็มีหลายครั้งที่ผู้ขับขี่หลงลืมหรือพลาดพลั้งทำผิดกฎจราจรได้โดยไม่รู้ตัว แอปพลิเคชันที่จะเข้ามาตรวจสอบและแจ้งเตือนคะแนนใบขับขี่ จึงเข้ามาช่วยตอบโจทย์ของปัญหานี้ (หมดห่วง!! 6 แอปพลิเคชันช่วยดูแลรถสำหรับคนรักรถ https://www.smk.co.th/newsdetail/1604)
 
แอปขับดี (KHUB DEE) แอปตรวจสอบคะแนนใบขับขี่

แอปขับดี KHUB DEE เป็นโครงการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการจราจร ในรูปแบบโมบายแอปพลิเคชัน เป็นแอปพลิเคชันใหม่โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ โดยมีวัตถุประสงค์คือ เช็กแต้มใบขับขี่ รวมไปถึงการตรวจสอบใบสั่ง การชำระค่าปรับ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับประชาชนในรูปแบบออนไลน์ และต้องการให้ประชาชนรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการขับขี่ของตนเอง และยังเป็นแอปที่สามารถจ่ายค่าปรับผ่านตัวแอปได้เลยทันที โดยแอปจะมีการให้คะแนนความความประพฤติในการขับขี่ หากโดนหักคะแนนหมด อาจเสี่ยงมีโทษจำคุกหรือต้องเสียค่าปรับสูงสุดถึง 1 หมื่นบาท
 
วิธีใช้งานแอปขับดี

1.   เมื่อดาวน์โหลด แอปขับดี KHUB DEE จะเป็นขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้งาน สามารถเชื่อมต่อกับ Facebook บัญชี Google Line และ Apple ID
2.   จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการสมัครสมาชิก จะมีข้อมูลให้กรอกในส่วนนี้
3.   จากนั้นสิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มคือ บัตรประจำตัวประชาชน และใบอนุญาตขับรถ เพื่อกรอกข้อมูลในการยืนยันตัวตน สามารถใช้งานแอปได้เลยทันที

ฟีเจอร์สำคัญในแอปขับดี

1.   ตรวจสอบแต้มความประพฤติการขับขี่ สามารถดูได้ว่า ปัจจุบันมีคะแนนเหลือเท่าไรจากคะแนนเต็ม 12 คะแนน หากคะแนนตัดเหลือ 0 คะแนน จะถูกสังพักใบอนุญาตขับขี่ เป็นระยะเวลา 90 วัน แล้วคะแนนที่ถูกตัดไปนั้นจะมีการคืนคะแนนเมื่อครบกำหนด 1 ปี ในการทำผิดครั้งนั้น ๆ หากคะแนนเหลือน้อยสามารถขอเข้ารับอบรมเกี่ยวกับการขับรถและวินัยจราจร ได้ที่กรมการขนส่งทางบก เพื่อรับคะแนนคืนได้

2.   ตรวจสอบใบสั่ง สามารถดูย้อนหลังได้สูงสุดถึง 1 ปี แต่ในส่วนที่ไม่มีใบสั่งเลยจะขึ้นว่าไม่พบข้อมูล

3.   ชำระใบสั่งผ่าน QR CODE

4.   โต้แย้งข้อกล่าวหา สามารถทำได้ 2 กรณี
•   รถสวมทะเบียน
•   ทะเบียนรถและรูปรถที่ปรากฏในใบสั่ง ไม่ใช่รถของผู้ที่ได้รับใบสั่ง (หรือข้อมูลไม่ตรงกันนั่นเอง)

5.   ความรู้คู่การขับขี่ ฟีเจอร์นี้ค่อนข้างมีประโยชน์มาก เป็นข้อมูลเรื่องการขับขี่ต่าง ๆ

6.   เบอร์โทรฉุกเฉิน ในส่วนนี้เป็นช่องทางการติดต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน สามารถกดโทรแจ้งเหตุได้เลยทันที

7.   ข่าวประชาสัมพันธ์ ฟีเจอร์หลักสุดท้ายจะเป็นข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์ของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีรายละเอียดแจ้งเกี่ยวกับการตัดคะแนนคืออะไร มีอะไรบ้าง ปฏิบัติผิดอย่างไรถึงตัดคะแนน เป็นข้อมูลจำเป็นที่คนขับรถทุกท่านต้องรู้
 
เกณฑ์ “ตัดแต้มใบขับขี่” ใหม่

1.   ระดับเริ่มต้น หัก 1 คะแนน
•   ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
•   ไม่สวมหมวกนิรภัย
•   ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
•   ขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด
•   ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน / เปลี่ยนแปลงหรือปิดบังบังป้ายทะเบียน
•   ขับรถบนทางเท้า
•   ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย
•   ไม่หลบรถฉุกเฉินโดยไม่มีเหตุอันสมควร
•   ขับรถประมาทหรือน่าหวาดเสียว
•   ไม่ชำระค่าปรับ

2.   ระดับ 2 ตัด 2 คะแนน
•   ขับรถฝ่าไฟแดง
•   ขับรถย้อนศร
•   ขับรถในระหว่างที่ถูกสั่งยึด พักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

3.   ระดับ 3 ตัด 3 คะแนน
•   ขับรถขณะหย่อนความสามารถ เช่น เป็นลมชักกำเริบ (เป็นลมชัก สอบใบขับขี่ไม่ได้นะ)
•   ขับรถในลักษณะผิดวิสัยของการขับธรรมดา เช่น ยกล้อ
•   ชนแล้วหนี

4.   ระดับ 4 สูงสุด ตัด 4 คะแนน
•   เมาแล้วขับ
•   เสพยาเสพติดแล้วขับรถ
•   แข่งรถยนต์บนทางที่ไม่ได้รับอนุญาต
•   ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่น เช่นบรรทุกของเกินกำหนด หรือบรรทุกเกินออกมานอกตัวรถ
 
จะเป็นอะไรไหม ถ้าไม่โหลดแอป KHUB DEE

ระบบตัดคะแนนจะเริ่มบังคับใช้วันที่ 9 มกราคม 2566 และถึงแม้จะไม่ได้โหลดแอปพลิเคชันมาใช้ หากทำผิดก็ยังคงถูกตัดคะแนน แอปพลิเคชันเป็นเพียงทางเลือกในการเช็กคะแนนของผู้ขับขี่และจ่ายค่าปรับได้สะดวกขึ้น หากผู้ขับขี่ที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี อาจไม่ได้รับความสะดวกในการเช็กคะแนน อาจต้องใช้วิธีพยายามสังเกตเอกสารแจ้งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์แทน
ผู้ขับขี่สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน KHUB DEE (ขับดี) ได้ทั้งระบบ iOS และ Android ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ได้ที่

•   ผู้ใช้งานแอนดรอยด์ (Android) >> โหลดผ่าน Google Play Store (https://play.google.com/store/apps/details?id=com.be1.khubdee)

•   ผู้ใช้งานไอโฟน (iPhone) >> โหลดผ่าน App Store (https://apps.apple.com/us/app/khub-dee/id1501805193)

“SMK aLL” แอปพลิเคชันจากสินมั่นคงประกันภัย ศูนย์รวมหลากหลายบริการ ทั้งเช็ค ซื้อ ชำระเบี้ย ประกันภัยรถยนต์ ค้นหาอู่ในเครือ และโรงพยาบาลพันธมิตร รวมถึงสะสมคะแนนเพื่อแลกรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ มากมาย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ ที่ iTunes (คลิก) https://apps.apple.com/th/app/smk-all/id1475779913 และ Google Play (คลิก) https://play.google.com/store/apps/details?id=th.co.smk.smkall
เปิดประสบการณ์ใหม่ในการทำประกันภัย ง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก ครบ จบ ปลอดภัย ในแอปเดียว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ www.smk.co.th Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

46
“รถยนต์” นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คนวัยทำงานส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครอง โดยเฉพาะการได้เป็นเจ้าของรถยนต์ป้ายแดงคันแรกที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากการทำงาน แต่อาจมีบางคนที่มองว่า การเลือกซื้อหารถยนต์มือสองอาจได้รถยนต์คุณภาพดีในราคาที่คุ้มค่ากว่า (แอปซื้อขายรถยนต์มือสอง ปลอดภัย ตรวจสอบได้ https://www.smk.co.th/newsdetail/2996) เพราะรถยนต์ 1 คัน สามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานาน การเลือกรถยนต์สักคันจึงควรเลือกให้เหมาะกับการใช้ชีวิตของผู้ขับขี่ให้ได้มากที่สุด แล้วรถยนต์แบบไหนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเรา
 
เลือกซื้อรถยนต์ 1 คัน ต้องดูอะไรบ้าง?
1. เราเหมาะสมกับรถยนต์แบบไหน?
รถยนต์ในปัจจุบันมีหลากหลายรุ่น และหลายประเภท ต้องดูว่าเราถนัดขับรถยนต์ประเภทไหน แต่ละคนความถนัดจะแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนอาจเคยขับรถเก๋ง แต่ยังไม่เคยขับรถกระบะ หรือบางคนเคยขับรถเกียร์ออโต้มาก่อน แต่ไม่เคยขับรถยนต์เกียร์ธรรมดา ทั้งนี้อาจไม่ได้ดูแค่เพียงความถนัดแต่ต้องดูถึงขนาดของตัวรถ และร่างกายของคนที่ใช้รถยนต์ด้วย เพราะรถยนต์บางคันนั้นมีการออกแบบที่ไม่เหมาะกับตัวผู้ขับเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนขับตัวใหญ่ ควรเลือกรถยนต์ที่ให้ความรู้สึกที่นั่งสบาย ไม่อึดอัด และควรขับได้อย่างสะดวก หรือไม่ควรเลือกรถยนต์ที่นั่งไม่สะดวกนั่นเอง

2.   การใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นแบบไหน?
ให้สังเกตการใช้งานในแต่ละวันว่าส่วนใหญ่เรามีกิจกรรมหรือมักใช้งานประเภทไหนเป็นหลัก ต้องใช้พื้นที่ภายในและภายนอกขนาดไหน เน้นใช้งานสำหรับขนของหรือไม่ เน้นการใช้งานแบบขึ้นเขาหรือในพื้นที่ที่บนผิวขรุขระหรือไม่ ต้องสังเกตการใช้งานให้ชัดเจน เพื่อจะได้ตอบสนองการใช้งานได้ถูกจุด

3. ศึกษาการใช้งานของรถยนต์แต่ละประเภท
ต้องศึกษาการใช้งานของรถแต่ละประเภทว่ารถแต่ละประเภทมีการใช้งานแบบไหน โดยในปัจจุบันจะมีประเภทรถต่างๆ ดังนี้
 
•   ประเภทรถยนต์ Super Mini หรือ Eco Car : เป็นรถยนต์ที่มีขนาดเล็กที่สุด มีราคาถูกกว่าประเภทอื่นๆ ภายในระบบการใช้งานมีครบ เน้นขับในเมืองหรือไปทำงาน ช่วยเรื่องการประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี ทั้งยังขับง่าย จอดรถได้คล่อง แต่พื้นที่ภายในอาจไม่กว้างขวางเหมือนรถยนต์ประเภทอื่นๆ ตัวอย่างรถที่ได้รับความนิยม เช่น Nissan March, Honda Brio และ Suzuki Swift เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์ที่นั่งขนาดเล็ก หรือ Compact Car : มักเป็นรุ่นที่ขายดี เป็นรถมีขนาดที่ไม่เล็กเกินไปสำหรับการเป็นรถครอบครัว แต่ไม่ใหญ่เทอะทะเกินไปสำหรับการขับขี่ในเมือง มีขนาดของรถยนต์และเครื่องยนต์ที่เหมาะสม เน้นใช้ประโยชน์ขับในเมืองหลวง หรือไปทำงาน ตัวอย่างประเภทรถยนต์ที่นั่งขนาดเล็ก เช่น Toyota Collora Altis, Nissan Sunny, Honda Civic และ Mazda3 เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์นั่งขนาดกลาง : รถยนต์ที่มีขนาดภายในใหญ่พอที่จะรองรับผู้ใหญ่ 5 คน นั่งได้โดยไม่เบียดกัน มีเครื่องยนต์ที่สมรรถนะสูงขึ้น เพื่อรองรับน้ำหนักตัวรถที่มากขึ้น สามารถใช้เป็นรถสำหรับครอบครัวได้ดี และมีราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ตัวอย่างรถยนต์นั่งขนาดกลาง เช่น Honda Accord, Nissan Teana และ Toyota Camry เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์อเนกประสงค์ หรือ MPV : เป็นคำที่ย่อมาจาก Multi-purpose vehicle มีลักษณะทางการออกแบบให้ใช้พื้นที่ยืดหยุ่น และมีขนาดใหญ่ ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างมาก มีลูกเล่นที่สำคัญคือเบาะนั่งแถว 3 ซึ่งสามารถพับเก็บได้ เมื่อพับแล้ว จะเกิดที่ว่างสำหรับวางสัมภาระจำนวนมาก และเมื่อกางเบาะ ก็จะเกิดที่นั่งรองรับได้เพิ่มขึ้น ทำให้การโดยสารไม่อึดอัด ตัวอย่างรถยนต์ประเภท MPV เช่น Toyota Avanza, Honda Mobilio และ Honda Freed เป็นต้น

•   ประเภทรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูง หรือ SUV : เป็นคำที่ย่อมาจาก Sport Utility Vehicle ประเภทนี้จะคล้ายๆ กับรถ MPV แต่จะต่างที่ MPV จะใช้สอยพื้นที่ยืดหยุ่นมากกว่า และมักใช้เครื่องยนต์เบนซิน ในขณะที่ SUV จะมีสมรรถนะสูงกว่า สามารถใช้ไต่เขาชันและวิ่งทางวิบากได้ดีกว่า แต่การใช้สอยพื้นที่อาจไม่ยืดหยุ่นหลากหลายเท่า MPV แต่ก็ถือว่าอเนกประสงค์มากกว่ารถเก๋ง และเพียงพอที่จะเรียกว่าเป็นรถเนกประสงค์ ตัวอย่างรถยนต์ประเภท SUV เช่น Nissan Juke, Honda HR-V และ Mazda CX-3 เป็นต้น

•   ประเภทรถกระบะดัดแปลง หรือ PPV : เป็นคำที่ย่อมาจาก Pick-up Passenger Vehicle ประเภทนี้เป็นรถยนต์ที่ใช้รถยนต์กระบะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือรุ่นยกสูง มาดัดแปลงกลายเป็นรถยนต์โดยสาร ต่างจากเดิมที่เป็นรถรุ่นที่สร้างมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีข้อเสียที่ความนุ่มนวล เนื่องจากเป็นรถที่มีพื้นฐานจากกระบะ แต่ก็มีข้อดีในด้านต้นทุนการผลิตและภาษี รถ PPV ซึ่งจัดเป็นรถขนาดกลาง แต่กลับราคาต่ำกว่ารถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ทั้งยังได้ขนาดใหญ่กว่า เครื่องยนต์พละกำลังสูงกว่า มีความคุ้มค่ามากกว่า ตัวอย่างรถยนต์ประเภท PPV เช่น Toyota Fortuner, Isuzu Pajero Sport และ Ford Everest

•   ประเภทรถกระบะ : คือรถประเภทที่เป็นที่นิยมในไทยเป็นอย่างมาก ตอบสนองการใช้งานในเรื่องของขนของได้เป็นอย่างดี โดยเป็นรถที่มีพื้นที่ว่างด้านท้ายรถจำนวนมาก และห้องโดยสารมีพื้นที่น้อย รถกระบะจึงมักใช้ในธุรกิจขนาดเล็ก และกลาง ตัวอย่างรุ่นรถกระบะที่ได้รับความนิยม เช่น Nissan Navara, Mazda BT-50, Toyota Hilux Vigo และ Isuzu Dmax เป็นต้น
 
ประกันตามไมล์ 2 คืนไมล์ คืนเงิน ประกันชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท ประกันรถยนต์ สำหรับคนขับน้อย แถมรับเบี้ยประกันคืนสูงสุดได้ถึง 15% เมื่อขับได้ตามระยะทางตามเงื่อนไขที่กำหนด สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/2 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

47
รถยนต์ | Car / เอาตัวรอดจากไฟไหม้รถ!
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2023, 06:49:19 AM »
ในยุคที่น้ำมันมีราคาแพง อาจทำให้เจ้าของรถยนต์หันมาให้ความสนใจกับพลังงานทางเลือกที่อาจเป็นทางออกแห่งอนาคต (https://www.smk.co.th/newsdetail/2968 4 รถยนต์พลังงานทางเลือก ทางเลือกใหม่เพื่อการเดินทางแห่งอนาคต) แต่ก็มีเจ้าของรถยนต์รุ่นเก่าหลายรายที่ยังคงให้ความนิยมนำรถยนต์ไปติดแก๊สทั้งแบบ NGV หรือ LPG เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย จนทำให้หลายครั้ง เมื่อรถยนต์ที่ติดแก๊สเกิดอุบัติเหตุจนไฟลุกท่วมไหม้ตัวรถ อาจสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินให้กับผู้คนได้มากมาย (สลด รถตู้ตกร่องกลางถนนมิตรภาพ ไฟไหม้วอดทั้งคัน ดับ 11 ศพ https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2609033) แล้วหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไฟกำลังไหม้ตัวรถ (https://www.smk.co.th/newsdetail/285 ไฟไหม้รถยนต์เกิดจากอะไร) ผู้โดยสารหรือผู้ที่ติดอยู่ในตัวรถ จะต้องทำอย่างไรเพื่อเอาชีวิตรอด
 
วิธีเอาตัวรอดจากไฟไหม้รถ
เหตุไฟไหม้รถมักเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส LPG หรือ NGV ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมานาน รถที่ผ่านการปรับแต่งสภาพ รวมถึงขาดการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ใช้อะไหล่ที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้แนะนำวิธีเอาตัวรอดพร้อมวิธีป้องกันจากไฟไหม้รถ ไว้ดังนี้

1.   กรณีไฟไหม้รถเล็กน้อย
•   หากเป็นรถที่ติดตั้งระบบแก๊ส ให้รีบปิดสวิตช์การทำงานของระบบแก๊สและดับเครื่องยนต์
•   นำถังดับเพลิงเคมีฉีดพ่นบริเวณต้นเพลิง
•   หากมีเปลวไฟออกมาจากฝากระโปรงรถให้ปลดสลักฝากระโปรงออกแล้วฉีดพ่นผ่านช่องฝากระโปรงที่แง้มไว้
•   ห้ามเปิดฝากระโปรงทันที เพราะจะทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น
•   เมื่อไฟเริ่มสงบจึงค่อยๆ แง้มฝากระโปรงขึ้นโดยใช้ผ้ารอง หรือสวมถุงมือเพื่อป้องกันความร้อนจากบริเวณฝากระโปรง
•   นำถังดับเพลิงมาฉีดพ่นให้ทั่วห้องเครื่อง จนมั่นใจว่าไฟดับสนิทแล้ว
•   รีบถอดขั้วแบตเตอรี่ออก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเปลวไฟทะลุขึ้นมาอีก

2.   กรณีไม่มีถังดับเพลิง
•   ใช้ผ้าแห้ง ผ้าเปียก หรือทราย มาโปะบริเวณที่เกิดไฟไหม้รถ
•   ใช้ขวดน้ำเจาะปากขวดเป็นรูเล็กๆ ฉีดบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้

3.   กรณีที่ไฟไหม้รถลุกลามอย่างรวดเร็ว
•   ให้ตั้งสติ ดับเครื่องยนต์ แล้วรีบออกจากรถ
•   วิ่งออกไปให้ห่างจากรถให้มากและเร็วที่สุด เพราะอาจเกิดการระเบิดได้
•   รีบโทรศัพท์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191 ศูนย์รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ 199 หรือสายด่วนนิรภัย 1784 มาควบคุมเพลิงให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง
 
วิธีการใช้งานถังดับเพลิง 4 ขั้นตอน
1.   ดึง - เอาถังดับเพลิงวางไว้ด้านที่ถนัด หันด้านฉลากเข้าหาลำตัว จากนั้น “ดึง” สลักนิรภัยออก และหิ้วถังดับเพลิงไปที่จุดเกิดไฟไหม้ โดยยืนห่างจากกองไฟ ประมาณ 3-4 เมตร และยืนเหนือทิศทางลม
2.   ปลด - ปลดปลายสายออกจากตัวถัง จับปลายสายให้แน่นอย่าให้หลุดมือ เล็งไปยังบริเวณฐานของกองไฟ (ห้ามฉีดที่เปลวไฟ)
3.   กด - กดคันบีบของถังดับเพลิงให้สุดคันบีบ ให้เคมีออกมาอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
4.   ส่าย - ส่ายปลายสายถังดับเพลิงไปมา เพื่อให้ผงเคมีที่ฉีดออกมาครอบคลุมทั่วทั้งกองไฟ โดยระหว่างดับไฟให้ย่อตัวลงเล็กน้อย เพื่อหลบเปลวไฟและความร้อน ฉีดจากตำแหน่งใกล้ไปไกล เมื่อแน่ใจว่าไฟดับสนิทแล้วจึงถอยออกจากที่เกิดเหตุ

วิธีป้องกันไฟไหม้รถ
1.   ก่อนขับรถ
•   ตรวจสภาพรถให้พร้อมใช้งานเสมอ เช่น เติมน้ำหม้อน้ำในระดับเท่าที่กำหนด ไม่มีเศษวัสดุติดในหม้อน้ำและในท่อยาง
•   เช็กสภาพท่อน้ำมันเชื้อเพลิงว่าไม่มีรอยรั่ว สายพานรถมีความตึงในค่าที่กำหนด
•   เช็กกระโปรงหน้ารถว่ามีเขม่าดำเกาะหรือไม่ เพราะแสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานไม่สมบูรณ์
•   ตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีรอยน้ำมันหยดหรือไม่ หากมีควรรีบซ่อมแซมโดยด่วน
•   ควรเตรียมขวดบรรจุน้ำ ถังดับเพลิงเคมีไว้ที่ด้านข้างคนขับหรือบริเวณที่หยิบได้ง่าย เพื่อให้ใช้งานได้ทันทีหากไฟไหม้รถ

2.   ขณะขับรถ
•   ควรสังเกตสัญญาณเตือนอยู่เสมอ เช่น มาตรวัดระดับความร้อนของเครื่องยนต์ซึ่งอยู่บริเวณหน้าปัดรถยนต์ หากหม้อน้ำแห้ง พัดลมระบายความร้อนขัดข้อง จะทำให้รถยนต์ร้อนจัดจนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้รถยนต์ได้ เพราะบริเวณกระโปรงหน้ารถเป็นที่ตั้งของเครื่องยนต์และสายไฟต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดประกายไฟ
•   รถยนต์ที่ใช้แก๊สต้องระวังบริเวณส่วนท้ายรถเพราะเป็นที่ตั้งของถังแก๊ส หากรถมีอาการกระตุกขณะขับขี่ควรนำไปตรวจสอบสภาพ เพราะเครื่องยนต์อาจขัดข้องหรือถังน้ำมันรั่วทำให้อากาศเข้าไปจนการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดไฟไหม้รถได้

3.   ก่อนสตาร์ตรถควรตรวจเช็กความเรียบร้อยของเครื่องยนต์ทุกครั้งว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุไฟไหม้รถที่อาจเกิดขึ้นได้

4.   ไม่ควรซื้อรถมือสองที่ไม่ทราบประวัติการขับขี่มาใช้งาน และเรียนรู้วิธีแก้ไขเหตุฉุกเฉิน ที่สำคัญไม่ควรขับรถเร็วเกินกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยช่วยลดแรงปะทะจากอุบัติเหตุที่อาจทำให้เกิดไฟไหม้รถได้
 
แม้การใช้รถยนต์ที่ติดตั้งแก๊ส LPG หรือ NGV จะมีส่วนช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ให้บริการรถโดยสารที่มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นปัจจัยหลัก แต่ก็ต้องนำมาซึ่งความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้นทั้งต่อตัวรถโดยสารและผู้ใช้บริการ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ก็อาจนำมาซึ่งความเสียหายอันใหญ่หลวงตามมาได้เช่นกัน

ประกันรถยนต์ตามเวลา ประกันชั้น 1-3+ เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพิ่มความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1024 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

48
เมื่อใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนยุคใหม่อาจไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมที่คนจีนยุคก่อนยึดถือปฏิบัติกันมา ทั้งการจัดเตรียมของไหว้ การจับจ่ายซื้อของ หรือแม้แต่ธรรมเนียมความเชื่อในวันหยุดปีใหม่ของคนจีน แล้วประวัติความเป็นมาของวันปีใหม่จีนจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ละวันต้องทำกิจกรรมอะไร หรือมีข้อห้ามข้อปฏิบัติอย่างไร (ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้าง? https://www.smk.co.th/newsdetail/2859)
 
ความเป็นมาของวันตรุษจีน หรือวันปีใหม่จีน

วันตรุษจีน มีความคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก โดยพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีนนั้น มีมานานกว่าศตวรรษ ถูกจัดขึ้นเพื่อตั้งใจฉลองฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากช่วงนั้น ประเทศจีนจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ จึงไม่สามารถทำการเกษตรได้ เมื่อเข้าถึงฤดูใบไม้ผลิ จึงจะสามารถเพาะปลูกพืชผักได้ตามปกติ ชาวจีนจึงกำหนดให้วันแรกของฤดูใบไม้ผลิตในแต่ละปีเป็นวันสำคัญที่เรียกว่า "วันตรุษจีน"

ตรุษจีน 2566 ตรงกับวันอะไรบ้าง

วันตรุษจีน จะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือ วันจ่าย วันไหว้ และวันเที่ยว

•   วันจ่าย ตรงกับวันที่ 20 มกราคม 2566 คือ วันก่อนวันสิ้นปีก่อนถึงตรุษจีน เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องออกไปจับจ่าย ซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าเหล่านั้นจะปิดร้านเพื่อหยุดพักผ่อนยาว

•   วันไหว้ตรุษจีน หรือ วันไหว้เจ้า ตรงกับวันที่ 21 มกราคม 2566 ตอนเช้ามืด จะเริ่มพิธีการไหว้เทพเจ้าต่างๆ มีเครื่องประกอบการไหว้ คือ เนื้อสัตว์สามอย่าง ได้แก่ หมู เป็ด และไก่ ร่วมกับเหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง ตอนสาย จะทำพิธีการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว

•   วันเที่ยวตรุษจีน หรือ วันตรุษจีน ตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2566 เป็นวันที่แต่ละครอบครัวจะพากันสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ และเดินสายเยี่ยมญาติผู้ใหญ่
 
เทศกาลตรุษจีน ควรทำอะไรบ้าง

1.   ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ และไหว้ผีไม่มีญาติ
วันที่ชาวจีนต้องไว้เจ้านั้นเราเรียกว่า "วันซาจั๊บ" โดยมักจะทำในช่วงเช้าหลังจากที่ไหว้เจ้าในบ้าน คือ ตีจูเอี๊ยะและไหว้บรรพบุรุษ แล้วในตอนเที่ยงจึงไหว้ผีไม่มีญาติ โดยของไหว้จะมีทั้งอาหารคาว เช่น เป็ด ไก่ รวมถึงอาหารหวานด้วย นอกจากนี้ก็ยังต้องมีเครื่องกระป๋อง ข้าวสาร และเกลือ เพื่อให้ผีไม่มีญาติได้นำออกไปและเมื่อไหว้เสร็จก็ต้องจุดประทัด จากนั้นจึงเอาข้าวสารมาผสมกับเกลือแล้วนำมาโปรยเพื่อขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป

2.   รวมญาติกินเกี๊ยว
วันนัดรวมญาติ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกคนในครอบครัวจะต้องเดินทางมาร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวด้วยกันในวันซาจั๊บ ถือเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะถึงวันปีใหม่หรือ "วันชิวอิก" (วันแรกของปีใหม่ของชาวจีน คือ วันชิวอิก) และเหตุที่ต้องเป็น "เกี๊ยว" ก็เพราะรูปร่างของเกี๊ยวมีลักษณะเหมือนกับ "เงิน" ของจีน จึงแฝงความหมายเป็นนัยว่าให้มั่งมีเงินทอง
 
3.   กินเจมื้อเช้า คือ มื้อแรกของปี
ในวันชิวอิก (วันแรกของปีใหม่ของชาวจีน) คนจีนจะกินเจเป็นอาหารมื้อแรก ซึ่งถือว่าเป็นมื้ออาหารแรกของปี โดยมีเชื่อว่าจะได้บุญเหมือนกับกินเจตลอดทั้งปี

4.   ทำพิธีรับ "ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ"
"ไฉ่ สิ่ง เอี้ยะ" เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเป็นเทพพิทักษ์ทรัพย์ จึงมักจะมีการทำพิธีรับเทพซึ่งเปรียบได้กับการทำพิธีรับโชคลาภ โดยทั่วไปมักจะทำพิธีในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนไปจนถึงตีหนึ่งของวันซาจั๊บ

5.   ห้ามกวาดบ้าน 
ในวันขึ้นปีใหม่ของจีนจะไม่มีการกวาดบ้านจนกว่าจะถึง "วันชิวสี่" (วันชิวสี่ คือ วันที่สี่ของเทศกาลตรุษจีน โดยปกติ จะแบ่งเป็น วันจ่าย วันไหว้ วันเที่ยว และวันชิวสี่) เพราะถ้ากวาดบ้านในวันปีใหม่จะถือว่าเป็นการกวาดเอาสิ่งที่เป็นมงคลทิ้งไป แต่หากบ้านใครสกปรกมากจนก็สามารถแก้เคล็ดได้ด้วยการกวาดจากหน้าบ้านเข้าไปในบ้านแทน

6.   ติดตุ๊ยเลี้ยง หรือ คำอวยพรปีใหม่
สมัยก่อนคนจีนที่พอมีความรู้จะเขียน "ตุ๊ยเลี้ยง" โดยใช้หมึกดำหรือสีทองเขียนคำอวยพรลงบนกระดาษสีแดง หากไม่มีความรู้ด้านภาษาจีนก็สามารถไปจ้างมืออาชีพเขียนให้ได้ในย่านไชน่าทาวน์ หรือ เยาวราช ส่วนคำอวยพรที่นิยมเขียน ประกอบด้วยตัวอักษร 7 ตัว เขียนเป็นคำกลอน โดยมากจะอวยพรให้ "ทำมาค้าขึ้น หรือ ให้มั่งมีเงินทอง" จากนั้นจะนำมาติดตามสองข้างประตูบ้าน และต้องมีอีก 1 แผ่นสำหรับติดทางขวางตรงกลางทางเข้า-ออก

7.   ใส่เสื้อผ้าใหม่สีสันสดใส
ในวันมงคลเช่นนี้ชาวจีนนิยมใส่เสื้อผ้าใหม่ สีสันสดใส เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีแต่สิ่งดีๆ สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในปีใหม่นี้ด้วย โดยการเลือกเสื้อสีสดก็เปรียบได้กับความสว่างสดใสและความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ซึ่งสีที่เป็นที่นิยมที่สุด ก็คือ "สีแดง" หมายถึง ความมงคล มั่งคั่ง

8.   ส้ม 4 ผล อวยพรผู้ใหญ่
ธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติในวันชิวอิก (วันแรกของปีใหม่จีน) คือ ทุกคนจะต้องนำส้ม 4 ผล ไปกราบขอพรผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าบ้านเองก็จะเตรียมเมล็ดแตงโมย้อมสีแดงไว้รวมถึงลูกสมอจีนเอารอรับแขก และเมื่อมีผู้มาอวยพรพร้อมกับส้ม 4 ผล เจ้าบ้านก็จะรับส้มมา 2 ผล พร้อมกับนำส้มในบ้านตนเองไปวางคืนให้กับแขก 2 ผล

9.   รับอั่งเปา
วันตรุษจีนถือเป็นอีกวันสำหรับเด็กๆ ที่ต่างตั้งตารอคอยวันนี้มาตลอด เพราะเป็นวันที่จะได้รับซองแดงใส่เงินขวัญถุง จากผู้ใหญ่เพื่อให้โชคดีตลอดทั้งปี โดยมารยาทก่อนจะรับซองแดงต้องอย่าลืมกล่าวคำว่า "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้" เพื่ออวยพรผู้ใหญ่ก่อนเสมอ

10.   ไหว้เจ้าเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
นอกจากในวันซาจั๊บแล้ว ในวันชิวอิกนี้ก็ยังต้องมีการไหว้ไหว้บรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย และที่สำคัญก็ยังต้องไหว้เจ้าเพื่อขอให้เทพเจ้าช่วยดลบันดาลให้ชีวิตของคุณและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความเจริญในชีวิต

เดินทางไหว้เจ้า พบปะเครือญาติแบบปลอดภัย ประกันภัยการเดินทาง ช่วยคุ้มครองทั้งผู้เอาประกันภัยที่เดินทางรายเดี่ยวหรือเป็นหมู่คณะทั้งภายในประเทศและต่างประเทศที่มีกำหนดการเดินทางที่แน่นอน ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตลอดเวลา 24 ชั่วโมงในช่วงระยะเวลาเดินทางตามที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งไว้ สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productpadetail/3 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

49
รถยนต์ใหม่ป้ายแดงเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะได้ครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ก็มีผู้ขับขี่บางส่วนที่นิยมซื้อหารถยนต์มือสองมาไว้ใช้ เพราะนอกจากจะมีราคาถูกลงมากกว่าครึ่งแล้ว ยังมีตัวเลือกที่หลากหลาย และอาจได้รถที่รุ่นใหญ่ขึ้นหรือสมรรถนะที่ดีกว่าด้วย (ซื้อขายรถยนต์มือสองมีขั้นตอนอย่างไร? ใช้เอกสารอะไรบ้าง? https://www.smk.co.th/newsdetail/2785) และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่ายรถยนต์มือสองหลายแห่งเลือกที่จะสร้างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งซื้อขายรถยนต์มือสองโดยเฉพาะ จะมีแอปพลิเคชันไหนบ้าง

1.   CARSOME
 
แพลตฟอร์มซื้อ-ขายรถยนต์มือสองออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีสาขาอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ไทย และ สิงคโปร์ มีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์มือสองในภูมิภาคให้เป็นดิจิทัล โดยการปรับโฉมและยกระดับประสบการณ์ในการซื้อและขายรถยนต์ นำเสนอบริการแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่การตรวจสภาพรถยนต์, การโอนกรรมสิทธิ์ ไปจนถึงบริการทางด้านสินเชื่อ

การซื้อขายรถยนต์มือสองของ CARSOME สามารถใช้งานได้ง่ายๆ เพียงเข้าสู่เว็บไซต์ www.carsome.co.th คลิกไปที่ปุ่ม ซื้อรถ ก็จะมีรถที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันให้เลือกซื้อ พร้อมมุมมองแบบ 360 องศา ทั้งในห้องโดยสาร และภายนอกทั้งหมด โดยจะแสดงจุดสังเกตและประวัติการซ่อมแซม รวมถึงราคาเบ็ดเสร็จของรถที่ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่นๆ สามารถลงทะเบียนทดลองขับรถได้ง่ายๆ ทุกที่ ทุกเวลา บนเว็บไซต์ ก่อนจะเดินทางไปทดลองขับจริงที่ศูนย์บริการ CARSOME หรือนัดให้ส่งรถมาทดลองขับที่บ้าน

นอกจากนี้ รถทั้งหมดของ CARSOME ผ่านการรับรองการตรวจสภาพถึง 175 จุด ทำให้สามารถมั่นใจได้ว่ารถยนต์ไม่เคยประสบอุบัติเหตุหนักจนโครงสร้างเสียหาย และไม่เคยผ่านน้ำท่วม พร้อมกับการรับประกัน 1 ปีเต็ม และการันตีคืนเงินภายใน 30 วัน

2.   CAR24
 
CARS24 แอปพลิเคชันสำหรับคนยุคใหม่ที่ต้องการ ‘ซื้อ-ขาย-เทิร์น’ รถมือสองออนไลน์ ได้รับความนิยมและความไว้ใจจากลูกค้าทั่วเอเชีย ช่วยให้การซื้อขายรถมือสองเป็นเรื่องง่ายและดีที่สุด โดยมีเป้าหมายหลักคือ การทำให้ลูกค้ามีอำนาจในการตัดสินใจสูงสุดในทุกขั้นตอนของการซื้อขายรถยนต์ และมีความสุขกับรถที่เลือกได้ตามต้องการ ให้ซื้อรถยนต์มือสองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา เลือกรถที่ถูกใจได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจัดส่งถึงบ้านหรือจะรับรถที่ศูนย์บริการของ CARS24 ก็ได้เช่นกัน

รถมือสองทุกคันของ CAR24 ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญฯ กว่า 150 จุด เพื่อให้แน่ใจว่า จะได้รถมือสองสภาพดี การันตีไม่ชนหนัก ไม่จมน้ำ ไม่กรอไมล์ และรถสวยเหมือนใหม่ทุกคัน พร้อมรับประกันหลังการขาย กรณีที่ไม่พอใจมีนโยบายคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 7 วัน (นับจากวันที่มีการจัดส่งรถเป็นระยะเวลา 7 วัน) ทั้งนี้ เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด และจะเป็นผู้ดำเนินการให้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การรวบรวมและจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ผ่านขั้นตอนออนไลน์ จนถึงการโอนทะเบียนรถ

3.   One2car

One2Car ศูนย์รวมรถใหม่ และรถมือสองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นเว็บไซต์รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด และน่าเชื่อถือที่สุดของไทยในการหารถใหม่ และรถมือสอง ด้วยรถยนต์มากกว่า 30,000 คัน มีผู้ใช้งานมากถึง 1.6 ล้านคน และเปิดชมมากกว่า 40,000,000 หน้าในแต่ละเดือน
แอปพลิเคชัน One2Car ช่วยให้สามารถค้นหารถใหม่และรถมือสองได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการมากที่สุด ไม่เพียงแต่รายการรถที่มีอยู่จำนวนมากแต่ยังง่ายต่อการค้นหาผู้ขายที่น่าเชื่อถือ ผ่านการตรวจสอบผู้ขายแต่ละรายเพื่อให้ผู้ใช้อุ่นใจและปลอดภัย สามารถ แชต โทร หรือส่งข้อความ ถึงผู้ขายได้ทันที

4.   Taladrod.com
 
เว็บไซต์ Taladrod.com ช่วยให้ได้เห็นรถก่อนใครเพียงระบุรุ่นรถที่สนใจ ง่ายด้วยระบบแจ้งเตือนเข้าสู่มือถือไม่ต้องคอยเฝ้าดูหน้าเว็บอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังช่วยให้ซื้อขายได้ปลอดภัย เพียงตกลงราคา แพลตฟอร์มจะทำส่วนที่เหลือให้จนจบ ทั้งดำเนินการด้านเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์จนผู้ซื้อได้รถและผู้ขายได้เงินถูกต้องครบถ้วน แล้วยังคัดกรองผู้ซื้อให้เหลือเฉพาะผู้ที่สนใจจริงๆ ช่วยให้ผู้ขายรับสายน้อยลง ได้ผู้ซื้อที่มีคุณภาพมากขึ้น หากยังไม่ได้ราคาที่พอใจก็สามารถนำรถขึ้นบนหน้าเว็บตลาดรถให้คนทั่วไปดูได้

5.   Chobrod.com
 
เว็บไซต์ดีไซน์ทันสมัย ใช้งานง่าย พร้อมด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ Chobrod.com เป็นตลาดรถยนต์มือสองออนไลน์ขนาดใหญ่ มีรถให้เลือกเยอะ ตรงใจที่ผู้ซื้อต้องการ และมีเจ้าหน้าที่คอยตอบคำถามทุกเรื่องที่สงสัย ช่วยให้การติดต่อระหว่างผู้ซื้อรถและผู้ขายรถ ทำได้ง่าย รวดเร็ว ในขั้นตอนเดียว

นอกจากนี้ Chobrod.com ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่ค่อยให้ความรู้ และแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายทุกคนอย่างทั่วถึง ด้วยทีมงานที่พร้อมบริการรับฟังและช่วยแก้ปัญหาในหลากหลายช่องทาง ให้ทุกปัญหาได้รับการแก้ไขภายใน 30 นาที เพื่อให้ผู้ซื้อและผู้ชายได้รับการช่วยเหลือที่ดีที่สุด

เพราะเราเข้าใจ...ในภาวะที่ต้องรัดเข็มขัดกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ช่วยให้คุณจ่ายสบายด้วยเบี้ยเบาๆบรรเทาภาระในยามวิกฤต กับประกันรถยนต์ตามเวลา เลือกได้ตามใจ ประกันชั้น 1-3+ ให้ความคุ้มครอง 3, 6, 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/1020 หรือ โทร. 1596 ตลอด 24 ชั่วโมง Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com

50
การได้เป็นเจ้าของรถยนต์หรูราคาแพง เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะนอกจากจะเป็นความภาคภูมิใจในน้ำพักน้ำแรงของตัวเองแล้ว รถยนต์ราคาแพงจะมีความแข็งแกร่งและทนทานต่ออุบัติเหตุและการเฉี่ยวชนต่างๆ มากมาย แต่ที่สำคัญกว่านั้นมักมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่กว่า เพราะหากขับขี่ด้วยความประมาท แม้ผู้ขับขี่จะปลอดภัย แต่ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ร่วมใช้ถนนได้อย่างมากมาย (เสี่ยเบนท์ลีย์ เดินขึ้นแท็กซี่หลังชนปาเจโร https://hilight.kapook.com/view/230084) แล้วรถยนต์หรูมียี่ห้อไหนบ้าง ราคาประมาณเท่าไร?

1.   Rolls-Royce (โรลส์-รอยซ์)
 
แบรนด์รถยนต์จากประเทศอังกฤษที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาตั้งแต่ปี 1904 ก่อตั้งโดย Charles Rolls และ Henry Royce  (เฟดริก เฮนรี่ รอยซ์ และ ชาร์ล โรลส์)  ที่ต่างก็มีความสนใจในวิศวกรรมเครื่องกล และอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งคู่ จนร่วมกันทำแบรนด์ Rolls-Royce ขึ้นมา และจดทะเบียนในนาม Rolls-Royce Limited ผลิตรถยนต์ที่มีความหรูหราหลากหลายรุ่นเข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะรุ่นที่มีชื่อเสียงอย่าง Phantom V ที่มีลูกค้าเป็น Queen Elizabeth และ บุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย นอกจากนี้ Roll-Royce Limited ยังมีสายการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินที่ยังครองตลาดมาได้จนถึงปัจจุบันอีกด้วย

2.   Bugatti (บูกัตติ)
 
Bugatti เป็นแบรนด์ซูเปอร์คาร์และไฮเปร์คาร์ ที่มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศส ที่ปัจจุบันก็มีอายุกว่า 110 ปี อยู่ภายใต้บริษัทที่ชื่อ Bugatti Rimac ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือ Volkswagen Group ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดยคุณ Ettore Bugatti ถือเป็นแบรนด์ซูเปอร์คาร์และไฮเปอร์คาร์ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องสมรรถนะ และความเร็ว โดยมีรถยนต์ที่ทำความเร็วติดอันดับโลกอยู่หลายรุ่น อย่างเช่น รุ่น Veyron EB 16.4 ที่ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 408.47 กม./ชม. ทำสถิติรถ Production Car หรือรถที่มีขายให้สาธารณชนทั่วไป ที่เร็วที่สุดในโลก ปี 2005หรือรุ่น Veyron 16.4 Super Sport ที่ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 431.072 กม./ชม. ทำลายสถิติเร็วที่สุดในโลกปี 2010

3.   Pagani Huayra (ปากานี ฮูไอร่า)
 
Pagani Huayra เป็นไฮเปอร์คาร์แบรนด์อิตาเลียน โดยนายโฮราซิโอ ปากานี (Horacio Pagani) ชาวอาเจนติเนียน ได้ก่อตั้ง ปากานี โอโตโมบีลี (Pagani Automobili S.p.A.) ในปี 1992 และเปิดตัวไฮเปอร์คาร์อย่าง Pagani Zonda C12 ออกมาโดยใช้เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.0 ลิตร ของ Mercedes-Benz แต่กลับมีพลังน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าเจ้าของเครื่องจนโด่งดังมาถึงปัจจุบัน ดีไซน์ของ Pagani Huayra มีสัดส่วนและเรือนร่างที่อลังการแบบไฮเปอร์คาร์แล้วยังมีรายละเอียดซับซ้อน ล้ำสมัย สามารถสะกดทุกสายตาให้จ้องมองได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ตั้งแต่ไฟหน้า ช่องลมบนฝากระโปรง กระจกมองข้างทรงใบไม้ที่มีก้านลู่ลม ประตูกางเปิด-เข้าออกได้แบบปีกนก

4.   Koenigsegg (เคอนิกเส็กก์)
 
Koenigsegg ได้ถือกำเนิดขึ้นโดย Christian Von Koenigsegg (คริสเตียน ฟอน เคอนิกเส็กก์) ชายหนุ่มในวัยเพียง 22 ปี ผู้ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากความใฝ่ฝันในวัยเยาว์ที่อยากผลิตรถเป็นของตัวเอง ได้ตัดสินใจเปิด Koenigsegg Automotive AB บริษัทไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน ซึ่งปัจจุบันสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมือง Ängelholm โดยรถ Koenigsegg ทุกคันที่ผลิตที่โรงงานแห่งนี้ จะประทับตรา “Flying Ghost” อันเป็นสัญลักษณ์ของฝูงบินขับไล่ไอพ่นที่ 1 ของกองทัพอากาศสวีเดน

Koenigsegg ตั้งมั่นในปณิธานที่จะสร้างรถยนต์ที่มีความสมบูรณ์แบบ และทุกรายละเอียดองค์ประกอบของรถจะต้องทำงานร่วมกันอย่างลงตัวเพื่อประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุด (Ultimate performance) ซึ่งทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิตโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ ไปจนถึงการตกแต่งภายในของ “Koenigsegg” ถูกสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันด้วยมือ รถทุกคันจึงเปรียบดั่งงานศิลป์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ สร้างขึ้นตามมาตรฐานสูงสุด

5.   Lamborghini (ลัมโบร์กินี)
 
ลัมโบร์กินีกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในปี 1962 โดย เฟร์รุชชิโอ สัมโบร์กินี นักธุรกิจชาวอิตาลีผู้สร้างตัวจากเงินเพียงไม่กี่หมื่นลีร์ สู่นักธุรกิจระดับมัลติมิลเลียนแนร์ ผู้มีกิจการใหญ่โตในการอุตสาหกรรมรถแทรกเตอร์ และเครื่องปรับอากาศ โดยแบ่งเงินส่วนหนึ่งในการก่อตั้ง บริษัท AUTOMOBILI FERRUCCIO LAMBORGHINI S.p.A ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตรถสปอร์ทเพื่อขายแข่งกับแบรนด์อย่าง Ferrari โดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันลัมโบร์กินีผลิตรถออกมาแล้ว 26 รุ่น โดยรุ่นแรกคือ Lamborghini350 GTV มีเครื่องยนต์ขนาด 3.5 ลิตร V12 280 แรงม้า เปิดตัวในปี 1963 และรุ่นล่าสุดออกมาในปี 2018 กับรุ่น LamborghiniUrus ซึ่งมีเครื่องยนต์ขนาด 3.9 ลิตร V8 660 แรงม้า

6.   Ferrari (เฟอร์รารี่)
 
เฟอร์รารี่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความเร็ว ความหรูหราและความรวย รวมถึงเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตชื่อดังที่ประสบความสำเร็จ และมีการจำหน่ายไปทั่วโลก มีสีที่เป็นเอกลักษณ์ คือสีแดง (Rosso Corsa) ซึ่งเป็นของรถแข่งอิตาลี เฟอร์รารี่ ถือเป็นค่ายรถที่ประสบความสำเร็จในกีฬาฟอร์มูล่าวันมากที่สุด ปัจจุบันกิจการของ Ferrari คือออกแบบและผลิตรถแข่ง เป็นจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ต และทีมแข่งรถที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานมากว่า 4 ทศวรรษ

7.   Aston Martin (แอสตัน มาร์ติน)
 
ยานยนต์สปอร์ตหรูสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1914 ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก ในเรื่องของการออกแบบที่สวยงาม รวมถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ที่ประสบความสำเร็จในวงการรถแข่งสากล และยังเป็นที่รู้จักจากการเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง James Bond (เจมส์ บอนด์) หรือพยัคฆ์ร้าย 007 ในฐานะรถยนต์คู่ใจของสายลับรหัส 007 มาแล้วมากกว่า 10 เรื่อง ด้วยรถยนต์คุณภาพเยี่ยมที่ถูกนำเสนออย่างต่อเนื่อง รวมถึงประสิทธิภาพการใช้งานอันดีเยี่ยม แม้ว่า Aston Martin จะขับผ่านอุปสรรคทางธุรกิจมากมาย ทั้งสงครามโลกถึงสองครั้ง การล้มละลาย รวมถึงการเปลี่ยนมือเจ้าของอีกหลายหน แต่ Aston Martin ก็ยังยืนหยัดเป็นตำนานและเป็นที่จดจำของคนทั่วโลก

ต่อให้มีรถยนต์ราคาแพงที่ช่วยการันตีความปลอดภัยให้คุณได้มากแค่ไหน ก็อาจหนีไม่พ้นจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ให้ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ช่วยการันตีความเสี่ยงให้คุณ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : smkinsurance และสามารถติดตามเนื้อหาสาระดีๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://smkinsurance.blogspot.com/

หน้า: [1] 2 3 4