ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ตะวัน

หน้า: 1 2 [3] 4
101
เหตุการณ์สุดสลดของช่วงสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้นข่าวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแพทย์ผู้ชำนาญการด้านจักษุวิทยาขณะกำลังเดินข้ามทางม้าลายจนเป็นเหตุให้เสียชีวิตบริเวณหน้าโรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท (ถอดบทเรียน “หมอกระต่าย” ทางม้าลาย ต้องตายอีกกี่ราย? https://www.sanook.com/news/8507766/) ทำให้สังคมเกิดการตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่ได้รับการแก้ไข แล้วในฐานะประชาชนจะป้องกันตัวเองได้อย่างไรบ้างเมื่อจำเป็นต้องข้ามถนนบนทางม้าลาย
 
ทางม้าลาย คืออะไร?

ทางม้าลาย คือ เครื่องหมายจราจรในระดับสากลที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการข้ามถนนให้กับผู้ใช้ทาง ผู้ขับขี่รถยนต์จะต้องชะลอหรือเตรียมหยุดรถให้ห่างจากทางม้าลายในระยะ 3 เมตร เพื่อให้ทางคนข้ามถนนได้มีโอกาสเตรียมตัวข้ามถนน หรือรอให้คนข้ามถนนเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงค่อยขับรถผ่านไปได้ ทั้งนี้ในบางแห่งจะมีไฟเตือนคนข้ามถนนให้ผู้ขับขี่สังเกตเพิ่มด้วย

กฎหมายเกี่ยวกับทางม้าลาย

เมื่อผู้สัญจรบนทางเท้าข้ามถนนตรงตำแหน่งทางม้าลาย จะได้รับการคุ้มครองหากผู้ขับขี่ถูกรถชนตรงทางม้าลาย ในขณะที่ผู้ขับขี่จะมีความผิด ด้วยพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ได้แก่

•   มาตรา 152 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท
•   มาตรา 46 หากขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นภายในระยะ 30 เมตรก่อนถึงทางข้าม และเมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 400 – 1,000 บาท นอกจากนี้หากผู้ถูกรถชนได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ก็จะมีความผิดเพิ่มด้วย
•   มาตรา 57 หากหยุดหรือจอดรถใกล้กับทางม้าลายในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ 500 บาท
 
แต่หากผู้สัญจรทางเท้าไม่ได้ข้ามถนนบนทางม้าลายอาจมีความผิดตามมาตราต่อไปนี้
•   มาตรา 104 ได้บัญญัติไว้ว่า ภายในระยะ 100 เมตรนับจากทางข้าม ห้ามมิให้เดินข้ามทางนอกจากทางข้าม
•   มาตรา 147 ระบุว่า หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรา 104 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และหากถูกรถชน ผู้ที่ข้ามถนนโดยไม่ข้ามในทางที่กำหนดก็จะมีความผิดร่วมด้วย

สถิติอุบัติเหตุรถชนคนเดินเท้าครองอันดับสูงสุด

จากสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนนของกรมทางหลวง ในช่วงปี 2556-2560 พบว่า ลักษณะของการชนที่ทำให้เกิดความรุนแรงสูง ได้แก่ อุบัติเหตุรถชนคนเดินเท้า ที่จัดเป็นอุบัติเหตุที่มีดัชนีความรุนแรงสูงสุด โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 55 รายต่ออุบัติเหตุ 100 ครั้ง

รองลงมาคือ อุบัติเหตุรถชนกันในทิศทางตรงกันข้าม และอุบัติเหตุจากการแซง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยประมาณ 40 รายต่ออุบัติเหตุ 100 ครั้ง ตามด้วยอุบัติเหตุบริเวณทางแยกและอุบัติเหตุการชนรถที่จอดอยู่หรือวัตถุสิ่งของที่อยู่บนทาง มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยประมาณ 25 รายต่ออุบัติเหตุ 100 ครั้ง ซึ่งการเสียชีวิตส่วนใหญ่ของคนเดินเท้าเกิดในกลุ่มอายุ 45-59 ปี

ข้ามถนนให้ปลอดภัย ทำอย่างไร?

สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) (https://www.shawpat.or.th/) ได้ให้ข้อมูลถึงวิธีการข้ามถนนให้ปลอดภัย มีรายละเอียดดังนี้
 
1.   เมื่อต้องเดินอยู่บนทางเท้า

•   ถนนที่มีทางเท้าจัดไว้ให้เดินบนทางเท้าและอย่าเดินใกล้ทางรถ โดยหันหลังให้รถที่กำลังแล่นมา ก่อนที่จะก้าวไปในทางรถต้องมองซ้าย-ขวาก่อนเสมอ
•   ถนนที่ไม่มีทางเท้า ให้เดินชิดริมทางขวาของถนน อย่าเดินคู่กัน ให้เดินเรียงเดี่ยวตามกันไป
•   ถ้าจูงเด็กให้เด็กเดินด้านในและจับมือเด็กไว้ให้มั่น เพื่อป้องกันเด็กวิ่งออกไปในทางรถ
•   การเดินถนนในที่มืด ควรสวมเสื้อขาว และถ้าถือไฟฉายส่องติดมือไปด้วยก็จะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
•   แถวหรือขบวนทหาร ตำรวจ ลูกเสือ หรือนักเรียนที่มีผู้บังคับบัญชา ต้องควบคุมการเดินอย่างเป็นระเบียบ จะเดินทางรถยนต์ก็ได้ โดยชิดทางรถด้านขวาหรือด้านซ้ายตามความจำเป็น

2.   เมื่อต้องเดินข้ามถนน

•   ก่อนข้ามถนนทุกครั้ง ต้องหยุดเดินที่ขอบถนน มองขวา มองซ้าย แล้วมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีรถกำลังแล่นมาจึงข้ามได้ โดยให้รีบเดิมข้ามถนนไปเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็ว อย่าวิ่งข้ามถนน
•   ถ้าบริเวณที่จะข้ามถนนมีช่องทางข้าม หรือทางม้าลาย ควรต้องข้ามตรงช่องทางข้ามก่อน เพื่อความปลอดภัย
•   อย่าข้ามถนนโดยออกจากที่กำบังตัว เช่น ออกจากซอยที่มีรถจอดอยู่ หรือบริเวณท้ายรถประจำทาง เพราะอาจเกิดอันตรายได้ (จุดบอดที่ต้องระวังในการขับรถ https://www.smk.co.th/newsdetail/340)
•   การข้ามถนนที่เดินรถทางเดียว ต้องหยุดให้แน่ใจเสียก่อนว่ารถแล่นมาจากทางไหนและมีความปลอดภัยพอหรือยัง จึงข้ามได้
•   ถนนที่มีเกาะกลางถนนต้องข้ามทีละครึ่งถนน โดยข้ามครั้งแรก ไปพักที่เกาะกลางถนนเสียก่อน จึงข้ามในครึ่งหลังต่อไป
•   ในเวลากลางคืนควรหาทางข้ามที่มีแสงสว่างมากพอ

3.   เมื่อต้องเดินข้ามช่องข้ามทางหรือทางม้าลาย

•   คนเดินเท้าที่กำลังเดินข้ามถนนในทางม้าลายจะมีสิทธิไปก่อนรถ เพราะตามกฎหมายต้องหยุดให้คนข้ามถนนในทางข้าม แต่จะต้องระวังให้โอกาสแก่รถที่ชะลอความเร็วและหยุดไม่ทัน ก่อนที่จะก้าวลงบนถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาฝนตกถนนลื่นที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มาก
•   ถึงแม้ว่าคนขับรถจะหยุดให้ข้าม ก็ควรต้องข้ามถนนด้วยความระมัดระวัง มองขวา - ซ้าย ตลอดเวลา เพราะอาจมีผู้ขับขี่ที่แซงรถที่หยุดรอให้คนข้ามขึ้นมาทางด้านขวาได้ และควรข้ามถนนอย่างมีสติและรวดเร็วที่สุด
•   การข้ามถนนในช่องทางข้ามที่บริเวณทางแยก ให้ระวังรถที่จะเลี้ยวมาอย่างรวดเร็วพุ่งเข้ามาหาตัวด้วย
•   ถ้ามีเกาะกลางถนนทำไว้ที่ทางม้าลาย ให้ข้ามถนนไปทีละครึ่งถนน โดยพักรออยู่บนเกาะ มองขวา-ซ้ายให้ปลอดภัยก่อนแล้วจึงข้ามไป

ปัญหาอุบัติเหตุบนทางม้าลายจะไม่เกิดขึ้น หากผู้รักษากฎหมายทำงานสอดคล้องร่วมกับผู้ออกกฎหมายอย่างเคร่งครัด และผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนทั้งคนเดินเท้าและผู้ขับขี่ต่างก็คำนึงถึงความปลอดภัยของส่วนรวมเป็นสำคัญ ให้คุณอุ่นใจทุกการเดินทาง ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ทั้งรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line: @smkinsurance

102
“โอนลอย” ปัญหาน่าปวดหัวสำหรับคนซื้อขายรถยนต์ ที่มักเกิดความลำบากใจเมื่อต้องทำธุรกรรมสัญญา “โอนลอย” เพื่อมอบสิทธิให้ผู้ซื้อไปโอนรถยนต์ด้วยตัวเอง แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่า ผู้ที่ซื้อรถไปจะดำเนินการโอนรถยนต์ให้เป็นชื่อของเจ้าของรถยนต์ที่แท้จริง และหากคนซื้อรถยังไม่ได้โอนรถให้เรียบร้อย จะเกิดผลเสียอย่างไรต่อผู้ขาย และจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง

“โอนลอย” คืออะไร?

การโอนลอย คือ การตกลงซื้อขายรถยนต์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แต่กรรมสิทธิ์ยังไม่ถูกเปลี่ยนไปเป็นของผู้ซื้อโดยสมบูรณ์ มีเพียงสัญญาการซื้อขายที่ยืนยันได้ว่ารถคันนี้ถูกขายแล้ว ซึ่งการโอนลอย มักเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากการขายรถยนต์มือสองให้กับผู้รับซื้อที่เป็นเต็นท์รถ ซึ่งในแบบคำขอโอนจะมีเพียงชื่อผู้โอน (ชื่อเจ้าของรถ) แต่ยังไม่มีการกรอกชื่อผู้รับโอนหรือกรอกแล้วแต่ยังไม่ไปทำการโอนให้เรียบร้อย โดยผู้ซื้อจะต้องนำรถไปตรวจสอบสภาพรถและจดทะเบียนด้วยตนเองตามขั้นตอนของสำนักงานขนส่ง
(โอนรถไม่ยาก...ด้วยวิธีง่าย ๆ https://www.smk.co.th/newsdetail/1666)

ข้อดีของการ “โอนลอย”

เมื่อทำเอกสารการโอนลอยรถยนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายสามารถรับเงินจากผู้ที่ซื้อรถได้ทันที สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อขายรถยนต์มือสอง เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปทำเรื่องโอนที่กรมการขนส่งทางบก

เมื่อผู้ซื้อรถลงรายมือชื่อในเอกสารรับโอนแล้ว ก็สามารถนำเอกสารการโอนลอยนี้ไปทำเรื่องโอนรถที่กรมขนส่งฯ ได้เลย  โดยผู้ที่ขายรถไม่ต้องเสียเวลาเดินเรื่องเอง และผู้ที่จะไปทำเรื่องโอนจะเป็นใครก็ได้ เพียงแค่ต้องนำหนังสือมอบอำนาจการโอนที่เจ้าของรถเดิมลงนามไว้แล้วไปที่กรมขนส่งฯ ด้วย

“โอนลอย” อาจไม่ปลอดภัย

หากมีความจำเป็นต้องโอนลอยรถยนต์ และยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานขนส่งให้เรียบร้อย รถที่ขายไปอาจมีผู้อื่นทำให้เกิดปัญหาหรือนำไปกระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็น

•   ถูกใบสั่งจราจร
•   มีคดีเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุบนท้องถนน
•   นำไปก่อเหตุอาชญากรรม
•   นำไปขายต่อแบบผิดกฎหมาย
•   ไม่ต่อภาษีรถยนต์ประจำปี

เจ้าของรถเดิมที่มีชื่อตามเล่มทะเบียนรถ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เนื่องจากยังถือว่าเป็นเจ้าของรถคันดังกล่าวอยู่ จึงควรเก็บเอกสารการซื้อขายไว้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยขอสำเนาบัตรประชาชนของผู้ซื้อเอาไว้ด้วย เพราะเมื่อเกิดคดีความก่อนที่จะมีการโอนอย่างถูกต้อง เจ้าของรถคนเดิมสามารถนำเอกสารเหล่านี้ยืนยันได้ว่ามีการขายรถยนต์ไปเรียบร้อยแล้ว

คนซื้อรถไม่ยอมโอน โอนลอยไปแล้วเกิดปัญหาต้องทำอย่างไร?

หนึ่งในปัญหาที่น่าปวดหัวสำหรับผู้ขายรถยนต์คือการที่ผู้ซื้อไม่ยอมโอนรถเป็นชื่อของตัวเอง และนำไปก่อให้เกิดปัญหาตามมาแก่ผู้ขาย ทั้งการก่อคดีความทางเเพ่งและอาญา หรือแม้แต่การไม่ได้ชำระภาษีรถยนต์ประจำปี ผู้ขายสามารถอ้างหลักฐานการซื้อขายกับทางเจ้าหน้าที่ได้

เนื่องจาก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 ระบุว่า “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน” ฉะนั้น จึงให้พิจารณาในขณะทำสัญญาว่า การซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรในเรื่องกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อขาย หากไม่ได้มีการตกลงกัน กรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่ได้ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างกัน แม้ยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่กันก็ตาม (ข้อมูลจาก สำนักงานกฎหมายนพนภัส ทนายความเชียงใหม่ https://www.xn--42cgi4cjab1btnchd1exbza5gvad6dvnqc6f.com/index.html)

นอกจากนี้ ศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (https://consumerthai.org/) ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมไว้อีกว่า ผู้ขายรถยนต์ควรแจ้งให้คู่กรณีทราบเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ไม่ได้เป็นผู้ครอบครองหรือใช้รถยนต์คันดังกล่าว โดยให้ข้อมูล หลักฐาน และเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์ประกอบไปด้วย เพื่อให้คู่กรณีสืบหาตัวผู้กระทำความผิดเพื่อรับผิดชอบต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต ผู้ขายรถยนต์จึงควรทำเรื่องเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ครอบครองรถในทางทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกด้วยตัวเองให้เรียบร้อย เพราะถึงแม้ว่า อาจจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการโอนและยุ่งยากเสียเวลา แต่ก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและไม่ต้องพบกับปัญหาคดีอาญาแบบไม่รู้ตัว

ประกันภัยรถยนต์คนกรุง เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี ประกันรถยนต์ชั้น 1 อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line: @smkinsurance

103
“กระจกรถยนต์” เป็นสิ่งที่ติดมากับรถยนต์ทุกคันนับตั้งแต่ถอยออกจากศูนย์บริการ แต่บางครั้งอาจเกิดเหตุไม่คาดคิดจนอาจทำให้กระจกรถยนต์ได้รับความเสียหาย จนต้องเปลี่ยนใหม่ (กระจกรถแตกทำอย่างไร https://www.smk.co.th/newsdetail/279) แต่กระจกรถยนต์มีทั้งหมดกี่ประเภท แล้วแบบไหนปลอดภัยต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารบ้าง
 
กระจกรถยนต์มีทั้งหมดกี่ประเภท?

กระจกรถยนต์มีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ขับขี่รถยนต์และผู้โดยสาร หากรถยนต์มีการติดตั้งกระจกรถยนต์ที่ด้อยคุณภาพอาจส่งผลร้ายต่อร่างกายของบุคคลภายในห้องโดยสาร เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ กระจกรถยนต์มักได้รับแรงกระแทกจนแตกเสียหาย เนื้อกระจกที่แตกอาจสร้างบาดแผลฉกรรจ์แก่คนในห้องโดยสาร จึงควรเลือกซื้อกระจกรถยนต์ที่จะสร้างบาดแผลแก่ร่างกายให้น้อยที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต ปัจจุบันกระจกรถยนต์ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปมี 2 ประเภท ได้แก่

1. กระจกเทมเปอร์

มีความหนาประมาณ 5 มิลลิเมตร กระจกชนิดนี้จะได้รับความร้อนที่ 650-700 องศาเซลเซียส และจะถูกทำให้ผิวหน้าเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดแรงอัด อุณหภูมิที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดแรงต้านจากภายนอก เวลาแตกจะกลายเป็นเม็ดเล็กๆ เกาะกันอยู่ หากแตกออกมาก็จะมีความแหลมคมน้อย เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อคนที่อยู่ในรถ กระจกชนิดนี้ยังสามารถแยกย่อยเป็นอีก 2 ชนิด คือ

- กระจกเทมเปอร์แบบธรรมดา เป็นการนำกระจก FLOAT ไปผ่านกระบวนการเทมเปอร์ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับการทำคอนกรีตอัดแรง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระจก สร้างให้เกิดชั้นของแรงอัดที่ผิวกระจกเพื่อต้านแรงจากภายนอก เวลาแตกจะเป็นเม็ดเล็กๆ ลามไปทั้งบาน
- กระจกโซนเทมเปอร์ เป็นกระจกที่ผ่านขั้นตอนการผลิตแบบพิเศษ เมื่อกระจกชนิดนี้แตกจะเป็นเศษชิ้นใหญ่ จึงเหมาะสำหรับติดตั้งเป็นกระจกบังหน้ารถ เพราะยังสามารถมองทางได้ชัดเจนกว่ากระจกแบบเทมเปอร์ที่แตกเป็นชิ้นเล็กละเอียด แม้ว่ากระจกประเภทนี้เวลาแตกจะลามไปทั้งบานเช่นกัน แต่ความละเอียดจะแตกต่างกันในแต่ละส่วนของกระจก บริเวณโซนกลางและล่างกระจกจะแตกเป็นเม็ดโตเพื่อให้ยังสามารถมองเห็นเส้นทางได้บ้าง ส่วนบริเวณขอบจะแตกเป็นเม็ดเล็กๆ แต่อาจเสี่ยงต่อการแตกจากแรงเค้น หรือ Stress crack ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกะทันหัน แรงดัน เช่น แรงดันจากระเบิด หรือสนามซ้อมเครื่องบินขับไล่ หรือโครงสร้างที่ไม่แข็งแรงจากการประกอบ

2. กระจกลามิเนต

มีความหนาประมาณ 6 มิลลิเมตร ทำจากกระจกที่ถูกรีดเป็นแผ่นบางแล้วเอามาเชื่อมประกอบกันด้วยฟิล์ม PVB หรือ EVA นำมารีดเพื่อให้ฟิล์มยึดติดกับกระจก แล้วนำมาอบในเตาเพื่อไล่อากาศออก การผลิตแบบนี้ทำให้เวลากระจกแตก จะไม่มีเศษกระจกร่วงออกมา เพราะฟิล์มในแต่ละชั้นจะช่วยยึดเศษกระจกไว้ นอกจากนี้ยังช่วยกันไม่ให้น้ำหรือลมซึมผ่านเข้ามาได้ด้วย ลักษณะการแตกยังเป็นแบบร้าวเป็นเส้นเฉพาะบริเวณที่แตกเท่านั้น มีลักษณะคล้ายใยแมงมุม ไม่ลามไปทั้งบานเหมือนกับกระจกเทมเปอร์ แต่เป็นกระจกที่มีวันหมดอายุ โดยสามารถสังเกตได้จากรอยฝ้าตามขอบ หรือมุมกระจก

หากกระจกรถยนต์แตกสามารถดำเนินการเปลี่ยนกระจกทั้งบาน (เคลมประกันกระจกรถยนต์กับศูนย์บริการ https://www.glasstech.co.th/2021/01/04/เคลมประกันกระจกฯ/) หรืออาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนกระจกชุดใหม่เสมอไป และอาจซ่อมแซมรอยกระจกร้าวได้ด้วยตนเองแบบง่ายๆ (น้ำยาซ่อมกระจกรถคืออะไร? ซ่อมได้จริงไหม? https://www.smk.co.th/newsdetail/2766) คุ้มครองรถคุณด้วยประกันภัยรถยนต์คนกรุง ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

104
ที่ชาร์จแบตในรถยนต์นับเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนยุคนี้ ที่โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นเสมือนอวัยวะชิ้นที่ 33 ของร่างกาย รถยนต์รุ่นใหม่ๆ จึงมักจะมีช่องเสียบ USB หรือช่องชาร์จไฟในรูปแบบที่ต่างกันออกไป เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถ แต่สำหรับรถยนต์รุ่นเก่าอาจยังจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์เสริมเข้ามา เพื่อช่วยให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ในรถยนต์ได้ด้วย แต่จะมีวิธีการเลือกที่ชาร์จแบตในรถยนต์อย่างไร?
 
ประเภทของที่ชาร์จแบตในรถยนต์

หากต้องการจะเลือกที่ชาร์จแบตในรถยนต์ อาจต้องเริ่มจากการดูรายละเอียดข้อดีข้อเสียของที่ชาร์จแบตแต่ละประเภท ดังนี้

1. ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ขนาดเล็ก
 
เป็นที่ชาร์จแบตแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป คือเป็นแท่งๆ ไว้เสียบกับที่จุดบุหรี่ มีน้ำหนักเบา สะดวกกับการใช้งาน เหมาะกับคนที่ไม่ได้เสียบหลายอุปกรณ์ เพราะในรถยนต์บางรุ่นจะมีช่องให้เสียบชาร์จไฟแค่ที่จุดบุหรี่กับช่อง usb เท่านั้น แต่บางอันก็สามารถเสียบได้ถึง 4 ช่อง แต่หากเสียบเต็มหมดทุกช่องก็จะทำให้ชาร์จได้ช้าขึ้น

2. ที่ชาร์จแบตในรถยนต์แบบวางมือถือได้ด้วย
 
ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ประเภทนี้จะสามารถนำมาใช้เป็นที่วางมือถือได้ด้วย โดยสามารถชาร์จแบบไร้สายได้ในตัว แต่ก่อนซื้อตรวจสอบก่อนว่าโทรศัพท์มือถือรุ่นที่มีสามาระรองรับระบบชาร์จไร้สายได้หรือไม่ และที่ชาร์จแบตในรถยนต์ลักษณะนี้ มักต้องการที่ชาร์จแบตแบบต่อกับสายชาร์จไฟจากที่จุดบุหรี่

3. ที่ชาร์จแบตในรถแบบต่อตรง

ที่ชาร์จแบตในรถยนต์รูปแบบนี้ จะมีข้อดีคือไม่จำเป็นต้องเสียบกับที่จุดบุหรี่และสามารถต่อตรงกับสายไฟของรถยนต์ได้เลย ในบางรุ่นจะมีสายไฟและหัวต่อมาให้ด้วย แต่อาจจำเป็นจะต้องใช้ทักษะในการรื้อคอนโซลหน้ารถเพื่อเชื่อมต่อกับสายไฟ เพราะว่าต้องเชื่อมกับสายไฟหรือหัวที่อยู่ด้านหลังคอนโซล หากไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ ควรให้หาช่างที่มีความเชี่ยวชาญในการเชื่อมต่อหรือติดตั้งระบบไฟฟ้าในรถยนต์เป็นผู้ดำเนินการติดตั้งให้ แต่อาจจะต้องดูคือขนาดของที่ชาร์จในรถว่ามีขนาดพอดีกับช่องว่างของรถยนต์ด้วยหรือไม่

4. ที่ชาร์จแบตไร้สายแบบวางในรถ
 
ที่ชาร์จแบตในรถยนต์แบบไรสาย จะมีลักษณะเป็นที่วางคล้ายกับที่ชาร์จแบตไร้สายตามปกติ แต่ถูกออกแบบมาให้มีขอบเพื่อให้สิ่งของที่ชาร์จไว้ไม่กลิ้งไปมา แต่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และบางครั้งวางไม่พอดีกับช่องในรถยนต์ แต่จะดีสำหรับคนที่ต้องการชาร์จทั้งมือถือและอุปกรณ์อื่นไปในเวลาเดียวกัน

วิธีเลือกซื้อที่ชาร์จแบตในรถยนต์

•   มีจำนวนช่องในรถยนต์เพียงพอต่อการใช้งาน
•   มีขนาดเล็กหรือใหญ่เพียงพอกับบริเวณที่ต้องการเสียบที่ชาร์จ
•   แรงดันไฟมาเพียงพอกับความต้องการ หากเสียบหลายอุปกรณ์อาจทำให้ชาร์จได้ช้าเกินไป
•   ต้องการแบบที่ชาร์จในรถที่มีระบบชาร์จเร็วด้วยหรือไม่
•   คุณภาพของที่ชาร์จ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ซื้อ ก็สามารถเชื่อมั่นได้ในคุณภาพ
•   ราคาที่ต้องการซื้อ ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ และคุณภาพของแต่ละยี่ห้อ

วิธีใช้ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ให้ปลอดภัย

•   สตาร์ตรถยนต์ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มชาร์จแบตเตอรี่ เนื่องจากจำเป็นจะต้องใช้กำลังไฟฟ้าเป็นจำนวนมากในการสตาร์ตรถ หากเสียบที่ชาร์จทิ้งไว้อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบไฟฟ้าได้
•   เมื่อต้องการจะใช้งานที่ชาร์จแบตเตอรี่ ให้เสียบที่ชาร์จเข้ากับสายชาร์จให้เรียบร้อย แล้วจึงค่อยเสียบเข้ากับที่จุดบุหรี่ในรถยนต์ หลังจากนั้นจึงเสียบชาร์จกับโทรศัพท์มือถือตามปกติ
•   ควรระมัดระวังขณะชาร์จ ไม่เปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถหลายอย่างพร้อมกัน เพราะอาจจะทำให้แบตเตอรี่และตัวเครื่องมีอายุการใช้งานที่สั้นลง และถอดที่ชาร์จออกก่อนทุกครั้งที่จะดับเครื่องรถยนต์

ที่ชาร์จแบตในรถยนต์แบบชาร์จเร็ว 5 ยี่ห้อแนะนำ

1.   ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ Xiaomi
แท่นชาร์จแบตเตอรี่ในรถยนต์ Xiaomi ชาร์จเร็วสูงสุด 20W ใช้เวลาชาร์จให้เต็มได้ภายใน 90 นาที สามารถใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือที่รองรับการชาร์จไร้สายทุกรุ่น รอองรับมือถือขนาด 6 นิ้ว ใช้งานง่าย ติดตั้งได้กับช่องแอร์หรือติดด้วยแผ่นกาว

2.   ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ Waca
ที่ชาร์จแบตในรถ มีช่อง USB 2 ช่อง พร้อมช่องจุดบุหรี่ 3 ช่อง และหน้าจอแสดงผลแรงดันไฟ สามารถชาร์จไฟได้พร้อมกัน 2 เครื่อง ขนาดเล็กกะทัดรัด พกพาง่าย

3.   ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ Vitog
ที่ชาร์จแบตในรถ ขนาดกะทัดรัด พกพาง่าย มีกำลังไฟ 36 วัตต์ มีช่องเสียบสาย USB 4 ช่อง ชาร์จเร็ว สามารถใช้ชาร์จได้ทั้งโทรศัพท์ระบบ Android และ iOS

4.   ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ Ugreen
ที่ชาร์จแบตในรถอีกหนึ่งแบรนด์ที่พกพาง่าย มีช่องเสียบสายชาร์จ USB 2 ช่อง สามารถชาร์ตพร้อมกันได้ ชาร์จเร็ว 24 วัตต์ มีไฟแสดงสถานะการทำงาน

5.   ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ Philips
ที่ชาร์จแบตในรถยนต์ ชาร์จเร็ว 24 วัตต์ มีช่องเสียบสายชาร์จ USB 2 ช่อง ขนาดเล็ก กะทัดรัด พกพาง่าย ดีไซน์สวยงาม

ที่ชาร์จแบตในรถยนต์นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาฉุกเฉิน เมื่อต้องการชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ในขณะเดินทางด้วยรถยนต์ ทั้งนี้ควรเลือกซื้อที่ชาร์จแบตในรถที่มีมาตรฐานความปลอดภัย มีแบรนด์น่าเชื่อถือ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานภายในรถยนต์ด้วย
ช่วยให้คุณปลอดภัยได้ทุกคนการขับขี่

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

105
ปัญหาการจราจรบนท้องถนนเป็นสิ่งที่หลายคนต้องเคยพบเจออยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น รถชนรถ หรือ รถชนคน แต่สิ่งที่สร้างความปวดหัวให้กับผู้คนมากยิ่งขึ้นไปอีกคือ ปัญหาการจราจรบนถนนในหมู่บ้าน หรือชุมชนที่เราอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็น อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดกับเด็กๆ หรือปัญหาการจอดรถหน้าบ้านแล้วโดนเฉี่ยวชน ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องยากหากจะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป (หยุดพฤติกรรมเสี่ยงอย่างไร ช่วยลดอุบัติเหตุ และการเสียชีวิต คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/145) แต่ในทางกฎหมายแล้ว มีข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับสถานการณ์เหล่านี้ ว่าฝ่ายใดผิด ฝ่ายใดถูก 

จอดรถไว้หน้าบ้านตัวเอง ผิดหรือไม่?

ไม่ว่าจะเป็นถนนในหมู่บ้านที่มีนิติบุคคล หรือเป็นที่ของเอกชนที่บริหารจัดการดูแลกันเอง หรือหมู่บ้านที่อยู่ในซอยทั่วไปที่ไม่มีนิติบุคคลดูแล อาณาเขตของบ้านจะมีสิทธิใช้สอยแค่บริเวณภายในรั้วบ้านเท่านั้น นอกเขตรั้วบ้าน ถือเป็น ‘พื้นที่สาธารณะ’ ทั้งหมด ซึ่งถูกคุ้มครองโดยกฎหมายห้ามหยุดรถตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 55 ว่าด้วยเรื่องของ ‘ห้ามมิให้ผู้ขับขี่หยุดรถ” 8 ประเภท คือ

(1)   ในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง
(2)   บนทางเท้า
(3)   บนสะพานหรือในอุโมงค์
(4)   ในทางร่วมทางแยก
(5)   ในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ
(6)   ตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ
(7)   ในเขตปลอดภัย
(8)   ในลักษณะกีดขวางการจราจร

หากเป็นการจอดรถยนต์ในหมู่บ้านจัดสรร การจอดรถหน้าบ้านในหมู่บ้าน จึงถือว่ามีความผิดในข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 และข้อ 8

จอดรถหน้าบ้านคนอื่น ผิดหรือไม่?

การจอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่นเป็นความปิดอาญาฐานก่อความเดือนร้อนรำคาญตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้ที่เสียหายจากกรณีนี้ สามารถร้องทุกข์ดำเนินคดีได้ รวมทั้งสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ตามมาตรา 420 และหากเป็นพื้นที่สาธารณะก็ยังมีโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถออกใบสั่งหรือยกรถได้ ขึ้นอยู่กับว่ามีความผิดในระดับไหน และไกล่เกลี่ยกันได้หรือไม่

ส่วนการจอดริมถนนหน้าตึกแถวและหน้ารั้วบ้านซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ โดยที่ไม่ได้กีดขวางทางเข้า-ออกของบ้านจะสามารถทำได้ หากพื้นที่บริเวณนั้นไม่ได้เป็นปากทางเข้าออก แต่เป็นฟุตปาธทางเท้า ไม่มีเส้นห้ามจอดทาสีไว้ที่ขอบฟุตปาธหรือไม่มีเครื่องหมายห้ามจอด เพราะถือเป็นพื้นที่สาธารณะ

จอดรถไว้หน้าบ้านแล้วมีรถมาชน ใครผิด?

ในกรณีที่จอดรถอยู่หน้าบ้าน แล้วมีรถมาชนหรือเฉี่ยว จะถือว่าคันที่มาชนมีความผิด เนื่องจากขับรถไม่ระมัดระวังจนทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ถึงแม้ว่าจะเป็นการจอดในที่ห้ามจอด หรือจอดตรงช่วงทางโค้งก็ตาม สามารถเคลมประกันได้ตามปกติ (การเคลมสด เคลมแห้ง และ เคลมประกันภัยรถยนต์ https://www.smk.co.th/newsdetail/61) แต่ก็อาจมีความผิดต่อกฎจราจรฐานจอดรถในที่ห้ามจอดหรือในที่สาธารณะ และอาจจะต้องเสียค่าปรับด้วย

ขับรถในหมู่บ้านแล้วมีเด็กมาชนหรือมีเด็กตัดหน้ารถ ใครผิด?

อีกหนึ่งปัญหาของหมู่บ้านจัดสรรที่มักมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่บนท้องถนนโดยเฉพาะการขี่จักรยานกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่ง เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนมักจะห่วงเล่นจนไม่ทันระวังความปลอดภัยของตัวเอง จึงได้มีกฎหมายกำหนดความเร็วในเขตเมืองให้อยู่ที่ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตชุมชน ที่มีความกว้างของถนนไม่เกิน 7 เมตร ซึ่งการใช้ความเร็วที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นจะทำให้โอกาสรอดชีวิตมีมากถึง 98% หากเกิดการขับรถชนคนที่เดินอยู่บนทางเท้าหรือบนถนน

การเกิดอุบัติเหตุที่ในหมู่บ้านหรือเขตชุมชน หากผู้ขับขี่ใช้ความเร็วในการขับรถไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนด ก็ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย เนื่องจากผู้ขับขี่ขับรถมาด้วยความเร็วปกติและมีความระมัดระวังอย่างที่บุคคลทั่วไปพึงปฏิบัติแล้ว แต่มิอาจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่มีเด็กวิ่งตัดหน้ารถได้อย่างกะทันหัน ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท

แต่หากผู้ขับขี่ขับรถมาด้วยความประมาท ใช้ความเร็วเกินกว่าอัตรกฎหมายกำหนด ไม่ให้สัญญาณเตือนแก่คนเดินทางเท้าให้รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็ก คนชรา หรือคนพิการ จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น จะมีความผิดตาม พรบ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43

จองที่จอดรถไว้หน้าบ้าน/ร้านค้า ได้หรือไม่

สำหรับพื้นที่ริมถนนสาธารณะที่ไม่เข้าข่ายพื้นที่ห้ามจอดรถตามที่กฎหมายกำหนด มักมีผู้นำกรวย เก้าอี้ หรือสิ่งของมาตั้งขวางไว้หน้าตึกแถวริมถนนสาธารณะเพื่อไม่ให้คนอื่นนำรถเข้ามาจอดบังหน้าร้าน หรือกันพื้นที่นั้นไว้สำหรับลูกค้า หรือสำหรับจอดรถของตนเอง เป็นสิทธิที่เจ้าของตึกหรือเจ้าของบ้านไม่สามารถทำได้
 
การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 19 ที่ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน เว้นแต่เป็นการกระทำในบริเวณที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศกำหนดด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

รวมทั้งยังมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ตามมาตร 114 ที่ระบุว่า ห้ามผู้ใดวางตั้ง ยื่น หรือแขวนสิ่งใดกีดขวางการจราจร ซึ่งเจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนรื้อถอนสิ่งกีดขวางดังกล่าว หากไม่ยอมรื้อถอนเจ้าพนักงานมีอำนาจในการรื้อถอน โดยมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท อีกด้วย

ความประมาทของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนไม่ว่าจะเป็น รถยนต์หรือคนเดินเท้า ล้วนเป็นต้นเหตุสำคัญที่อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ทั้งสิ้น ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด ช่วยดูแลค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ให้คุณ เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

106
“ผ้าเบรกรถยนต์” เป็นหนึ่งในอุปกรณ์สำคัญที่คอยควบคุมการเคลื่อนที่ของรถยนต์ซึ่งผู้ขับขี่และเจ้าของรถต้องใส่ใจดูแลตรวจสอบให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ หากผ้าเบรกเสื่อมอายุ หรือที่ภาษาช่างเรียกว่า ผ้าเบรกหมด หรือ ผ้าเบรกสึก แล้วเจ้าของรถจะมีวิธีสังเกตผ้าเบรกรถยนต์อย่างไร? เมื่อไรจะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกรถยนต์

หน้าที่ของผ้าเบรกรถยนต์

ผ้าเบรกรถยนต์ เป็นอุปกรณ์สร้างแรงเสียดทานให้กับล้อรถยนต์ ผ้าเบรกในอดีตจะมีส่วนผสมที่สำคัญคือ "แร่ใยหินแอสเบสตอส" ที่เมื่อเหยียบเบรกแล้วจะเกิดเป็นผงสีขาว ไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน และมีราคาถูก แต่ข้อเสียคือผงฝุ่นสีขาวนี้สามารถเข้าไปฝังในร่างกายมนุษย์และก่อให้เกิดมะเร็งในปอด เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม และทนความร้อนได้ต่ำจนเกิดอาการเบรกลื่นเมื่อใช้งานหนัก ในหลายประเทศจึงมีกฎหมายห้ามผลิต นำเข้า หรือใช้ผ้าเบรกที่มีส่วนผสมของ "แร่ใยหินแอสเบสตอส” ต่อมาจึงมีการพัฒนาผ้าเบรกที่มีส่วนผสมของแกรไฟต์และคาร์บอน เมื่อเบรกจะเกิดเป็นผงสีน้ำตาลหรือดำ สามารถทำงานได้ดีในความร้อนสูง (ตรวจสอบราคาผ้าเบรกรถยนต์ คลิก https://cockpit.co.th/shop/brake)

ประเภทของผ้าเบรกรถยนต์

ผ้าเบรกรถยนต์ ผลิตจากวัตถุดิบที่แตกต่างกันทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่

1. ผ้าเบรกที่ทำจาก ASBESTOS เป็นผ้าเบรกยุคเก่าที่ใช้แร่ใยหินเป็นองค์ประกอบหลัก เนื่องจากมีราคาถูก และให้แรงเสียดทานได้ดีที่อุณหภูมิต่ำ แต่มีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจต่อสิ่งมีชีวิต

2. ผ้าเบรกที่ทำจาก NAO (NON-ASBESTOS ORGANIC) เป็นกลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ใยสังเคราะห์แบบไม่ใช่โลหะ ลักษณะเด่นคือน้ำหนักเบา ง่ายต่อการควบคุมไม่ให้เกิดฝุ่นหรือเสียง และให้แรงเสียดทานสูง แต่จะมีข้อจำกัดคือ เป็นผ้าเบรกที่ต้องการส่วนผสมหลายชนิด ทนต่ออุณหภูมิที่เกิดจากการใช้งานได้ต่ำ คายความร้อนได้ยาก และที่สำคัญฝุ่นผงจากใยสังเคราะห์ของผ้าเบรกยังคงเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจอยู่บ้าง

3. ผ้าเบรกที่ทำจาก Semi-Metallic เป็นกลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ใยเหล็ก มีความปลอดภัยสูงมากต่อระบบทางเดินหายใจ และมีความสามารถในการทนทานต่อการใช้งานในอุณหภูมิสูงได้ดี แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการควบคุมไม่ให้เกิดเสียงดังและฝุ่น

4. ผ้าเบรกที่ทำจาก Fully Metallic หรือ Metallic เป็นกลุ่มวัตถุดิบที่ใช้ผงเหล็กละเอียดมาขึ้นรูป ซึ่งผงเหล็กที่ใช้จะเป็นผงเหล็กพิเศษ มีคุณสมบัติของแรงเสียดทานอยู่ในตัว ผ้าเบรกในกลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษสามารถทนต่ออุณหภูมิการใช้งานที่สูงมากได้

5. ผ้าเบรกที่ทำจาก Advance Material เป็นผ้าเบรกที่ใชักลุ่มวัตถุดิบที่อยู่นอกเหนือจากที่ได้กล่าวไปแล้วโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ที่มีคุณลักษณะพิเศษต่างๆตามความต้องการของผู้ใช้

จุดสังเกตเมื่อ “ผ้าเบรกหมด”

1. จานเบรกมีรอยขูดเป็นเส้น ๆ ไม่เรียบสม่ำเสมอ อาจมีสาเหตุจากเศษหินหรือเศษเหล็กเข้าไปฝังในเนื้อผ้าเบรก ทำให้เกิดการกินจาน หรือที่เรียกว่าผ้าเบรกกินจาน แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนผ้าเบรกชุดใหม่ และเจียร์เปิดหน้าจานให้เรียบเช่นเดิม

2. เบรกมีอาการเสียงดัง เป็นกรณีที่พบได้มากที่สุด หากมีเสียงดังเอี๊ยดๆ เวลาเหยียบเบรกในตอนเช้า เมื่อวิ่งไปสักพักอาการจะหายไป หรือเกิดเสียงดังจี๊ดๆ  ตอนแตะเบรก ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากผ้าเบรกบางจนถึงตัวเตือนเบรก ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกทันที และบางครั้งอาจมีเสียงดังครืดๆ เหมือนเสียงเหล็กสีกัน คือผ้าเบรกหมดจนเหลือแต่เหล็ก แนะนำให้ประคองรถเข้าอู่ทันที และอย่านำรถไปใช้เด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตราย และอาจเสียหายมากกว่าเดิม

3. ผ้าเบรกบาง สังเกตได้จากการเอาไฟส่องที่คาลิปเปอร์เบรก เพื่อดูความหนาของผ้าเบรก หากผ้าเบรกเหลือแค่เพียง 3 - 4 mm แนะนำให้รีบเข้าตรวจเช็กทันที (เพราะไม่สามารถมองเห็นผ้าเบรกด้านในได้)

4. เมื่อต้องยกเบรกมือให้สูงขึ้น จะมีสาเหตุมาจากเบรกหลังโดยตรง หากเบรกมือเริ่มจับไม่อยู่ หรือเริ่มยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่าผ้าเบรกหลังเริ่มบาง

5. น้ำมันเบรกลดลง ตรวจสอบได้โดยการเปิดฝากระโปรงรถยนต์และมองหาที่ฝั่งคนขับ จะพบกระปุกที่ใกล้พวงมาลัยมากที่สุด หากน้ำมันเบรกลดลงจนถึงขีดต่ำสุด จะมีไฟเบรกมือโชว์เตือนติดค้างเป็นสีแดง แสดงว่า ผ้าเบรกกำลังเสื่อมสภาพ สึกหรอ หรือบาง ซึ่งเกิดจากสวิตช์ไฟในกระปุกน้ำมันไม่ต่อกัน จึงทำให้ไฟเบรกขึ้นค้างไว้ ควรเข้าศูนย์เพื่อตรวจเช็กทันที

6. เบรกจม คืออาการที่เมื่อเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าต้องใช้แรงเหยียบเบรกให้จมลึกต่ำกว่าปกติ หรือเหยียบเบรกค้างไว้แล้วแป้นเบรกค่อยๆ ลดต่ำลงเอง แสดงว่าผ้าเบรกเริ่มบางลงจนอาจเป็นอันตรายได้
 
เมื่อเปลี่ยนผ้าเบรกแล้ว ในช่วงแรกไม่ควรขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงหรือขับตามคันหน้าอย่างกระชั้นชิด เนื่องจากต้องให้ผ้าเบรกมีการปรับหน้าสัมผัสให้เข้ากับจานเบรกสักระยะหนึ่งก่อน อาจทำให้เบรกได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจเบรกไม่ค่อยอยู่ ควรให้ผ้าเบรกปรับตัวเข้ากับจานเบรกอย่างช้า ๆ ผ้าเบรกจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน (วิธีถนอมผ้าเบรกแบบง่ายๆ ยืดอายุการใช้งาน ที่คนใช้รถควรรู้ คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/1622)

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

107
การนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อช่วยเก็บหลักฐานการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อคนในยุคปัจจุบันมากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องรอหลักฐานภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดของภาครัฐที่ติดตั้งไว้ตามสี่แยกสำคัญอีกต่อไป แต่สามารถนำคลิปจากกล้องหน้ารถมาใช้ประกอบเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีและเคลมประกันได้เลยทันที แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อประกันภัยรถยนต์ได้อีกด้วย (เคล็ดลับเด็ดช่วยลดค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/73)  แล้วจะมีเทคนิคในการเลือกกล้องติดรถยนต์อย่างไร
 
เทคนิคเลือกกล้องติดรถยนต์

1. ความละเอียดของภาพที่บันทึก

คุณภาพของวิดีโอที่บันทึกได้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก โดยปัจจุบันความละเอียดของกล้องติดรถยนต์ควรอยู่ที่ระดับ FULL HD (1080p) หรือ HD Ready (720p) เป็นมาตรฐาน เพราะที่ความละเอียดระดับนี้ สามารถนำภาพวิดีโอที่บันทึกได้ไปใช้งานจริงอย่างไม่ติดขัด แต่การจะได้มาซึ่งความละเอียดระดับ FULL HD จะต้องมีองค์ประกอบของเลนส์และชิปประมวลผลที่ทำงานคู่กัน เพียงสเปกที่ระบุไว้ว่ารองรับได้ถึง FULL HD เวลาใช้งานจริงอาจจะทำได้เพียง 480p ก็เป็นได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วกล้องติดรถยนต์ที่เป็นแบรนด์มาตรฐาน จะระบุรายละเอียดชัดเจนว่ารองรับการบันทึกภาพแบบ Full HD ด้วยหรือไม่
(ค้นหา กล้องติดรถยนต์แบบ Full HD คลิก https://www.powerbuy.co.th/th/camera-and-drones/surveillance-cameras/car-cameras)

2. FPS สูง ช่วยให้ภาพเคลื่อนไหวลื่นไหล สมจริง

ค่า FPS ย่อมาจาก Frame Per Second หรืออัตราของจำนวนเฟรมภาพต่อวินาที เป็นหน่วยวัดการบันทึกภาพนิ่งของในกล้องวิดีโอต่อ 1 วินาที เช่น 25 FPS หมายถึง ใน 1 วินาที จะมีภาพนิ่งถูกบันทึกต่อเนื่องกัน 25 ภาพ แน่นอนว่าค่า FPS มากจะส่งผลให้ภาพมีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ดูลื่นไหล แต่หากค่า FPS ต่ำ ภาพเคลื่อนไหวจะดูกระตุกและไม่ต่อเนื่อง แต่สำหรับกล้องติดรถยนต์ ค่า FPS ที่สูงเกินไปอาจจะมีผลเสียมากว่าผลดี เพราะจะทำให้กินพื้นที่การ์ดความจำมากกว่าปกติ เพราะไฟล์วิดีโอที่ได้จะมีขนาดใหญ่มาก ค่า FPS สำหรับกล้องติดรถยนต์จึงไม่ควรสูงเกิน 30 FPS หรือไม่น้อยไปกว่า 25 FPS ก็เพียงพอต่อการใช้งาน

3. บันทึกภาพวิดีโอเวลากลางคืนหรือสภาวะที่มีแสงน้อยได้ดี

กล้องติดรถยนต์ที่สามารถใช้งานในสภาวะที่มีแสงน้อยหรือเวลากลางคืนได้ดี จำเป็นจะต้องมีอินฟาเรดเป็นพื้นฐานหรือควรมีฟังก์ชันที่เรียกว่า WDR (Wide Dynamic Range) ซึ่งเป็นฟังก์ชันเดียวกันกับที่มีอยู่ในกล้องวงจรปิดที่ติดตามบ้าน สำนักงาน หรือตามท้องถนน ช่วยทำให้การบันทึกภาพเวลากลางคืน (Night Shot) หรือสภาวะที่มีแสงน้อยให้ดูสว่างขึ้น หรือลดแสงบนท้องถนนที่อาจมีมากเกินไป ทำให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดมากขึ้น

4. มีรูรับแสงที่เหมาะสม

รูรับแสง หรือ Lens Aperture ของกล้องติดรถยนต์มีหน้าที่เดียวกันกับของกล้องถ่ายรูป คือ เป็นตัวควบคุมปริมาณแสงที่จะวิ่งผ่านรูนี้เข้าไปในกล้อง มีหน่วยเรียกว่า “F” หรือ “ค่า F/Stop” ค่าตัวเลข F น้อย รูรับแสงกว้าง แสงเข้าได้มาก เรียกว่า ชัดตื้น คือให้ช่วงระยะชัดของภาพน้อย จะให้ได้ภาพที่คมชัดมากที่สุดตรงจุดโฟกัส ในขณะที่หากค่าตัวเลข F มาก รูรับแสงแคบลง แสงเข้าได้น้อย เรียกว่าชัดลึก คือให้ช่วงระยะชัดของภาพมาก ภาพที่ได้จะคมชัดเท่ากันทั้งภาพ สำหรับกล้องติดรถยนต์แล้ว ค่า F มาก จะช่วยทำให้มีความชัดลึกคมชัดทั้งภาพ เหมาะสมกับการใช้งานมากกว่า

5. มุมกล้องแบบเลนส์กว้าง ใช้งานได้จริง

กล้องที่มีมุมมองกว้างจะช่วยเก็บรายละเอียดทั้งสองข้างทางของภาพได้มากกว่า หากกล้องมีมุมมองแคบเกินไป ก็อาจจะครอบคลุมหน้ารถได้ไม่หมด แต่ก็จะส่งผลกระทบกับภาพวิดีโอหรือภาพนิ่งตรงที่บันทึก เพราะลักษณะของภาพที่ได้จะเหมือนถูกซูมออกมา ภาพตรงกลางจะถูกบีบเพื่อเก็บภาพด้านข้างได้มากขึ้น จึงอาจได้ภาพที่ไม่ชัดเจนเท่าที่ควร และยังทำให้ระยะของภาพผิดเพี้ยน ดูไกลขึ้นกว่าระยะจริงที่เกิดขึ้น การเลือกกล้องติดรถยนต์ที่มีมุมมองกว้างเป็นเรื่องดี แต่ต้องให้แน่ใจว่าภาพด้านหน้าตรงต้องคมชัด ไม่ผิดเพี้ยน
 

6. เก็บภาพได้ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้ตอนเกิดอุบัติเหตุ

ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เบรกรถกะทันหันหรือรถเกิดอุบัติเหตุ จะทำให้มีแรงสั่นสะเทือนหรือแรงกระแทกเกิดขึ้น ระบบ G-Sensor ที่ติดมากับกล้องจะทำหน้าที่ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนหรือแรงกระแทก เพื่อล็อกไฟล์วิดีโอที่บันทึกอยู่ในช่วงเวลานั้นแยกออกมาเก็บเป็นพิเศษต่างหากจากช่วงเวลาที่บันทึกปกติ และจะถูกป้องกันไม่ให้ช่วงเวลาดังกล่าวถูกบันทึกวนซ้ำเมื่อหน่วยความจำเต็ม ถึงแม้ลบด้วยคอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำได้ ต้องฟอร์แมตการ์ดความจำทิ้ง จึงทำให้สามารถนำคลิปมาตรวจสอบย้อนหลังได้ ระบบนี้จึงมีความสำคัญและถือเป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่กล้องติดรถยนต์ทุกตัวต้องมี

7. ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion detect)
ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion detect) จะทำงานทันทีเมื่อมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นผ่านหน้ากล้องหรือหน้ารถยนต์ โดยจะบันทึกเป็นไฟล์วิดีโอออกมาเก็บไว้ในทุกๆ การเคลื่อนไหวที่ตรวจจับได้ ไฟล์ที่ได้จะมีขนาดเล็กและมีเฟรมเรทที่ต่ำเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองพื้นที่ของการ์ดหน่วยความจำ โดยระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion detect) จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อเปิดกล้องทิ้งไว้เฉยๆ แต่ไม่ได้ทำการบันทึกภาพวิดีโอไว้ เช่น ขณะรถติดหรือขณะจอดรถทิ้งไว้ที่ลานจอด และต้องการที่จะรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะรถจอดอยู่ แต่การใช้ระบบนี้ ตัวกล้องจำเป็นต้องมีไฟเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องมีอุปกรณ์จ่ายไฟให้กล้องอย่าง power bank ต่อกับกล้องไว้

8. เลือกแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

กล้องติดรถยนต์โดยทั่วไปจะมีทั้งรุ่นที่มีแบตเตอรี่ในตัว สามารถจ่ายไฟให้ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องต่อไฟจากที่จุดบุหรี่ หรือแบบไม่มีแบตเตอรี่ในตัวเอง แต่จะมี Dual Super Cap เป็นตัวเก็บประจุไฟทำหน้าที่เหมือนแบตเตอรี่สำรอง โดยจะค่อย ๆ ปล่อยกระแสไฟออกมาช้า ๆ เพื่อให้กล้องติดรถยนต์บันทึกวิดีโอได้เสร็จสมบูรณ์เมื่อดับเครื่อง แต่ก็ไม่สามารถจ่ายไฟให้กล้องติดรถยนต์ทำงานได้เหมือนแบตเตอรี่ และจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับแบตเตอรี่มากวนใจ เช่น แบตเสื่อม แบตบวมเก็บไฟไม่อยู่ เป็นที่น่าสังเกตว่ากล้องติดรถยนต์ที่มีคุณภาพดี ราคาสูง ส่วนใหญ่จะไม่มีแบตเตอรี่ภายใน แต่จะมีตัวเก็บประจุไฟฟ้าสำรองมาทำหน้าที่แทน

เลือกกล้องติดรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ เพื่อการบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้เต็มประสิทธิภาพ เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเมื่อต้องเกิดเหตุไม่คาดฝันกับรถยนต์ แล้วให้ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ช่วยคุ้มครองรถคุณ เบี้ยเริ่มต้นเพียง 6,999 บาท ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร. 1596 Line : @smkinsurance

สินมั่นคงประกันภัย ..ประกันรถ ประกันเวลา..

108
การให้บริการของรถสาธารณะนับเป็นประเด็นถกเถียงกันในสังคมที่หลายคนอาจจะเคยพบเจอ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการขับขี่ผิดกฎจราจร ผู้ขับขี่ไม่สุภาพหรือมีพฤติกรรมไม่สะสม หรือประเด็นร้อนกรณีแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก จึงมีแนวคิดนำระบบตัดแต้มมาพิจารณาพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ สำหรับผู้ขับรถสาธารณะและรถขนส่ง
 
เร่งสร้างพฤติกรรมขับขี่ปลอดภัย เริ่มใช้มาตรการตัดแต้ม 1 ธ.ค. นี้

กรมการขนส่งทางบก มุ่งสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการขนส่งทางถนนและการให้บริการแก่ผู้โดยสารรถสาธารณะ เพื่อสร้างพฤติกรรมการขับรถและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ขับรถให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ลดการกระทำผิดซ้ำ จึงได้ออกระเบียบกรมการขนส่งทางบก ว่าด้วยการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก พ.ศ. 2564 และระเบียบกรมการขนส่งทางบกว่าด้วยการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2564 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป โดยระเบียบทั้งสองฉบับจะใช้บังคับสำหรับผู้ขับขี่รถสาธารณะดังต่อไปนี้

1.   ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก (รถบรรทุก รถโดยสาร)
2.   ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถสาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
3.   ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (แท็กซี่)
4.   ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ (ตุ๊กตุ๊ก)
5.   ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ (มอเตอร์ไซค์รับจ้าง)

ทั้งนี้ การนำระบบการบันทึกคะแนนและตัดคะแนนมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ และให้ผู้กระทำผิดที่ถูกตัดคะแนนต้องเข้ารับการอบรมและทดสอบนั้น จะกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยการตัดคะแนนจะแบ่งตามกลุ่มข้อหาความผิดเป็น 3 กลุ่ม ตามความร้ายแรงของการกระทำความผิด

•   กลุ่มที่ 1 ตัดคะแนนครั้งละ 10 คะแนน
•   กลุ่มที่ 2 ตัดคะแนนครั้งละ 20 คะแนน
•   กลุ่มที่ 3 ตัดคะแนนครั้งละ 30 คะแนน

ผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้ขับรถสาธารณะและรถขนส่งสามารถศึกษาข้อหาความผิดแต่ละกลุ่ม ได้ทางเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก https://www.dlt.go.th/th และเพจเฟซบุ๊คกรมการขนส่งทางบก PR.DLT.News https://www.facebook.com/PR.DLT.NEWS
สำหรับผู้ได้รับใบอนุญาตที่ถูกตัดคะแนนจนเหลือ 0 คะแนน จะต้องถูกดำเนินการดังนี้

•   ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตเป็นเวลา 90 วัน
•   หากถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตเกินกว่า 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 ปี (นับจากวันที่ถูกตัดคะแนนครั้งแรก) จะถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตเป็นเวลา 180 วัน
•   ในกรณีที่ผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถกระทำความผิดร้ายแรง ผู้ได้รับใบอนุญาตจะถูกพักใช้ใบอนุญาตทันที และถูกตัดคะแนนจนเหลือ 0 คะแนนในครั้งเดียว ได้แก่
o   เสพยาเสพติดให้โทษในขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถ
o   ขับรถในระหว่างที่ใบอนุญาตถูกพักใช้
o   กระทำการที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงหรือภาพพจน์ของประเทศ
o   ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น เป็นภัยต่อสังคม หรือก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนเป็นเหตุทำให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจำนวนมาก
 
ผู้ได้รับใบอนุญาตที่ถูกตัดคะแนนสามารถมาเลือกเข้ารับการอบรมและทดสอบตามหลักสูตรเพื่อคืนคะแนนได้ด้วยตนเอง โดยจะได้รับคืนคะแนนที่ถูกตัดในวันที่ผ่านการอบรมทดสอบ ดังนี้

1.   หลักสูตรอบรมเวลา 2 ชั่วโมง จะได้รับคะแนนคืน 50 คะแนน
2.   หลักสูตรอบรมเวลา 4 ชั่วโมง จะได้รับคะแนนคืน 100 คะแนน
3.   หากไม่ผ่านการทดสอบสามารถขอเข้ารับการทดสอบใหม่ได้อีก 3 ครั้งภายใน 7 วันทำการ นับแต่วันที่ขอเข้ารับการอบรมและทดสอบครั้งแรก
4.   คะแนนที่ได้คืนรวมกับคะแนนคงเหลือต้องไม่เกิน 100 คะแนน และสามารถขอเข้ารับการอบรมเพื่อคืนคะแนนได้ปีละ 1 ครั้ง (ตามปีปฏิทิน)
5.   สำหรับผู้ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตต้องเข้ารับการอบรมและทดสอบตามหลักสูตรอบรมเวลา 4 ชั่วโมงเท่านั้น โดยมีสิทธิขอเข้ารับการอบรมได้ 1 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาต และเมื่อผ่านการอบรม ทดสอบ และพ้นกำหนดเวลาการพักใช้ใบอนุญาต จะได้รับคะแนนคืนกลับมาเป็น 100 คะแนน

สำหรับผู้ถูกตัดคะแนนหรือถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตที่ประสงค์เข้ารับการอบรมและทดสอบเพื่อขอคืนคะแนน สามารถแจ้งความประสงค์พร้อมหลักฐานใบอนุญาตขับรถหรือบัตรประจำตัวประชาชน ณ กองตรวจการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางบก สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 4 และกลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (อบรมสอบใบขับขี่ออนไลน์ 2564 (5 ปี เป็น 5 ปี) จองคิวยังไง? อบรมแล้วสอบเลยได้ไหม? คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/1687)
 
ขับรถดีมีวินัย เพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทาง คุ้มครองคุณให้ปลอดภัยยิ่งกว่าด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท "การันตีถูกจริง" ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

109
รถยนต์ | Car / แก้ไขปัญหาเบาะรถยนต์ขาด
« เมื่อ: ธันวาคม 15, 2021, 04:14:06 AM »
เบาะรถยนต์ คือส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้ขับขี่รถมักให้ความสนใจ ดูแล บำรุงรักษา ให้คงความสะอาดและสวยงามอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเบาะหนังแท้ หนังเทียม หรือเบาะผ้า ที่ต้องใช้วิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันออกไป แต่ต่อให้ดูแลรักษาดีอย่างไร...เบาะรถยนต์ก็อาจได้รับความเสียหาย ชำรุด หรือฉีกขาดได้ สินมั่นคงประกันรถยนต์มีเทคนิคแก้ปัญหาเบาะรถยนต์ขาด หรือเบาะรถยนต์ชำรุด มาฝากกัน

ประเภทของเบาะรถยนต์

1. เบาะหนังแท้

เบาะหนังแท้ในรถยนต์ส่วนใหญ่เป็นหนังวัว ที่ผ่านกระบวนการฟอกและย้อมสี หนังจึงนุ่ม ไม่มีกลิ่น มีสีสันสวยงาม ทนทานเป็นพิเศษ และถูกเคลือบด้วยน้ำยา WATER REPELLENT ที่มีคุณสมบัติกันน้ำ ถ่ายเทอากาศได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง จากความชุ่มชื้นของไขมันสัตว์ ทำให้ดูสวยงามมากกว่าหนังชนิดอื่น แต่มีราคา การดูแลรักษาต้องหมั่นทาน้ำยาเคลือบอยู่เป็นประจำ ช่วยให้หนังชุ่มชื้น ไม่แตกลายงา อันเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคราบสกปรกที่ยากต่อการทำความสะอาด (เทคนิคทำความสะอาดคราบบนเบาะหนังรถยนต์ คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/126)

2.   เบาะหนังเทียม แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

2.1.   หนังเทียม PVC (POLYVINYL CHLORIDE) ผลิตจากเนื้อพลาสติก POLYVINYL CHLORIDE ผ่านการฟอกย้อม แล้วตัดเย็บเข้ากับใยผ้า เพื่อความคงทน ไม่ขาดง่าย มีความหนา 1-2 มม. เมื่อนั่งหรือได้สัมผัสจะรู้สึกถึงความกระด้าง ไม่นุ่ม ถ้าหนังเสื่อมสภาพ จะแข็งขึ้นมากกว่าเดิม

2.2.   หนังเทียมแบบ PU (POLYURETHANE) สังเคราะห์ขึ้นโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ยาง POLYURETHANE ทำให้พื้นผิวอ่อนนุ่มคล้ายกับหนังแท้ ทนต่อความร้อน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหนังแบบ PVC และหนังชนิดนี้สามารถปั๊มลวดลายได้ตามต้องการ เบาะชนิดนี้ดูแลรักษาง่าย เพียงแค่หลีกเลี่ยงความร้อนจากแสงแดดเท่านั้น

3.   เบาะผ้า

เบาะผ้า เป็นเบาะรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีการดีไซน์และสีสันที่หลากหลาย และใช้ต้นทุนการผลิตถูกกว่าเบาะหนัง ถ่ายเทความร้อนและระบายความชื้นได้ดี เมื่อขับรถระยะไกล ยึดผู้นั่งไม่ให้ลื่นไหลได้ดี โดยมีทั้งแบบผ้าสังเคราะห์และผ้ากำมะหยี่ แล้วแต่การออกแบบของค่ายรถต่าง ๆ แต่มักเป็นตัวดักฝุ่น สะสมกลิ่นอับและกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เปื้อนคราบสกปรกได้ง่าย แต่ทำความสะอาดยาก และมักเกิดไฟฟ้าสถิต จากการเสียดสีของเสื้อผ้ากับเบาะ
 
วิธีแก้ไขปัญหาเบาะรถยนต์ชำรุด

1. เบาะรถยนต์ฉีกขาด เมื่อต้องประสบกับปัญหาเบาะรถยนต์ชำรุดฉีกขาด การนำเบาะเข้าซ่อมแซมที่ศูนย์บริการอาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับสภาพของเบาะและวัสดุที่เลือกใช้ หรือหากต้องเปลี่ยนเบาะที่นั่งทั้งชุดก็อาจทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงขึ้นไปอีก
หากพบปัญหาเบาะหนังมีรอยขาดเป็นจุด ๆ ก็สามารถแก้ไขซ่อมเบาะรถยนต์ได้ด้วยตัวเอง เพียงแค่สั่งแผ่นหนังแผ่นหนังประเภท PCV ซึ่งมีหลายขนาดหลายยี่ห้อให้เลือก หรืออาจเลือกขนาดที่กำหนดเองได้ โดยต้องเลือกสีให้ใกล้เคียงหรือตรงกับสีของเบาะรถยนต์เพื่อความกลมกลืนและเรียบเนียนที่สุด โดยมีวิธีการซ่อมแซมดังนี้

•   ทำความสะอาดก่อนการซ่อมเบาะหนังรถยนต์ที่ขาด เพียงใช้น้ำเปล่าและผ้าขนหนูเช็ดล้างตรงบริเวณเบาะเพื่อขจัดความมัน
•   วัดส่วนที่ขาดและขนาดของแผ่นหนังที่จะนำมาติด เมื่อได้ขนาดตามที่ต้องการแล้วใช้กรรไกรตัดมุมให้ปลายแผ่นมน เพราะหากเป็นมุมแบบแหลม ๆ จะเกี่ยวผ้าขาดได้
•   เมื่อได้ขนาดที่ต้องการแล้วก็ทำการลอกกาวและแปะแผ่นหนังลงไป และรูดให้แน่น ใช้ผ้าขัดเผื่อทำความสะอาดอีกรอบ
2.   เบาะรถแตกลายงา
อีกหนึ่งปัญหาที่พบสำหรับรถยนต์ใช้เบาะหนัง คือ หนัง PVC แตก มีสัมผัสที่กระด้าง ไม่เรียบเนียน เบาะมีลักษณะแตกลายงา สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป ดังนี้
•   ปูกระดาษหรือถุงขยะไว้ในบริเวณที่จะซ่อมเบาะรถ จากนั้นทำความสะอาดเบาะให้สะอาดหรือเช็ดด้วยน้ำยาขจัดคราบก่อน 
•   ใช้กระดาษทรายขัดจนพื้นสัมผัสเรียบขึ้น ซึ่งอาจจะไม่เรียบเนียนเหมือนใหม่ แต่ก็จะบรรเทาปัญหาให้เบาบางลงได้ จากนั้นให้ใช้น้ำยาขจัดคราบอีกครั้ง เพื่อช่วยให้สีติดทนทาน
•   รอจนเบาะแห้ง และใช้ครีมหรือสีพ่นเบาะหนังฉีดใส่ผ้าขนหนูหรือฟองน้ำ แล้วค่อย ๆ เช็ดบริเวณเบาะที่แตกลายงา ในขั้นตอนนี้ควรต้องใส่หน้ากากอนามัยด้วย แล้วปล่อยให้แห้ง

บำรุงรักษาเบาะรถยนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจลุกลาม แล้วให้ ประกันภัยรถยนต์คนกรุง ช่วยดูแลรถคุณ ประกันรถยนต์ชั้น 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท เบี้ยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/19 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

สินมั่นคงประกันภัย ..ประกันรถ ประกันเวลา..

110
“ท่อไอเสียรถยนต์” คือหนึ่งในอุปกรณ์ที่ติดมากับตัวรถ ทำหน้าที่เป็นช่องทางหลักเพื่อระบายไอเสียออกจากเครื่องยนต์ แต่ผู้ที่ชื่นชอบการแต่งรถให้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น หรือเพิ่มสมรรถนะเป็นพิเศษให้กับรถยนต์คันโปรด มักต้องมองหาข้อมูลการปรับเปลี่ยน “ท่อไอเสียรถยนต์” เพื่อเพิ่มแรงม้าให้กับรถยนต์ แต่หากติดตั้งอย่างผิดวิธีก็อาจทำให้ได้สมรรถนะที่แย่ลงหรือส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้เช่นกัน
 
เปลี่ยนท่อไอเสียรถยนต์ ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์จริงไหม?

ระบบคายไอเสียของท่อไอเสียรถยนต์ที่ได้รับการติดตั้งมาจากโรงงานผู้ผลิตนั้น จะคายไอเสียส่วนเกินที่ถูกเผาไหม้จากเครื่องยนต์ประมาณ 60-80 % การติดตั้งท่อไอเสียใหม่จะช่วยให้เครื่องยนต์สามารถคายไอเสียได้ดีกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถมีสมรรถนะเพิ่มขึ้น และยังมีผลให้ประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเดิม
 
วัสดุที่ใช้ผลิตท่อไอเสียรถยนต์

วัสดุที่ใช้ผลิตท่อไอเสียรถยนต์ มี 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่

1. ผลิตจากเหล็ก มีความแข็งแรง แต่เป็นสนิมง่าย จึงมีอายุการใช้งานไม่ยาวนาน
2. ผลิตจากอะลูมิเนียม มีความทนทาน เป็นสนิมยาก ติดตั้งแล้วเครื่องยนต์มีเสียงเพราะกว่าแบบเหล็ก

เปลี่ยนท่อไอเสียแบบไหน? ให้เหมาะกับรถเรา

เพื่อให้การเปลี่ยนท่อไอเสียรถยนต์ได้ประสิทธิผลเต็มกำลังแรงม้า ผู้ขับขี่รถยนต์ควรเลือกท่อไอเสียให้เหมาะกับขนาดของเครื่องยนต์ โดยมีเทคนิคง่ายๆ ดังนี้ 

1. ผู้ใช้รถควรเปลี่ยนท่อไอเสียให้สัมพันธ์กับขนาดความจุของรถ โดยไม่ควรมีขนาดแตกต่างจากของเดิมเกิน 0.5 นิ้ว เพราะจะส่งผลให้รถมีกำลังอัดลดลง ลดสมรรถนะการขับขี่ การใส่ท่อไอเสียที่ใหญ่กว่าของเดิมมาก อาจทำให้อัตราเร่งที่เคยดีแย่กว่าเดิม จึงควรเลือกขนาดท่อไอเสียอย่างระมัดระวัง
2. ราคาของท่อไอเสียจะขึ้นอยู่กับคุณภาพและชื่อเสียงของผู้ผลิต เริ่มต้นตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น ซึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ก็มีให้เลือกหลากหลาย เช่น ท่อ ProDrager, ท่อ JTC, ท่อ G-pipe, ท่อ AZC เป็นต้น ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้
3. ปกติแล้วหม้อพักท่อไอเสียจะมีอยู่สองจุดคือ หม้อพักกลางและหม้อพักหลัง (อ่านหน้าที่และส่วนประกอบหลักของท่อไอเสียรถยนต์ คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/1741) ส่วนใหญ่มักเลือกเปลี่ยนเฉพาะหม้อพักหลัง เพราะเปลี่ยนง่ายและราคาไม่แพง มีให้เลือกทั้งแบบไส้ตรง ไส้ย้อน หรือไส้ตรงแบบเป็นเกลียว การเปลี่ยนหม้อพักหลังอย่างเดียวอาจไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของแรงม้าเท่าไรนัก แต่มักเป็นเรื่องของความสวยงามและเสียงของท่อไอเสียที่เพิ่มขึ้นมา
4. ควรเปลี่ยนท่อไอเสียทั้งชุดและเป็นรุ่นเดียวกับผู้ผลิตเดิมที่ผลิตจากโรงงาน เนื่องจากทางผู้ผลิตได้มีการทดสอบแล้วว่า สามารถเพิ่มสมรรถนะอย่างเห็นได้ชัด ไม่ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ และถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับรถยนต์รุ่นนั้นโดยเฉพาะ
5. รถที่มีระบบอัดอากาศกับรถที่ไม่มีระบบอัดอากาศจะมีขนาดท่อไอเสียแตกต่างกัน เนื่องจากรถที่มีระบบอัดอากาศ จะมีปริมาณของอากาศและความร้อนมาก จึงจำเป็นจะต้องระบายความร้อนได้อย่างรวดเร็วกว่ารถที่ไม่มีระบบอัดอากาศ แต่หากท่อมีการคายอากาศมากไปก็อาจส่งผลให้สมรรถนะของรถยนต์ด้อยประสิทธิภาพลงได้ด้วยเช่นกัน
6. รถเกียร์ธรรมดากับรถเกียร์ออโต้ต้องเลือกใช้ท่อต่างกัน เพราะเกียร์ออโต้ต้องการการระบายไอเสียที่มีความโล่งน้อยกว่ารถเกียร์ธรรมดา การเลือกท่อไอเสียสำหรับรถเกียร์ออโต้ จึงไม่ควรใช้ท่อไอเสียที่โล่งเกินไป และควรเลือกใช้หม้อพักแบบไส้ย้อนเพื่อให้รถมีกำลังที่ดีไม่ด้อยไปกว่าเดิม
7. มักมีค่านิยมผิดๆ ในหมู่นักแต่งรถ ว่าแคทาไลทิก คอรเวอร์เตอร์จะทำให้เครื่องยนต์ด้อยประสิทธิภาพลงจนทำให้นักแต่งรถหลายท่านเลือกถอดแคทาไลลิกออกจากท่อไอเสีย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การถอดแคทาไลทิกนอกจากจะไม่ช่วยในการดูดซับเสียงและการปล่อยสารพิษออกสู่บรรยากาศภายนอกแล้ว ยังส่งผลให้มีอัตราการเผาผลาญน้ำมันที่สูงขึ้นด้วย (รู้จักแคทาไลทิก คอนเวอร์เตอร์ คลิก https://www.autoinfo.co.th/article/91248/)
 
การปรับแต่งรถยนต์ให้สวยและโดดเด่นบนท้องถนน ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลของแต่ละคนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การแต่งรถให้อยู่บนความพอดี ไม่สร้างความเดือดร้อนหรือรบกวนวิสัยทัศน์ในการขับขี่ของผู้ร่วมใช้รถใช้ถนน และไม่เกินเลยขอบเขตของกฎหมาย เป็นสิ่งที่นักแต่งรถทุกคนควรคำนึงถึงเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทางทุกคน

ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเหตุการณ์บนท้องถนน ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) "การันตีถูกจริง" สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line : @smkinsurance

สินมั่นคงประกันภัย ..ประกันรถ ประกันเวลา..

111
สภาพอากาศที่ชื้นแฉะในฤดูฝน เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะน่ารำคาญใจสำหรับผู้ที่ไม่ชอบความเปียกปอนของน้ำฝน เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ยังอาจเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุสำคัญที่ทำให้รถยนต์เกิด “สนิม” โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกกระแทก โดนขูดขีดหรือถูกชนจนทำให้ตัวสีภายนอกหลุดร่อน แล้วจะมีวิธีป้องกันสนิมในรถยนต์ได้อย่างไร?
 
“สนิม” เกิดจากอะไร?

“สนิม” หรือเหล็กออกไซด์ (Iron Oxide) เกิดขึ้นเมื่อเหล็กได้รับความชื้น อิเล็กตรอนในอะตอมของเหล็กจึงเกิดการแตกตัวทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นสนิมกัดกินเนื้อเหล็ก และพัฒนาลักษณะของพื้นผิวจนเป็นสีน้ำตาลและสีแดง สูญเสียความสมบูรณ์ของโครงสร้างทำให้เหล็กเสื่อมสภาพจนเปราะและกลายเป็นขุย

รถยนต์เป็นสนิมได้อย่างไร?

•   สภาพภูมิอากาศ - การสัมผัสกับฝนอยู่เป็นประจำ จะเพิ่มโอกาสให้ความชื้นไปทำปฏิกิริยาออกซิไดซ์กับเหล็กได้มากขึ้น จนอาจก่อให้เกิดสนิมกับส่วนประกอบของรถยนต์
•   อายุของรถยนต์ - เมื่อเวลาผ่านไปสีและสารเคลือบป้องกันสีรถอาจมีการสึกกร่อน จนทำให้พื้นผิวรถยนต์เกิดสนิม
•   วัสดุที่เป็นส่วนประกอบของตัวรถ - โดยทั่วไปแล้วรถยนต์รุ่นเก่าจะผลิตขึ้นโดยไม่มีสารเคลือบกันสนิม แต่ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีการใช้ขอบโค้งเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับบ่อล้อด้วย
•   สไตล์การขับขี่ หากพฤติกรรมการขับขี่มีแนวโน้มขับผ่านแอ่งน้ำอยู่บ่อยครั้ง ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการกัดกร่อนจนทำให้เกิดรอยสนิมได้
บริเวณของรถยนต์ที่เกิดสนิมได้บ่อย
•   โครงสร้างตัวรถ โดยเฉพาะใต้ประตูล่างทั้งสองฝั่ง ต้องหมั่นตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกตัวถัง
•   หลุมล้อ บริเวณส่วนโค้งเหนือยาง เป็นส่วนที่มีแนวโน้มที่จะเกิดสนิม โดยเฉพาะในรถยนต์รุ่นเก่า ๆ ที่มักไม่มีขอบยางโค้ง
•   ท่อไอเสีย มักจะสัมผัสกับความชื้นจากภายใน และภายนอกซึ่งอาจถูกโคลน หรือสิ่งสกปรกขังอยู่
•   ระบบกันสะเทือน มีแนวโน้มที่จะสัมผัสกับความชื้นบ่อยเนื่องจากอยู่ใกล้กับยาง
•   กระจกบังลม ตรงบริเวณรอบ ๆ กระจกมีแนวโน้มที่จะเกิดการรั่วซึม และสัมผัสกับความชื้นได้
 
ป้องกันสนิมบนรถยนต์

•   หมั่นล้างทำความสะอาดและเช็ดรถให้แห้งอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดสนิม
•   WAX เคลือบพื้นผิวเพิ่มชั้นป้องกันให้กับงานสีของรถยนต์ โดยสามารถใช้ WAX เคลือบบริเวณที่มีความชื้นสะสมอยู่บ่อยๆ
•   น้ำยากันสนิม จะช่วยขับความชื้นออกจากบานพับข้อต่อ และบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึงอื่นๆ อีกด้วย
•   จอดรถในโรงรถหรือที่ที่มีหลังคา จะช่วยปกป้องสีรถจากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ได้

แก้ปัญหาสนิมติดรถยนต์

วิธีแก้ปัญหาสนิมในรถยนต์สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ดังนี้
1.   เอาผ้าเช็ดทำความสะอาดบริเวณที่เกิดสนิมให้สะอาด
2.   สังเกตดูว่าจุดที่เกิดสนิมห่างจากจุดที่เป็นสีของตัวถังแค่ไหน หากอยู่ห่างมาก ให้ใช้กระดาษทรายขัดเพื่อให้ได้ผลดี ควรเลือกใช้กระดาษทรายเบอร์ 800 ขึ้นไป
3.   เมื่อขัดจนสนิมหายแล้ว ใช้ผ้าแห้งเช็ดคราบสนิมที่เหลือออกไป ห้ามใช้น้ำล้าง ให้ใช้พวกสเปรย์หล่อลื่น น้ำมันหล่อลื่น ในการล้าง แล้วก็เช็ดออกอีกที
4.   ใช้จาระบี บีบอัดลงไปในจุดที่ขัดไว้
 
สนิมที่เกิดขึ้นบริเวณสีรถ โดยเฉพาะสนิมที่เกิดจากรอยเฉี่ยวชนหรือถูกเศษหินกระเด็นใส่ ไม่ควรซ่อมแซมด้วยตัวเอง ควรนำไปให้ช่างประเมินความเสียหายที่อู่ซ่อมรถหรือศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบความเสียหายโดยละเอียด ช่วยคุ้มครองรถคุณครอบคลุมทุกเรื่องทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) "การันตีถูกจริง" สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20

112
รถยนต์ | Car / ที่ฉีดกระจกรถฉีดไม่ออกทำอย่างไร?
« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2021, 08:03:26 AM »
“ที่ฉีดกระจกรถ” จัดเป็นระบบของเหลวอีกหนึ่งชนิดภายในระบบรถยนต์ที่ต้องหมั่นตรวจสอบให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพราะหากที่ฉีดกระจกในถังเก็บน้ำหมด สายส่งน้ำชำรุดเสื่อมสภาพ หรือถังเก็บที่ฉีดกระจกรั่วซึม ล้วนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ที่ฉีดกระจกทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ สินมั่นคงประกันรถยนต์ รวบรวมสาเหตุที่ทำให้ที่ฉีดกระจกฉีดไม่ออกมาฝาก

ที่ฉีดกระจกฉีดไม่ออก แก้อย่างไร?

เมื่อกดปุ่มเรียกที่ฉีดกระจกแล้วกลับไม่มีน้ำฉีดออกมา หรือมีน้ำไหลออกมาน้อยผิดปกติ สามารถเริ่มตรวจเช็กตามสาเหตุดังนี้

รูหัวฉีดน้ำอุดตัน ทำให้ที่ฉีดกระจกไม่ออกหรือออกมาน้อยกว่าปกติ มักพบได้บ่อยในรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมานาน มีสาเหตุมาจากเศษฝุ่นผง หรือตะกอนน้ำฝนอุดตันที่หัวฉีด สามารถแก้ไขได้โดยการใช้เข็มเย็บผ้า หรือเข็มหมุดแทงสวนเข้าไปยังรูที่ฉีดกระจกเพื่อเขี่ยสิ่งที่อุดตันรูฉีดออก หรือใช้แปรงสีฟันทำความสะอาดบริเวณรูฉีดได้ด้วยเช่นกัน

ท่อทางเดินที่ฉีดกระจกเสียหาย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ที่ฉีดกระจกไม่สามารถไหลออกมาได้สะดวกเท่าที่ควร เมื่อเจ้าของรถตรวจสอบท่อส่งน้ำภายในห้องเครื่องอาจพบว่าท่อดังกล่าวอยู่ในลักษณะหลุดจากถังพักน้ำ แตก รั่ว หรือพับงอเนื่องจากหมดอายุการใช้งาน หรือถูกหนูกัด สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองหรือให้ช่างเครื่องยนต์หรือศูนย์บริการเปลี่ยนท่อส่งน้ำใหม่

มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่สูบน้ำไปฉีดที่กระจกเสีย จากปัญหาระบบไฟฟ้าภายในห้องเครื่องหรืออายุการใช้งานของรถยนต์ที่มากกว่า 5-7 ปี ทำให้มอเตอร์ดังกล่าวไม่มีกำลังในการดูดน้ำจากถังพักไปฉีดกระจก สามารถสังเกตอาการมอเตอร์เสียดังกล่าวได้จากการที่ไม่ได้ยินเสียงมอเตอร์ไฟฟ้าทำงาน เมื่อกดปุ่มที่ฉีดกระจก สามารถแก้ไขได้โดยให้ช่างเครื่องยนต์ซ่อมหรือเปลี่ยนมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่

ปริมาณน้ำในถังที่ฉีดกระจกมีปริมาณไม่เพียงพอ มักมีสาเหตุมาจากน้ำฉีดในถังพักระเหยออกไปบางส่วน แล้วใช้ที่ฉีดกระจกจนหมดโดยไม่ได้มีการเติมเพิ่มแต่อย่างใด หรือถังพักที่ฉีดกระจกมีรอยรั่ว ทำให้ไม่สามารถเก็บที่ฉีดกระจกได้เท่าที่คววร สามารถตรวจสอบได้จากการเติมน้ำเพิ่มเข้าไปในถังพัก แล้วทิ้งช่วงไว้สักครู่เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำที่คงเหลืออยู่ หากพบว่าถังเก็บที่ฉีดกระจกรั่ว ต้องให้ช่างเครื่องยนต์ดำเนินการเปลี่ยนใหม่ให้

น้ำที่ฉีดกระจกหมดทำอย่างไร ผสมน้ำยาล้างจานได้หรือไม่?

น้ำหรือของเหลวที่ดีที่สุดในการเติมถังน้ำสำหรับใช้ฉีดกระจก คือ น้ำสะอาดทั่วไป เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการอุดตันภายในระบบฉีดทำความสะอาดกระจก ทั้งนี้ ควรตรวจสอบคุณภาพของน้ำประปาที่นำมาใช้เติมในถังเก็บน้ำก่อนทำการเติมทุกครั้ง เนื่องจากน้ำประปาในบางพื้นที่อาจมีหินปูนหรือตะไคร่เจือปนอยู่ ทำให้ท่อฉีดที่ฉีดกระจกอุดตันได้

อย่างไรก็ตาม สามารถผสมน้ำยาล้างกระจกหรือน้ำยาล้างจานผสมน้ำแบบเจือจาง เพื่อเพิ่มความเงาใส ความสะอาด และความสามารถในการทำความสะอาดคราบยึดเกาะแน่น เช่น คราบแมลง ให้กับกระจกรถยนต์ในขณะที่ปัดน้ำฝนทำงาน แต่ไม่ควรใช้แชมพูสระผมหรือผงซักฟอกผสมน้ำ เนื่องจากแชมพูจะตกตะกอนและทำให้เกิดการอุดดันที่รูหัวฉีดได้

น้ำที่ใช้สำหรับฉีดกระจกที่ดีที่สุด คือ น้ำสะอาดที่ปราศจากสิ่งสกปรกเจือปน สามารถเติมได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองที่ถังเก็บน้ำสำหรับฉีดกระจกบริเวณด้านหน้าห้องเครื่อง และเติมความพร้อมให้กับทุกการขับขี่ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ด้วยเบี้ยเบาๆ จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 969 บาท คลิก www.smk.co.th/premotor

113
ปัญหาเชื้อราในรถยนต์พบได้บ่อยครั้งเมื่อระบบถ่ายเทอากาศภายในห้องโดยสารไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถทิ้งไว้นาน หรือการรั่วซึมสะสมภายในห้องโดยสาร ล้วนทำให้เกิดความอับชื้นและก่อให้เกิดเชื้อราบนพื้นผิววัสดุต่างๆ ภายในรถยนต์ เช่น เบาะรถยนต์ขึ้นรา หรือพรมรองเท้าขึ้นรา สินมั่นคงประกันภัยรถยนต์ รวบรวม 3 ตัวช่วยในการกำจัดเชื้อราในรถยนต์มาฝากกัน

1. สารดูดความชื้น

สารดูดความชื้น หรือวัตถุช่วยดูดความชื้นที่หาได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น ถ่านไม้ ใบชา เบกกิ้งโซดา หรือซองดูดความชื้นที่บรรจุซิลิกาเจล (Silica Gel) มักถูกนำมาใช้งานเพื่อดูดความชื้นที่ตกค้างในพื้นที่หรือภาชนะที่ปิดสนิท เช่น ขวดยา ซองขนม หรือกล่องเก็บกล้องถ่ายรูป อย่างไรก็ตาม เมื่อสารดูดความชื้นทำหน้าที่ดูดความชื้นจนถึงจุดอิ่มตัวหรือเมื่อถึงกำหนดอายุการใช้งาน จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวดูดความชื้นใหม่ เนื่องจากตัวดูดความชื้นเดิมจะไม่สามารถทำหน้าที่ดูดความชื้นได้อีกต่อไป

การนำกล่องดูดความชื้น หรือวัตถุดูดความชื้นเข้ามาใช้งานภายในรถยนต์ เพื่อควบคุมความชื้นภายในห้องโดยสารและลดโอกาสในการเกิดเชื้อรา อาจจะไม่ได้ส่งผลมากนักกับการใช้งานในห้องโดยสารรถยนต์ เนื่องจากระบบการถ่ายเทอากาศภายในห้องโดยสารจากทั้งระบบแอร์ภายในรถยนต์ และระบบเปิดปิดห้องโดยสารให้อากาศไหลเวียนโดยอย่างอิสระ นับว่าเป็นวิธีการควบคุมความชื้นภายในห้องโดยสารที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว สารดูดความชื้นต่างๆ จึงอาจไม่มีประโยชน์มากนักสำหรับการใช้ควบคุมความชื้นในพื้นที่ที่ไม่ได้ปิดสนิท เช่น ห้องโดยสารรถยนต์

2. น้ำส้มสายชู

เจ้าของรถยนต์อาจเลือกใช้น้ำส้มสายชูที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดทำความสะอาดคราบราที่เกิดขึ้นภายในห้องโดยสารด้วยตัวเองเบื้องต้น เนื่องจากน้ำส้มสายชูจะมีกรดน้ำส้ม หรือ “กรดอะซิติก”  ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเเพร่กระจายของเชื้อรา เเละไม่เป็นอันตรายต่อพื้นผิวของวัสดุต่างๆ ภายในห้องโดยสาร

วิธีการนำน้ำส้มสายชูมาใช้ฉีดพ่นเชื้อราภายในรถยนต์ สามารถทำได้โดยการนำน้ำส้มสายชูใส่กระบอกฉีดผสมกับน้ำสะอาดฉีดพ่นบริเวณจุดที่เกิดเชื้อราให้ทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง และฉีดพ่นบริเวณเดิมอีกครั้งเมื่อบริเวณที่ฉีดพ่นน้ำยาในครั้งแรกแห้งดีแล้ว หลังจากนั้นนำผ้าสะอาดชุบน้ำส้มสายชูถูลงบนบริเวณจุดที่มีคราบเชื้อราอีกครั้ง เพื่อเช็ดทำความสะอาดให้คราบหลุดออกทั้งหมดโดยไม่ถูซ้ำไปมา ก่อนที่จะทิ้งผ้าดังกล่าวโดยไม่นำกลับมาใช้อีก

ทั้งนี้ ในระหว่างที่เริ่มทำความสะอาดภายในรถยนต์ด้วยน้ำส้มสายชู เจ้าของรถยนต์ควรจอดรถยนต์ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อราโดยตรง และเพื่อป้องกันละอองของน้ำส้มสายชูและเชื้อราเข้าสู่ร่างกาย

3. น้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์

น้ำยาฆ่าเชื้อราแบบสเปรย์ เป็นน้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์ประเภทหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มน้ำยาทำความสะอาดประเภทเดียวกับน้ำยาทำความสะอาดเบาะผ้าและพรม ซึ่งน้ำยาทำความสะอาดดังกล่าวสามารถใช้ทำความสะอาดเชื้อราได้ง่าย เนื่องจากสามารถใช้ทำความสะอาดได้ในทุกพื้นผิว และมีประสิทธิภาพมากพอในการทำลายเชื้อราบนพื้นผิววัสดุต่างๆ ภายในห้องโดยสาร เช่น พื้นพรม เบาะนั่ง หรือคอนโซลหน้ารถ

นอกจากนั้นเเล้ว น้ำยาทำความสะอาดเอนกประสงค์ยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อโรคและแบ็คทีเรียร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้สเปรย์อเนกประสงค์สำหรับฉีดพ่นเชื้อรา จำเป็นต้องใช้งานด้วยความระมัดระวังโดยต้องสวมถุงมือ หน้ากาก และเเว่นตาทุกครั้งเมื่อใช้งานเพื่อป้องกันการสูดดมทั้งเชื้อราและน้ำยาฆ่าเชื้อ ตลอดจนเพื่อป้องกันน้ำยาฆ่าเชื้อรากระเด็นโดนสายตาและผิวหนัง

วิธีการป้องกันเชื้อราในรถยนต์ที่ดีที่สุด คือ การหมั่นตรวจเช็กและทำความสะอาดพื้นที่ที่เปียกชื้น และมักเป็นจุดเกิดเชื้อราภายในห้องโดยสาร เช่น พื้นพรม หรือเบาะนั่ง  พร้อมเพิ่มความพร้อมให้กับทุกการขับขี่ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลา ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ด้วยเบี้ยเบาๆ จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 969 บาท คลิก www.smk.co.th/premotor

บทความที่เกี่ยวข้อง
- ประกันรถยนต์ : วิธีดูแลรถยนต์หลังลุยฝน! https://www.smk.co.th/newsdetail/1627

- ประกันรถยนต์ : ขับรถขณะฝนตกให้ปลอดภัย https://www.smk.co.th/newsdetail/210

- ประกันรถยนต์ : ตรวจเช็ครถยนต์ให้พร้อมรับหน้าฝน https://www.smk.co.th/newsdetail/410

114
“น้ำท่วม” ดูจะเป็นสถานการณ์ที่น่าห่วงสำหรับประชาชนผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่ตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจาก “น้ำท่วม” จะสร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือนและพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านแล้ว ยังมีภัยอันตรายอีกหลายประการที่มาพร้อมกับน้ำ และอาจเป็นอันตรายต่อผู้ประสบภัยจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้

1. ภัยจากการจมน้ำ

• หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ ลงเล่นน้ำ พายเรือ หรือจับสัตว์น้ำในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก
• ไม่อยู่ใกล้บริเวณทางน้ำไหลผ่าน หรือร่องน้ำที่มีระดับน้ำสูงเหนือเข่า เพราะความแรงของกระแสน้ำที่พัดมาอาจทำให้จมน้ำเสียชีวิต
• ใช้ไม้สำรวจเส้นทาง หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำในช่วงกลางคืน หากจำเป็นควรใช้ไฟฉายส่องทาง เพื่อป้องกันการพลัดตกท่อระบายน้ำหรือบ่อน้ำ
• นำวัสดุที่สามารถลอยน้ำได้ เช่น ห่วงยาง ถังแกลลอน ลูกมะพร้าว ขวดน้ำพลาสติก ยางในรถยนต์ เป็นต้น มาใช้ยึดเกาะขณะเดินลุยน้ำและช่วยเหลือผู้ที่พลัดตกน้ำ
• ห้ามใช้รถยนต์ขับผ่านเส้นทางที่มีน้ำท่วมสูง เพราะรถจะไม่สามารถต้านความแรงของกระแสน้ำ อาจทำให้รถถูกน้ำพัดออกนอกเส้นทางหรือจมน้ำได้
• การโดยสารทางเรือ ให้สวมใส่อุปกรณ์ชูชีพ หรือนำอุปกรณ์ที่สามารถลอยน้ำได้ติดไว้ในเรือ เพื่อใช้ลอยตัวขณะรอความช่วยเหลือหากเรือล่ม
• กรณีลงจับสัตว์น้ำหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงน้ำท่วม ไม่ควรอยู่ในน้ำเป็นเวลานานเกินไป เพราะจะทำให้เป็นตะคริวและจมน้ำเสียชีวิตได้
• ดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้ปลอดภัยได้ หากพลัดตกน้ำจะมีโอกาสจมน้ำเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่น
• แม้จะว่ายน้ำเป็นก็ควรสวมเสื้อชูชีพ หรือใช้อุปกรณ์ที่สามารถพยุงตัวได้ขณะเดินลุยน้ำที่ท่วมสูงหรือพายเรือ เพราะกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว อาจทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านแรงน้ำ ส่งผลให้จมน้ำเสียชีวิตได้
 
2.   ภัยจากกระแสไฟฟ้ารั่ว

•   ตัดกระแสไฟฟ้าที่แผงสวิตซ์ไฟรวมของบ้านหรือสับสวิตซ์ไฟลง พร้อมย้ายสวิตซ์ไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าให้พ้นจากระดับที่น้ำท่วมถึง
•   ก่อนนำอุปกรณ์ไฟฟ้ามาใช้งาน ควรตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพปลอดภัย และผู้ใช้งานไม่ยืนอยู่บนพื้นที่ชื้นแฉะ พร้อมสวมรองเท้าให้เรียบร้อย
•   เมื่อเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วพบสิ่งผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็นไหม้ มีเสียงดังมาจากเครื่อง เป็นต้น ให้หยุดใช้งานทันที พร้อมนำไปให้ช่างซ่อมแซม
•   ห้ามใช้และสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้าในขณะที่ตัวเปียกชื้นหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าเปียกน้ำ
•   ห้ามนำเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมมาใช้งานอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ถูกไฟฟ้าดูดเสียชีวิตได้
•   ไม่เดินลุยน้ำ หรือพายเรือเข้าใกล้แนวเสาไฟฟ้า เพราะหากมีกระแสไฟฟ้ารั่วไหล อาจจะทำให้ได้รับอันตรายจากการถูกไฟฟ้าดูดจนเสียชีวิต

3.   ภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ

•   รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สด ใหม่ และดื่มน้ำสะอาดที่ต้มสุก หรือผ่านการแกว่งสารส้มฆ่าเชื้อ ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร
•   ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันโรคระบาดในช่วงน้ำท่วม เช่น ไข้หวัด ปอดบวม ตาแดง โรคระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น และล้างเท้าให้สะอาดหลังเดินลุยน้ำท่วมจะช่วยป้องกันโรคน้ำกัดเท้า โรคเท้าเปื่อย และโรคฉี่หนู
•   ถ่ายอุจจาระลงถุงพลาสติกและใส่ปูนขาวลงไปเล็กน้อย พร้อมปิดปากถุงให้แน่นแล้วใส่ถุงดำซ้อนอีกชั้น ก่อนนำไปทิ้งในบริเวณที่จัดไว้ ห้ามถ่ายอุจจาระลงน้ำอย่างเด็ดขาดเพราะอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้

4.   ภัยจากเพลิงไหม้

•   ใช้เทียนและตะเกียงน้ำมันที่จุดไฟให้แสงสว่างอย่างระมัดระวัง และดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังใช้งาน
•   ระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นพิเศษ เพราะหากกระแสไฟฟ้ารั่วไหล นอกจากจะทำให้ถูกไฟฟ้าดูดเสียชีวิตแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้อีกด้วย

5.   ภัยจากของมีคม สวมรองเท้าบูททุกครั้งที่เดินลุยน้ำ เพื่อป้องกันการเหยียบเศษวัสดุและของมีคมที่อยู่ใต้น้ำ

6.   ภัยจากสัตว์มีพิษ

•   ระมัดระวังสัตว์มีพิษที่อาจหนีน้ำท่วมเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะบริเวณใต้ตู้รองเท้าหรือเสื่อ
•   ปิดฝาภาชนะกักเก็บน้ำให้มิดชิด เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงที่อาจเป็นพาหะของโรคในช่วงน้ำท่วม

ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ลุ่มต่ำ ควรติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดได้ที่ ศูนย์ป้องกันวิกฤติน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ (http://mekhala.dwr.go.th) หรือตามติดตามได้ในรูปแบบแผนที่จากดาวเทียม คลิก (http://flood.gistda.or.th/) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และช่วยป้องกันความปลอดภัยให้กับชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างทันท่วงที

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) "การันตีถูกจริง" ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกเรื่อง ทั้งความเสียหายต่อตัวรถยนต์หรือบุคคลภายนอก รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ และน้ำท่วม สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor

115
ในช่วงที่คนไทยต้องประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ อาจทำให้หลายคนต้องตัดสินใจขายสินทรัพย์ที่อยู่ในมือเพื่อนำมาหมุนเวียนใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แล้วการซื้อขายรถยนต์มือสองมีขั้นตอนอย่างไร? ใช้เอกสารอะไรบ้างทั้งฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขาย
 
ซื้อขายรถยนต์มือสอง ใช้เอกสารอะไรบ้าง?

เอกสารที่ต้องใช้ในการซื้อขายรถยนต์มือสอง สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กรณี ดังนี้

1. รถยนต์จดทะเบียนเป็นชื่อบุคคลธรรมดาและไม่ติดไฟแนนซ์
• สำเนาบัตรประชาชน 1 ใบ พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง ขีดคร่อมพร้อมเซ็นกำกับว่า “ใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน.....เท่านั้น” หากเจ้าของรถมีการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล และในสมุดคู่มือจดทะเบียนยังเป็นชื่อ-นามสกุลเดิมอยู่ ต้องใช้ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุลแนบด้วย
• แบบคำขอโอน 1 ใบ ผู้ขายเซ็นตรงตำแหน่งผู้โอน
• หนังสือมอบอำนาจ 1 ใบ ผู้ขายเซ็นตรงตำแหน่งผู้มอบอำนาจ ควรเขียนจุดประสงค์ในการมอบอำนาจว่า “ใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน.....เท่านั้น”
• สมุดคู่มือจดทะเบียน (เล่มสีน้ำเงิน) เจ้าของรถต้องเซ็นในช่องผู้ถือกรรมสิทธิ์ด้วย
• สัญญาซื้อขาย ต้องเป็นแบบที่มีฉบับสำเนาด้วย เพราะผู้ซื้อและผู้ขายต้องเก็บไว้คนละชุด และต้องมีสำเนาบัตรประชาชนผู้ซื้อ-ผู้ขายเซ็นสำเนาถูกต้องแนบสัญญาไว้ด้วย

2. รถยนต์จดทะเบียนเป็นชื่อบุคคลธรรมดาและติดไฟแนนซ์
• สำเนาบัตรประชาชน 3 ใบ เซ็นขีดคล่อมเหมือนกับรถที่ไม่ติดไฟแนนซ์ หากเจ้าของรถมีการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล และตอนที่ทำเรื่องขอสินเชื่อยังเป็นชื่อ-นามสกุลเดิมอยู่ ต้องใช้ใบเปลี่ยนชื่อ-สกุลแนบด้วย โดยลายเซ็นที่เซ็นรับรองสำเนาถูกต้องต้องเหมือนกับในคู่สัญญาที่ทำไว้กับไฟแนนซ์
• สำเนาทะเบียนบ้าน 3 ใบ พร้อมเซ็นสำเนาถูกต้อง
• แบบคำขอโอน 2 ใบ ผู้ขายเซ็นตรงตำแหน่งผู้โอน 1 ใบ และผู้ขายเซ็นตรงตำแหน่งผู้รับโอน 1 ใบ ผู้รับโอนต้องเซ็น 2 ที่
• หนังสือมอบอำนาจ 3 ใบ ให้เซ็นเหมือนกับรถที่ไม่ติดไฟแนนซ์
• ส่วนสมุดคู่มือจดทะเบียนจะยังไม่มี เพราะยังอยู่ที่ไฟแนนซ์ ต้องไปปิดไฟแนนซ์ก่อน แล้วไฟแนนซ์จะไปดำเนินการโอนให้กับเจ้าของรถ หลังจากได้เล่มมาแล้วเจ้าของรถค่อยเอามาเซ็นตรงผู้ถือกรรมสิทธิ์ แล้วค่อยเอาไปให้ผู้ซื้ออีกที แต่จะใช้เงินใครปิดนั้นต้องให้ผู้ซื้อ ผู้ขายตกลงกันเอง แต่โดยทั่วไปแล้วมันเป็นเงินของผู้ซื้อ
• สัญญาซื้อขาย ต้องเป็นแบบที่มีฉบับสำเนาด้วย เพราะผู้ซื้อและผู้ขายต้องเก็บไว้ฝ่ายละชุด และต้องมีสำเนาบัตรประชาชนผู้ซื้อ-ผู้ขายเซ็นสำเนาถูกต้องแนบสัญญาไว้ด้วย

3. รถยนต์จดทะเบียนเป็นชื่อนิติบุคคลและไม่ติดไฟแนนซ์
• สำเนาบัตรประชาชนของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท 1 ใบ พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง ขีดคร่อมพร้อมเซ็นกำกับว่า “ใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน.....เท่านั้น”
• แบบคำขอโอน 1 ใบ ผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเซ็นตรงผู้โอนพร้อมประทับตราบริษัท
• หนังสือมอบอำนาจ 1 ใบ ผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเซ็นตรงผู้มอบอำนาจพร้อมประทับตราบริษัท ควรเขียนระบุวัตถุประสงค์ในการมอบอำนาจด้วยว่า “ใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน.....เท่านั้น”
• สมุดคู่มือจดทะเบียน (เล่มสีน้ำเงิน) ผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเซ็นในช่องผู้ถือกรรมสิทธิ์พร้อมประทับตราบริษัท
• สำเนาหนังสือจดทะเบียนบริษัททุกหน้า พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องพร้อมประทับตราบริษัททุกหน้า
• สัญญาซื้อขาย

4. รถยนต์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและติดไฟแนนซ์
• สำเนาบัตรประชาชนของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท 3 ใบ พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง ควรขีดคร่อมพร้อมเซ็นกำกับว่า “ใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน.....เท่านั้น”
• สำเนาทะเบียนบ้านของผู้มีอำนาจลงนามของบริษัท 3 ใบ พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
• แบบคำขอโอน 2 ใบ ผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเซ็นตรงผู้โอนพร้อมประทับตราบริษัท 1 ใบ และ ผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเซ็นตรงผู้รับโอน 2 ที่พร้อมประทับตราบริษัท (ต้องประทับทั้ง 2 จุดตรงที่เซ็นชื่อ) อีก 1 ใบ
• หนังสือมอบอำนาจ 3 ใบ ผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทเซ็นตรงผู้มอบอำนาจพร้อมประทับตราบริษัท ควรเขียนจุดประสงค์ในการมอบอำนาจว่า “ใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์เลขทะเบียน.....เท่านั้น”
• สมุดคู่มือจดทะเบียนรถยังคงอยู่ที่ไฟแนนซ์ จำเป็นจะต้องนำเงินไปปิดไฟแนนซ์เสียก่อน ไฟแนนซ์จึงจะดำเนินการโอนให้กับเจ้าของรถ หลังจากได้เล่มมาแล้วเจ้าของรถจึงเอามาเซ็นตรงผู้ถือกรรมสิทธิ์พร้อมประทับตราบริษัท แล้วจึงนำไปให้ผู้ซื้ออีกที ส่วนจะใช้เงินฝ่ายผู้ซื้อหรือผู้ขายเป็นผู้ปิดไฟแนนซ์ก็ตามแต่จะตกลงกัน แต่โดยทั่วไปแล้วมักเป็นเงินจากฝ่ายผู้ซื้อ
• สำเนาหนังสือจดทะเบียนบริษัททุกหน้า พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องและประทับตราบริษัททุกหน้า
• สัญญาซื้อขาย

ข้อมูลเพิ่มเติม
- โอนรถในนามบริษัทมาเป็นส่วนบุคคลใช้เอกสารอะไรบ้าง? คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/2767
- โอนรถไม่ยาก...ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ https://www.smk.co.th/newsdetail/1666

เอกสารอื่นๆ เช่น ใบโอน ใบมอบอำนาจ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน นั้น มีไว้ใช้เพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น (https://www.dlt.go.th/) มีเพียงสัญญาซื้อขายเพียงอย่างเดียวที่จะต้องเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่ารถยนต์มีการซื้อขายอย่างถูกต้อง จึงจำเป็นจะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด เบี้ยเริ่มต้น 6,999 บาท และยังถูกลงได้อีก หากเลือกแบบมีดีดัก และระบุชื่อผู้ขับขี่ (ลดสูงสุดเหลือเพียง 3,999 บาท) "การันตีถูกจริง" สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/productmotordetail/20 หรือ โทร.1596 Line: @smkinsurance

116
“ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” เป็นอุปกรณ์สำคัญของรถยนต์อย่างหนึ่งที่เจ้าของรถทุกคันควรให้ความสำคัญ ดูแลรักษาให้สามารถใช้งานได้เป็นปกติอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเดือนที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน มีฝนตกต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ (อ่าน ขับรถขณะฝนตกให้ปลอดภัย คลิก https://www.smk.co.th/newsdetail/210) แล้วจะมีวิธีการเลือก “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” หรือตรวจเช็ค “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” ให้พร้อมใช้งานได้อย่างไร? สินมั่นคงประกันรถยนต์ รวบรวมข้อมูลมาไว้ให้แล้วค่ะ

ประเภทของ “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์”
การทำงานของใบปัดน้ำฝนที่ดี จะต้องเป็นการปาดน้ำฝนโดยมีช่องว่างระหว่างกระจกและน้ำฝนประมาณ 0.01- 0.05 มม. เพื่อสร้างผิวฟิล์มบนกระจกหรือเป็นการปาดน้ำให้เรียบ โดยไม่ปาดน้ำทั้งหมดออกไปจากกระจก เพราะหากออกแบบให้ใบปัดอยู่ติดกับกระจกมากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาใบปัดสะดุดและสั่นกระพือเมื่อใช้งานจริง โดยประเภทของใบปัดน้ำฝน มีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่
 
1.     ชนิดแบบมีโครงเหล็ก (Conventional Wiper Blade) เป็นใบปัดน้ำฝนที่ใช้กันทั่วไป พบเห็นได้มากในรถยนต์เกือบทุกคัน ลักษณะที่สังเกตได้ของใบปัดน้ำฝนชนิดนี้คือมีโครงเหล็กหรือโครงโลหะแขนยางใบปัดคู่กับยางใบปัดน้ำฝน มีความทนทาน โดยประสิทธิภาพในการปัดน้ำฝนของใบปัดน้ำฝนประเภทนี้ จะขึ้นอยู่กับ
 
·      คุณภาพของยาง ยางคุณภาพดีส่วนมากมักมาจากภายในประเทศไทยหรือนำเข้าจากมาเลเซีย ผู้ผลิตจะใส่สารปรุงแต่งบางตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น สารต่อต้านแสงยูวี คาร์บอนแบลค
 
·      จำนวนจุดที่เป็นข้อต่อบนแขนของใบปัดน้ำฝน ยิ่งมีจุดข้อต่อมาก ยิ่งกระจายแรงกดไปบนยางรีดน้ำฝนได้ดี ทำให้ใบปัดน้ำฝนรีดน้ำได้สะอาดเกลี้ยงเกลา ไม่ทิ้งคราบน้ำ
 
·      การออกแบบโครงเหล็ก ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายรายออกแบบโครงเหล็กให้มีความโค้งมนรับกับแรงลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทำให้เกิดการกระพือของใบปัดน้ำฝนน้อยแม้รถยนต์จะวิ่งด้วยความเร็วสูง
 
2.      ใบปัดน้ำฝนแบบซ่อนแขนใบปัดน้ำฝน (Semi Concealed Wiper Blade) จะมีโครงสร้างเหมือนกับแบบแรก แต่ผู้ผลิตจะออกแบบที่ครอบเพิ่มขึ้นมา เพื่อนำมาครอบแขนใบปัดน้ำฝนไว้ แต่ยังคงเห็นเนื้อยางของใบปัดน้ำฝนอยู่ จุดประสงค์เพื่อความสวยงามแต่ยังมีประสิทธิภาพในการปาดน้ำที่ดี สามารถพบเห็นได้ในรถยนต์บางรุ่น
 
3.      ใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครงเหล็ก (Flat Blade) จะไม่สามารถสังเกตเห็นแขนของใบปัดน้ำฝนและตัวยางปัดน้ำฝนเลย เนื่องจากไม่มีโครงเหล็กแต่จะมีแกนเหล็กฝังไว้ในเนื้อยาง ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติในการใช้งานได้ดี เนื่องจากน้ำหนักของใบปัดจะถูกกระจายไปเท่าๆ กันทั่วทั้งแขนของใบปัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปาดน้ำ และลักษณะของใบปัดประเภทนี้ยังลดพื้นที่ต้านลมเมื่อปัดน้ำฝนขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้อีกด้วย
 
วิธีเลือก “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์”
 
1.      สังเกตรุ่นรถยนต์จากข้างบรรจุภัณฑ์ของผู้ผลิตใบปัดน้ำฝนให้ตรงกับรุ่นรถยนต์ที่ใช้อยู่
 
2.      ไม่ควรเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนเก่าหรือผลิตไว้นานแล้ว เพราะยางบนใบปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งานที่จำกัด บางครั้งผู้จำหน่ายไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมดภายในหน้าฝนปีก่อน ก็จะนำออกมาลดราคาในปีถัดไป ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ใช้รถมักเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเฉพาะช่วงหน้าฝนเท่านั้น
 
3.      รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก้านของใบปัดน้ำฝนทางฝั่งคนขับและคนนั่งจะมีขนาดไม่เท่ากัน โดยขนาดของใบปัดน้ำฝนจะอยู่ที่ประมาณ 14” หรือ 21” ซึ่งหากซื้อแยกเป็นกล่องๆ จากร้านทั่วไปต้องอ่านรายละเอียดข้างกล่องให้ชัดเจน
 
4.      เลือกใบปัดน้ำฝนให้ถูกฝั่ง หากบนใบปัดน้ำฝนมีการะบุภาษาอังกฤษตัวย่อบนใบปัด เช่น อักษร “D” จะย่อมาจาก “Driver” ให้เข้าใจว่าใบปัดใบนั้นสำหรับติดตั้งฝั่งคนขับ ส่วนอักษร “P” ย่อมาจาก “Passenger” จะเป็นใบปัดน้ำฝนสำหรับที่ฝั่งคนนั่ง
 
ควรต้องเปลี่ยน “ใบปัดน้ำฝน” เมื่อไร?

การเปลี่ยนในปัดน้ำฝน สามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนยกทั้งโครงหรือเปลี่ยนเฉพาะยางใบปัด ซึ่งหากโครงใบปัดยังสภาพดีอยู่สามารถเลือกเปลี่ยนเฉพาะยางได้ ส่วนก้านใบปัดนั้น ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยนัก เพราะมักมีอายุการใช้งานนานนับสิบปีกว่าสปริงใบปัดจะล้า ซึ่งอาจล้าตามอายุการใช้งานหรือล้าจากการใช้งานผิดวิธี เช่น การยกใบปัดน้ำฝนตั้งขึ้นเวลาจอดรถตากแดด จะยิ่งทำให้อายุของสปริงที่ก้านใบปัดเสื่อมเร็วขึ้น โดยมีวิธีการสังเกตสภาพของใบปัดน้ำฝน ดังนี้
 
1.      ใบปัดทำงานไม่เป็นจังหวะ ใบปัดที่แห้งหรือเปื้อนสนิมจากโครงเหล็ก อาจไปขัดขวางการทำงานของใบปัดให้มีลักษณะกระโดดของเส้นแนวตั้งข้ามไปมา
 
2.      รอยปัดเป็นริ้ว ไม่เรียบ อาจเกิดจาก ซากกิ่งไม้ เศษหินจากถนนทำให้มีรอยยาวหรือยางบริเวณใบปัดแห้งแตก
 
3.      รอยแยกขณะปัดฝน อาจเกิดจากใบปัดหมดอายุการใช้งานหรือแห้งแตกจากการโดนแดดเป็นเวลานาน
 
4.      มีเสียงเสียดสีขณะใช้งาน อาจเกิดจากใบปัดหมดอายุ ยางจึงสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดการแห้ง และแข็งตัว
 
ดูแลรักษารถยนต์ให้คงสภาพดีอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยและทัศนวิสัยในการขับขี่บนท้องถนน ช่วยให้คุณอุ่นใจในยามขับขี่ท่ามกลางสายฝนได้มากขึ้น ด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ..โปรไฟล์ยิ่งดี ความเสี่ยงยิ่งต่ำ เบี้ยยิ่งถูก.. โปรไฟล์คุณอาจดีกว่าที่คุณคิด สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor หรือ โทร.1596

117
ขนมปังโฮลวีทมีประโยชน์จริงหรือไม่

“ขนมปังโฮลวีท” อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทำให้หลายคนเลือกรับประทานขนมปังโฮสวีทแทนขนมปังขาว เพราะคิดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า แต่จะเป็นความจริงหรือไม่? วันนี้รวบรวมข้อมูลและข้อแตกต่างระหว่างขนมปังทั้งสองชนิดและประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับมาบอกกัน

ขนมปังโฮลวีท คืออะไร? (Whole Wheat Bread)
ขนมปังโฮลวีท (Whole Wheat Bread) คือ ขนมปังที่ทำมาจากเมล็ดข้าวสาลีทั้งเมล็ด ส่วนขนมปังธัญพืช (Whole Grain Bread) หมายถึง ขนมปังที่ทำมาจากเมล็ดพืชต่าง ๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี หรือธัญพืชไม่ขัดสีชนิดต่าง ๆ รวมกัน ต่างจากขนมปังวีท (Wheat Bread) หรือมัลติเกรน (Multi Grain) ซึ่งอาจทำมาจากธัญพืชที่ผ่านการขัดสีบางส่วน

ขนมปังโฮลวีทจึงอุดมไปด้วยไฟเบอร์และสารอาหารต่าง ๆ เช่น วิตามินอี วิตามินบี หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ต่างจากขนมปังขาวที่ผ่านกระบวนการแปรรูป ทำให้ได้รับสารอาหารต่าง ๆ น้อยกว่า ทำให้ผู้คนเชื่อว่า ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากขนมปังโฮลวีทมากกว่าขนมปังขาว

 
ขนมปังโฮลวีทดีกว่าขนมปังขาวจริงหรือ?
ขนมปังขาวผ่านการแปรรูปและขัดสี ทำให้ได้รับสารอาหารต่าง ๆ ไม่เท่ากับขนมปังโฮลวีท อย่างไรก็ตาม ขนมปังโฮลวีทและขนมปังขาวมีคุณค่าทางโภชนาการและคุณประโยชน์ที่ส่งผลต่อร่างกายในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน การบริโภคขนมปังโฮลวีทหรือขนมปังขาวไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพที่แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นแล้ว ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากขนมปังธัญพืชหรือขนมปังขาวนั้นหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดขนมปังที่รับประทาน แต่ขึ้นอยู่กับจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ตอบสนองต่อขนมปังที่บริโภคเข้าไป 


ประโยชน์ของขนมปังโฮลวีทมีอะไรบ้าง?
ค่าดัชนีน้ำตาล (Glycaemic Index: GI) ของขนมปังโฮลวีทต่ำกว่าขนมปังขาว โดยดัชนีน้ำตาล (Glycaemic Index: GI) คือ ค่าแสดงระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารแต่ละอย่าง เนื่องจากอาหารแต่ละอย่างมีคาร์โบไฮเดรตต่างชนิดกัน ส่งผลให้ร่างกายย่อยอาหารเหล่านั้นและเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดต่างกัน
ขนมปังโฮลวีทมีดัชนีน้ำตาลปานกลาง (ประมาณ 56- 69) ส่วนขนมปังขาวมีดัชนีน้ำตาลสูง (ประมาณ 70 หรือมากกว่านั้น) มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อระดับดัชนีน้ำตาลในอาหาร ซึ่งไขมันและไฟเบอร์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดค่าดัชนีน้ำตาลของอาหารได้ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes Mellitus; T2DM) เนื่องจากช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร
ขนมปังโฮลวีทมีผลดีต่อระบบเผาพลาญพลังงาน (Metabolism) และฮอร์โมนความอยากอาหาร โดยการบริโภคขนมปังธัญพืชไม่ขัดสีจัดเป็นการรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน  (Complex Carbohydrates) ที่ดีกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว โดยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจากไฟเบอร์ที่สูงจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มนาน ย่อยช้าลง และอาจช่วยลดความอยากอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ

จากการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบประโยชน์ของขนมปังทั้งสองชนิดที่อาจส่งผลต่อน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร พลังงานที่ได้รับ และฮอร์โมนที่ส่งผลต่อความอยากอาหาร โดยได้ทดลองกับผู้ที่รับประทานขนมปังแปรรูปและขนมปังธัญพืชไม่ขัดสีในช่วงมื้อเช้าของทุกวันวันและรับประทานอาหารกลางวันตามต้องการ ผลการวิเคราะห์ฮอร์โมนที่ส่งผลต่อความอยากอาหารพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองรู้สึกอิ่มนานขึ้น ทำให้รับประทานอย่างอื่นได้น้อยลงหลังจากรับประทานขนมปังโฮลวีทในมื้อเช้า

 

ประโยชน์ของขนมปังโฮลวีท
- ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stoke) โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease) และโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases)
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก ทำให้รู้สึกอิ่มนาน
- ช่วยระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีเป็นปกติ

ดูแลเรื่องการรับประทานอาหารแล้ว  อย่าลืมเลือกประกันสุขภาพ ที่จะช่วยดูแลเมื่อยามเจ็บป่วย สะดวกสบายเมื่อต้องเข้ารับการรักษา และไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะตามมา  เลือก ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่สุดของความคุ้มครองเรื่องสุขภาพ ที่ให้ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก นอนโรงพยาบาลเหมาจ่ายค่ารักษาตามจริงสูงสุด 500,000 บาท
สนใจคลิก https://www.smk.co.th/prehealth

118

ในช่วงกลางวันที่แดดแรง เมื่อจะต้องหาที่จอดรถสิ่งแรกที่หลายคนคำนึงถึงเป็นอย่างแรก ก็คือที่จอดที่ร่มหลบแดดก่อนเพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดดและความร้อนที่จะมาทำลายรถยนต์ของเรา และช่วยให้รถไม่ร้อนเมื่อเวลากลับมาที่รถนั้นเอง ที่จอดใต้ต้นไม้เลยเป็นหนึ่งในที่จอดที่หลายคนมองหา แต่การจอดรถใต้ต้นไม้อาจมีอันตรายแฝงอยู่ สามารถทำความเสียหายให้รถของเราได้ วันนี้มีข้อควรระวังจากการจอดรถใต้ต้นไม้มาเตือนใจผู้ใช้รถให้ระวังกันดังนี้

1. อันตรายจากใบไม้ 
เพราะ ใบไม้เล็ก ๆ หากเข้าไปในห้องเครื่อง หรือระบบแอร์ ก็อาจทำให้ระบบต่าง ๆ เหล่านั้นทำงานผิดปกติ หรือในระยะยาวเมื่อเข้าไปติดตามซอกจนกลายเป็นดินอุดตันอยู่ในระบบดูดอากาศเข้ารถยนต์ได้ ส่งผลถึงระบบแอร์ เเละ เครื่องยนต์ขัดข้องได้  โดยเฉพาะต้นที่มีใบเล็ก ๆ และร่วงบ่อย เช่น มะขาม มะยม ต้นสน ฯลฯ

 

2. อันตรายจากกิ่งไม้
อันตรายนั้นขึ้นอยู่กับขนาดและน้ำหนักของกิ่งไม้ ถ้าโดนกิ่งเล็ก ๆ คงจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าโดนกิ่งใหญ่ รถอาจเป็นรอยหรือบุบได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ กิ่งก้านเยอะ เช่น ฉำฉา, กระถินเทพา, ตีนเป็ด, มะม่วง, มะพร้าว, ประดู่ ฯลฯ

 

3. อันตรายจากขี้นก
เพราะนกจะเกาะอยู่ตามกิ่งไม้ เมื่อปล่อยของเสียออกมา อาจทำลายสีของรถได้ และถ้าปล่อยให้แห้ง ก็จะทำความสะอาดและ เช็ดออกยากมากขึ้น  โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีผลไม้ที่มักมีนกอาศัยอยู่ เช่น ต้นหว้า, มะม่วง, มะยม, ต้นไทร ฯลฯ

 

4. อันตรายจากยางต้นไม้
ยางต้นไม้ตัวร้ายที่ทำลายสีรถได้โดยตรง เพราะต้นไม้บางต้นจะมียางเหนียว ๆ หยดลงมา เช่น ยางมะม่วงมันจะทำร้ายสีรถของเราจนร่อนหลุดเป็นเเผ่น  ถ้าเจอผลตะขบผลของมันจะเกาะเหนียวเอาออกยาก , ถ้าเจอขนุนจะเจอยางจะเหนียวจนน่ารังเกียจ ยางไม้หากทิ้งไว้นานก็จะทำความสะอาดยากมากขึ้น ต้นไม้ที่ต้องระวัง เช่น มะม่วง, ตะขบ, มะพร้าว, ยางพารา, ขนุน ฯลฯ

 

5. อันตรายจากผลของต้นไม้
ต้นไม้มีดอกและผล ผลอาจร่วงลงมาจากต้นได้ ถ้าหากเจอผลที่แข็งและยังไม่สุก หล่นลงมาโดนรถอาจทำให้รถบุบได้ โดยเฉพาะผลจากมะพร้าวหากโดนรถเราพังแน่นอน  แต่ถ้าเจอผลที่อ่อนนุ่มที่สุกแล้ว ก็จะทำให้รถสกปรกเลอะเทอะ  ต้นไม้ที่ต้องระวัง เช่น มะม่วง ตะขบ มะพร้าว ขนุน ฯลฯ


จะจอดรถก็ควรต้องระวังสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย ถึงแม้ต้นไม้จะช่วยให้ร่มเงาแก่รถ แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ตามมา ที่อาจทำร้ายรถของเราได้ เพื่อความมั่นใจในทุกเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เลือกประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ไว้ เพื่อความคุ้มครองที่ครอบคลุมทุกกรณี ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลาให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาทสนใจรายละเอียด คลิก ประกันรถยนต์


 

119
ดื่มชามีประโยชน์อย่างไร? ทำความรู้จัก “ใบชา” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

“ดื่มชาเพื่อสุขภาพ” เป็นอีกหนึ่งกระแสที่ได้รับความนิยมจากสังคมยุคปัจจุบันที่ผู้คนหันมาใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ รวมถึงโรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน แล้วชาแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร? ช่วยดูแลปัญหาด้านสุขภาพได้อย่างไรบ้าง? วันนี้รวบรวมข้อมูลมาฝากค่ะ

ใบชา ทำมาจากอะไร?
ชา คือ ผลผลิตจาก ใบ ยอดอ่อน และก้านของต้นชา Camellia Sinensis ที่ผ่านกรรมวิธีแปรรูปที่หลากหลาย ซึ่งมักรวมถึงเครื่องดื่มที่ได้จากพืชตากแห้งชนิดอื่นๆ ที่นำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อน เช่น ชามะลิ ชาเก๊กฮวย หรือชาใบหม่อน ซึ่งชาแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติ กลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล

ประเภทและสรรพคุณของ “ใบชา”
“ใบชา” ถูกจัดแบ่งประเภทตามกระบวนการแปรรูปหลังเก็บเกี่ยว ใบของต้นชาจะถูกทิ้งให้สลด และ "บ่ม" จนใบชามีสีเข้มขึ้น คลอโรฟิลล์ในใบชาแตกตัวกลายเป็นสารแทนนินที่ให้รสฝาด หากไม่ระมัดระวังในการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิระหว่างการผลิต ใบชาอาจขึ้นรา และเกิดปฏิกิริยาจนกลายเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้ชาเสียรสชาติ และเป็นอันตรายต่อการดื่มชาได้ โดย “ใบชา” สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด ดังนี้

1. ชาขาว (White Tea)
ชาขาว เป็นชาชนิดหนึ่ง ผลิตจากตูมและยอดอ่อนของต้นชา กรรมวิธีผลิตชาขาวเริ่มจากการเลือกเก็บยอดอ่อนชาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นนำยอดชาที่เก็บได้มาผ่านกระบวนการทำให้แห้งในระยะเวลาที่รวดเร็วด้วยวิธีธรรมชาติอาศัย ลม แสงแดด หรือความร้อนซึ่งจะแตกต่างจากกรรมวิธีผลิตชาประเภทอื่น ๆ ที่ผ่านกระบวนการทำแห้งด้วยความร้อน ไอน้ำ หรือผ่านกระบวนการหมัก ทำให้ชาขาวมีกลิ่นและรสชาติที่ยังคงความสดชื่น นุ่มนวล มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระและคุณค่าทางโภชนาการอยู่ในปริมาณมาก

2. ชาเขียว (Green Tea)
ชาเขียวเป็นใบชาที่เก็บมาจากยอดอ่อนของต้นชา โดยนำไปอบแห้งทันที ไม่ผ่านการหมัก เพื่อไม่ให้ใบชาเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันกับออกซิเจน ทำให้ได้ใบชาที่ยังมีสีเขียว มีรสชาติ สี และกลิ่นใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ชาเขียวแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ได้ 2 ประเภทคือ ชาเขียวญี่ปุ่นซึ่งไม่ผ่านการคั่ว และชาเขียวแบบจีนที่ผ่านการอบการคั่วด้วยกระทะร้อน และชาเขียวก็มีคุณสมบัติในการต้านทานโรคได้หลายชนิด
 
3. ชาอู่หลง (Oolong Tea)
ชาอู่หลงเป็นชาประเภทกึ่งหมักหรือชาที่ผ่านการหมักเพียงบางส่วน ทำให้มี สี กลิ่นหอม และมีรสชาติระหว่างชาเขียวกับชาดำ โดยชาอู่หลงผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยการผึ่งแห้งใบชาจากแสงอาทิตย์เพื่อให้ใบชาคายน้ำ หลังจากนั้นนำไปผึ่งในที่ร่มภายใต้การควบคุมอุณหภูมิและความชื้น ซึ่งเป็นการหมักใบชาเพียงบางส่วน จากนั้นนำมานวดแล้วอัดให้เป็นเม็ด ทำให้ชาอู่หลงมีรสชาตินุ่มและคงความหอมไว้ได้มาก ชาอู่หลงมีสรรพคุณในการช่วยดักจับไขมันและควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากชาอู่หลงมีสารชนิดพิเศษที่เรียกว่า OTTPS ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นจากการหมักใบชา ทำให้ช่วยลดการดูดซึมไขมันของร่างกายได้ดี

4. ชาดำ (Black Tea)
ชาดำ เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักอย่างสมบูรณ์ หากยิ่งบ่มนาน ยิ่งทำให้ได้รสชาติมากขึ้น ชาวตะวันตกมักนิยมชาชนิดนี้เป็นพิเศษและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น ชาอัสสัม ชาซีลอน ชาดาจีลิง ซึ่งมีแหล่งผลิตในประเทศอินเดียและศรีลังกาตามชื่อชา นอกจากนี้ยังนิยมนำมาผสมแต่งกลิ่นเป็นรสชาติใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น ชาเอริลเกรย์ (Earl Grey) ชาอิงลิชเบรกฟาสท์ (English Breakfast) ส่วนทางฝั่งตะวันออกก็มีชาดำที่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน เช่น ชาผู่เอ๋อ (Puer Tea) โดยสรรพคุณชาดำจะโดดเด่นในเรื่องช่วยการย่อยอาหาร ลดครอเลสเตอรอล และลดการดูดซึมไขมันในลำไส้

5. ชาสมุนไพร (Herbal tea)
ชาสมุนไพรอาจจะไม่สามารถเรียกว่าชาได้ เนื่องจากชาสมุนไพรนั้นมักทำจากผลไม้ ดอกไม้ หรือสมุนไพรตากแห้ง ไม่ได้มีส่วนผสมที่เป็นใบชาจากต้นชาจริงๆ (แต่ก็ยังเรียกว่าชา เพราะวิธีการชงนั้นเหมือนกับการชงชาทั่วไป) เช่น ชาดอกเก๊กฮวย ชามินท์ หรือชากุหลาบ ชาชนิดนี้ไม่มีคาเฟอีน และไม่แนะนำให้ดื่มชาสมุนไพรที่อ้างสรรพคุณว่าช่วยลดน้ำหนัก เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะเจอชาที่ผสมยาระบายและอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้

 
ประโยชน์ของการดื่มชา
1. การดื่มชาช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น เนื่องจากในใบชามีสารโพลีฟีนอล กรดอะมิโน และคาร์โบไฮเดรต เมื่อสารเหล่านี้เกิดปฏิกิริยากับน้ำลายจะช่วยกระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกายได้

2. ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีแร่ธาตุละสารอาหารอยู่หลายชนิดที่ช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสารคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยหมุนเวียนโลหิต มีอิทธิพลต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย และยังมีการใช้ชาผสมกับยาแก้ปวด รักษาโรคไมเกรน เพื่อช่วยเพิ่มฤทธิ์ในการรักษาและทำให้ยาออกฤทธิ์ได้นานยิ่งขึ้น

3. ขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ

4. ส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ และช่วยสลายไขมัน ลดระดับคอเลสเตอรอล โดยไปเพิ่มการขับคอเลสเตอรอลในร่างกายผ่านทางน้ำดีในอุจจาระ

5. ชามีประโยชน์ต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนของโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และการดื่มชายังช่วยรักษาอาการเจ็บหน้าอก และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้อีกด้วย

6. ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกวิตามินกลุ่มต่าง ๆ

7. สารไอโอดีน และฟลูออไรด์ ในชาช่วยป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ฟลูออไรด์ในจำนวนที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายจะช่วยป้องกันฟันผุและเสริมมวลกระดูกได้

หลายงานวิจัยชี้ชัดว่า การดื่มชาส่งผลต่อสุขภาพของผู้ดื่มได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันการบริโภคชาที่มากเกินไปหรือเลือกชาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐานก็อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้มากกว่าที่คิด เลือกรักษาสุขภาพของคุณให้ฟิตและเฟิร์มอยู่เสมอ ด้วยการเลือกรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์อย่างพอประมาณ และออกกำลังกายเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

 เลือก ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่สุดของความคุ้มครองเรื่องสุขภาพ ที่ให้ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก นอนโรงพยาบาลเหมาจ่ายค่ารักษาตามจริงสูงสุด 500,000 บาท
สนใจคลิก https://www.smk.co.th/prehealth

120
รถยนต์ | Car / ทำไมอากาศเย็น รถสตาร์ทติดยาก ?
« เมื่อ: กันยายน 13, 2021, 12:13:21 PM »


เริ่มเข้าสู่ช่วงอากาศเย็นกันแล้ว และเมื่อถึงฤดูหนาวเมื่อไรอุณหภูมิจะค่อยลดลงอีก ทำให้หลายท่านอาจมีปัญหาเวลาสตาร์ทรถในช่วงเช้า จะสตาร์ทรถติดยากกว่าปกติ จะมีสาเหตุมาจากอะไร สินมั่นคง ประกันรถยนต์ มีคำตอบของอาการสตาร์ทรถไม่ติดมาบอกกัน

สาเหตุส่วนใหญ่ของสตาร์ทติดยากในช่วงอากาศเย็นจะเกิดขึ้นจาก
 

1. แบตเตอรี่
ในอุณหภูมิปกติ  แบตเตอรี่รถยนต์จะมีการคายประจุออกไปอย่างช้า ๆ เนื่องมาจากการรั่วไหลระหว่างขั้วต่อ ปฏิกิริยาเคมีในที่อากาศเย็นจะคายประจุได้เร็วกว่า  ทำให้ความจุของแบตเตอรี่ลดน้อยลง จึงทำให้รถของเราสตาร์ทติดยากขึ้น หรือ อาจจะสตาร์ทไม่ติดเลย วิธีตรวจสอบให้ลองบีบแตรรถไปด้วย ถ้าเสียงแตรไม่ดัง แสดงว่าเป็นปัญหาที่แบตเตอรี่ แต่ถ้าแตรยังดังอยู่ อาจจะเป็นจากสาเหตุอื่น เช่น ไดสตาร์ท เป็นต้น

การแก้ไข
ลองตรวจดูความสะอาดที่ขั้วแบตเตอรี่ก่อน ถ้ายังไม่ติดแสดงว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้ว ต้องต่อพวงแบตเตอรี่กับรถคันอื่นไปก่อน หรือนำแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเปลี่ยนแทน


2. น้ำมันเครื่อง
ในอากาศหนาวเย็นนั้น จะส่งผลทำให้น้ำมันเครื่องในเครื่องยนต์เหนียวขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ใช้แรงในการหมุนมากขึ้นกว่าปกติ

การแก้ไข
ควรใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดที่สามารถรองรับสภาพอากาศทั้งร้อนและหนาวเย็นได้ดี เพื่อการทำงานของเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น


3. สำหรับอาการรถสตาร์ทไม่ติดอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับอากาศเย็น
 
เมื่อบิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนดีแต่สตาร์ทไม่ติด
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราหมุนกุญแจ แล้วเครื่องยนต์ก็เหมือนจะหมุนได้ดี แต่หมุนนานเท่าไรก็ไม่ติด อาการนี้ส่วนใหญ่แล้วมาจากไม่มีน้ำมันจ่ายไปที่ห้องจุดระเบิด

วิธีตรวจสอบสาเหตุ
- น้ำมันในถังหมด ให้เช็กดูน้ำมันคงเหลือในถัง ถ้ามีไฟเตือนรูปเติมน้ำมัน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า น้ำมันในถังหมดแล้ว ทำให้สตาร์ทอย่างไรก็ไม่ติด หรืออาจเจออาการลูกลอยค้าง ทำให้เห็นว่ายังมีน้ำมันอยู่ แต่ความจริงน้ำมันมันหมดไปแล้ว ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้
- ปั๊มติ๊กอาจเสีย เนื่องจากปั๊มติ๊กจะทำหน้าที่ในการส่งน้ำมันจากถังไปทีหัวฉีด  ถ้าปั๊มติ๊กไม่ทำงาน ก็จะไม่มีน้ำมันเข้าไปจุดระเบิด สตาร์ทอย่างไรก็ไม่ติด
- เกิดจากหัวเทียนบอด ทำให้ไฟไม่จ่ายไปที่ห้องจุดระเบิด หรือเกิดจากสายไฟหัวเทียนมีปัญหา ก็ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดได้


บิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนช้าเบากว่าปกติ
ถ้าเราบิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนเบากว่าปกติ

วิธีตรวจสอบสาเหตุ
- แบตเตอรี่มีไฟเหลือน้อย อาจจะมาจากการเปิดไฟทิ้งไว้ หรือ ไฟรั่ว หรือแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ให้ลองพ่วงแบตเตอรี่กับรถคันอื่นดู ถ้าพ่วงแล้วเครื่องหมุนดี สตาร์ทติดได้ตามปกติ แสดงว่ามาจากแบตเตอรี่แน่นอน
- มีไฟรั่วในรถ ตรวจสอบได้ด้วยการนำรถเข้าไปตรวจสอบที่อู่หรือศูนย์บริการ ถ้ามีไฟรั่ว ต้องหาจุดที่รั่วให้เจอแล้วทำการแก้ไข
- ไดร์สตาร์ทเริ่มเสื่อมสภาพ ในกรณีที่พ่วงแบตเตอรี่แล้วเครื่องยังหมุนช้า


บิดกุญแจแล้วเครื่องไม่หมุนเลย
ถ้าเราหมุนกุญแจแล้วเครื่องไม่หมุนเลย

วิธีตรวจสอบสาเหตุ
- ขั้วแบตเตอรี่อาจจะมีการหลุดหรือหลวม หน้าปัดมีไฟแสดงปกติไหม ถ้าไม่มีไฟอะไรแสดงเลย ให้ตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่ที่หน้ากระโปรงดูก่อน เพราะเป็นไปได้ว่าขั้วแบตเตอรี่อาจจะมีการหลุดหรือหลวมได้ แต่ถ้ามีไฟอยู่ ให้ดูที่เกียร์ก่อนว่าอยู่ในตำแหน่ง P หรือ N อยู่หรือเปล่า เพราะรถรุ่นใหม่บางรุ่นจะต้องเหยียบเบรกก่อน ถึงจะทำการสตาร์ทรถได้ ถ้าไม่เหยียบรถก็ไม่สตาร์ท
- ไดสตาร์ท แต่ถ้าเครื่องยังไม่หมุนอีก อาจเกิดจากไดสตาร์ทควรเข้าอู่เพื่อตรวจดูไดสตาร์ท


เป็นเทคนิคการตรวจสอบอาการรถสตาร์ทไม่ติดแบบง่าย ๆ ที่นำมาฝากกัน ที่อาจเกิดขึ้นได้ จะได้ตรวจสอบปัญหาเบื้องต้นและทำการแก้ไขได้ก่อนหากเป็นปัญหาเล็กน้อยจะได้ไม่เสียเวลาเรียกช่างมาตรวจสอบ  และในการขับขี่ทุกครั้ง ควรเตรียมพร้อมเสมอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดด้วยประกันรถยนต์ตามเวลาให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาทสนใจรายละเอียด คลิก ประกันรถยนต์



121

ใกล้ช่วงสิ้นปี หลายคนมีแผนเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนประจำปี  เมื่อเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในต่างจังหวัด อาจต้องผ่านเส้นทางที่เป็นพื้นที่อาศัยของสัตว์หรือสัตว์ป่า ทำให้มีโอกาสเจอกับสัตว์เดินผ่านหรือวิ่งอยู่บนถนนได้ เราควรทำอย่างไรเมื่อเจอกับเหตุการณ์สัตว์ตัดหน้ารถ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นที่เป็นอันตรายต่อเราและสัตว์ เราควรจะต้องทำอย่างไร วันนี้มีคำแนะนำมาฝากกัน


สิ่งที่ควรทำเมื่อสัตว์เดินตัดหน้ารถ
กรณีเป็นสัตว์ขนาดเล็ก เช่น สุนัข, แมว, ไก่
- ให้บีบแตรสั้น ๆ หลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้สัตว์หลบเข้าข้างทาง ไม่ควรบีบแตรยาวต่อเนื่องเพราะจะทำให้สัตว์ตกใจ และวิ่งวนไปมา แบบไม่รู้ทิศทางได้


กรณีเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง, ม้า. วัว, ควาย
- กรณีสัตว์กำลังเดินข้ามถนนอยู่ในระยะไกล ผู้ขับขี่ควรชะลอความเร็ว และหยุดรถเพื่อรถให้สัตว์เดินข้ามไปให้เรียบร้อยก่อน จึงค่อยขับต่อไป
- กรณีที่เจอสัตว์ตัดหน้ารถในระยะประชิดจนเบรกไม่ทัน ให้ผ่อนคันเร่งวิ่งให้ช้าลงมากที่สุด และพยายามควบคุมไม่ให้รถเสียหลัก แต่ห้ามเบรกกะทันหัน เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ สิ่งสำคัญคือห้ามใช้แตรเป็นอันขาด เพราะสัตว์จะตกใจ และอาจจะวิ่งไปมาหรือวิ่งสวนทางมาชนกับรถได้


กรณีเจอช้างบนถนน ควรทำอย่างไร?
- ควรหยุดรถทันทีและควรอยู่ห่างจากช้างอย่างน้อย 30 เมตร
- หากช้างเดินเข้ามาหาเรา ให้เคลื่อนรถหนีออก ให้รอจนกว่าช้างจะหลบออกจากถนน จึงจะค่อย ๆ เคลื่อนรถผ่านไป
- อย่าใช้แตรรถ หรือส่งเสียงดังรบกวนช้างหรือไล่ช้างอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้ช้างตกใจโกรธ และเดินตรงเข้ามาหาทางเราได้
- ควรงดการใช้แฟลชในการถ่ายรูป เพราะอาจทำให้ช้างตกใจมองเป็นเป้าหมายและเดินตรงเข้ามาทำร้ายได้ในทันที
- ติดเครื่องรถยนต์ไว้ตลอด เพื่อให้สามารถเคลื่อนรถหนีได้ทันท่วงที เมื่อมีช่องทางหนี
- ไม่ควรจอดรถดูช้าง เพราะอาจมีรถคันอื่นตามมา แล้วรถกีดขวางรถผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายได้
- ไม่ควรจอดรถแล้วลงไปถ่ายรูปช้างในระยะใกล้ ๆ เพราะอาจทำให้คุณวิ่งหนีขึ้นรถไม่ทัน
- หากพบช้างในเวลากลางคืน ให้เปิดไฟรถไว้ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถมองเห็นอาการของช้างและระยะห่างระหว่างรถกับช้างได้อย่างชัดเจน
- เมื่อตกอยู่ในวงล้อมของช้าง ต้องตั้งสติให้มั่น แล้วเลือกเคลื่อนรถไปในทางที่มีช้างอยู่น้อยที่สุด แม้บางครั้งถึงจะจำเป็นต้องเข้าใกล้หรือเบียดโขลงช้างเข้าไปก็ตาม อย่าดับเครื่องยนต์ และปิดไฟรถอย่างเด็ดขาด ค่อย ๆเคลื่อนรถ ให้เสียงเครื่องยนต์ดังนิ่งมากที่สุด
- สังเกตอารมณ์ของช้าง ถ้าพบช้างสะบัดหูไปมา แกว่งหาง และใช้งวงสะบัดไปมาหรือดึงต้นไม้กิน ไม่ค่อยสนใจเรา แสดงว่าช้างอารมณ์ดี แต่ถ้าช้างหูตั้งกาง งวงและหางหยุดแกว่ง จ้องมองมา  ชูงวงขึ้นพร้อมกับยืดโน้มตัวไปข้างหน้า ทำให้เหมือนตัวใหญ่ขึ้น นั่นแสดงว่าช้างอารมณ์ไม่ดี พร้อมจะจู่โจมได้ทุกเมื่อ
- กรณีที่ขับรถในตอนกลางคืน เมื่อพบช้างป่า ควรหยุดรถให้ห่างจากตัวช้าง แต่ห้ามปิดไฟหรือดับเครื่องยนต์ จะได้สังเกตอาการและระยะห่างระหว่างรถกับช้างได้อย่างชัดเจน หากสังเกตและพบว่าตัวรถกับช้างมีระยะห่างมากกว่า 50 เมตร เปิดไฟสูงเพื่อให้ช้างเดินหลบเข้าข้างทาง แต่ถ้าต่ำกว่า 50 เมตร ให้ใช้ไฟปกติ และรอจนกว่าช้างจะเดินข้ามถนนไป จึงค่อยเคลื่อนรถออกไปช้า ๆ  แต่ห้ามเร่งเครื่องยนต์ เพราะอาจทำให้ช้างตกใจได้

 
เมื่อต้องเดินทางไปยังเส้นทางต่างจังหวัดไม่คุ้นเคย ควรศึกษาเส้นทาง และสังเกตป้ายเตือนต่าง ๆ ไม่ควรใช้ความเร็วเพราะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้มีเวลาในการตัดสินใจได้ทัน ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ก็อุ่นใจทุกเส้นทาง ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลาให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาทสนใจรายละเอียด คลิก ประกันรถยนต์

122

“เมลาโทนิน” (Melatonin) คือฮอร์โมนตามธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อควบคุมการนอนหลับและระบบการทำงานทางชีวภาพของร่างกาย (Circadian Rhythm) ให้เป็นไปตามปกติ พบได้ทั่วไปในร่างกายมนุษย์และในพืช เมลาโทนินในผักและผลไม้จัดเป็นเมลาโทนินธรรมชาติ โดยสมุนไพรที่มีเมลาโทนินสูงสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารที่มีเมลาโทนินสูงได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการใช้สารเมลานินสังเคราะห์ในรูปแบบของยาหรืออาหารเสริม วันนี้รวบรวมข้อมูลสารเมลาโทนินในพืชที่สามารถหารับประทานได้ทั่วไปมาฝาก

1. เมลาโทนินในพืชช่วยในการนอนหลับได้อย่างไร?
เมลาโทนิน (Melatonin) คือ สารสื่อประสาทที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นได้เองเพื่อทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเเละควบคุมการนอนหลับ ปัจจุบันได้มีการนำสารดังกล่าวมาสกัดเเละสังเคราะห์ในรูปแบบของยาและอาหารเสริมเพื่อใช้ในการรักษาผู้ที่นอนไม่หลับ ผู้ที่อาการนอนหลับผิดปกติ หรือผู้ที่ประสบปัญหาปรับเวลาการใช้ชีวิตและการนอนไม่ได้ จากกรณีการเดินทางไปยังต่างประเทศ (Jet Lag)

อย่างไรก็ตามสามารถพบสารเมลาโทนินได้ในพืชผักและผลไม้ทั่วไป โดยจากการศึกษาความเกี่ยวข้องของสารเมลาโทนินในอาหารพบว่า เมื่อหนูทดลองได้รับวอลนัต (Walnuts) ซึ่งจัดเป็นพืชที่อยู่ในกลุ่มที่มีสารเมลาโมทินสูง พบว่าสารเมลาโทนินและสารต้านอนุมูลอิสระในกระแสเลือดของหนูทดลองเพิ่มสูงขึ้น

สอดคล้องกับงานศึกษาวิจัยสารเมลาโทนินในน้ำองุ่น (Juice of Grape) ที่ได้ทดสอบในกลุ่มผู้เข้ารับการทดสอบหลากหลายช่วงอายุ ทั้งในกลุ่มวัยรุ่น กลุ่มผู้ใหญ่ และกลุ่มผู้สูงอายุ พบว่าปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและสารเมลาโทนินเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เมื่อได้รับน้ำองุ่นปริมาณ 200 ml.วันละ 2 ครั้ง ในระยะเวลา 5 วัน

นอกจากนั้นเเล้วการศึกษาผลของการรับประมาณผลไม้ 3 ชนิด ได้แก่ สับปะรด ส้ม และกล้วยต่อการเพิ่มความเข้มข้นของเมลาโทนินและฤทธิ์ของการต้านอนุมูลอิสระในอาสาสมัครสุขภาพดีที่พบว่าการรับประทานผลไม้ทั้ง 3 ชนิดข้างต้น สามารถเพิ่มความเข้มข้นของเมลาโทนินของอาสาสมัครสุขภาพดีได้ใกล้เคียงกับความเข้มข้นสูงสุดของเมลาโทนินตามปกติของร่างกายในเวลากลางคืน (Peak Nighttime Physiologic Melatonin Concentration)


2. เมลาโทนินจากธรรมชาติดีอย่างไร?
สารเมลาโทนินในธรรมชาติพบได้ทั่วไปในผักเเละผลไม้ สามารถเลือกบริโภคได้หลากหลาย หาได้จากธรรมชาติเเละมีราคาถูก นอกจากนั้นแล้วเมลาโทนินที่ได้รับจากอาหารอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่น้อยกว่าหรือไม่มีเลยเมื่อเทียบกับการบริโภคสารเมลาโทนินประเภทสังเคราะห์จากยาหรืออาหารเสริม

การเลือกใช้เมลาโทนินสังเคราะห์ในรูปแบบของอาหารเสริมหรือยาควรต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการเลือกซื้อเมลาโทนินในรูปแบบดังกล่าวควรต้องพิจารณาเลือกซื้อจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเเละมีความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากในปัจจุบันเมลาโทนินในรูปแบบสังเคราะห์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการบางรายจงใจลดคุณภาพและปริมาณของสารเมลาโทนินในผลิตภัณฑ์ลงแล้วใช้สารสังเคราะห์ประเภทอื่นแทน และใช้ฉลากแสดงข้อมูลที่ไม่ต้องกับความเป็นจริง รวมถึงอาจมีการปนเปื้อนในระหว่างการผลิตเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน


3. ผักและผลไม้ที่มีเมลาโทนินสูงได้แก่อะไรบ้าง?
สารเมลาโทนินพบได้ทั่วไปในพืชผักและผลไม้ทั้งในพืชที่เจริญเติบโตบนบกและพืชน้ำ มักพบสารเมลาโทนินปริมาณสูงในส่วนของราก ใบ และเมล็ด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นพืชหรือผลไม้ชนิดเดียวกัน แต่ปริมาณของสารเมลาโทนินที่พบในพืชเเละผลไม้นั้นอาจมีปริมาณเเตกต่างกันได้ตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นชนิด/สายพันธุ์ ส่วนต่างๆ ของพืชที่นำมาบริโภค พื้นที่เพาะปลูก หรือกรรมวิธีในการปลูกและเก็บเกี่ยว

ผักและผลไม้ที่มีเมลาโทนินสูง มีดังนี้
    • หัวผักกาดขาว
    • หัวหอม
    • ตะไคร้
    • สาหร่ายหางกระรอก
    • สาหร่ายสายใบ
    • สาหร่ายมงกุฎหนาม
    • สาหร่ายไส้ไก่
    • ข้าวโพด
    • หน่อไม้ฝรั่ง
    • มะเขือเทศ
    • บรอกโคลี
    • พริกไทย
    • พิสตาชิโอ
    • ข้าวเจ้าสีดำ
    • ข้าวสาลี
    • ข้าวบาร์เลย์
    • ข้าวโอ๊ต
    • เชอร์รี่
    • ผักบุ้ง
    • เมล็ดมัสตาร์ด (สีขาวและสีดำ)
    • เมล็ดถั่วเหลืองงอก
    • พิสตาชิโอ
    • ส้ม
    • กล้วย
    • มะม่วง
    • สับปะรด
    • หมากเม่า
    • มะละกอ

การรับประทานผักหรือผลไม้ที่มีเมลาโทนินตามธรรมชาติสูง นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งในการเสริมสร้างและเพิ่มความเข้มข้นของสารเมลาโทนินซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนหลับได้อย่างเเน่นอน
 เลือก ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่สุดของความคุ้มครองเรื่องสุขภาพ ที่ให้ทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก นอนโรงพยาบาลเหมาจ่ายค่ารักษาตามจริงสูงสุด 500,000 บาท
สนใจคลิก https://www.smk.co.th/prehealth

123

ในแต่ละปีมีข่าวอุบัติเหตุที่เกิดจากการป่วยแบบเฉียบพลันขณะขับรถ เช่น โรคลมชัก กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย หรือจากโรคประจำตัวหรือปัญหาทางสุขภาพที่มีอยู่ ซึ่งเป็นอันตรายมากหากเกิดขึ้นขณะกำลังขับรถ เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุทำให้บาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมทั้งยังเป็นอันตรายผู้ใช้รถใช้ถนนที่ร่วมทางด้วย  จะมีโรคหรือปัญหาสุขภาพใดบ้างที่มีผลต่อการขับขี่ วันนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาบอกกันค่ะ

1. โรคที่เกี่ยวกับสายตาต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม
ทำให้ขับรถในเวลากลางคืนแล้วมองไม่ชัด คนเป็นต้อหินทำให้มุมสายตาแคบลง มองเห็นภาพส่วนรอบได้ไม่ดี และมองเห็นแสงไฟบอกทาง หรือไฟหน้ารถพร่าได้

 

2. โรคทางสมองและระบบประสาท ที่ทำให้มีอาการหลงลืม การตัดสินใจช้าและสมาธิไม่ดี
 


3. โรคหลอดเลือดสมอง ทำให้แขนขาไม่มีแรงขับรถ
เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรกหรือเปลี่ยนเกียร์ สมองสั่งให้แขนขาทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม ความไหวของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ลดลง

 

4. โรคพาร์กินสัน มีอาการแข็งเกร็ง มือสั่น เท้าสั่น ทำอะไรช้าลง ทำให้ขับรถได้ไม่ดี
 


5. โรคลมชัก
ในสภาวะที่ควบคุมอาการชักไม่ได้ จำเป็นต้องรับยาต่อเนื่องจนปลอดอาการของโรค และไม่เกิดอาการชักอย่างน้อย 1 ปีจึงจะปลอดภัยเพียงพอในการขับรถ

 

6. โรคไขข้อ ข้อเสื่อม ข้ออักเสบต่าง ๆ
ที่มีผลกระทบต่อการขับรถ เช่น ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เหยียบเบรกได้ไม่เต็มที่ ข้อเท้าอักเสบปวดจากโรคเก๊าท์ ทำให้ขยับลำบาก โรคกระดูกคอเสื่อม ทำให้ปวดคอ เอี้ยวคอดูการจราจรได้ลำบาก หรือมีอาการปวดหลังจากกระดูกหลังเสื่อม ทำให้นั่งขับรถได้ไม่นาน

 

7. โรคหัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง อาจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก วูบ หมดสติ ระหว่างขับรถได้

 

8. โรคเบาหวาน
ที่ควบคุมยังไม่ได้ ถ้าน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้มีอาการ หน้ามืด ใจสั่น สมาธิไม่ดี ตาพร่า

 

9. การกินยาบางชนิด
มีผลทำให้ง่วงซึมหรือง่วงนอน มึนงง สับสนได้เวลาขับรถ และทำให้การตัดสินใจ สมาธิ และความรวดเร็วในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า ควรปรึกษาแพทย์ว่ายาที่กินมีผลต่อสมรรถนะในการขับรถหรือไม่

 

จากเดิมกรมการขนส่งทางบกได้กำหนด 5 โรคต้องห้ามในการขับขี่ ได้แก่ 1.โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม 2.โรควัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ 3.โรคเรื้อน 4.โรคพิษสุราเรื้อรัง และ 5.โรคติดยาเสพติดให้โทษ  และในการขอใบขับขี่รถทุกชนิดต้องมีใบรับรองแพทย์  แต่ตั้งแต่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป การขอใบขับขี่และขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถทุกชนิดทุกประเภทต้องมีใบรับรองแพทย์ ( เดิมการต่ออายุใบขับขี่ไม่มีการกำหนดให้ใช้ใบรับรองแพทย์ )  โดยที่ใบรับรองแพทย์นั้นต้องแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นไม่มีโรคประจำตัวหรือสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถตามที่แพทยสภากำหนด ซึ่งอยู่ในระหว่างการกำหนดโรคหรือสภาวะของโรคต้องห้ามในการขอใบขับขี่ ก่อนมีผลใช้บังคับ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ส่วนจะมีกำหนดโรคต้องห้ามอย่างไร จะนำข้อมูลมาบอกกันต่อไป

หากมีปัญหาสุขภาพดังกล่าว ต้องพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และช่วงที่มีอาการ ห้ามขับรถโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุอาจที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ในการขับขี่ทุกครั้ง ควรเตรียมพร้อมเสมอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด ด้วยประกันรถยนต์ตามเวลาให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาทสนใจรายละเอียด คลิก ประกันรถยนต์

124


ภายหลังจากที่มีราชกิจจานุเบกษา ได้ออกมาเผยแพร่กฎกระทรวง ที่ได้อนุญาตให้จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (เช่น โคเคน-มอร์ฟีน-ฝิ่น ฯลฯ) เพื่อใช้ในการรักษา การศึกษา และประโยชน์ทางราชการ ( อ่านประกาศฉบับเต็ม คลิก ) ก็เกิดการตั้งคำถามในสังคมว่า ประกาศฉบับนี้จะส่งผลดีหรือร้ายต่อสังคมโดยรวมอย่างไร ใครคือผู้ได้รับประโยชน์ แล้วสุดท้าย จะยิ่งทำให้ยาเสพติดเกิดการแพร่กระจายไปในวงกว้างได้ง่ายกว่าเดิมหรือไม่ วันนี้เก็บข้อมูลมาฝากกันค่ะ

ทำความรู้จักกับยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2
“ยาเสพติด” หมายถึง สารใดก็ตามที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติหรืออาจเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้น เมื่อนำเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยวิธีรับประทาน ดม สูบ ฉีด หรือด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตามที่ทำให้เกิดผลทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และเกิดการเสพติดได้ หากมีการใช้สารนั้นเป็นประจำทุกวัน หรือวันละหลาย ๆ ครั้ง


พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ได้แบ่งยาเสพติดออกเป็นทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่

    1. ประเภท1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง ไม่มีใช้ในทางการแพทย์ เช่น เฮโรอีน เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า

    2. ประเภท 2 ยาเสพติดให้โทษที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น มอร์ฟีน โคเคน

    3. ประเภท 3 ยาเตรียมที่มียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ผสมอยู่ เช่น ยาแก้ไอผสมไอโอดีน

    4. ประเภท 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดประเภท 1 หรือ 2 เช่น สารที่ใช้ในการผลิตเฮโรอีน

    5. ประเภท 5 ยาเสพติดที่ไม่จัดอยู่ในประเภท 1-4 เป็นพืช ได้แก่ กัญชา พืชฝิ่น พืชกระท่อม พืชเห็ดขี้ควาย

ยาเสพติดประเภทที่ 2 เอามาใช้ทางการแพทย์อย่างไรได้บ้าง?
    ก่อนจะมาเป็นยาเสพติดประเภทที่ 2 ยาเสพติดส่วนใหญ่จะได้รับการสกัดมาจากยางของผลฝิ่น ซึ่งมีส่วนประกอบที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็น

    1. ใช้เป็นยาระงับอาการปวดหลัง หรือการผ่าตัดกรณีกระดูกหัก อาการปวดจากแผลไฟไหม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ระงับปวดในผู้ป่วยระยะสุดท้ายของโรคมะเร็ง

    2. ทำให้ผู้ป่วยมีอาการสงบ ระงับปวด ง่วงซึมเซาและรู้สึกสบาย

    3. ยับยั้งการทำงานของศูนย์ควบคุมการไอได้ จึงใช้เป็นส่วนผสมในยาแก้ไอ แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว

    4. ทำให้รู้สึกตื่นตัว พูดมาก เมื่อใช้ติดต่อกันนานๆ จะทำให้มึนงง นอนไม่หลับ สมองตื่นตัวตลอดเวลา

แม้จะถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หากได้รับสารเสพติดในปริมาณมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของสารเคมีในสมองและระบบประสาท จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายควบคุมการใช้งานอย่างเคร่งครัด

ยาเสพติดประเภท 2 อนุญาตให้มีไว้ครอบครองและจำหน่าย กรณีใดบ้าง
    เจ้าหน้าที่ผู้อนุญาตจะพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับผู้ยื่นคำขออนุญาตเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ได้ เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้

    1. เพื่อการรักษาหรือป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วยในทางการแพทย์

    2. เพื่อการวิเคราะห์หรือการศึกษาวิจัยทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์

    3. เพื่อประโยชน์ของทางราชการ


    นอกจากนี้ ผู้ขออนุญาตสามารถยื่นขอใบอนุญาตหากมีความประสงค์ที่จะครอบครองยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ได้เฉพาะกรณี ดังต่อไปนี้


    1. เพื่อการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 (ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นต้นตำรับยาและมียาเสพติดให้โทษประเภท 2 ผสมอยู่ คือ ยารักษาโรคที่มียาเสพติดประเภท 2 เป็นส่วนประกอบอยู่ในสูตร เช่น ยาแก้ไอ ยาแก้ท้องเสีย)

    2. เพื่อเป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษา

    3. เพื่อการวิเคราะห์หรือการศึกษาวิจัยทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์

    4. เพื่อประโยชน์ของทางราชการ

    5. เพื่อใช้ประจำในการปฐมพยาบาลหรือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในเรือหรือเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร

เลือกเสริมความคุ้มครองสุขภาพด้วย “ประกันสุขภาพคุ้มค่า” หรือ “ประกันสุขภาพเอกซ์ตรา” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จ่ายค่ารักษาตามจริง เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่จำกัดจำนวนครั้งให้วุ่นวาย ด้วยวงเงินสูงสุด 500,000 บาท เบี้ยเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท/ปี คลิก https://www.smk.co.th/prehealth

125

เริ่มออกโครงการมาให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นกับการสนับสนุนให้เกิดการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถยนต์ EV ที่ในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาให้สามารถชาร์จพลังงานไฟฟ้าได้จากที่บ้านโดยตรง แต่ก็ใช่ว่าบ้านทุกหลังจะสามารถชาร์จไฟรถยนต์ EV ได้โดยตรง แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าบ้านแบบไหนที่ต้องมีการปรับปรุงหรือเตรียมพร้อมสำหรับการรองรับรถยนต์ EV วันนี้มีข้อมูลมาฝากกัน

รถพร้อม! คนพร้อม! บ้านไม่พร้อม!
ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาใช้งานที่บ้าน สิ่งหนึ่งที่ควรทำคือการเตรียมความพร้อมให้กับบ้าน เพื่อให้สามารถรองรับการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วเราควรมีวิธีเตรียมความพร้อมระบบไฟฟ้าภายในบ้านอย่างไรบ้าง

1. ตรวจสอบขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า
เพราะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำเป็นต้องใช้กระแสไฟฟ้าขณะชาร์จไฟ 8 – 16 แอมป์ ต่อเนื่องไปจนกว่าแบตเตอรี่ของรถยนต์จะมีพลังงานเต็ม ดังนั้นมิเตอร์ไฟฟ้าของบ้านจึงควรมีขนาดไม่น้อยกว่า 30 แอมป์ โดยสามารถตรวจสอบขนาดของมิเตอร์ได้จากป้ายที่ติดในตัวเครื่องวัดหน้าบ้าน หรือสอบถามได้ที่ MEA Call Center 1130 โดยแจ้งหมายเลขมิเตอร์จากใบเสร็จค่าไฟฟ้าที่ได้รับ

2. ตรวจสอบตู้ควบคุมไฟฟ้า
ภายในตู้ควบคุมไฟฟ้า หรือ Main Distribution Board – MDB) จะมีช่องว่างสำรองสำหรับติดตั้ง Main Circuit Breaker เพื่อควบคุมวงจรชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าอีก 1 ช่อง ซึ่งหากภายในตู้ไม่มีช่องว่างสำรองไว้ อาจจำเป็นจะต้องเพิ่มตู้ควบคุมย่อยต่างหากอีก 1 ตู้ ซึ่ง  Main Circuit Breaker นี้ จะต้องมีขนาดที่พอเหมาะกับขนาดของสายไฟและขนาดของกระแสไฟที่ใช้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของเรา โดยการเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ จะต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่การไฟฟ้านครหลวงกำหนด

3. ตรวจสอบสายไฟฟ้าหลักที่เข้าสู่ตัวบ้านและเบรกเกอร์ในตู้ควบคุมไฟฟ้า
หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อมาก็คือ การเพิ่มขนาดสายเมนและเพิ่มพิกัด MCB ให้สามารถรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้ารวมที่ใช้เพิ่มขึ้น จะต้องสอดคล้องกันทั้ง 3 ส่วน คือ ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดของ MCB

4. ศึกษาข้อมูลระบบการชาร์จของรถยนต์ไฟฟ้า
การนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาใช้นับเป็นเรื่องใหม่ของผู้คนในประเทศ ก่อนตัดสินใจลงซื้อมาไว้ใช้ในครอบครัว ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียดของรถยนต์ให้ดีเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้กับทั้งรถยนต์และตัวบ้าน โดยเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องทราบ ได้แก่

    • Mode ของอุปกรณ์ชาร์จ (EVSE)
    • ขนาดของกระแสไฟสูงสุดขณะชาร์จไฟ
    • พิกัดแรงดันที่รถยนต์ใช้
    • ขนาดกำลังอุปกรณ์ชาร์จไฟฟ้าภายในรถยนต์ (On-Board Charger)
    • ระยะเวลาที่ใช้ในการชาร์จไฟแต่ละครั้ง

สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากจะต้องหาข้อมูลสำหรับตัวรถแล้ว ยังอาจจำเป็นจะต้องศึกษาเรื่องระบบพลังงานของรนถยนต์ด้วย เพื่อความปลอดภัยและสามารถใช้รถยนต์ไฟฟ้าขับขี่ได้อย่างสบายใจ ปลอดภัยเเละอุ่นใจมากยิ่งขึ้นด้วยประกันรถยนต์ตามเวลาให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาทสนใจรายละเอียด คลิก ประกันรถยนต์

126
โรคไข้เลือดออก (Dengue Fever) จัดเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายใกล้ตัวที่มียุงเป็นพาหะ หลายคนสงสัยว่าไข้เลือดออกสามารถมีโอกาสเป็นซ้ำได้ไหม? ทำไมไข้เลือดออกครั้งที่ 2 จึงอันตรายกว่าครั้งแรก? หรือแม้กระทั่งสามารถเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 3 ได้หรือไม่? วันนี้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคไข้เลือดออกมาฝาก

1. ไข้เลือดออกเป็นได้กี่ครั้ง?
โรคไข้เลือดออกสามารถติดได้มากกว่า 1 ครั้ง เนื่องจากมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเด็งกี่ (Dengue) ที่ปัจจุบันพบการแพร่ระบาดอย่างน้อยจำนวน 4 สายพันธุ์ ได้แก่  DENV-1, DENV-2, DENV-3, และ DENV-4  ซึ่งสามารถพบการเเพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ตามแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อและมีอาการเจ็บป่วยจากโรคไข้เลือดออกได้หลายครั้งจากการติดเชื้อไวรัสข้ามสายพันธุ์

อย่างไรก็ตาม อาการจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ในครั้งแรกอาจจะไม่แสดงอาการหรือไม่มีความรุนแรง โดยอาจมีอาการไข้เพียงเล็กน้อย และสามารถหายได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปพบแพทย์ ในขณะที่การติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกในครั้งที่ 2 เป็นต้นไปด้วยเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดิมอาจทำให้เกิดอาการไม่ร้ายแรง หรือไม่มีอาการเลยเนื่องจากมีภูมิต้านทานเเล้ว แต่หากเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ต่างจากการติดเชื้อในครั้งแรก อาจส่งผลกระทบให้อาการของโรคมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ผู้ที่เคยติดเชื้อและหายจากโรคไข้เลือดออกในครั้งที่ 2 จะมีปริมาณภูมิคุ้มกันต่อโรคดังกล่าวในระดับสูงเพียงพอที่จะสามารถป้องกันความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสข้ามสายพันธุ์ในครั้งต่อๆ ไปได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในขณะที่ภูมิต้านทานโรคไข้เลือดออกเฉพาะสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นจะคงอยู่อย่างยาวนาน และอาจคงอยู่ตลอดชีวิตขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงต่อการป่วยโรคไข้เลือดออกจะอยู่ในกลุ่มเด็กวัยเรียน (5-14 ปี) ในขณะที่กลุ่มเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจะอยู่ในกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (อายุ 35 ปีขึ้นไป) โดยเฉพาะในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง โดยสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ คือ ภาวะเลือดออกมาก และภาวะเลือดรั่วซึ่งนำไปสู่ภาวะช็อกและเสียชีวิตในที่สุด


2. อาการไข้เลือดออกครั้งที่ 2 เป็นอย่างไร?
อาการของโรคไข้เลือดออกจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ในครั้งที่ 2 นั้น จะยังมีลักษณะอาการเบื้องต้นคล้ายกับอาการของโรคไข้เลือดออกโดยทั่วไป เช่น ไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เซื่องซึม เบื่ออาหาร มีผื่นแดง แต่ความรุนแรงของอาการอาจมีแนวโน้มรุนแรงมากกว่าการติดเชื้อในครั้งแรก และอาจส่งผลอันตรายต่อชีวิตได้จากอาการเลือดออกตามร่างกายอย่างรุนแรง เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด หรือมีประจำเดือนมากผิดปกติ


3. ทำไมติดเชื้อไข้เลือดออก ครั้งที่ 2 ถึงรุนแรงกว่าครั้งแรก?
สาเหตุที่ทำให้อาการจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกในครั้งที่ 2 หรือครั้งที่ 3 มีอันตรายมากกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายสร้างแอนติบอดี (Antibody) ออกมามากเกินไป

กล่าวคือ เชื้อไวรัสเด็งกี่ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออดทั้ง 4 สายพันธุ์จะมีแอนติเจน (Antigen) หรือลักษณะทางพันธุกรรมร่วมกันบางส่วน ทำให้เมื่อร่างกายเกิดติดเชื้อใดก็ตามใน 4 สายพันธุ์ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะ หรือที่เรียกว่าแอนติบอดี้ (Antibody) สำหรับทำลายเฉพาะเชื้อไวรัสชนิดหรือสายพันธุ์นั้นๆ และก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกับเชื้อไวรัสในสายพันธุ์อื่นๆ ร่วมด้วยในระยะหนึ่ง แต่ภูมิต้านทานเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเเละคงอยู่ได้เพียง 6-12 เดือนเท่านั้น ในขณะที่ภูมิต้านทานที่เกิดกับเชื้อจากสายพันธุ์ที่ติดนั้นๆ อาจจะคงอยู่ตลอดชีวิต




เมื่อร่างกายเรียนรู้ที่จะสร้างแอนติบอดี้เพื่อทำลายไวรัสเด็งกี้เฉพาะสายพันธุ์ได้แล้ว ในกรณีที่ติดเชื้อไวรัสเด็งกี่สายพันธุ์อื่นๆ ในอนาคต ร่างกายจะยังคงสร้างแอนติบอดี้แบบเดียวกันกับที่เคยสร้างมาเพื่อทำลายเชื้อไวรัสเด็งกี่สายพันธุ์เฉพาะที่เคยติดเมื่อในอดีต แต่แอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นมาจะไม่สามารถเข้าทำลายเชื้อไวรัสเด็งกีสายพันธุ์ใหม่ได้ดั่งที่ควรจะเป็น เนื่องจากไม่ใช่การสร้างแอนตี้บอดี้เพื่อทำลายเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างทางพันธุกรรมของเชื้อไวรัสทั้ง 4 สายพันธุ์ที่คล้ายคลึงกันนั้นเอง


4. ค่ารักษาไข้เลือดออกอยู่ที่เท่าไร?
ค่ารักษาโรคไข้เลือดอาจอยู่ที่ประมาณ 25,000 - 85,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและสถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษา เนื่องจากปัจจุบันการรักษาโรคไข้เลือดออกจะใช้วิธีการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ และยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะโรคแต่อย่างใด ทำให้เมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคจากแพทย์แล้ว มักจะได้รับแจ้งให้แอดมิตเข้าเป็นผู้ป่วยในเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดอย่างน้อย 3-7 วัน และหากมีอาการหนักเกิดขึ้นร่วมด้วยแล้ว อาจต้องเข้ารับการรักษาในห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน (ICU) ต่อเนื่องนานนับเดือน ดังนั้นแล้วค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจะเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าพยาบาล ค่าเวชภัณฑ์และค่าบริการทางการแพทย์อื่นๆ


เลือกเสริมความคุ้มครองสุขภาพด้วย “ประกันสุขภาพคุ้มค่า” หรือ “ประกันสุขภาพเอกซ์ตรา” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จ่ายค่ารักษาตามจริง เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่จำกัดจำนวนครั้งให้วุ่นวาย ด้วยวงเงินสูงสุด 500,000 บาท เบี้ยเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท/ปี คลิก https://www.smk.co.th/prehealth
 

127
ไขข้อสงสัยเรื่องวัคซีนโควิด 19 กับคำตอบจากกรมควบคุมโรค

1. หากได้รับวัคซีนโควิด 19 แล้ว เมื่อได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้อาการของโรครุนแรงน้อยลงหรือไม่
แม้วัคซีน โควิด 19 จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมด แต่สามารถระงับความรุนแรงของโรคได้เกือบทั้งหมด ดังนั้น ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วยังสามารถรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ แต่จะไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก หลังฉีดวัคซีนจึงยังจำเป็นที่จะต้องต้องรักษามาตรการเพื่อป้องกันการติดเชื้อในชุมชนต่อไปอย่างเคร่งครัด จนกว่าจะมีความมั่นใจว่าคนในชุมชนส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมีภูมิคุ้มกันโรคแล้ว ได้แก่
- การสวมหน้ากากอนามัย
- เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการไปยังที่ที่มีคนหนาแน่น
- ล้างมือบ่อย ๆ


2. เมื่อฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้ว ร่างกายจะสามารถป้องกันการติดเชื้อที่กลายพันธุ์ไปแล้วได้หรือไม่
วัคซีนโควิด 19 ที่ผลิตขึ้นในปัจจุบันได้รับการพัฒนามาจากเชื้อไวรัสโคโรนาที่ระบาดในช่วงแรก จึงอาจทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ลดลง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของไวรัสกลายพันธุ์ต่อประสิทธิภาพของวัคซีนแต่ละชนิดจำเป็นจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกในอนาคต ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าต้องมีการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม สำหรับไวรัสที่กลายพันธุ์ซ้ำอีก


3. ระยะห่างของการฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 1 กับ เข็มที่ 2 ควรนานเท่าใด
ระยะห่างของการฉีดวัคซีนโควิด 19 ระหว่างเข็มที่ 1 และ เข็มที่ 2 ของวัคซีนโควิด 19 ทั้ง 2 ชนิดนั้น มีระยะเวลาที่ต่างกัน ดังนี้
- Sinovac 2-4 สัปดาห์
- AstraZeneca 10-12 สัปดาห์ และพิจารณาให้เลื่อนได้ถึง 16 สัปดาห์ถ้าจำเป็น

หากมีเหตุขัดข้อง ไม่สามารถมารับวัคซีนได้ตามกำหนดหรือล่าช้าไปกว่ากำหนด ให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อขอรับวัคซีนโควิด 19 เข็มที่ 2 โดยเร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องเริ่มฉีดใหม่ สามารถนับต่อเนื่องจากเข็มแรกไปได้เลย


4. ผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคโควิด 19 มาก่อน จำเป็นจะต้องได้รับวัคซีนโควิด 19 อีกหรือไม่ หรือหากมีความประสงค์จะรับวัคซีน สามารถทำได้หรือไม่
สำหรับผู้ที่เคยมีประวัติเป็นโรคโควิด 19 แม้จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโควิด 19 ในร่างกายแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้ จึงควรรับวัคซีนโควิด 19 แม้ว่าจะเคยเป็นโรคโควิด19 มาก่อนก็ตาม โดยเว้นระยะห่างจากการติดเชื้อไปอย่างน้อย 3 เดือน และไม่จำเป็นต้องตรวจการติดเชื้อก่อนฉีดวัคซีน

นอกจากนี้ แม้จะมีประวัติเคยได้รับเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโรคโควิด 19 มาก่อน ก็ไม่ทำให้ได้รับอันตรายจากการฉีดวัคซีน โดยอาจพิจารณาฉีดเพียง 1 เข็ม เพราะจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้อย่างเพียงพอ


 5. วัคซีนโควิด 19 ต่างชนิด ยี่ห้อ หรือผู้ผลิต สามารถฉีดสลับกัน (Interchangeable) ได้หรือไม่
ในขณะนี้ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิด 19 ชนิดเดิมไปก่อน จนกว่าจะมีการศึกษาวิจัยออกมาเพิ่มเติม ยกเว้นกรณีที่ไม่สามารถหาวัคซีนชนิดเดิมฉีดได้ หรือมีอาการอันไม่พึงประสงค์หลังจากฉีดวัคซีนชนิดแรก


6. ข้อห้ามและข้อควรระวังในการฉีดวัคซีนโควิด 19 มีอะไรบ้าง
เนื่องจากวัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนชนิดใหม่ จึงยังไม่มีข้อมูลเรื่องอาการแพ้วัคซีนที่พบได้บ่อย จึงควรได้รับวัคซีนโควิด 19 ในสถานพยาบาลหรือในสถานที่ที่มีเจ้าหน้าที่และเครื่องมือช่วยเหลือกรณีมีปฏิกิริยาแพ้รุนแรง และควรเฝ้าระวังอาการหลังการฉีดอย่างน้อย 30 นาที และไม่ควรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มบุคคลที่มีอาการดังต่อไปนี้

    • มีอาการป่วยหรือร่างกายอ่อนเพลียจากสาเหตุต่าง ๆ แนะนำให้เลื่อนฉีดวัคซีนไปก่อนจนกว่าอาการจะเป็นปกติ
    • บุคคลที่กลุ่มอายุไม่ได้รับการรับรอง
    • หญิงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก (แต่ฉีดในหญิงหลังคลอดหรือให้นมบุตรได้)
    • ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรงที่อาจมีอันตรายถึงชีวิต อาการยังไม่คงที่ มีโรคกำเริบ นอกจากแพทย์ประจำตัวจะประเมินว่าฉีดได้

เลือกเสริมความคุ้มครองสุขภาพด้วย “ประกันสุขภาพคุ้มค่า” หรือ “ประกันสุขภาพเอกซ์ตรา” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จ่ายค่ารักษาตามจริง เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่จำกัดจำนวนครั้งให้วุ่นวาย ด้วยวงเงินสูงสุด 500,000 บาท เบี้ยเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท/ปี คลิก https://www.smk.co.th/prehealth

128


แบบสอบถามการนอนหลับ (Screening Questionnaires) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเบื้องต้นที่ใช้คัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea : OSA) ด้วยคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอน ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพการนอนหลับ สิ่งรบกวนในการนอน หรือแม้กระทั่งการใช้ยานอนหลับแต่ “แบบประเมินคุณภาพการนอน” มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร สินมั่นคง ประกันสุขภาพ รวบรวมข้อมูลแบบทดสอบคุณภาพการนอน ตอนที่ 2 มาฝาก
 
1. แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (Pittsburgh Sleep Quality Index: PSQI)
แบบสอบถามคุณภาพการนอนหลับของพิตต์สเบิร์ก (PSQI) คือ แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับและความผิดปกติในช่วงเวลา 1 เดือน แบ่งรูปแบบของแบบสอบถามออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบประเมินตนเอง จำนวน 19 คำถามและแบบประเมินโดยผู้ที่นอนพักร่วมห้องนอน จำนวน 5 คำถาม โดยเน้นพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้อกับการนอนหลับใน 7 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่

- คุณภาพการนอนหลับ (Subjective Sleep Quality)
- ระยะเวลาตั้งแต่เข้านอนจนถึงเริ่มหลับ (Sleep Latency)
- ระยะเวลาการนอนหลับ (Sleep Duration)
- ประสิทธิภาพการนอนหลับตามปกติ (Habitual Sleep Efficiency)
- สิ่งรบกวนการนอนหลับ (Sleep Disturbances)
- การใช้ยานอนหลับ (Use of Sleeping Medication)
- ความผิดปกติด้านการนอนหลับในช่วงกลางวัน (Daytime Dysfunction)

ทั้งนี้ คำถามในแต่ละองค์ประกอบจะใช้วิธีนับคะแนนแยกกัน จากนั้นจะนำผลรวมคะแนนจากทุกองค์ประกอบมารวมกันอีกครั้งเพื่อทำการประเมินผลการทำแบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ


2. แบบประเมิน Sleep Apnea Scale of Sleep Disorders Questionnaire (SA-SDQ)
แบบประเมิน SA-SDQ คือ แบบประเมินพฤติกรรมการนอนหลับที่แสดงความเสี่ยงในการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยประกอบด้วยคำถามที่เกี่ยวกับน้ำหนัก พฤติกรรมในการสูบบุหรี่ อายุ และค่าดัชนีมวลกาย (BMI) จำนวน 12 ข้อ และมีคะแนนเต็มอยู่ที่ 60 หากผู้ตอบแบบสอบถามเพศหญิงที่ได้รับคะแนนประเมินมากกว่า 32 คะแนน และเพศชายที่ได้รับคะแนนประเมินมากกว่า 36 คะแนน จะถือว่าเป็นผู้มีความเสี่ยงเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น

ตัวอย่างคำถาม แบบประเมิน Sleep Apnea Scale of Sleep Disorders Questionnaire (SA-SDQ)

- มีคนบอกฉันว่า "ฉันกรนเสียงดังหรือรบกวนคนอื่น"
- มีคนบอกฉันว่า "ฉันหยุดหายใจขณะนอนหลับ"
- ฉันสะดุ้งตื่น พบว่าหายใจลำบากหรือไม่สามารถหายใจได้
- ฉันมีเหงื่อออกมากกลางดึก
- ฉันเป็นหรือเคยตรวจพบโรคความดันโลหิตสูง
- ฉันมีอาการคล้ายจมูกอุดตันขณะเข้านอน
- อาการกรน หรือการหายใจของฉันแย่ลง เมื่อฉันนอนหงาย
- อาการกรน หรือการหายใจของฉันแย่ลง เมื่อฉันดื่มสุราก่อนนอน
- น้ำหนักตัวปัจจุบัน___กิโลกรัม
- ระยะเวลาของการสูบบุหรี่___ปี
- อายุปัจจุบัน___ปี
- ดัชนีมวลกาย

3. Sleep Apnea Clinical Score (SACS)
แบบสอบถาม SACS ใช้แบบจำลองเชิงเส้นของเส้นรอบวงคอ ร่วมกับคำถามเกี่ยวกับภาวะความดันโลหิตสูง และลักษณะพฤติกรรมทางการนอนของผู้ตอบแบบสอบถาม เช่น การกรนเป็นประจำ การสังเกตอาการการสำลักหรือหายใจไม่ออกตอนกลางคืนโดยคู่นอน จำนวน 4 คำถาม เพื่อคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ

วิธีการใช้งานแบบสอบถาม SACS จะเริ่มต้นจากการวัดเส้นรอบวงคอ (Neck Circumference) ของผู้ทำแบบสอบถาม จากนั้นเลือกค่าที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากการมีหรือไม่มีภาวะความดันโลหิตสูง
(Hypertensive Historical Features / Not Hypertensive Historical Features) ร่วมกับการมีพฤติกรรมทางการนอนอย่างใดอย่างหนึ่ง มีทั้งสองอย่าง หรือไม่มี (One / Both / None) ทั้งนี้ หากผู้ทำแบบสอบถามได้รับคะแนนตั้งแต่ 15 ขึ้นไป อาจบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น

 ตัวอย่างคำถาม แบบสอบถาม Sleep Apnea Clinical Score (SACS)

- คุณเป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือได้รับการแนะนำให้ใช้ยาเพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่? (ใช่ หรือ ไม่ใช่)
- ผู้ที่นอนพัก หรือเคยนอนพักร่วมห้องนอนกับท่าน บอกว่าท่านมีอาการกรน (3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ ทุกคืน)
- ผู้อื่นเคยบอกว่าท่านมีอาการหอบ (Gasp), สำลัก (Choke) หรือกรน (Snort) ขณะหลับ
(3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ ทุกคืน)
- เส้นรอบคอ_____เซนติเมตร

แบบสอบถามประเมินการนอนหลับยังมีอีกหลายรูปแบบ และเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนการตรวจวินิฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือในการตรวจสอบคุณภาพการนอนอย่างใกล้ชิดร่วมด้วยได้ เลือกเสริมความคุ้มครองสุขภาพด้วย “ประกันสุขภาพคุ้มค่า” หรือ “ประกันสุขภาพเอกซ์ตรา” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จ่ายค่ารักษาตามจริง เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่จำกัดจำนวนครั้งให้วุ่นวาย ด้วยวงเงินสูงสุด 500,000 บาท เบี้ยเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท/ปี คลิก https://www.smk.co.th/prehealth

129


“แบตเตอรี่แห้ง” (Sealed Maintenance Free Car Battery - SMF) คือ แบตเตอรี่รถยนต์รูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเพิ่มตลอดอายุการใช้งาน นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของแบตเตอรี่รถยนต์ในปัจจุบันที่มีให้เลือกหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่รถยนต์แบบดั้งเดิมที่ต้องคอยเติมน้ำกลั่นหรือที่รู้จักกันในชื่อ “แบตเตอรี่น้ำ” (Conventional Battery) หรือแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ แบบ “แบตเตอรี่กึ่งแห้ง” (Maintenance Free Car Battery - MF) แล้วแบตเตอรี่แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร? วันนี้มีข้อมูล “แบตเตอรี่แห้ง” มาฝากค่ะ

1. “แบตเตอรี่แห้ง” คืออะไร?
แบตเตอรี่แห้ง (Sealed Maintenance Free Car Battery - SMF) คือ แบตเตอรี่แบบกรดตะกั่วอีกประเภทหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดขั้นตอนในการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการที่ไม่มีช่องสำหรับเปิด-ปิดเพื่อเติมน้ำกลั่นแบบที่มีในแบตเตอรี่รถยนต์ทั่วไป ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่น้ำกรดภายในแบตเตอรี่จะรั่วไหลออกมาทำลายเครื่องยนต์ ตลอดจนอายุการใช้งานของแบตเตอรี่แห้งที่มากกว่าแบตเตอรี่น้ำ ทำให้แบตเตอรี่ประเภทนี้มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป

อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่แห้ง อาจไม่ได้แห้งสนิทตามชื่อที่เรียก เพราะภายในแบบเตอรี่แห้งบางรุ่นหรือบางยี่ห้ออาจจะมีของเหลวที่ทำหน้าที่เป็นอิเล็กโทรไลต์ของแบตเตอรี่แห้งปนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกรดแบบตะกั่ว หรือของเหลวที่มีลักษณะคล้ายเจล ซิลิโคน หรือแป้งน้ำ (Paste) ซึ่งการใช้เจลเป็นตัวอิเล็กทรอไรต์แทนน้ำกรดนั้นจะช่วยลดอัตราการสูญเสียน้ำ เเละเพิ่มการกักเก็บแก๊สไฮโดรเจนและออกซิเจนที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งานให้แปรสภาพกลับไปเป็นน้ำ ทำให้ลดความถี่ในการเติมน้ำกลั่น หรือไม่ต้องเติมน้ำกลั่นเพิ่มเติมตลอดอายุการใช้งาน ดังที่เห็นได้จากแบตเตอรี่แบบแห้งส่วนใหญ่จะไม่มีรูสำหรับเติมน้ำกลั่น


2. “แบตเตอรี่แห้ง” มีกี่ประเภท?
แบตเตอรี่แห้งสามารถแบ่งประเภทได้จากรูปแบบของสารละลายอิเล็กโทรไลต์ภายในเซลล์แบตเตอรี่ มีรายละเอียดดังนี้

1) แบตเตอรี่แห้งแบบ AGM (Absorbent Glass Mat)

แบตเตอรี่แห้งแบบ AGM (Absorbent Glass Matt) จัดเป็นแบตเตอรี่ตะกั่วกรดชนิดพิเศษที่มีเทคโนโลยีแผ่นกั้นใยแก้วพิเศษ ช่วยลดการระเหยของน้ำและช่วยดูดซับน้ำกรดได้เป็นอย่างดีในกรณีที่รถยนต์อยู่ในสภาวะสั่นมาก หรือกรณีที่แบตเตอรี่แตก น้ำกรดจะถูกดูดซับเอาไว้เเละไม่ไหลออกมาสร้างความเสียหายให้กับรถยนต์

แบตเตอรี่แห้งแบบ AGM ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับนวัตกรรมยานยนต์ในปัจจุบันที่ต้องการแหล่งพลังงานประสิทธิภาพสูง เช่นรถยนต์รุ่นใหม่จากบริษัทชั้นนำในเเถบยุโรป ปัจจุบันอาจพบว่าแบตเตอรี่ดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมใช้งานในในเเถบเอเชียมากนัก


2) แบตเตอรี่แห้งแบบเจล

แบตเตอรี่แห้งแบบเจล คือแบตเตอรี่ที่มีตัวอิเล็กโทรไลต์ในรูปของเจล มีความคงทนต่ออุณหภูมิการใช้งานที่กว้างทั้งในอุณหภูมิที่เย็นและร้อน จึงเป็นที่นิยมใช้งานในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น เนื่องจากตัวอิเล็กโทรไลต์ในรูปของเจลจะไม่จับตัวเเข็งเมื่อเจอกับสภาพอากาศหนาวจัด


“แบตเตอรี่แห้ง” ชาร์จได้ไหม?
 แบตเตอรี่แห้งสามารถชาร์จไฟฟ้าได้ เนื่องจากแบตเตอรี่แห้งจะได้รับการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟตามมาตรฐานโรงงานผลิตมาเรียบร้อยเเล้ว ทำให้สามารถจัดจำหน่ายเเละนำไปใช้งานได้ทันที แต่หากแบตเตอรี่ดังกล่าวถูกเก็บไว้มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ควรต้องเช็กไฟในแบตเตอรี่ก่อนนำไปใช้งาน เนื่องจากไฟในแบตเตอรี่อาจอ่อนลง รวมถึงก่อนการติดตั้งเพื่อใช้งาน ควรต้องชาร์จไฟเพื่อรักษาความคงทนของแบตเตอรี่ไว้

เมื่อเลือกแบตเตอรี่ที่เหมาะสมกับการใช้งานได้แล้ว อย่าลืมลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดจากอุบัติเหตุระหว่างการขับขี่ ด้วย “ประกันรถยนต์ตามเวลา” ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาท คุ้มครองนาน 6 เดือน (ซ่อมอู่)  สนใจรายละเอียด คลิก https://www.smk.co.th/premotor

130
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) คือ ภาวะที่ระบบทางเดินหายใจมีการตีบแคบลงซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากลักษณะของกล้ามเนื้อในช่องคอและลิ้นที่มีการหย่อนไปปิดทางเดินหายใจขณะหลับ ส่งผลทำให้อากาศและออกซิเจนไม่สามารถเข้าสู่ปอดไปเลี้ยงร่างกายและสมองได้ ซึ่งทำให้ภาวะดังกล่าวกลายเป็น 1 ในโรคต้องห้ามขณะขับรถ ดังนั้นแล้ว “แบบประเมินการนอน” อาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยประเมินความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ แต่จะเลือกแบบประเมินการนอนหลับแบบไหนดี วันนี้รวบรวมข้อมูลแบบทดสอบคุณภาพการนอนมาฝาก

1. แบบสอบถาม Berlin Questionnaire
แบบสอบถาม Berlin Questionnaire ถูกคิดค้นขึ้นโดยการประชุมร่วมกันระหว่างแพทย์ชาวอเมริกันและชาวเยอรมัน จำนวน 120 คน ในปี 1996 เนื่องจากการตรวจคัดกรองผู้มีโอกาสเสี่ยงเกิดภาวะอุดกันทางเดินหายใจด้วยการตรวจการนอนหลับ (Polysomnography) เป็นวิธีการคัดกรองผู้มีความเสี่ยงที่ได้มาตรฐาน แต่มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ผู้มีความเสี่ยงไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างทันท่วงที

แบบสอบถามนี้เลือกใช้คําถามเพื่อแสดงปัจจัยเสี่ยงของโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) ในการประเมินความเสี่ยง ประกอบด้วยคำถาม 10 ข้อ แบ่งเป็น 3 กลุ่มคำถามที่เกี่ยวข้องกับเสียงกรน ภาวะการง่วงนอนช่วงกลางวัน และการมีโรคประจำตัว (โรคความดันโลหิตสูง)

ทั้งนี้ เกณฑ์ในการให้คะแนนจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มคำถาม หากผู้ตอบแบบสอบถามได้รับผลประเมินคะแนนในระดับที่สูงตั้งแต่ 2 กลุ่มคำถามขึ้นไป อาจวิเคราะห์เบื้องต้นได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามดังกล่าวมีภาวะความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ในขณะที่หากได้รับคะแนนในระดับที่สูงน้อยกว่า 2 กลุ่มคำถาม อาจจัดอยู่ในกลุ่มของผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงต่ำ


2. แบบทดสอบระดับความง่วงนอน (Epworth Sleepiness Scale: ESS)
Epworth Sleepiness Scale (ESS) เป็นแบบสอบถามที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ติดตามผลการรักษาผู้ที่มีความเสี่ยงหรือผู้ที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้นขณะนอนหลับ โดยเน้นประเมินความรุนแรงของอาการง่วงนอน หรือโอกาสในการผล็อยหลับในช่วงกลางวันภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกัน แบบสอบถามประกอบด้วยคำถาม 8 ข้อ หากผู้ตอบแบบสอบถามได้คะแนนสูง จะแสดงถึงระดับความง่วงนอนในช่วงกลางวันที่มากขึ้น


3. แบบประเมินภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (STOP-Bang Questionnaire)
แบบประเมินภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (STOP-Bang Questionnaire) เป็นอีกหนึ่งแบบสอบถามที่มักถูกนำมาใช้คัดกรองผู้ที่มีภาวะเสี่ยงในการเป็นภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น เนื่องจากคำถามสั้น เข้าใจง่าย และสามารถคัดกรองผู้ที่มีภาวะเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ประกอบด้วยคำถาม 8 ข้อ ครอบคลุมปัจจัยเสี่ยงที่แสดงให้เห็นแนวโน้มในการเกิด OSA ได้แก่

- ความดังของเสียงกรน (Snoring)
- ความเหนื่อยเพลียหรือง่วง (Tired)
- การสังเกตพบลักษณะหยุดหายใจ (Observed Apnea)
- การเป็นโรคความดันโลหิตสูง (High Blood Pressure)
- ดัชนีมวลกายที่แสดงภาวะอ้วน (BMI)
- อายุที่มากกว่า 50 ปี (Age)
- เส้นรอบคอที่มากกว่า 40 เซนติเมตร (Neck Circumference)
- เพศชาย (Male Gender)

แบบสอบถามประเมินการนอนหลับยังมีอีกหลายรูปแบบ และเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนการตรวจวินิฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือในการตรวจสอบคุณภาพการนอนอย่างใกล้ชิดร่วมด้วยได้ เลือก “ประกันสุขภาพคุ้มค่า” หรือ “ประกันสุขภาพเอกซ์ตรา” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย จ่ายค่ารักษาตามจริง เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่จำกัดจำนวนครั้งให้วุ่นวาย ด้วยวงเงินสูงสุด 500,000 บาท เบี้ยเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท/ปี คลิก www.smk.co.th/prehealth

131
Easy Pass นับเป็นอีกหนึ่งบริการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ( www.exat.co.th) ที่เข้ามาอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้บริการทางพิเศษทั่วประเทศ ช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง สามารถระบายปริมาณจราจรผ่านช่องเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติได้สูงสุดถึง 1,200 คัน/ชั่วโมง ประหยัดเวลาและน้ำมันเชื้อเพลิงในการเดินทางได้มากขึ้น แต่ขั้นตอนในการสมัคร วิธีเติมเงิน และวิธีใช้งาน Easy Pass จะเป็นอย่างไร วันนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมมาบอกต่อค่ะ


วิธีใช้งาน Easy Pass
การใช้งาน Easy Pass ที่ถูกวิธี สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยขั้นตอนดังนี้
1. เติมเงินในบัตร Smart Card ครั้งแรก ขั้นต่ำ 300 บาท

2. ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าอุปกรณ์ทั้ง 2 ชิ้น ได้ถูกติดตั้งตามที่กำหนดไว้ในคู่มือการใช้งาน ที่ได้รับจากการซื้อบัตร Easy Pass หากติดตั้งบัตร Easy Pass ไม่ถูกวิธี ไม้กั้นในช่องผ่านทางอาจไม่ทำงาน

3. ชะลอความเร็วของรถยนต์ให้ต่ำกว่า 20 กม./ชม. ระหว่างขับผ่านด่านเก็บเงินอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถบังคับรถยนต์ได้อย่างมั่นคง จนกว่าจะมั่นใจว่าไม้กั้นจะเปิดขึ้นและขับรถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย

4. รักษาระยะห่างระหว่างรถยนต์คันอื่นที่อยู่ในช่องผ่านทาง หากรถยนต์คันหน้าเกิดหยุดกะทันหัน เพราะไม้กั้นไม่เปิด อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

5. ตรวจสอบวันหมดอายุของ บัตร Smart Card อยู่เสมอ (โดยปกติมีอายุที่ 7 ปี) และติดต่อขอเปลี่ยนบัตรใหม่ทันทีที่พบ โดยยอดคงเหลือในบัตร Smart Card ที่หมดอายุแล้ว สามารถยกยอดเงินคงเหลือไปยังบัตร Smart Card ใบใหม่ได้


ขั้นตอนการสมัครใช้บริการ Easy Pass
1. เอกสารที่ใช้สมัคร
บุคคลธรรมดา
- บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริงหรือสำเนาอย่างใดอย่างหนึ่ง)

นิติบุคคล
- สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท อายุไม่เกิน 6 เดือน จำนวน 1 ชุด (พร้อมประทับตราบริษัทและรับรองสำเนาถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจ 1 ท่าน)
- สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) จำนวน 1 ชุด (พร้อมประทับตราบริษัทและรับรองสำเนาถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจ 1 ท่าน)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ 1 ท่าน จำนวน 1 ชุด (พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง)

2. สถานที่สมัคร
2.1 สมัครออนไลน์ สามารถสมัครผ่าน ทรูมันนี่ วอทเล็ท ได้เพียงช่องทางเดียว
2.2 ศูนย์บริการลูกค้า Easy Pass ได้เเก่
• One Stop Service (สำนักงานใหญ่) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดบริการ จันทร์-ศุกร์ 08.30 น. - 15.30 น.
• Easy Pass Fast Service (ศูนย์ควบคุมทางพิเศษฉลองรัช CCB3) เปิดบริการ จันทร์-ศุกร์ 08.30 น. – 15.30 น.
• Easy Pass Fast Service (จุดพักรถ ปั้ม ปตท. บางนา(ขาออก)) เปิดบริการ จันทร์-เสาร์ 09.00 น. – 15.30 น.
• Customer Serviceบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดบริการ จันทร์-ศุกร์ 09.00 น. – 17.00 น.

2.3 อาคารด่านเก็บค่าผ่านทาง เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 น. - 22.00 น. ทุกด่านฯ ยกเว้น ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ

 

Easy Pass เติมเงินอย่างไร?
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย มีหลากหลายช่องทางให้สามารถเติมเงินเข้าบัตรอัตโนมัติได้ตั้งเเต่ 300, 500, 1,000, 1,500, 2,000, 2,500, 3,000, 3,500, 4,000, 4,500 เเละ 5,000 ด้วยช่องทางต่างๆ ดังนี้
1. ผ่านช่องทางพันธมิตรของการทางพิเศษฯ

การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดให้บริการเติมเงินสำรองค่าผ่านทางพิเศษบัตรอัตโนมัติ (Easy Pass) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการ ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
1. ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
2. ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
3. ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
4. ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
5. ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน)
6. ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
7. ธนาคาร ยูโอบี จำกัด (มหาชน)
8. ธนาคาร ออมสิน
9. จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส ทั่วประเทศ
10. จุดให้บริการ Tesco Lotus ทั่วประเทศ
11. ผ่าน TrueMoney Wallet Application
12. เติมเงินด้วยบัตรเครดิต Master Card ผ่าน แอพพลิเคชั่น easyBills
13. ผ่านเคาน์เตอร์รับชำระ CenPay
14. ผ่าน mPay Application จุดรับชำระ mPay Station และ Rabbit LINE Pay
15. ผ่านเคาน์เตอร์รับชำระ Big C
16. ผ่าน ShopeePay Application ของ บริษัท ช้อปปี้เพย์ (ประเทศไทย) จำกัด

2. ผ่านหน่วยงานภายในการทางพิเศษฯ
2.1) ศูนย์บริการลูกค้า Easy Pass
• One Stop Service (สำนักงานใหญ่) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ให้บริการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30 น. - 15.30 น.
• Easy Pass Fast Service (ศูนย์ควบคุมทางพิเศษฉลองรัช CCB3) ให้บริการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30 น. – 15.30 น.
• Easy Pass Fast Service (จุดพักรถ ปั๊ม ปตท. บางนา(ขาออก)) ให้บริการจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00 น. – 15.30 น.
• Customer Serviceบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้บริการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 09.30 น. – 17.00 น.

2.2) อาคารด่านเก็บค่าผ่านทาง ให้บริการเติมเงินในบัตร Smart Card ได้ในทุกเส้นทาง


การเลือกใช้ Easy Pass ในการเรียกเก็บเงินค่าผ่านทางอัตโนมัติ จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ต้องรอใบรับค่าผ่านทางฯ ไม่ต้องรอคิวยาว ไม่ต้องเตรียมเงินให้ยุ่งยาก และไม่ต้องเปิดกระจก เพียงแค่วิ่งผ่านช่องทาง Easy Pass เท่านั้น ให้คุณสะดวก ปลอดภัย มากยิ่งขึ้น ด้วย ประกันรถยนต์ตามเวลา
สู้ภัยโควิด-19 เลือกได้ตามใจ ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ช่วยให้คุณอุ่นใจได้ทุกครั้งที่ออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 4,545 บาท สนใจคลิกอ่านรายละเอียเพิ่มเติม https://www.smk.co.th/premotor


132

“น้ำยาหล่อเย็น” (Coolant) หรือน้ำยาเติมหม้อน้ำรถยนต์ คือ 1 ในของเหลวภายในรถยนต์ที่มีส่วนผสมของน้ำ, หัวเชื้อป้องกันสนิม, สารหล่อเย็น เเละสี ใช้เติมในหม้อน้ำเพื่อทำหน้าที่รักษาระดับอุณหภูมิของเครื่องยนต์ไม่ให้ร้อนจนเกินไปและป้องกันการเกิดสนิมภายในหม้อน้ำ และทางเดินน้ำต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ หลายคนอาจเกิดข้อสงสัยว่าน้ำยาหล่อเย็นจำเป็นต้องเปลี่ยนไหม หรือต้องเปลี่ยนน้ำยาเติมหม้อน้ำเมื่อไร สินมั่นคง ประกันรถยนต์ รวบรวบแนวทางเลือกการเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์มาฝาก
 

เปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นตามระยะเวลาที่คู่มือแนะนำ
การเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นของรถเเต่ละรุ่นจะมีระยะเวลาเเตกต่างกันออกไป ซึ่งระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นที่แนะนำสำหรับรถยนต์ทั่วไปจะอยู่ที่ระยะขับขี่ประมาณ 160,000 - 200,000 กิโลเมตร ในระยะเวลาประมาณ 8-10 ปี หรืออาจแนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตรสำหรับในรถยนต์บางรุ่น

การเปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็นรถยนต์ตามคู่มือของรถแต่ละรุ่นที่ได้รับมา นับเป็นวิธีการที่ปลอดภัยต่อทั้งตัวรถ เเละต่อสภาพแวดล้อมมากที่สุด เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ได้กำหนดระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นที่เหมาะสมจากการทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องคอยเปลี่ยนน้ำยาเติมหม้อน้ำบ่อยครั้งเกินความจำเป็น

ผู้ผลิตรถยนต์ในปัจจุบันคำนึงถึงปัญหามลภาวะทางน้ำที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นอย่างไม่ถูกต้อง เนื่องจากน้ำยาหล่อเย็น หรือน้ำยาเติมหม้อน้ำ (Coolant) จัดเป็นสารเคมีประเภทหนึ่งที่ต้องมีระบบจัดการและการทิ้งอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสนใจในการพัฒนาสูตรของน้ำยาเติมหม้อน้ำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้นเพื่อลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นให้น้อยลง


เปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นทุกปี
แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์จะมีระยะเวลาแนะนำในการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นให้กับผู้ขับขี่ในเเต่ละรุ่นอยู่แล้ว ผู้ขับขี่บางรายเลือกที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นรถยนต์แบบรายปี เนื่องจากเพื่อความสะดวกในการจดจำเวลาเปลี่ยนถ่ายที่ง่ายกว่า รวมถึงเพื่อความสบายใจส่วนบุคคล จากการที่อาจมีระยะการขับขี่น้อยมาก ทำให้ไม่สบายใจที่จะรอให้ถึงรอบการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นตามที่ผู้ผลิตรถยนต์ในเเต่ละรุ่นแนะนำ


เปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นตามสภาพ
ผู้ขับขี่หลายรายเลือกเปลี่ยนน้ำหล่อเย็นรถยนต์ตามลักษณะของน้ำยาหล่อเย็นที่มองเห็นอยู่ในหม้อน้ำปัจจุบัน โดยหากเปิดฝาหม้อน้ำเเล้วพบว่าในน้ำยาหล่อเย็นที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มีตะกรันหรือคราบโคลนขุ่นคล้ายตะกอนสนิมเกาะสะสมอยู่ หรือสีขุ่นมัวผิดปกติ อาจเลือกทำความสะอาดเเละเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นใหม่ให้กลับมาใสสะอาดหรือสดใสดังเดิม (ในกรณีที่เลือกใช้น้ำยาหล่อเย็นแบบมีสี) โดยคราบดังกล่าวอาจก่อให้เกิดการอุดตันในแผงระบายความร้อนจากคราบสะสมที่ไม่ได้รับการดูแล ทำให้หม้อน้ำตันเเละไม่สามารถระบายความร้อนได้อย่างสมบูรณ์


เปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นตามอายุการใช้งาน
น้ำยาหล่อเย็นสำหรับเติมหม้อน้ำในปัจจุบัน สามารถแบ่งลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท คือ 1) น้ำยาหล่อเย็นแบบผสมสำเร็จ เเละ 2) น้ำยาหล่อเย็นแบบเข้มข้น โดยน้ำยาเติมหม้อน้ำประเภทผสมมาให้เรียบร้อยเเล้วนั้นได้รับความนิยมจากผู้ขับขี่และศูนย์บริการโดยทั่วไป เนื่องจากสามารถเปิดใช้งานได้ทันที เพียงเปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นเดิมที่ค้างอยู่ในหม้อน้ำให้เรียบร้อย จากนั้นเติมน้ำยาหล่อเย็นประเภทผสมสำเร็จให้ได้ระดับตามปกติ ราคาอยู่ที่ประมาณ 400-500 บาท ต่อแกลลอน (4 ลิตร) ซึ่งอายุการใช้งานน้ำหล่อเย็นประเภทนี้จะสามารถใช้งานได้อยู่ที่ระยะขับขี่ประมาณ 1 - 1.6 แสนกิโลเมตร สอดคล้องกับช่วงระยะเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำยาเติมหม้อน้ำที่ผู้ผลิตรถยนต์เเนะนำไว้ในคู่มือรถยนต์จากผู้ผลิตโดยทั่วไป

 ในขณะที่น้ำยาหล่อเย็นประเภทเข้มข้นนั้น ผู้ใช้งานจำเป็นต้องผสมน้ำยาให้ได้ตามอัตราส่วนที่เจ้าของผลิตภัณฑ์แนะนำ โดยอาจเป็นการผสมระหว่างน้ำยาหล่อเย็นเข้มข้นเข้ากับน้ำยาหล่อเย็นเดิมที่มีอยู่เเล้ว หรืออาจเป็นการผสมน้ำยาหล่อเย็นสูตรเข้มข้นกับน้ำดื่มปกติตามอัตราส่วนที่ผู้ผลิตกำหนด หากผสมน้ำยาไม่ได้ตามอัตราส่วนที่กำหนดอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์ได้ ทั้งนี้ ราคาของน้ำยาหม้อน้ำสูตรเข้มข้นจะแตกต่างกันตามปริมาณของสารหล่อเย็นที่อยู่ในตัวผลิตภัณฑ์ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 200 บาท ต่อแกลลอน (1 ลิตร) เเละมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณอย่างน้อย 2 ปี

คลิกดู ประกันรถยนต์

133
“ท่อไอเสียรถยนต์” เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ผู้ขับขี่มักละเลยหรือขาดการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี จนอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายที่ลุกลามมากขึ้น และเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมากกว่าที่ควรจะเป็น แล้วเราควรมีวิธีตรวจสอบท่อไอเสียรถยนต์ของเราอย่างไร? ว่าขณะนี้มีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่? วันนี้มีข้อมูลมาบอกต่อค่ะ
 

หน้าที่หลักของ “ท่อไอเสียรถยนต์”
"ท่อไอเสียรถยนต์" ทำหน้าที่เป็นช่องทางหลักเพื่อระบายไอเสียออกจากเครื่องยนต์ ลดเสียงระเบิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และช่วยกรองมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตให้ออกมาสู่อากาศน้อยลง ซึ่งสิ่งที่หลงเหลือจากการเผาไหม้แล้วออกมาจากท่อไอเสียจะประกอบไปด้วย

    • คาร์บอนไดออกไซด์
    • คาร์บอนมอนนอกไซด์
    • ไนโตรเจนไดออกไซด์
    • ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
    • ฟอสฟอรัส
    • โลหะหนักต่างๆ อาทิ ตะกั่วและโมลิบดีนัม
สารประกอบเหล่านี้จะรวมออกมาในรูปแบบก๊าซที่พุ่งออกมาด้วยแรงอัดจากกระบอกสูบ ผ่านท่อรวมไอเสีย หม้อพักกลาง และหม้อพักปลาย


ตรวจสภาพ “ท่อไอเสียรถยนต์” ด้วยตัวเองในเบื้องต้น
 

    วิธีตรวจเช็กสภาพ “ท่อไอเสียรถยนต์” ที่สามารถทำได้เองง่ายๆ ดังนี้

    1. ตรวจสอบด้วยตาเปล่า ใช้ “แม่แรง” เป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อยกรถให้สูงขึ้น จะได้ตรวจสอบว่าท่อไอเสียมีรูหรือมีสนิมเกาะเป็นจำนวนมากหรือไม่ ซึ่งปัญหาทั้งสองประเด็นนี้มักนำมาซึ่งการเกิดปัญหาใหม่ที่ใหญ่ และแก้ยากกว่า

    2. ฟังเสียง หากท่อไอเสียชำรุดหรือเกิดอาการผิดปกติ จะส่งเสียงดังมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นจึงควรหมั่นฟังเสียง และสังเกตเสียงที่สั่นผิดปกติอยู่เสมอ เพราะอาจเป็นเสียงของอาการท่อไอเสียหลุดหลวม หรือแตกหักได้

    3. มีน้ำรั่วหรือไม่ ควรหมั่นตรวจสภาพใต้ท้องรถเสมอ ดูว่ามีน้ำหยดหรือไม่ ถ้ามีการรั่วไหลของน้ำในหลายๆจุด แสดงให้เห็นว่าท่อไอเสียเกิดการชำรุดอย่างชัดเจน

    4. ตรวจวัดอุณหภูมิ ในขณะที่ขับรถออกไปได้สักพัก ให้ตรวจเช็กอุณหภูมิรถยนต์ว่าอยู่ในระดับปกติไหม หากมีความเสียหายเกิดขึ้นที่ท่อไอเสีย อุณหภูมิของรถจะสูงกว่าปกติ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขในทันที

 

“ท่อไอเสียรถยนต์” เสีย มีอาการอย่างไร?
 

    1. ท่อไอเสียมีสนิมจับ มีรอยแตก เป็นหนึ่งสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม เจ้าของรถยนต์ควรหมั่นทำความสะอาดด้วยการเช็ดท่อไอเสียรถยนต์อยู่เสมอ เพื่อให้มองเห็นว่าสภาพท่อยังปกติดีหรือมีรอยบุบพังหรือไม่ หากพบจะจะได้รีบนำไปให้ช่างตรวจสอบได้ทันท่วงที


    2. มีเสียงดังออกมาจากเครื่องยนต์ หากมีเสียงดังขึ้นมาจากท่อไอเสียรถยนต์แบบไม่มีสัญญาณเตือน (อ่าน ประกันรถยนต์ : ไฟโชว์เตือน! รูปเครื่องยนต์ (Check Engine) ทำอย่างไรดี? คลิก ) ควรรีบนำรถยนต์เข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบโดยเร็ว เพราะยิ่งปล่อยไว้นานอาจส่งผลเสียลุกลามไปยังอุปกรณ์ส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์ได้ ซึ่งวิธีสังเกตความผิดปกติของเสียงจากท่อไอเสียสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปิดเพลงหรือวิทยุคลอฟังในระดับปกติ แต่หากกลับต้องเปิดเสียงวิทยุบนรถให้ดังขึ้นถึงจะสามารถฟังได้ชัด แสดงว่าเสียงเครื่องยนต์เริ่มดังเกินไปอย่างผิดปกติแล้ว ควรรีบนำรถยนต์เข้าเช็กที่ศูนย์บริการทันที


    3. เกิดเสียงรั่วจากเครื่องยนต์ ในขณะที่เครื่องกำลังทำงานกลับมีเสียงรั่วออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ หมายความว่าเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยาหรือแคทาลิติกคอนเวอร์เตอร์ในรถยนต์กำลังได้รับความเสียหาย เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้รถยนต์จะสามารถใช้งานไปได้สักระยะหนึ่งเท่านั้น จึงควรนำรถเข้าตรวจเช็กสภาพอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะเกิดความเสียหายมากขึ้น


    4. คันเร่งมีอาการสั่นผิดปกติ หรืออืดมากกว่าปกติ ขณะที่เหยียบคันเร่งหากสัมผัสได้ถึงการสั่นแบบผิดปกติ หรือเหยียบคันเร่งไม่ค่อยขยับ เหมือนกำลังของรถไม่มี อาจบ่งบอกได้ว่า เกิดการแตกรั่วในระบบท่อไอเสีย หากเป็นรอยรั่วขนาดใหญ่จะมีเสียงดังก้องตอนกำลังสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์มาก ควรรีบนำรถยนต์เข้าตรวจเช็กทันที


    5. มีกลิ่นเหม็นไหม้ การที่รถยนต์มีกลิ่นเหม็นไหม้กระจายเข้าสู่ห้องโดยสาร นอกจากจะมีสาเหตุจากท่อไอเสียรถยนต์มีรอยรั่วแล้ว ยังส่งผลเสียต่อร่างกายได้อีกด้วย เพราะกลิ่นจากท่อไอเสียรถยนต์ ประกอบไปด้วยก๊าซที่ทำอันตรายต่อร่างกาย หากสูดดมเข้าไปจะส่งผลให้เกิดอาการง่วงซึม วิงเวียนศรีษะ และมึนหัว หรือหากเผลอหลับก็อาจส่งผลต่อชีวิตได้ด้วย (อ่าน อันตรายท่อไอเสียรั่วในห้องเครื่อง เสี่ยงถึงตาย!  คลิก )


อุปกรณ์และชิ้นส่วนในรถยนต์ เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ขับขี่และเจ้าของรถยนต์ควรให้ความใส่ใจ ดูแล บำรุงรักษาให้สามารถใช้งานได้เป็นปกติอยู่เสมอ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดคิด ช่วยให้คุณอุ่นใจยิ่งขึ้นกับประกันรถยนต์ตามเวลา ให้ความคุ้มครองตั้งแต่ 3, 6, 9, 12 เดือน ด้วยเบี้ยเบาๆ จ่ายสบาย

134
หัวเทียนบอด เป็นประโยคที่คุ้นหูสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ที่ต้องคอยระแวดระวังและดูแลรักษา “หัวเทียน” อุปกรณ์ในระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์ซึ่งหัวเทียนแต่ละประเภทได้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน วันนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการทำงานของ “หัวเทียน” และวิธีแก้ไขเมื่อพบปัญหาเครื่องยนต์สตาร์ตไม่ติดจากหัวเทียนบอด
 

ทำความรู้จัก “หัวเทียน” และประเภทของหัวเทียนรถยนต์
การเลือกใช้หัวเทียนให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ของรถจะช่วยให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลให้มีแรงม้ามาให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ประหยัดน้ำมัน และยังช่วยให้อัตราสึกหรอลดลงได้อีกด้วย โครงสร้างหลักของหัวเทียนจะประกอบด้วย ขั้วหัวเทียน (Terminal) ซึ่งจะถูกต่อเข้ากับคอยล์จุดระเบิดและแกนกลางของหัวเทียนลงมายังขั้วแกนกลาง (Center Electrode) โดยกระแสไฟฟ้าจะวิ่งผ่านจากขั้วหัวเทียนลงมายังขั้วแกนกลางและกระโดดข้ามไปยังเขี้ยวหัวเทียน (Side Electrode) และในจังหวะที่กระแสไฟฟ้ากระโดดนี่เอง ที่จะทำให้เกิดเป็นประกายไฟเพื่อเริ่มต้นการจุดระเบิดของส่วนผสมภายในห้องเผาไหม้

หัวเทียนที่มีจำหน่ายในท้องตลาดทุกวันนี้ สามารถแบ่งประเภทของวัสดุที่ใช้ทำขั้วแกนกลาง (Center Electrode) และเขี้ยวหัวเทียน (Side Electrode) ออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. หัวเทียนนิกเกิล (Nickel) เหมาะกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์รุ่นเก่าโดยอาศัยกำลังไฟในการจุดระเบิดต่ำ ปัจจุบัน มีการนำเอานิกเกิลมาผสมกับธาตุอื่นๆ เพื่อเพิ่มความทนทานให้กับขั้วหัวเทียน ช่วยยืดอายุการใช้งานของหัวเทียนนิกเกิลได้ ทำให้สามารถพบเห็นหัวเทียนนิกเกิลในตลาดอย่างแพร่หลายมากขึ้น

2. หัวเทียนแพลตทินัม (Platinum) มีอุณหภูมิการทำงานที่สูงกว่าหัวเทียนนิกเกิล ซึ่งทำให้มีเขม่าที่ขั้วหัวเทียนน้อยกว่า (เพราะว่าเขม่าถูกเผาไปหมด) จึงเป็นหัวเทียนที่มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

3. หัวเทียนอิริเดียม (Iridium) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์เครื่องยนต์กำลังอัดสูง และมีความทนทานมากกว่าหัวเทียนแพลตทินัมถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ขั้วแกนกลางมีขนาดเล็กและไม่ต้องอาศัยกระแสไฟแรงดันสูงเพื่อจุดระเบิดเมื่อเปรียบเทียบกับหัวเทียนนิกเกิลและแพลตทินัม นอกจากนี้ ยังสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่องในเครื่องยนต์เทอร์โบกำลังอัดสูง ซึ่งช่วยให้สามารถรีดเค้นสมรรถนะของเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ในทุกการขับขี่

หัวเทียนทั้ง 3 แบบ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานกับเครื่องยนต์แต่ละประเภท ซึ่งผู้ใช้รถยนต์ควรจะต้องเข้าใจความแตกต่างและวัตถุประสงค์ของหัวเทียน เพื่อที่จะสามารถเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่าที่สุด


หัวเทียนบอด มีอาการอย่างไร? แก้ไขอย่างไร?
หัวเทียนทำหน้าที่จุดระเบิดภายในห้องเผาไหม้โดยตรง หากเสื่อมสภาพลง (หัวเทียนบอด) การจุดระเบิดของเครื่องยนต์จะมีประสิทธิภาพลดลงอย่างมากและส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ในหลายด้าน โดยส่วนใหญ่ หัวเทียนบอดจะมีอาการดังต่อไปนี้

    • สตาร์ตติดยาก
    • เร่งเครื่องไม่ขึ้น
    • เครื่องยนต์สั่นผิดปกติเวลาเดินเบา
    • เครื่องยนต์เดินไม่เต็มสูบ
    • กินนำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ

อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ จำเป็นต้องได้รับการตรวจสภาพอย่างละเอียดจากช่างผู้ชำนาญการ ซึ่งโดยปกติแล้วศูนย์บริการจะเปลี่ยนหัวเทียนให้รถยนต์ตามระยะอย่างน้อยทุก 1 แสนกิโลเมตร (ประกันรถยนต์ : 11 อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อครบกำหนด คลิก ) หรืออาจทดลองถอดหัวเทียนออกมาตรวจเช็กดู ซึ่งหัวเทียนที่เสื่อมสภาพจะมีลักษณะเป็นคราบเขม่าดำ มีคราบน้ำมัน เขี้ยวสึกกร่อนเป็นลักษณะโค้งไม่มีเหลี่ยมคม


ในการเปลี่ยน ควรเปลี่ยนหัวเทียนพร้อมกันทีเดียวทุกหัว หรือหากเป็นรถใหม่ที่อยู่ในระยะเวลารับประกันควรแจ้งศูนย์บริการให้เปลี่ยนใหม่ทันที แต่หากพ้นการรับประกันไปแล้ว ก็สามารถเปลี่ยนได้เอง โดยตรวจสอบระยะทางหรือระยะเวลากำหนดที่ต้องเปลี่ยน รวมถึงเบอร์และชนิดของหัวเทียนให้ตรงตามคู่มือที่แนบมากับรถ ( เช็กราคาหัวเทียนรถยนต์ คลิก ) โดยเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้


    • หัวเทียนชุดใหม่ ตามจำนวนสูบของเครื่องยนต์
    • ประแจบล็อกสำหรับถอดหัวเทียน หรือบางรุ่นอาจต้องใช้ข้ออ่อนในจุดที่เข้าถึงได้ยาก
    • ลมแรงดันสูง สำหรับใช้ทำความสะอาดสิ่งสกปรกโดยรอบ อาจใช้แบบกระป๋องหรือปั๊มลมก็ได้
    • ตัววัดความความห่างของเขี้ยวหัวเทียน
    • คีมปากจิ้งจก

 

ขั้นตอนการเปลี่ยนหัวเทียน
    1. เปิดฝากระโปรงหน้า ใช้ลมแรงดันสูงเป่าทำความสะอาดแล้วดึงปลั๊กหัวเทียนออกมา (รถแต่ละรุ่นมีวิธีการถอดที่ไม่เหมือนกัน บางรุ่นอาจต้องขันนอตยึดหัวปลั๊กออกมาก่อน ถึงจะดึงปลั๊กหัวเทียนออกมาได้ บางรุ่นถูกซ่อนหลบมุมไว้ ทำให้ต้องถอดอุปกรณ์หลายอย่าง เช่น แบตเตอรี่ ท่ออากาศ เป็นต้น)

    2. หลังจากนั้นใช้ลมแรงดันสูงเป่าอีกรอบ ก่อนใช้ประแจถอดหัวเทียนแล้วขันหัวเทียนอันเก่าออกมา (หากหัวเทียนไม่ติดขึ้นมาด้วย ให้ใช้คีมปากจิ้งจกหรือปลั๊กหัวเทียนดึงออกมา)

    3. นำหัวเทียนอันใหม่ใส่เข้าไปในช่องเดิม แล้วใช้ประแจถอดหัวเทียนขันให้ตึงมือพอประมาณ อย่าขันจนแน่นมากเกินไป เพราะอาจเกิดความเสียหายขึ้นได้

    4. นำปลั๊กหัวเทียนเสียบกลับเข้าไปที่เดิม (ขันนอตยึดหัวปลั๊กให้เรียบร้อย สำหรับรุ่นที่มีนอตยึด) จากนั้นทำตามเดิมจนครบทุกตัวตามจำนวนสูบเครื่องยนต์

 

การเลือกใช้หัวเทียนรถยนต์ มีความสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจุดระเบิดของรถ เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการหลอมละลาย บอด และชำรุดได้ง่าย หรืออาจเกิดคราบเขม่าที่บริเวณขั้วหัวเทียนได้ด้วย ผู้ขับขี่รถจึงควรให้ความใส่ใจตรวจเช็กสภาพรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ หรือหากไม่มีความเชี่ยวชาญก็ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อเช็กระยะตามกำหนดเช่นกัน

คุ้มครองความปลอดภัยให้รถคุณยิ่งขึ้น ด้วยประกันรถยนต์ประเภท 1 เบี้ยเริ่มต้น 11,600 บาท อัตราเบี้ยคงที่เท่ากันทุกปีคุ้มครองครอบคลุมทุกกรณี  ไม่ว่าจะรถชนรถ รถชนของ รถคันอื่นมาชน เกิดอุบัติเหตุนอกเมือง สูญหายไฟไหม้ น้ำท่วม พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินทางรถยนต์ (Roadside Assistance Service) สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/premotor

135
การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ในกรณีที่เจ้าของรถเสียชีวิตจำเป็นต้องใช้เอกสารเพิ่มเติมนอกเหนือจากการโอนรถแบบปกติทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการโอนแบบการรับมรดกที่ไม่มีพินัยกรรมและไม่มีคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก หรือการโอนรถโดยคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาของศาล การโอนแต่ละแบบต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง มีขั้นตอนการโอนรถของผู้ตายโดยไม่มีคำสั่งศาลอย่างไร วันนี้รวบรวมข้อมูลการโอนรถของผู้ที่เสียชีวิตทั้งในกรณีที่มีและไม่มีคำสั่งศาลมาฝาก


1. หลักเกณฑ์การโอนเปลี่ยนเจ้าของรถกรณีโอนมรดกและไม่มีพินัยกรรม
การโอนเปลี่ยนเจ้าของรถ คือ การโอนเปลี่ยนผู้ถือกรรมสิทธิ์จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง แต่ในกรณีที่เจ้าของเสียชีวิตและไม่มีพินัยกรรม หรือคำสั่งศาลในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมายจะยังไม่สามารถโอนเปลี่ยนเจ้าของรถได้ เนื่องจากต้องดำเนินการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกให้เรียบร้อยก่อน

ทั้งนี้ หลังจากแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมายแล้ว ต้องดำเนินการโอนย้ายกรรมสิทธิ์ภายใน 15 วันนับตั้งแต่ได้มีการลงลายมือชื่อและวันที่ในแบบคำขอโอนและรับโอน รวมถึงภาษีของรถยนต์จะต้องเหลือไม่น้อยกว่า 30 วัน หากภาษีของรถเหลือน้อยกว่า 30 วัน จะต้องชำระภาษีรถประจำปีให้เรียบร้อยก่อน และในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถไปได้ สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนได้ โดยผู้รับมอบอำนาจต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ด้วย 


2. เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้โอนรถกรณีเจ้าของเสียชีวิต (ไม่มีพินัยกรรม หรือคำสั่งศาล)
หลักฐานที่ต้องใช้ในการโอนรถโดยการรับมรดกที่ไม่มีพินัยกรรม และไม่มีคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ต้องใช้หนังสือรับรองผลการสอบปากคำทายาทจากสำนักงานเขต/ที่ว่าการอำเภอก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ โดยต้องมีเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้
 
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ
- สำเนาหรือภาพถ่ายใบมรณบัตรของเจ้าของมรดก
- หลักฐานประจำตัวผู้โอนหรือผู้รับโอน
- ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน
- หนังสือรับรองผลการสอบปากคำทายาทจากสำนักงานเขต/ที่ว่าการอำเภอ


3. เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้โอนรถกรณีเจ้าของเสียชีวิต (มีคำสั่งศาล)
หลักฐานที่ใช้ในการโอนรถโดยคำสั่งศาลหรือคำพิพากษาของศาลหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ต้องใช้เอกสารดังนี้

- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ
- หลักฐานการได้มาของรถ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี
- หลักฐานประจำตัวผู้โอนและผู้รับโอน
- หนังสือเจ้าของพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมายให้โอนรถให้กับผู้รับโอน พร้อมทั้งบัญชี รายละเอียดของรถคันดังกล่าว


4. ขั้นตอนการโอนรถยนต์กรณีเจ้าของรถเสียชีวิต
ขั้นตอนการโอนรถยนต์กรณีที่เจ้าของรถเสียชีวิต แบ่งเป็น 2 กรณี ได้แก่
- กรณีมีพินัยกรรมหรือคำสั่งศาลให้เป็นผู้จัดการมรดก
- กรณีที่ไม่มีพินัยกรรมหรือคำสั่งศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกให้ทายาท (สามี, ภรรยา หรือบุตร)

หากไม่มีเอกสารในข้อ 2) ให้ผู้ติดต่อดำเนินการเข้ามาขอรับหนังสือที่สำนักงานขนส่งเพื่อนำไปดำเนินการสอบปากคำทายาทและประกาศรับมรดกที่อำเภอที่ผู้ตายมีภูมิลำเนา โดยมีขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์กรณีเจ้าของเสียชีวิตดังนี้
นำรถเข้ารับการตรวจสอบที่ฝ่ายตรวจสภาพรถ  ณ ที่ทำการของสำนักงานขนส่งเท่านั้น
ยื่นตรวจสอบคำขอพร้อมหลักฐาน เช่น สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ บัตรประจำตัวประชาชนของผู้จัดการมรดก ใบมรณะบัตรของเจ้าของรถ ผลการตรวจสอบรถ (ถ้ามี) และอื่นๆ
ชำระเงินค่าธรรมเนียม
รอรับเอกสารคืน

ทั้งนี้ กรณีที่โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์จากการปิดบัญชีจากผู้ให้เช่าซื้อ (ไฟแนนซ์) ไปยังผู้เช่าซื้อ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถตามรายการจดทะเบียน ไม่ต้องตรวจสอบรถ และการโอนกรรมสิทธิ์รถต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 15 วัน นับแต่วันโอน (หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท)


5. สถานที่ติดต่อแจ้งขอเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์รถยนต์
สามารถดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ได้ที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 5 สำนักงานขนส่งจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งในพื้นที่ที่ปรากฎในใบคู่มือจดทะเบียนรถ หรือที่ขอแจ้งใช้รถไว้



การโอนรถยนต์หรือทะเบียนรถในกรณีที่เจ้าของรถเสียชีวิตทั้งในรูปแบบที่มีหรือไม่มีพินัยกรรมหรือคำสั่งศาล สามารถเริ่มต้นสอบถามข้อมูลที่ถูกต้องได้จากสำนักงานขนส่งประจำพื้นที่ หรือประจำจังหวัด อย่าลืม!!! เมื่อโอนรถเรียบร้อยแล้ว แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลประกันภัยรถยนต์ให้เรียบร้อย แล้วเลือกความคุ้มครองให้รถคุณด้วย ประกันรถยนต์ตามเวลา ให้ความคุ้มครอง 6 และ 12 เดือน ด้วยเบี้ยเบาๆ จ่ายสบาย ช่วยแบ่งเบาภาระในยามวิกฤต เพื่อความอุ่นใจเมื่อออกเดินทาง เบี้ยเริ่มต้นที่ 969 บาท คลิก https://www.smk.co.th/premotor




136
ใบปัดน้ำฝนรถยนต์ เป็นอุปกรณ์สำคัญของรถยนต์อย่างหนึ่งที่เจ้าของรถทุกคันควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถึงเดือนที่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน มีฝนตกต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ ( อ่าน ขับรถขณะฝนตกให้ปลอดภัย คลิก ) แล้วจะมีวิธีการเลือก “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” หรือตรวจเช็ค “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์” ให้พร้อมใช้งานได้อย่างไร? วันนี้รวบรวมข้อมูลมาไว้ให้แล้วค่ะ

ประเภทของ “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์”
การทำงานของใบปัดน้ำฝนที่ดี จะต้องเป็นการปาดน้ำฝนโดยมีช่องว่างระหว่างกระจกและน้ำฝนประมาณ 0.01- 0.05 มม. เพื่อสร้างผิวฟิล์มบนกระจกหรือเป็นการปาดน้ำให้เรียบ โดยไม่ปาดน้ำทั้งหมดออกไปจากกระจก เพราะหากออกแบบให้ใบปัดอยู่ติดกับกระจกมากเกินไป จะทำให้เกิดปัญหาใบปัดสะดุดและสั่นกระพือเมื่อใช้งานจริง โดยประเภทของใบปัดน้ำฝน มีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่

1. ชนิดแบบมีโครงเหล็ก (Conventional Wiper Blade) เป็นใบปัดน้ำฝนที่ใช้กันทั่วไป พบเห็นได้มากในรถยนต์เกือบทุกคัน ลักษณะที่สังเกตได้ของใบปัดน้ำฝนชนิดนี้คือมีโครงเหล็กหรือโครงโลหะแขนยางใบปัดคู่กับยางใบปัดน้ำฝน มีความทนทาน โดยประสิทธิภาพในการปัดน้ำฝนของใบปัดน้ำฝนประเภทนี้ จะขึ้นอยู่กับ

2. ใบปัดน้ำฝนแบบซ่อนแขนใบปัดน้ำฝน (Semi Concealed Wiper Blade) จะมีโครงสร้างเหมือนกับแบบแรก แต่ผู้ผลิตจะออกแบบที่ครอบเพิ่มขึ้นมา เพื่อนำมาครอบแขนใบปัดน้ำฝนไว้ แต่ยังคงเห็นเนื้อยางของใบปัดน้ำฝนอยู่ จุดประสงค์เพื่อความสวยงามแต่ยังมีประสิทธิภาพในการปาดน้ำที่ดี สามารถพบเห็นได้ในรถยนต์บางรุ่น

3. ใบปัดน้ำฝนแบบไร้โครงเหล็ก (Flat Blade) จะไม่สามารถสังเกตเห็นแขนของใบปัดน้ำฝนและตัวยางปัดน้ำฝนเลย เนื่องจากไม่มีโครงเหล็กแต่จะมีแกนเหล็กฝังไว้ในเนื้อยาง ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติในการใช้งานได้ดี เนื่องจากน้ำหนักของใบปัดจะถูกกระจายไปเท่าๆ กันทั่วทั้งแขนของใบปัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปาดน้ำ และลักษณะของใบปัดประเภทนี้ยังลดพื้นที่ต้านลมเมื่อปัดน้ำฝนขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้อีกด้วย


วิธีเลือก “ใบปัดน้ำฝนรถยนต์”
1. สังเกตรุ่นรถยนต์จากข้างบรรจุภัณฑ์ของผู้ผลิตใบปัดน้ำฝนให้ตรงกับรุ่นรถยนต์ที่ใช้อยู่
2. ไม่ควรเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนเก่าหรือผลิตไว้นานแล้ว เพราะยางบนใบปัดน้ำฝนมีอายุการใช้งานที่จำกัด บางครั้งผู้จำหน่ายไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้หมดภายในหน้าฝนปีก่อน ก็จะนำออกมาลดราคาในปีถัดไป ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ใช้รถมักเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเฉพาะช่วงหน้าฝนเท่านั้น
3. รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ก้านของใบปัดน้ำฝนทางฝั่งคนขับและคนนั่งจะมีขนาดไม่เท่ากัน โดยขนาดของใบปัดน้ำฝนจะอยู่ที่ประมาณ 14” หรือ 21” ซึ่งหากซื้อแยกเป็นกล่องๆ จากร้านทั่วไปต้องอ่านรายละเอียดข้างกล่องให้ชัดเจน
4. เลือกใบปัดน้ำฝนให้ถูกฝั่ง หากบนใบปัดน้ำฝนมีการะบุภาษาอังกฤษตัวย่อบนใบปัด เช่น อักษร “D” จะย่อมาจาก “Driver” ให้เข้าใจว่าใบปัดใบนั้นสำหรับติดตั้งฝั่งคนขับ ส่วนอักษร “P” ย่อมาจาก “Passenger” จะเป็นใบปัดน้ำฝนสำหรับที่ฝั่งคนนั่ง


ควรต้องเปลี่ยน “ใบปัดน้ำฝน” เมื่อไร?
การเปลี่ยนในปัดน้ำฝน สามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนยกทั้งโครงหรือเปลี่ยนเฉพาะยางใบปัด ซึ่งหากโครงใบปัดยังสภาพดีอยู่สามารถเลือกเปลี่ยนเฉพาะยางได้ ส่วนก้านใบปัดนั้น ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยนัก เพราะมักมีอายุการใช้งานนานนับสิบปีกว่าสปริงใบปัดจะล้า ซึ่งอาจล้าตามอายุการใช้งานหรือล้าจากการใช้งานผิดวิธี เช่น การยกใบปัดน้ำฝนตั้งขึ้นเวลาจอดรถตากแดด จะยิ่งทำให้อายุของสปริงที่ก้านใบปัดเสื่อมเร็วขึ้น


ดูแลรักษารถยนต์ให้คงสภาพดีอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยและทัศนวิสัยในการขับขี่บนท้องถนน ประกันรถยนต์ ช่วยให้คุณอุ่นใจในยามขับขี่ท่ามกลางสายฝนได้มากขึ้นด้วยประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ ชั้น 1 สนใจคลิก https://www.smk.co.th/premotor

137

น้ำมันเบรก คนละยี่ห้อใช้ผสมกันได้หรือไม่ ?


ทำไมถึงไม่ควรผสมน้ำมันเบรกคนละยี่ห้อ?
ไม่ควรผสมน้ำมันเบรกที่มีความแตกต่างกันระหว่างยี่ห้อ หรือระหว่างเกรด/มาตรฐาน เนื่องจากแม้ว่าน้ำมันเบรกจะมีเกรดหรือค่ามาตรฐานเทียบเท่ากัน แต่น้ำมันเบรกแต่ละยี่ห้อจะมีส่วนผสมทางเคมีที่ต่างกันตามเเต่ละสูตรการผลิตของบริษัท การใช้น้ำมันเบรกต่างยี่ห้อหรือต่างมาตรฐานอาจทำให้เกิดโอกาสรั่วซึมในระบบเบรก รวมถึงอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการเบรกในระหว่างขับขี่ได้ ทั้งนี้ ควรเลือกเติมน้ำมันเบรกระหว่างยี่ห้อเฉพาะในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เช่น กรณีที่น้ำมันเบรกรั่วซึมกะทันหันขณะขับขี่ หรือกรณีเติมชั่วคราวเพื่อเตรียมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทั้งระบบ


มาตรฐานน้ำมันเบรกคืออะไร?
มาตรฐานน้ำมันเบรกประเภท DOT จะกำหนดมาตรฐานและแบ่งเกรดของน้ำมันเบรกตามอุณหภูมิจุดเดือด 2 ประเภท ได้แก่ 1) จุดเดือดแห้ง หรือจุดเดือดที่ปราศจากความชื้น (Dry Boiling Point) สำหรับน้ำมันเบรกใหม่ที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน และ 2) จุดเดือดเปียก หรือจุดเดือดที่มีความชื้นอยู่ในน้ำมัน (Wet Boiling Point) ของน้ำมันเบรกที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว มีการดูดซับความชื้นไปแล้ว แบ่งเป็นมาตรฐาน DOT 2, DOT 3, DOT 4, DOT 5 และ DOT 5.1 โดยน้ำมันเบรกที่มีประสิทธิภาพดีตามมาตรฐานที่กำหนดนั้น จะต้องมีจุดเดือดสูงทั้งในสภาวะที่ปราศจากความชื้นเเละมีความชื้นอยู่


สามารถเติมน้ำมันเบรกเพิ่มเข้าไปได้เลยหรือไม่?
ควรตรวจสอบความจำเป็นในการเติมน้ำมันเบรกก่อนที่จะเติมน้ำมันเบรกเดิม หรือผสมน้ำมันเบรกชนิดใหม่เข้าไป เพราะน้ำมันเบรกที่พร่องหรือลดลงอาจมีสาเหตุการรั่วซึม รวมถึงการสึกหรอของผ้าเบรก หากตรวจสอบแล้วไม่พบการรั่วซึม การเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่จะทำให้ปริมาณน้ำมันเบรกกลับมาอยู่ในระดับคงที่เช่นเดิม  โดยเจ้าของรถยนต์อาจเลือกเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเดิมทั้งระบบให้เป็นน้ำมันเบรกใหม่ ไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่เพื่อความสะดวกได้ด้วยเช่นกัน หรือหากมีความจำเป็นที่ต้องเติมน้ำมันเบรก ควรเริ่มต้นจากการตรวจสอบคู่มือประจำรถยนต์ก่อนเพื่อตรวจสอบประเภทหรือมาตรฐานน้ำมันเบรกที่รถยนต์สามารถใช้ได้ก่อน รวมถึงสามารถตรวจสอบประเภทน้ำมันเบรกที่สามารถใช้ได้ที่บริเวณฝาถังน้ำมันเบรก เมื่อทราบประเภทเเล้ว ควรเลือกใช้น้ำมันเบรกยี่ห้อเดิมและประเภทเดิมเพื่อรักษาประสิทธิภาพระบบเบรก


การเติมน้ำมันเบรกที่ถูกต้องควรใช้น้ำมันเบรกชนิดเดิมที่เคยใช้มาก่อน หรือควรเลือกเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกใหม่ทั้งระบบก่อนเติมน้ำมันใหม่เพิ่มเข้าไป เพิ่มความคุ้มครองให้รถด้วยประกันรถยนต์ การันตีถูกจริง คลิก https://www.smk.co.th/premotor

138


#โค้งสุดท้าย #แจกประกันแพ้วัคซีนฟรี #ไม่มีค่าใช้จ่าย #ไม่ต้องเป็นลูกค้าก็สมัครได้

สินมั่นคงประกันภัย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19
.
ชวนคุณส่งต่อความห่วงใยให้ครอบครัวเพื่อน และคนที่คุณรัก เพื่อรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิด คุ้มครองท่านละ 100,000 บาท #ฟรี #ไม่มีค่าใช่จ่ายใดๆ ตั้งแต่วันนี้ – จนกว่าสิทธิ์จะหมด (ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
.
ลงทะเบียนรับสิทธิ์แจกประกันแพ้วัคซีนฟรีได้แล้วที่ www.smk.co.th/covid19_vacine.aspx
.
สอบถามเพิ่มเติมที่ SMK Line Official @smkinsurance ( https://lin.ee/xQmGXFh) หรือ โทร.1596


139
#แจกฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย #ประกันแพ้วัคซีน #ไม่ต้องเป็นลูกค้าก็ลงทะเบียนได้
.
สินมั่นคงประกันภัย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19
.
ชวนคุณส่งต่อความห่วงใยให้ครอบครัวเพื่อน และคนที่คุณรัก เพื่อรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิด คุ้มครองท่านละ 100,000 บาท #ฟรี #ไม่มีค่าใช่จ่ายใดๆ ตั้งแต่วันนี้ – จนกว่าสิทธิ์จะหมด (ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
.
ลงทะเบียนรับสิทธิ์แจกประกันแพ้วัคซีนฟรีได้แล้วที่ http://www.smk.co.th/covid19_vacine.aspx
.
สอบถามเพิ่มเติมที่ SMK Line Official @smkinsurance (https://lin.ee/xQmGXFh) หรือ โทร.1596

140
รถยนต์ | Car / หน้าฝนไม่ล้างรถระวัง!! สีพัง!!
« เมื่อ: มิถุนายน 14, 2021, 08:40:15 AM »


ช่วงหน้าฝน หลายคนคงไม่อยากจะล้างรถเพราะหลายคนเคยพบกับปัญหาล้างรถตอนเช้า บ่ายฝนตก ทำให้รถสกปรกเหมือนเดิม แต่การล้างรถในช่วงหน้าฝนเป็นสิ่งที่ควรทำ การละเลยอาจส่งผลระยะยาวต่อรถคนโปรดของเราได้ วันนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาบอกกันดังนี้

ลองคิดดูในช่วงหน้าฝนรถของเรา ที่ใช้เดินทางจะโดนสิ่งสกปรกใดบ้างตลอดวัน ทั้งลุยน้ำสกปรก ลุยฝน จนสกปรกเลอะทั้งคัน โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูง มลพิษทำให้ฝนที่ตกมามีฤทธิ์เป็นกรด กัดกร่อนสีรถของเรา ให้หม่นหมอง ไม่เงางาม การล้างรถจึงเป็นสิ่งจำเป็น
 
สาเหตุที่จำเป็นต้องล้างรถในช่วงฤดูฝน
1. ฝนมีสภาพเป็นกรด สามารถฝังลึกทำร้ายสีรถได้ เนื่องจากฝนกรดอาจฝังเข้าไปในผิวสีรถ หากทิ้งไว้นานส่งผลต่อสีรถ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีมลพิษทางอากาศสูง สามารถกัดกร่อนสีรถของเรา ให้หม่นหมอง ไม่เงางามได้
2. เกิดคราบน้ำฝังแน่น เนื่องจากเมื่อมีหยดน้ำบนผิวรถผสมกับฝุ่นละอองที่เกาะบนรถ ทำให้เกิดคราบน้ำบนสีรถ ยิ่งสะสมไว้คราบไว้นาน และตากแดดจะทำให้การทำความสะอาดทำได้อยากขึ้น และอาจต้องเสียค่าทำความสะอาดเพิ่มขึ้นได้
3. ช่วงหน้าฝนมักมีลมแรงพัดเอา เศษกิ่งไม้ ใบไม้ ตกบนบนตัวรถอาจส่งผลทำให้ผิวสีรถด่างและเสียได้
4. สภาพอากาศที่มีความชื้นสูงก่อให้เกิดสนิม โดยเฉพาะเมื่อรถผ่านการลุยฝน เกิดความชื้นตลอดเวลา การชำระล้างและทำให้แห้งช่วยให้ลดการเกิดสนิมได้
5. รถเปียกน้ำสิ่งสกปรกในอากาศมาติดง่าย เช่น ฝุ่นละออง ซึ่งทำให้เกิดคราบดำ หากเป็นรถสีขาวจะทำให้สีรถหมองเร็ว

 

แล้วเราควรล้างรถบ่อยแค่ไหน?

ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสีรถแนะนำว่าควรล้างรถหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ถ้ารถถูกใช้งานในสภาพอากาศที่ไม่ค่อยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทยที่อุณหภูมิความร้อน และแสงแดดเป็นบ่อนทำลายความเงางามของสีรถได้เป็นอย่างดี โดนเฉพาะถ้าเป็นหน้าฝน เม็ดฝนที่กวาดรวมเอามลภาวะลงมาพร้อมกับเม็ดฝนจนมาเกาะที่สีตัวรถก็คือศัตรูตัวดีที่ทำให้ตัวรถดูโทรมเร็วกว่า และยังกระตุ้นให้รถเกิดสนิมได้ง่าย

 

ข้อแนะนำในการล้างรถหน้าฝน
- หมั่นล้างรถอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังลุยฝนมา เพราะจะช่วยลดการเกิดคราบฝังแน่นได้ แต่ถ้าไม่มีเวลา แนะนำให้ใช้สายยางฉีดน้ำไล่ฝุ่น โคลน และคราบน้ำฝนออกไป และใช้ผ้าเช็ด
- การล้างรถทุกครั้งไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่น เพราะอาจทำให้ฝุ่นทราย ขูดกับสีรถจนเป็นรอย
- สำหรับการล้างรถที่ถูกต้อง ควรเริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำเปล่าแรงๆ จากด้านบนลงมาด้านข้าง และสุดท้ายที่ด้านล่าง
- ก่อนใช้แชมพูล้างรถยนต์ โดยเริ่มจากหลังคากระจกรอบด้าน ถึงตัวถังด้านข้าง และสุดท้ายที่ล้อและยาง จากนั้นฉีดล้างออกด้วยน้ำเปล่า
- ทิ้งไว้สักครู่ ก่อนจะเช็ดแห้งด้ายผ้าสะอาดที่กระจกก่อนแล้วจึงนำผ้าผืนดังกล่าว บิดหมาดๆ เช็ดที่ตังถัง โดยเริ่มที่หลังคา ไล่ลงมาด้านข้าง เช่น ประตู หรือขอบฝากระโปรงหน้า หลัง
- ไม่ควรเช็ดตัวถังด้วยผ้าแห้ง เพราะความแข็งของผ้าอาจทำให้สีตัวถังเป็นรอยได้
- ไม่ควรล้างรถเองในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ เพราะบางครั้งน้ำที่ตกค้างอยู่ตามซอกซึ่งเราอาจทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง อาจเป็นสาเหตุทำให้รถเป็นสนิมได้
- หลังการล้างรถหากต้องจอดค้างคืน ให้นำรถออกไปวิ่งสักหนึ่งหรือสองกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย เพื่อให้หยดน้ำที่ตกค้างตามซอกต่างๆ ไหลออกไปให้หมดจะได้ไม่กลายเป็นสนิม
- แนะนำให้เคลือบสีรถไว้ตลอด เพราการเคลือบสีรถนอกจากจะนำให้รถเงางามแล้ว ยังช่วยป้องกันคราบน้ำฝน หากเคลือบสีบ่อยๆ น้ำจะไม่เกาะที่ตัวรถ ช่วยลดการเกิดคราบ และทำให้ล้างทำความสะอาดได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
- อย่าจอดรถใต้ร่มไม้ที่มียางเกสร ดอก หรือผล เพราะในฤดูฝน มักมีลมกรรโชกแรง นอกจากต้นไม้จะหักหรือล้มมาโดนรถเราได้แล้ว สิ่งดังกล่าวอาจจะปลิวมาติดรถ และทำให้สีรถเสียหาย เกิดรอยด่างได้ หากเราไม่แก้ไขในทันที
- เมื่อขับรถลุยฝนมาแล้ว พยายามอย่าจอดรถตากแดดเพราะแสงแดดจะทำให้คราบน้ำฝนแห้ง เป็นคราบฝังตัวแน่น และอาจกัดลงลึกถึงเนื้อสีได้ จะเป็นการทำร้ายสีรถซ้ำหนักเข้าไปอีก
- การทำความสะอาดภายในของตัวรถก็ไม่ควรละเลย เพราะทุกคนต้องสูดอากาศเวียนหายใจภายในห้องโดยสาร ควรดูดฝุ่นสัปดาห์ละหนึ่งครั้งจะช่วยลดฝุ่นที่สะสมอยู่ภายในรถได้

 

รถยนต์ทรัพย์สินมีค่าต้องการดูแล จะได้ใช้งานได้นานๆ ซึ่งการล้างรถเป็นวิธีการดูแลรถยนต์ง่ายๆที่ไม่ควรละเลย เพิ่มความคุ้มครองให้กับรถยนต์ของท่าน ด้วย ประกันรถยนต์ สนใจคลิกเลย


141

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ" ไวรัสโคโรนา" หรือ" โควิด-19" ดูเหมือนจะเพิ่มระดับความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแพร่ระบาดในเรือนจำที่กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่และขยายจำนวนผู้ติดเชื้อออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในแนวทางการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ผลดีที่สุด คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของอาการ


ฟรี! ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิดกับสินมั่นคง (SMK) ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิด 1,000,000 สิทธิ์ คุ้มครองท่านละ 100,000 บาท


https://www.smk.co.th/covid19_vacine.aspx




*เงื่อนไขในการลงทะเบียนรับสิทธิ์ความคุ้มครอง
- อายุ 18-99 ปีบริบูรณ์ ณ วันลงทะเบียน
- ลงทะเบียนรับสิทธิ์ภายในวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 - 15 มิถุนายน 2564

142
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ" ไวรัสโคโรนา" หรือ" โควิด-19" ดูเหมือนจะเพิ่มระดับความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแพร่ระบาดในเรือนจำที่กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่และขยายจำนวนผู้ติดเชื้อออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในแนวทางการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ผลดีที่สุด คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของอาการ


ฟรี! ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิดกับสินมั่นคง (SMK) ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิด 1,000,000 สิทธิ์ คุ้มครองท่านละ 100,000 บาท


https://www.smk.co.th/covid19_vacine.aspx



*เงื่อนไขในการลงทะเบียนรับสิทธิ์ความคุ้มครอง
- อายุ 18-99 ปีบริบูรณ์ ณ วันลงทะเบียน
- ลงทะเบียนรับสิทธิ์ภายในวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 - 15 มิถุนายน 2564

143
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ" ไวรัสโคโรนา" หรือ" โควิด-19" ดูเหมือนจะเพิ่มระดับความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแพร่ระบาดในเรือนจำที่กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่และขยายจำนวนผู้ติดเชื้อออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในแนวทางการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ผลดีที่สุด คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของอาการ


ฟรี! ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิดกับสินมั่นคง (SMK) ลงทะเบียนรับสิทธิ์ประกันแพ้วัคซีนโควิด 1,000,000 สิทธิ์ คุ้มครองท่านละ 100,000 บาท


https://www.smk.co.th/covid19_vacine.aspx




*เงื่อนไขในการลงทะเบียนรับสิทธิ์ความคุ้มครอง
- อายุ 18-99 ปีบริบูรณ์ ณ วันลงทะเบียน
- ลงทะเบียนรับสิทธิ์ภายในวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 - 15 มิถุนายน 2564

144
พวงมาลัยมีความสำคัญในการช่วยควบคุมทิศทางการขับขี่ หากเราหักพวงมาลัยจนสุดจะส่งผลเสียต่อรถยนต์หรือไม่อย่างไร ส่งผลต่อระบบใดของเครื่องยนต์บาง สินมั่นคง ประกันรถยนต์ รวบรวมมาบอกกัน ดังนี้
 

พวงมาลัยรถยนต์ในปัจจุบันมักเป็นพวงมาลัยแบบเพาเวอร์ มี 3 แบบ ดังนี้

- แบบไฮดรอลิกส์แบบใช้น้ำมัน

- แบบไฮดรอลิกส์ร่วมกับไฟฟ้า

- แบบไฟฟ้าใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวไม่มีน้ำมันเพาเวอร์

 

การหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวจนสุด และออกตัวแรง

มีอันตรายและมีผลเสียต่อระบบช่วงล่าง โดยเฉพาะเพลาขับสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งส่งผลโดยตรงไปที่ลูกปืนของหัวเพลา หรือระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ (ในรถที่ใช้แบบน้ำมันไฮดรอลิก)

 

การที่หมุน พวงมาลัย จนสุดแล้วค้างทิ้งไว้นาน

จะทำให้ น้ำมันเพาเวอร์ มีความร้อนสูง และโอกาสที่จะทำให้ระบบของ พวงมาลัย เกิดความเสียหายได้ ซึ่งในที่นี้เราหมายถึง ระบบของ พวงมาลัยเพาเวอร์ แบบที่ใช้ระบบไฮดรอลิคในการสร้างความดันน้ำมันไม่ใช่ พวงมาลัย ไฟฟ้าของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ

 

การหักพวงมาลัยจนสุดและแรง

ถ้าเราหักพวงมาลัยจนสุดและแรง จะเกิดแรงดันของน้ำมันเพาเวอร์ ที่ไหลย้อนกลับสูงมาก ไปดันที่ปั๊มน้ำมันเพาเวอร์ทำให้เกิดการซึมออกมาจากปั๊ม และนอกเหนือการซึม ก็เกิดการรั่วตามสายยาง และนอกจากนั้นจะทำให้ข้อต่อ ซิลยาง หรืออะไหล่บางตัวเสียหาย และต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก (ในรถที่ใช้แบบน้ำมันไฮดรอลิก)

 

หมุนพวงมาลัยตอนรถหยุดนิ่ง

การหมุนพวงมาลัย ในตอนที่รถหยุดนิ่งนั้น จะส่งผลเสียในระยะยาวต่อรถดังนี้

- จะทำให้ดอกยางรถยนต์ สึกเร็วกว่ากำหนด เนื่องได้รับแรงเสียดสีเต็มๆกับพื้นถนน

- การหมุนพวงมาลัยแบบวิธีนี้ ยังจะทำให้มอเตอร์พวงมาลัยไฟฟ้า ทำงานหนักกว่าปกติ เสียเร็วขึ้น และอาจต้องเปลี่ยนทั้งชุดซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง

 

วิธีหมุนพวงมาลัยที่ถูกต้อง

ไม่ควรหมุนสุดจนมีเสียงดัง นั่นแสดงว่าหมุนจนไปจนถึงตัวกั้นเพื่อกันการหักหมุนมากเกินไปนั่นเอง เมื่อหมุนจนสุดก็ควรคลายออกเล็กน้อยก่อนเร่งออกตัว และไม่ควรเร่งออกตัวอย่างแรง จนยางมีเสียงเพราะอาจส่งผลเสียต่อเพลาของรถเรา เวลาเลี้ยวอย่าหักพวงมาลัยแรงๆ ควรหักช้าๆ เมื่อหมุนจนสุดหรือรู้สึกว่ามัน แตะๆ แล้ว ก็ผ่อนพวงมาลัยเล็กน้อย หรือคืนพวงมาลัยเล็กน้อย เพื่อลดแรงดันน้ำมันที่จะไหลย้อนกลับ ช่วยยืดอายุการใช้งานพวงมาลัยได้

 


 
เพิ่มความคุ้มครองให้กับรถยนต์ของท่าน ด้วยประกันรถยนต์เบี้ยทไม่แพง พร้อมบริการที่สะดวก รวดเร็ว

145
รถยนต์ | Car / วิธีดูแลเบรครถยนต์ด้วยตนเอง
« เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2021, 10:05:18 AM »
เบรคมีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้ใช้รถ ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัย ดังนั้นเราควรจะทราบถึงวิธีการดูแล การสังเกต และการตรวจเช็คเบรคแบบง่ายๆ ซึ่งวันนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาแนะนำกันดังนี้
 

การดูแลรักษาเบรครถยนต์

- ควรเปลี่ยนผ้าเบรคทุก 25,000 กม. สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติ หรือ เมื่อผ้าเบรคมีความหนาน้อยกว่า 4 มม หรือเหลือผ้าเบรคน้อยกว่า 30% ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากเป็นรถที่มีการบรรทุกน้ำหนักมาก หรือการขับขี่ในเมืองที่มีการเบรคบ่อยๆ อายุผ้าเบรคจะสั้นลง

- ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคควรทุก 40,000 กม.



การตรวจเช็คน้ำมันเบรค

- ตรวจระดับน้ำมันเบรค ต้องมีระดับไม่ต่ำกว่า Min และไม่เกินระดับ Max ระวังอย่าเติมให้เกินระดับ Max


- ถ้าน้ำมันเบรคมีสีดำแสดงว่าลูกยางเบรคเสื่อมสภาพ ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคใหม่และควรเปลี่ยนลูกยางเบรคใหม่


- สำรวจล้อตรงเบรคแต่ละข้างว่ามีคราบน้ำมันเบรคซึมออกมาหรือไม่  อาจมีการรั่วซึมของระบบเบรคได้



การทดสอบระบบเบรค

ทดสอบโดยขับรถที่ความเร็วประมาณ 40 กม.ต่อชั่วโมง จับพวงมาลัยหลวมๆ แล้วทำการเหยียบเบรคลงไปทันที แล้วสังเกตการหมุนของพวงมาลัย ถ้าไม่หมุนแสดงว่าปกติ แต่ถ้าพวงมาลัยหมุนควรไปตรวจเช็คระบบเบรคอย่างละเอียด



การสังเกตเบรคว่ามีปัญหาหรือไม่

- ถ้ามีเสียงขณะเหยียบเบรค
    - หากเบรคแล้วเกิดเสียง "เอี๊ยด" เป็นสัญญาณเตือนของ ผ้าเบรค กับ จานเบรค ที่น่าจะเสียดสีกัน จนทำให้เกิดเสียงขึ้นมา หากใช้ต่อไปอาจทำให้จานเบรคเป็นรอย เมื่อจานเบรคถูกขูดเป็นรอยลึกมากๆ อาจไม่สามารถเจียได้ อาจต้องเปลี่ยนจานเบรคใหม่
    - หากเบรคแล้วเกิดเสียง"ครืด" อาจเป็นไปได้ว่า ผ้าเบรค กับ จานเบรค สกปรก อาจจะเกิดจากฝุ่นหรือหินหลุดเข้าไปเสียดสีกัน แต่ถ้าดังหลังจากที่เพิ่งขับรถลุยน้ำมา เป็นเพราะสาเหตุผ้าเบรคเปียกน้ำ  เมื่อขับไปสักพักเสียงก็จะหายไปเอง
    -  เกิดเสียงคล้ายเหล็กขูดกัน และสั่นแรงถึงแป้นเบรกลักษณะนี้เป็นสัญญาณบอกว่าผ้าเบรกหมดเกลี้ยงแล้ว นั่นคือตัวผ้าเบรกเหลือน้อยต่ำกว่ามาตรฐานหรืออาจหมดเกลี้ยงจนถึงแผ่นโลหะที่ยึดผ้าเบรก จึงเกิดการเสียดสีระหว่างเหล็กกับเหล็ก และเกิดเสียงดังขึ้น


- การดึงเบรคหากเราต้องดึงขึ้นสูงกว่าปกติ นี่ก็เป็นสัญญาบอกอย่างหนึ่งว่าเราอาจจะต้องเปลี่ยน ผ้าเบรค ได้แล้ว


- การเหยียบเบรคในแต่ละครั้งจะต้องเหยียบลึกกว่าปกติ ควรเข้าศูนย์ซ่อมเพื่อตรวจเช็ค


- สังเกตจากสัญญานไฟเตือนขึ้นที่หน้าปัดรถ

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตรวจเช็คเบื้องต้นที่สามารถดูแลได้ด้วยตัวเอง  ไม่ควรละเลยระบบเบรคเพราะมีส่วนสำคัญอย่างมากในขับขี่ให้ปลอดภัย


การทำประกันภัยรถยนต์เป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยลดความเสี่ยง และให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น อย่าลืมเลือกทำประกันรถยนต์ด้วยเบี้ยที่ไม่แพง พร้อมบริการที่สะดวก

146
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ" ไวรัสโคโรนา" หรือ" โควิด-19" ดูเหมือนจะเพิ่มระดับความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการแพร่ระบาดในเรือนจำที่กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่และขยายจำนวนผู้ติดเชื้อออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในแนวทางการควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้ผลดีที่สุด คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของอาการ
ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ประกอบด้วย
    1. โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง
    2. โรคหัวใจและหลอดเลือด
    3. โรคไตวายเรื้อรัง
    4. โรคหลอดเลือดสมอง
    5. โรคมะเร็ง
    6. โรคเบาหวาน
    7. โรคอ้วน

แต่ด้วยความเร่งด่วนของการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ให้สามารถนำออกมาใช้กับคนทั่วโลกโดยเร็วที่สุด เพื่อระงับการแพร่ระบาด ทำให้มีหลายคนที่ได้รับวัคซีนแล้วเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในระดับอาการที่แตกต่างกัน (อาการหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นอย่างไร? แบบไหนคืออาการแพ้วัคซีนโควิด? คลิก) จนเกิดเป็นกระแสความหวั่นวิตกต่อผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด-19 หากต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนตามกำหนดโควต้าที่ได้รับ

สินมั่นคงประกันภัย ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 มอบความคุ้มครองการแพ้วัคซีนให้คุณฟรี! 1,000,000 สิทธิ์ คุ้มครองท่านละ 100,000 บาท (ข้อกำหนดและเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด) ลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้แล้วที่ www.smk.co.th/covid19_vacine.aspx

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SMK Line Official @smkinsurance หรือ โทร.1596

147
กระจกรถยนต์เป็นอุปกรณ์เสริมสร้างความปลอดภัยในการขับขี่ เราควรต้องดูแลให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานตลอดเวลา การดูแลรักษากระจกรถจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้น วันนี้มีคำแนะนำดี ๆในการดูแลกระจกรถมาบอกกันดังนี้
 

วิธีการดูแลรักษากระจกรถยนต์ที่ถูกต้องให้ใช้งานได้นานมีดังนี้

- หากนำรถไปจอดในบริเวณที่มีแดดจัดให้ลดกระจกหน้าต่างทั้งสองข้างลงเล็กน้อย เพื่อให้อากาศสามารถถ่ายเท

- หลีกเลี่ยงการเปิดเครื่องปรับอากาศด้วยความเย็นจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้อายุการใช้งานของกระจกสั้นลง

- ไม่ควรปล่อยให้ยางของกระจกแข็งตัวหรือเสื่อมสภาพ

- ควรหลีกเลี่ยงการขับรถตามท้ายรถบรรทุกในระยะกระชั้นชิด เพราะเศษดิน เศษหินอาจหล่นใส่เป็นสาเหตุให้กระจกเสียหายได้

- กระจก เป็นรอย อาจจะเกิดจากเลื่อนขึ้นเลื่อนลงในขณะที่ยางไม่ดี หรือเป็นเพราะกระจกแห้งมากๆ อาจจะทำให้เกิดรอยได้ง่าย รวมไปถึงเช็ดกระจกและที่ปัดน้ำฝนไม่ดี ทำให้กระจกไม่ใสได้ เพราะฉะนั้นควรระมัดระวังและรักษาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกระจกให้อยู่ใน สภาพที่สมบูรณ์

- เมื่อเกิดอาการกะเทาะของกระจก อย่างแรกที่ต้องทำ คือ ใช้เทปใสปิดทับโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกฝังเข้าไปตามรอยที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้การซ่อมแซมเป็นเรื่องยากและไม่เรียบเนียน

- ถ้าเกิดรอยร้าวเป็นเส้นๆ เหมือนใยแมงมุม ต้องรีบนำเข้าซ่อมโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้รอยร้าวเกิดต่อเนื่องมากขึ้น ซึ่งรอยร้าวแบบนี้จะเกิดต่อเนื่องได้ง่ายมาก ทั้งจากการบิดตัวของโครงสร้างตัวรถ และการกระเทือนจะทำให้รอยร้าวเพิ่มมากขึ้นได้ง่าย

- ระวังการปัดน้ำฝนเพราะคราบสิ่งสกปรกต่างๆ มักจะเกาะติดอยู่ที่ผิวหน้าของกระจก รวมถึงเม็ดฝุ่นที่ติดอยู่บริเวณใบปัดน้ำฝนจะทำให้กระจกเป็นรอยได้ง่ายมาก สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ การฉีดน้ำล้างกระจกก่อนจะทำการปัด เพราะน้ำจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก

- กรณีรถเกิดอุบัติเหตุหรือถูกก้อนหินกระเด็นใส่จนกระจกแตกร้าว หากเป็นกระจกนิรภัยแบบชั้นเดียว เมื่อกระจกแตกจะมีลักษณะละเอียดเป็นเม็ดเล็กๆ หากเหลือกระจกบางส่วนที่ยังติดอยู่ให้ใช้เครื่องมือหรือค้นทุบกระจกออกให้หมด หากเป็นกระจกนิรภัยแบบหลายชั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือมีวัสดุตกใส่กระจกจะมีเพียงรอยร้าวหรือรอยขนาดใหญ่คล้ายใยแมงมุมเท่านั้น ถ้าผู้ขับขี่ต้องการขับรถต่อไปให้ไขกระจกด้านข้างขึ้น เพื่อป้องกันมิให้รถนั้นเสียการทรงตัว

 

วิธีดูแลกระจกไม่ให้เป็นคราบสกปรก ฝ้า หรือ น้ำค้างเกาะ

- เช็ดกระจกให้ใสสะอาด หมดคราบมัน ใช้แอมโมเนียกับน้ำส้มสายชูผสมกัน

- กระจกที่มัวเป็นฝ้า ให้ถูกระจกด้วยกลีเซอรีน หรือ ใช้สารส้มผสมเบียร์ ทากระจกแล้วใช้ผ้าขัด กระจกจะใสแวววาว

- กันฝ้าขุ่นมัว ใช้ดีเกลือผสมเบียร์ใช้เช็ด

- วิธีเช็ดคราบกาวเหนียว ที่ติดกระจกให้ออก ให้ใช้น้ำมันเบนซินหรือทินเนอร์ชุบสำลีเช็ดกระจก

 

วิธีการง่ายๆ เท่านี้ก็จะได้กระจกที่พร้อมใช้งานสะอาดปราศจากสิ่งสกปรก และยังช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย


การทำประกันรถยนต์เป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยลดความเสี่ยง และให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น วางใจทำประกันรถยนต์ด้วยเบี้ยที่ไม่แพง พร้อมบริการที่สะดวกตลอด 24 ชั่วโมง

148
น้ำมันเครื่องช่วยในการหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ถ้าไม่มีน้ำมันเครื่องก็จะไม่มีน้ำมันที่เข้าไปช่วยหล่อลื่น ชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ และเครื่องยนต์ก็จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ผู้ขับขี่รถยนต์ก็อย่าละเลยการดูแลระดับของน้ำมันเครื่องอยู่เสมอ ไม่ควรที่จะปล่อยให้ระดับน้ำมันเครื่องให้ต่ำหรือเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อรถยนต์อย่างไร วันนี้รวบรวมมาดังนี้
 

หากเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไปสิ่งที่จะตามมา

- น้ำมันเครื่องจะดันออกมาตามซีลต่างๆ จนทำไห้ซีลเครื่องเกิดการรั่วซึม น้ำมันเครื่องมากเกินไปก็มีผลทำให้การเผาไหม้ไม่หมดจด

- เป็นสาเหตุของเขม่าที่ห้องเผาไหม้ เพราะข้อเหวี่ยงจะคอยดึงน้ำมันเครื่องผ่านแหวนลูกสูบจึงทำให้เครื่องยนต์และเพลาข้อเหวี่ยงสึกหรอและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

- ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัด และที่สำคัญถ้าน้ำมันเครื่องมากเกินไปก็ส่งผลทำให้รถยนต์ไม่มีกำลังทำให้รถวิ่งไม่ออก

 

หากน้ำมันเครื่องน้อยเกินไปสิ่งที่จะตามมา

- ปั๊มน้ำมันเครื่องไม่สามารถดูดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นส่วนต่างๆของอุปกรณ์ในเครื่องยนต์ ไม่ทั่วถึง ทำให้เครื่องยนต์พัง

- เครื่องยนต์ อาจจะน็อค หยุดทำงาน

 

การเปลี่ยนถ่ายมันเครื่องยนต์ควรเปลี่ยนตามระยะทางและเวลา การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องต้องดูตามฉลากบนขวดน้ำมันเครื่อง บางยี่ห้อต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในระยะทาง 5,000 กิโลเมตร, 7,000 กิโลเมตร และ 10,000 กิโลเมตร ก็แล้วแต่ราคาและประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่อง

ในระหว่างที่ยังไม่ถึงระยะที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องควรตรวจสอบ ระดับน้ำมันเครื่องว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่ สามารถเช็คได้ด้วยเอง เพียงแค่ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาดูว่าน้ำมันเครื่องยังอยู่ในระดับ Max หรือ ต่ำกว่า ระดับ Min หรือไม่ ถ้าอยู่ในระดับ Min และยังไม่ถึงระยะที่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก็ให้ใช้น้ำมันเครื่องยี่ห้อเดียวกับน้ำมันเครื่องที่เติมอยู่เติมลงไปให้ได้ระดับ และประมาณ 2-3 วันก็ให้ลองเช็คระดับน้ำมันเครื่องอีกครั้งถ้าลดลงอีกก็ให้ลองเข้าอู่เพื่อตรวจเช็คอีกครั้งว่าถังน้ำมันเครื่องรั่วหรือไม่

 
การทำ ประกันรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยลดความเสี่ยง และให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น อย่าลืมเลือกประภัยรถยนต์ให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานและไลฟ์สไตล์


149
สำหรับการขับขี่รถในเมืองถือว่ายากสำหรับมือใหม่และมือเก่า หากไม่ชำนาญเส้นทางก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ วันนี้ได้รวบรวมเส้นทางหรือจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ที่ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการสัญจรในเมืองมาดังนี้


1. ทางแยกรูปตัว Y สะพานรัชวิภา

สะพานรัชวิภาฯ เป็นสะพานต่างระดับข้ามแยกขนาดใหญ่ เป็นจุดตัดหนึ่งที่สำคัญในการเดินทาง โดยสะพานแห่งนี้จะเชื่อมถนนรัชดาภิเษก ทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน โดยตัดผ่านข้ามถนนวิภาวดีรังสิต ถนนทั้งคู่ต่างก็มีการจราจรที่คับคั่งอยู่แล้วตลอดวัน จุดตัว Y เป็นทางออกบนสะพานในฝั่งขาเข้ามุ่งหน้าสู่แยกประชานุกูล โดยเป็นจุดทางออกเดียวบนสะพานแห่งนี้ ที่จะให้รถลงไปออกถนนวิภาวดีรังสิต และสามารถเดินทางไปยังถนนกำแพงเพชรเพื่อมุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งหมอชิตใหม่ได้

ซึ่งบริเวณนี้มีเหตุการณ์อุบัติเหตุ จนรถตกทางด่วนและมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นหลายครั้ง อุบัติเหตุส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขับขี่ไม่คุ้นเคยกับเส้นทาง เกิดความลังเลในการตัดสินใจว่าจะไปทางไหน หรือ ขับรถด้วยความเร็ว เนื่องจากไม่ทราบว่า เป็นทางแยก จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น

การใช้เส้นทางหากต้องการลงถนนวิภาวดีรังสิต ให้สังเกตป้ายบอกทางก่อนในระยะ 200 เมตรก่อนลง ขับรถชิดซ้ายเพื่อเตรียมพร้อมในการลงทางออก หากผู้ขับขี่ต้องการมุ่งหน้าตรงไปแยกประชานุกูล ใช้ 2 ช่องทางด้านซ้าย



2. โค้งทางด่วนพระรามหก

บนทางด่วนพิเศษศรีรัช บริเวณทางลงถนนพระรามหก เป็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง หากผู้ขับขี่ประมาท ขับรถด้วยความเร็วสูง เมื่อมาถึงทางแยกสามเหลี่ยม ทางเลี้ยวซ้ายจะลงถนนพระราม 6 และหากตรงจะไปแจ้งวัฒนะ หากเลี้ยวไม่ทันจุดนี้จะชนกับกำแพงปูนกั้นตรงกลาง อาจทำให้รถไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ และเกิดอุบัติเหตุในที่สุด



3. โค้งหน้าศาลอาญารัชดา

เกิดอุบัติเหตุคร่าชีวิตผู้คนบ่อยครั้ง ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตบนเกาะกลางถนน โดยจะชนเข้ากับต้นโพธิ์ที่อยู่ตรงทางโค้งนี้ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นที่รถยนต์มีการใช้ความเร็วสูง เนื่องจากถนนค่อนข้างกว้างและเรียบ เมื่อผ่านมาบริเวณโค้งที่ต่อเนื่องกัน 2 โค้งติดกัน ทำให้รถที่ วิ่งมาด้วยความเร็ว อาจเกิดการแหกโค้งบ่อยครั้ง



4. ถนนหน้าซอยสุขสวัสดิ์ 1 ถนนสุขสวัสดิ์

เป็นถนนทางโค้ง ช่วงลงสะพานข้ามคลองดาวคะนอง หากเป็นคนที่ไม่ชินกับเส้นทางทาง เมื่อขับลงสะพานมาจะเจอโค้งเลย ทำให้ควบคุมรถได้ยาก บวกกับมีทางกลับรถอยู่บริเวณโค้งแห่งนี้อีกด้วย จึงเป็นจุดอันตรายและมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากขับขี่ไปบริเวณนั้น ให้ขับขี่ด้วยความระมัดระวัง



5. อุโมงค์แยกดินแดง

อุโมงค์ดินแดง เป็นอุโมงค์ที่เกิดอุบัติเหตุสูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง อุโมงค์อยู่บริเวณแยกดินแดง ตัดถนนวิภาวดี ลักษณะโค้งคดมีโค้งเป็นรูปตัว S ประกอบกับความสว่างในอุโมงค์อาจไม่เพียงพอ เมื่อขับขี่มาเร็วจึงมักจะเกิดอุบัติเหตุชนเข้ากับผนังอุโมงค์ หรือเฉี่ยวชนกับรถคันอื่นในอุโมงค์ บริเวณผนังอุโมงค์จะเห็นรอยชน แตก ซึ่งล้วนเกิดจากอุบัติเหตุทั้งสิ้น



การเดินทางในเมืองมีอุปสรรคระหว่างทางมากมาย ทั้งสภาพถนน ผู้ร่วมทาง ดังนั้นการขับรถต้องอยู่ในความไม่ประมาท และการเตรียมศึกษาเส้นทางก่อนการเดินทาง ก็จะช่วยให้เราถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและประหยัดเวลาได้

เพิ่มความคุ้มครองให้กับรถยนต์ด้วย ประกันรถยนต์ ราคาพิเศษ คลิกเลย


150
หลายครั้งเมื่อขับขี่รถบนท้องถนน อาจพบ รถพยาบาล รถฉุกเฉิน หรือรถดับเพลิง เปิดสัญญาณไฟและเสียง เพื่อขอทางเพื่อจะเดินทางไปให้ถึงที่หมายเร็วที่สุดเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ หรือเพื่อช่วยระงับเหตุร้าย ทำให้หลายคนอาจจะตกใจจนไม่มีสติ ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง วันนี้มีวิธีการปฏิบัติมาแนะนำกันดังนี้
 

1. เมื่อเห็นสัญญาณไฟและได้ยินเสียงสัญญาณไซเรนก็มักจะตกใจและทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นก่อนอื่นเราควรตั้งสติ

 

2. พยายามมองกระจกหลังเพื่อดูระยะของรถพยาบาลที่วิ่งมา

 

3. เมื่อพิจารณารถรอบข้าง ทั้งซ้ายและขวาที่อยู่ใกล้แล้วพบว่าไม่มีอันตราย และสามารถเบี่ยงชิดซ้ายได้ ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วรถและเบี่ยงซ้ายเพื่อหลีกทางให้รถพยาบาลทันที

 

4. หากไม่สามารถหลีกทางได้ เนื่องจากรถที่ติดหนาแน่นให้หยุดหรือชะลอรถเพื่อให้รถพยาบาลผ่านเราไปให้ได้

 

5. กรณีรถติดและรถพยาบาลอยู่ด้านหลังพอดีให้เลือกว่าควรชิดซ้ายหรือชิดขวาดี หลังจากเลือกว่าจะหลบทางไหนและเปิดไฟเลี้ยว เพื่อให้สัญญาณให้รถพยาบาล ได้แซงผ่านไปได้สะดวก

 

6. เมื่อรถพยาบาลวิ่งผ่านไปแล้วห้ามขับตามเด็ดขาด

 

จากการเก็บสถิติของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พบว่าที่ผ่านมาผู้ป่วยฉุกเฉินต้องเสียชีวิต ก่อนถึงโรงพยาบาลมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะการจราจรติดขัด และการไม่รู้วิธีหลบให้รถฉุกเฉินที่ถูกต้อง ซึ่งการไม่หลบรถที่มีสัญญาณไฟสีแดงและเสียงสัญญาณ ตาม มาตรา 76 พ.ร.บ.จราจร ทางบก พ.ศ. 2522 และตามมาตรา 75 มีความผิดปรับไม่เกิน 500 บาท ทั้งนี้รถฉุกเฉินที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ หากเปิดไฟและสัญญาณแล้วเมื่อไปชนใครหรือใครมาชนรถฉุกเฉินไม่มีความผิด ฉะนั้นหากเห็นรถฉุกเฉินขอทางควรรีบหลีกทาง

จากการเก็บสถิติของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ พบว่าที่ผ่านมาผู้ป่วยฉุกเฉินต้องเสียชีวิต ก่อนถึงโรงพยาบาลมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะการจราจรติดขัด และการไม่รู้วิธีหลบให้รถฉุกเฉินที่ถูกต้อง ซึ่งการไม่หลบรถที่มีสัญญาณไฟสีแดงและเสียงสัญญาณ ตาม มาตรา 76 พ.ร.บ.จราจร ทางบก พ.ศ. 2522 และตามมาตรา 75 มีความผิดปรับไม่เกิน 500 บาท ทั้งนี้รถฉุกเฉินที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ หากเปิดไฟและสัญญาณแล้วเมื่อไปชนใครหรือใครมาชนรถฉุกเฉินไม่มีความผิด ฉะนั้นหากเห็นรถฉุกเฉินขอทางควรรีบหลีกทาง

การทำประกันรถยนต์ เป็นอีกหนึ่งทางที่จะช่วยลดความเสี่ยง และให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

หน้า: 1 2 [3] 4