ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ขนิษฐา ไข่มุสิก

หน้า: [1]
1


การดูแลบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ บางนา ให้น่าอยู่ และสะอาดเหมือนใหม่ ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของบ้านควรดูแลเอาใจใส่ เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่ทำให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน ดังนั้นคุณจึงควรดูแลรักษาบ้านไม่ให้ทรุดโทรม หรือเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร ซึ่งบทความสาระน่ารู้ในวันนี้เราจะมา
แนะนำ 7 วิธีดูแลบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ บางนา ให้เหมือนใหม่อยู่เสมอ ไปดูกัน!

1. ตรวจสอบการรั่วซึมของหลังคาบ้าน
หากสิ่งของภายในบ้านเกิดการชำรุดจากปัญหาหลังคารั่วซึม หรือเพดานฝ้าได้รับความเสียหายจากรอยตะไคร่น้ำ คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยการปูกระเบื้อง มุงหลังคาที่แตก และเปลี่ยนฝ้าใหม่โดยเร็วที่สุด

2. หมั่นเช็กระบบไฟฟ้าอยู่เสมอ
ระบบไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม และควรตรวจสอบสายไฟ ปลั๊กไฟ และหลอดไฟ หากพบว่ามีรอยชำรุด หรือเสียหาย ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจร ไฟช็อต หรือไฟรั่ว รวมไปถึงเหตุเพลิงไหม้ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต และเกิดการสูญเสียทรัพย์สินได้



3. ตรวจสอบระบบประปาเป็นประจำ
วิธีการสังเกตปัญหาน้ำรั่วที่ง่ายที่สุด คือ การสังเกตค่าน้ำว่าเพิ่มมากขึ้นผิดปกติหรือไม่ เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาน้ำรั่วซึมได้ โดยคุณควรตรวจสอบข้อต่อของท่อน้ำ ว่ามีน้ำรั่วหรือไม่ หากพบปัญหาควรรีบแจ้งช่างให้มาซ่อมทันที นอกจากนี้ยังไม่ควรทิ้งขยะลงในท่อระบายน้ำ เพื่อป้องกันท่ออุดตัน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมได้

4. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลบ้านที่มีคุณภาพ
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลทำความสะอาดบ้านที่มีคุณภาพ มีสภาพดีพร้อมใช้งาน และควรเลือกใช้น้ำยาถูพื้นที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อโรค และแบคทีเรีย เพื่อความสะอาด และสุขอนามัยของคนในบ้าน

5. ตรวจสอบผนังบ้าน
ควรตรวจสอบผนังบ้านว่าสีผนังเกิดรอยร้าว สีลอก หรือมีฝุ่นคล้ายแป้งหรือไม่ หากตรวจพบว่าสีเริ่มเสื่อมสภาพ ควรเรียกช่างเข้ามาซ่อมแซม หรืออุดรอยทันที รวมไปถึงทาเคลือบป้องกันปลวกให้เรียบร้อย เพื่อให้บ้านคงสภาพดีเหมือนเดิม



ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.nakornthong.co.th/



2


Facebook ถือเป็น Social Media Platform ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากของผู้คนทั่วโลก ซึ่งผู้คนต่างใช้ Facebook ในการอัปเดตชีวิต แลกเปลี่ยนมุมมองทัศนคติ หรือเป็นเสมือนชุมชนที่แลกเปลี่ยนความชอบที่คล้าย ๆ กัน จึงเป็นสาเหตุที่เหล่าเจ้าของแบรนด์สินค้ารายเล็ก หรือรายใหญ่ต่างเล็งเห็นถึงโอกาส ที่จะเข้ามาทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์นี้

วันนี้เราจะพาทุกคนมาดูกันว่า วิธีการ ยิงแอด Facebook ให้ปังต้องทำอย่างไร และจะมีอะไรบ้างไปดูกัน
3 วิธีการ ยิงแอด Facebook ให้เหมือนมืออาชีพ
การทำ Facebook Ads นั้นมีสิ่งที่เราควรรู้ และควรทราบก่อนเริ่มทำการ ยิงแอด เพื่อให้การยิงแอดของเรามีประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง



1. การยิงแอดต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
ในการ ยิงแอด ในทุก ๆ ครั้ง สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย คือ ต้องมีการตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการทำการตลาด ว่าเราต้องการจะโปรโมตสินค้าของเราในทางลักษณะใด เช่น การสร้างการรับรู้ การสร้างความสัมพันธ์ หรือการสร้างยอดขาย เป็นต้น

2. ไม่ควรใช้บัตรเครดิตส่วนตัวในการจ่ายค่าโฆษณา
สาเหตุที่ไม่ควรใช้บัตรเครดิตส่วนตัวในการจ่ายค่าโฆษณา เป็นเพราะ มีความเสี่ยงสูงในเรื่องของวงเงิน และการแฮกข้อมูลจากบัตรเครดิตส่วนตัว หรืออาจจะถูกแบนบัญชีที่โฆษณา เนื่องจาก ได้กระทำผิดกฎของ Facebook

3. อ่านกฎเกณฑ์ของ Facebook ให้เข้าใจ
เนื่องจาก Facebook มีการปรับปรุงอัปเดตกฎ และนโยบายต่าง ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม ณ ปัจจุบัน เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นอัปเดตกฎ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะส่งผลตามมาภายหลัง จากที่เราได้ทำการยิงแอดไปเรียบร้อยแล้ว




ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.iamcommonground.com/

3


หนึ่งในสิ่งที่บ้านทุกหลังจำเป็นต้องมี และขาดไม่ได้เลยก็คือ ถังขยะ เป็นสิ่งที่เอาไว้ทิ้งสิ่งปฏิกูล ของเสีย และสิ่งของที่ไม่ต้องการใช้งานแล้ว เพื่อทำให้บ้านสะอาด และเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ซึ่งถังขยะก็มีให้เลือกใช้งานหลากหลายประเภท และหลากหลายขนาดด้วยกัน แต่สำหรับบทความสาระน่ารู้ดี ๆ วันนี้ เราจะพามาดูวิธีการเลือก ถังขยะใหญ่ ให้เหมาะกับการใช้งานภายในบ้านกัน

รู้จักประเภทของถังขยะสำหรับใช้งาน
อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่าถังขยะมีให้เลือกใช้งานหลากหลายประเภท ซึ่งเราได้จำแนกประเภทของถังขยะมาให้ทุกคนได้รู้จักกันทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่
  • ถังขยะแบบมีฝาปิด
  • ถังขยะแบบไม่มีฝาปิด
  • ถังขยะแบบเท้าเหยียบ
  • ถังขยะแบบฝาสวิง
  • ถังขยะแบบมีล้อ



วิธีเลือก ถังขยะใหญ่ ให้เหมาะกับบ้าน

  • เลือกจากประเภทการใช้งาน

ด้วยความที่ถังขยะมีให้เลือกใช้งานกว่า 5 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ถังขยะแบบมีฝาปิด, ถังขยะไม่มีฝาปิด, ถังขยะแบบเท้าเหยียบ, ถังขยะแบบฝาสวิง และถังขยะแบบมีล้อ ซึ่งถังขยะแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติ และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่าง ถังขยะแบบมีฝาปิด จะมีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ และป้องกันขยะล้นออกจากถังขยะได้ หรือถังขยะแบบเท้าเหยียบที่มีคุณสมบัติเด่น ๆ คือ ช่วยให้คุณทิ้งขยะได้ง่าย ๆ โดยที่มือไม่สัมผัสฝาถังขยะให้เลอะสิ่งสกปรก ดังนั้น หากคุณมีความประสงค์ หรือต้องการใช้งานถังขยะแบบใด ก็ควรเลือกถังขยะให้เหมาะกับความต้องการของคุณ

  • เลือกจากวัสดุของถังขยะ

นอกจากประเภท และรูปแบบของถังขยะ ที่ควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว การเลือกวัสดุของถังขยะก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ควรคำนึง และเลือกให้เหมาะสม โดยถังขยะมีให้เลือกใช้ด้วยกัน 2 วัสดุ ได้แก่ พลาสติก และสเตนเลส ซึ่งทั้งสองวัสดุนี้ก็จะมีคุณสมบัติ ความแข็งแรงทนทานแตกต่างกัน โดยถังขยะพลาสติกจะมีความแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งาน และมีอายุการใช้งานที่นานกว่าถังขยะสเตนเลส ที่พอใช้ไปนาน ๆ ก็อาจเกิดสนิม หรือผุกร่อนได้

  • เลือกจากขนาดของถังขยะ
แม้ว่าถังขยะใบใหญ่จะเป็นขนาดที่คุณต้องการใช้งาน แต่ถังขยะใบใหญ่นั้นมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 20 ลิตร ไปจนถึง 60 ลิตร ซึ่งถ้าหากคุณต้องการเลือกขนาดให้เหมาะกับการใช้งาน และเข้ากับบ้าน คุณควรสำรวจประชากร สมาชิก และปริมาณขยะแต่ละวันก่อน ว่าในหนึ่งวันสมาชิกภายในบ้านทิ้งขยะปริมาณเท่าไหร่ เมื่อทราบถึงปริมาณขยะแล้วก็ให้เลือกขนาดถังขยะใหญ่ให้เหมาะตามความเหมาะสมได้เลย ซึ่งนอกจากจะสะดวกต่อการใช้งานแล้ว ยังทำให้ถังขยะใบใหญ่ไม่ขัดกับ Mood and Tone บ้านอีกด้วย



ขอบคุณข้อมูลจาก
https://dkwthailand.com/

4


1. บ้านสไตล์ Modern
บ้านสไตล์โมเดิร์น เป็นบ้านที่เน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิตเข้ามาเป็นจุดเด่น โดยลดการใช้รายละเอียดที่ไม่จำเป็นออก เพื่อเน้นการสร้างพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โทนสีคุมไปในทิศทางของความเรียบง่าย ดูสบายตาเช่น สีครีม สีขาว สีน้ำตาลอ่อน เป็นต้น แบบบ้านหรูหรา 2 ชั้น ประเภทนี้จึงเหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์ชอบความ มินิมอล เรียบง่าย ให้เน้นการใช้งานเป็นหลัก

2. บ้านสไตล์ Classic
บ้านประเภทนี้เป็นบ้านที่เน้นความหรูหราของการออกแบบ และมีแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมตะวันตก รูปแบบดูมีความหรูหราอลังการ มีความประณีตสูง ตอบโจทย์สำหรับคนที่หลงใหลในความหรูหรา และชอบดื่มด่ำไปกับประวัติศาสตร์



3. บ้านสไตล์ Contemporary
สามารถให้คำนิยามได้ว่าเป็นบ้านที่มีความร่วมสมัยในการออกแบบโดยประยุกต์ใช้ของเก่า และของใหม่เข้าด้วยกัน มีฟังก์ชัน และลูกเล่นเฉพาะตัว บรรยากาศของบ้านให้ความรู้สึกที่อบอุ่น ค่อนข้างเหมาะกับคนที่ชอบการผสมผสานของยุคสมัย และยังเหมาะกับบ้านที่มีจำนวนสมาชิกหลากหลายวัยอีกด้วย

4. บ้านสไตล์ Colonial
บ้านรูปแบบนี้เกิดจากการตกแต่งที่มีอิทธิพลจากตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม ตามชื่อของแนวบ้าน ดังนั้นการออกแบบจะลดความหรูหรา ฟุ่มเฟือยลง เพิ่มความมีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่เข้าไป ซึ่งบ้านประเภทนี้เป็นรูป แบบบ้านหรูหรา 2 ชั้น ที่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ทำให้มีความท้าทายในการสร้าง

5. บ้านสไตล์ Tropical
เป็นดีไซน์ที่เกิดจากการออกแบบบ้านให้ตอบรับกับสภาพอากาศในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง ทำให้ตัวบ้านมีคุณสมบัติที่รับมือกับอากาศร้อนได้ดี สามารถพบเห็นบ้านรูปแบบนี้ได้มาก ตามบ้านพักตากอากาศ ที่สร้างความสบายให้ผู้อยู่อาศัย และมีการนำวัสดุท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับแบบบ้าน เพื่อความกลมกลืน



6. บ้านสไตล์ Tuscany
บ้านรูปแบบนี้ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ และหลงใหลในงานศิลปะเป็นอย่างมาก เนื่องจากบ้าน Tuscany นั้น เกิดจากการผสมผสานการออกแบบเข้ากับศิลปะสไตล์ Renaissance ให้กลิ่นอายแบบชนบทสไตล์อิตาลี มีเอกลักษณ์ที่หลังคาทรงปั้นหยา ส่วนมากมีหิน หรืออิฐเป็นส่วนประกอบในการออกแบบ เพิ่มกลิ่นอายของความวินเทจให้กับบ้าน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม รับสร้างบ้าน , บริษัทรับสร้างบ้าน
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.royalhouse.co.th/

5


สำหรับมือใหม่ หรือคนที่เพิ่งจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง และอยากจะเริ่มทำ SEO แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงห้ามพลาดบทความนี้เด็ดขาด เพราะเราจะมาบอกสาระน่ารู้ว่าเช็กลิสต์ การทำ SEO ต้องรู้อะไรบ้าง ไม่รอช้าไปดูกันเลย

  • ติดตั้ง Google Tag Manager
Google Tag Manager (GTM) คือระบบจัดการแท็กฟรีจาก Google ที่ช่วยให้คุณอัปเดตโค้ด และติดตามโค้ดย่อยต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งหน้าตาของ GTM ใช้งานได้ไม่ยาก และไม่ต้องมีพื้นฐานก็สามารถติดตั้งโค้ดบางอย่างได้ เช่น Tag Google Analytics, Tag Google Ads หรือ Tag Facebook Pixel เป็นต้น

  • ติดตั้ง Google Analytics
การติดตั้ง Google Analytics จะทำให้คุณรู้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์แต่ละวัน อีกทั้งยังดูได้ว่าเข้าชมเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์อะไร และเข้ามาจากช่องทางไหน รวมไปถึงยังช่วยตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ใช้งานด้วยว่าทำอะไรบ้างบนเว็บไซต์ของคุณ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม Google Analytics เป็นอีกหนึ่งบริการฟรีจาก Google ที่ควรติดตั้ง เพราะข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับไซต์ และพฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ จะช่วยให้คุณกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม และนำมาวิเคราะห์เพื่อไปปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีขึ้น

  • ติดตั้ง Plug In SEO
เมื่อติดตั้ง Plug In SEO จะช่วยเตือนคุณเป็นข้อ ๆ ว่ายังขาดเหลือ หรือต้องลดเพิ่มอะไรบ้าง เพื่อช่วยให้คุณได้ปรับปรุงคอนเทนต์ในหน้านั้น ๆ ให้เป็นคอนเทนต์ SEO-Friendly เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะติดอันดับแรก ๆ บน Google

  • ทำเว็บไซต์ให้เป็น Mobile Friendly
ตั้งแต่ปี 2017 มากกว่า 50% ของ Traffic ที่เข้าสู่เว็บไซต์ต่าง ๆ นั้นมาจากอุปกรณ์มือถือ (Mobile Device) เป็นส่วนใหญ่ ทำให้การทำเว็บไซต์ของคุณเป็น Mobile Friendly คือสิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นอย่างแรก ไม่อย่างงั้นจะกลายเป็นว่าคุณเสีย Traffic ที่มาจากอุปกรณ์มือถือ

โดยผลกระทบทางตรง คือผู้ใช้งานจะออกจากเว็บไซต์ทันที เนื่องจากการใช้งานที่ไม่สะดวก ส่วนผลกระทบทางอ้อม คือทำให้เว็บไซต์ หรือภาพลักษณ์ของธุรกิจดูล้าสมัยได้ 

  • ปรับปรุง Speed ของเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว ห้ามช้าเด็ดขาด!
Speed ของเว็บไซต์ถือเป็นเรื่องสำคัญ ให้คุณลองจินตนาการดูว่าถ้าเจอเว็บไซต์โหลดช้า แน่นอนว่าคุณคงกดออกแบบไม่ลังเล เพราะฉะนั้น เพื่อให้เข้ากับยุคดิจิทัล สปีดของเว็บไซต์ต้องห้ามตกโดยเด็ดขาด เนื่องจากว่าถ้าคนยิ่งกดออกจากเว็บไซต์เยอะ หรือเร็วเท่าไหร่ ก็จะทำให้อันดับของคุณตกเอาได้ง่าย ๆ หรือไม่ติดอันดับนั่นเอง



  • เข้าใจหลักการของ Keyword และทำ Keyword Research
คีย์เวิร์ด (Keyword) คือ คำ หรือวลี ที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตใช้ค้นหาข้อมูลใน Google ซึ่งการทำความเข้าใจคีย์เวิร์ด ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ เพื่อที่จะได้เลือกใช้คีย์เวิร์ดบนเว็บไซต์ให้สัมพันธ์กับสินค้า และบริการของคุณมากที่สุด ซึ่งจะต้องมีการทำ Keyword Research โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อที่จะได้เพิ่มโอกาสในการเข้าใกล้กลุ่มเป้าที่ถูกต้องเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

  • ใส่ Keyword ให้ถูกที่และใช้อย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อเข้าใจแล้วว่าคีย์เวิร์ดคืออะไร มีความสำคัญกับการทำ SEO อย่างไรแล้ว เรามาดูหลักการใช้คีย์เวิร์ดที่สามารถทำได้ง่าย ๆ คือใส่ Keyword บน URL, ใส่ Keyword ใน Title Tag และใส่ Keyword ใน Meta Description ที่สำคัญการใช้คีย์เวิร์ดไม่ใช่ว่าจะใส่ตรงไหนก็ได้ แต่ต้องใส่ให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่คุณต้องการจะนำเสนอไปสู่ผู้อ่านด้วย

  • เขียนคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และอ่านง่าย
การเขียนคอนเทนต์ หรือบทความที่มีคุณภาพควรนึกถึงผู้อ่าน ว่าจะได้ประโยชน์อะไรจากคอนเทนต์ของคุณ นอกจากนี้ยังต้องจัด Format ให้อ่านง่าย เพื่อที่ผู้ใช้งานจะได้ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น และเข้าใจถึงสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสารออกไป



สุดท้ายนี้หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าการทำ SEO ต้องรู้อะไรบ้าง รวมถึงเครื่องมือสำคัญที่ต้องติดตั้ง เพื่อให้คุณได้ทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.iamcommonground.com/

6


เขียงไม้ เป็นอุปกรณ์เครื่องครัวที่ถูกใช้งานหนักมาก ๆ เนื่องจากเขียงไม้เป็นอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหาร ไม่ว่าจะเป็นหั่น สับ ซอยเนื้อสัตว์ หรือผักผลไม้ ต่างก็ต้องใช้เขียงในการประกอบอาหารกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น หากบ้านไหนใช้เขียงไม้มานานจนเกิดคราบสกปรก คราบดำฝังลึก และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ติดเขียงไม้ วันนี้เรามีวิธีการดูแล และทำความสะอาดเขียงไม้มาฝากพ่อครัวแม่ครัวกัน ถ้าพร้อมแล้วเราไปดูกันเลย

3 วิธีดูแล เขียงไม้
แม้เขียงไม้จะเป็นวัสดุที่มีความแข็งแรง และทนทานต่อการใช้งาน แต่รู้หรือไม่? ว่าเขียงไม้นั้นมีข้อเสียที่บางคนอาจไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของน้ำหนัก ความอับชื้น และเชื้อโรคต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ในเขียงไม้ ดังนั้นหากต้องการดูแลรักษาเขียงไม้ให้มีสภาพการใช้งานที่นาน ตามมาดู 3 วิธีดูแลเขียงไม้กันเลย

1. ล้างทำความสะอาดเขียงทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จ
สิ่งที่คุณควรทำอย่างแรกเมื่อใช้งานเขียงในการประกอบอาหาร คือ การล้างทำความสะอาดเขียงไม้ทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จสิ้น เพราะการทำความสะอาดเขียงไม้ จะช่วยทำให้เขียงสะอาดน่าใช้งาน และยังช่วยกำจัดสิ่งสกปรกออกจากเขียง เพื่อที่เวลานำไปประกอบอาหารจะได้สะอาด และไม่มีกลิ่นติดอาหารตามไปด้วย

ซึ่งวิธีการล้างเขียงไม้ให้ใช้งานได้นาน คือ ใช้น้ำยาล้างจานทำความสะอาด ล้างคราบมัน และสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกให้เรียบร้อย หลังจากนั้นนำน้ำร้อนราดลงไปบนเขียง แล้วทิ้งไว้สักครู่ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง วิธีนี้ก็จะช่วยทำให้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และคราบสกปรกต่าง ๆ ออกได้อย่างหมดจด



2. เก็บเขียงไม้ไว้ในที่แห้ง และไม่อับชื้น
เนื่องจากเขียงส่วนใหญ่ทำมาจากไม้ ซึ่งเป็นวัสดุที่ไว้ต่อน้ำ และความอับชื้นอย่างมาก ซึ่งถ้าหากคุณเก็บเขียงไว้บริเวณที่มีความชื้น หรือมีน้ำขัง ก็เสี่ยงที่จะทำให้เขียงไม้เกิดเชื้อรา หรือเขียงอาจมีกลิ่นอับชื้นได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเขียงไม้ คือ เมื่อทำความสะอาดเขียงไม้เสร็จสิ้นหลังจากใช้งาน ให้นำเขียงไปผึ่งลม หรือตากแดดให้แห้งสนิท และนำเขียงไม้ไปจัดเก็บไว้ในบริเวณที่แห้ง และไม่อับชื้น

3.แช่น้ำมัน หรือน้ำเกลือ เพื่อลดรอยแตกบนเขียงไม้
แน่นอนว่าเมื่อใช้เขียงไปนาน ๆ หลายคนมักจะประสบปัญหาเขียงแตก เขียงเป็นรอยกันใช่ไหม? ซึ่งทางแก้ไขปัญหาเขียงแตก หรือเขียงเป็นรอย คือ การนำเขียงไม้ไปแช่ในน้ำเกลือ หรือแช่ในน้ำมันพืช เพื่อลดโอกาสที่เขียงจะเป็นรอยแตกร้าวลึกขยายเข้าไปอีก

โดยจะต้องแช่เขียงทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน และนำมาล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้รอยแตก หรือรอยร้าวบนเขียงก็จะลดลง รวมไปถึงทำให้เกิดเชื้อราลดลง และช่วยยืดอายุการใช้งานของเขียงให้ใช้งานได้นานมากขึ้น



แต่ด้วยความที่โลกมีวิวัฒนาการสุดล้ำ ทำให้ปัจจุบันมีเขียงให้เลือกใช้งาน ประกอบอาหารหลายแบบ ทั้งเขียงที่ทำจากไม้ และเขียงที่ทำจากพลาสติก ซึ่งเป็นพลาสติกคุณภาพดี มีความแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งานเท่าเขียงไม้ หรือเผลอ ๆ เขียงพลาสติกบางยี่ห้อ อาจจะมีความทนทานต่อการใช้งานมากกว่าเขียงไม้ นอกจากนี้เขียงพลาสติกยังดูแล และรักษาได้ง่ายมากกว่าเขียงไม้ ทำให้ปัจจุบันพ่อบ้านแม่บ้านหลายคน หันไปใช้เขียงพลาสติกในการประกอบอาหารเยอะมากที่สุด ซึ่งคุณสามารถเลือกวัสดุให้เหมาะสมกับความต้องการ และการใช้งานได้

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม ตะกร้าผ้า
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://dkwthailand.com/
https://www.sgethai.com/

7


หากพูดถึง ตะกร้าใส่ของ หลายคนน่าจะพอรู้กันดีอยู่แล้วว่าตะกร้าใส่ของนั้นคือไอเทมที่ช่วยในการจัดเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบ
แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากจะเป็นไอเทมที่ช่วยจัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ แล้ว ตะกร้าใส่ของยังมีประโยชน์มากกว่าที่หลายคนคิดอีกด้วย ซึ่งประโยชน์การใช้งานจะมีอะไรบ้างนั้น ตามเรามาดูกันเลยค่ะ
 
ประโยชน์ของ ตะกร้าใส่ของ ที่คุณควรรู้!

  • ช่วยจัดเก็บสิ่งของให้เป็นระเบียบ

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่า ตะกร้าใส่ของ เป็นไอเทมที่ช่วยจัดระเบียบสิ่งของ เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่วางเกะกะอยู่ตามซอก ตามมุมให้อยู่เป็นที่เป็นทาง และเป็นระเบียบมากขึ้น
 


  • ช่วยเพิ่มพื้นที่ภายในบ้าน
หลาย ๆ คนน่าจะประสบปัญหาห้องรก ของวางเกะกะจนไม่มีพื้นที่ที่จะเดิน หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งตะกร้าใส่ของเป็นไอเทมที่นอกจากจะจัดเก็บของให้เป็นระเบียบแล้ว ตะกร้าใส่ของยังช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้งาน และพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมภายในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย ใครที่มีพื้นที่จำกัดตะกร้าใส่ของจะช่วยเพิ่มพื้นที่ให้คุณได้อย่างแน่นอน
 
  • ช่วยซ่อนสิ่งที่ไม่น่ามอง
นอกจากนี้ตะกร้าใส่ของจะช่วยจัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ แล้ว ตะกร้าใส่ของยังช่วยซ่อนสิ่งที่ไม่น่ามองได้อีกด้วย ซึ่งตอบโจทย์มากกับคนที่ไม่มีเวลาจัดของให้เป็นระเบียบ แต่อยากให้ซ่อนของต่าง ๆ ให้พ้นจากสายตาคน ตะกร้าใส่ของจะช่วยให้คุณโยนสิ่งของที่อยากซ่อนเก็บไว้ในตะกร้าใบเดียว

  • ช่วยตกแต่งบ้านให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
ด้วยความที่ในปัจจุบันตะกร้าใส่ของนั้นถูกออกแบบ และมีดีไซน์ให้เลือกใช้งานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตะกร้าทรงกลม ทรงเหลี่ยม ตะกร้ามีฝาปิด ตะกร้าไม่มีฝาปิด และมีสีสันสดใส ซึ่งคุณสามารถเลือกดีไซน์ให้เหมาะกับสไตล์แต่งบ้านของคุณได้ อย่าง ถ้าบ้านใครตกแต่งสไตล์มินิมอล ตะกร้าทรงเหลี่ยม สีขาว หรือสีครีม จะเหมาะเข้ากับไลฟ์สไตล์ของบ้านมากกว่า

และนี่ก็คือประโยชน์การใช้งานของ ตะกร้าใส่ของ ที่มีประโยชน์ซ่อนอยู่ไว้เพียบ ซึ่งใครที่กำลังมองหาตะกร้าใส่ของดี ๆ ไว้ใช้งาน แนะนำเลยว่าไม่ควรมีตะกร้าไว้แค่ใบเดียว แต่ควรมีตะกร้าหลาย ๆ อัน เพื่อช่วยจัดเก็บสิ่งของต่าง ๆ ตั้งแต่ของขนาดใหญ่ไปจนของขนาดเล็กให้วางอยู่เป็นที่เป็นทาง และให้ตะกร้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยตกแต่งบ้านให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น



ขอบคุณข้อมูลจาก
https://dkwthailand.com/

8


จุดประสงค์ของการทำเว็บไซต์หนึ่งขึ้นมา คือต้องการที่จะให้มีคนเข้ามาเยี่ยมชมเยอะ ๆ ซึ่งวิธีที่จะทำให้เว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จัก และมี Traffic ไหลเข้าเว็บไซต์ คือ การทำให้คนเสิร์ชเจอเว็บของคุณบ่อย ๆ หรือการทำ SEO นั่นเอง สำหรับใครที่สงสัยว่า SEO คืออะไร สำคัญอย่างไร บทความนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ SEO สิ่งที่จะช่วยทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น จะมีอะไรบ้างไปดูกัน



ทำความเข้าใจ SEO คืออะไร สำคัญอย่างไร ต่อการทำธุรกิจออนไลน์
SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมต่อการติดอันดับการค้นหาด้วยเครื่องมือยอดนิยม อย่าง Google แต่การที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณไต่ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ ในหน้าการค้นหาหน้าแรกของ Google จำเป็นที่จะต้องปรับปรุงเว็บไซต์ในหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา (Content) หรือบทความ, ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ หรือแม้แต่โครงสร้างของเว็บไซต์ก็มีผลด้วยเช่นกัน



SEO มีความสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์อย่างไร
การทำการตลาดด้วย SEO หรือ SEO Marketing คือกระบวนการทำการตลาดออนไลน์โดยใช้การทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ ซึ่งมีจุดประสงค์ให้เว็บไซต์ หรือสื่อออนไลน์ของคุณปรากฏเป็นอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา

และเมื่อคนค้นหาสินค้า หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ แล้วเว็บไซต์ขึ้นให้เห็นอยู่อันดับแรก ๆ มักจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ หรือสร้าง Brand Awareness ได้มากมาย จึงไม่แปลกใจเลยที่ SEO จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของธุรกิจออนไลน์ ที่ช่วยเพิ่มปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น

ดังนั้นเมื่อมีคนเข้ามาในเว็บไซต์มากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะขายของได้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการทำ SEO กับเว็บไซต์ในปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต่อการทำธุรกิจออนไลน์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่ต้องการสร้างธุรกิจ หรือร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO เป็นอย่างมาก

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.iamcommonground.com/

9


คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในร่างกายของเรา ซึ่งคอลลาเจนมีหน้าที่สำคัญในการบำรุง ซ่อมแซม และเสริมสร้างความแข็งแรงของเนื้อเยื่อต่าง ๆ อย่างเช่น ผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก และกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่น ทำให้ผิวมีความเรียบเนียน ผิวกระชับแลดูอ่อนกว่าวัย ซึ่งคอลลาเจนนั้นไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว แต่คอลลาเจนมีหลายประเภทที่มีคุณสมบัติ หน้าที่การทำงานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งใครที่ไม่รู้ว่า คอลลาเจน มีกี่ประเภท ก็ตามมาดูบทความในวันนี้กันได้เลย

คอลลาเจน มีกี่ประเภท มาดูกัน
อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่า คอลลาเจน มีหลายประเภทที่มีคุณสมบัติ และหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งคอลลาเจนที่พบมีมากกว่า 28 ประเภท แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงประเภทของคอลลาเจนที่พบได้มากที่สุดในร่างกาย ซึ่งจะมีด้วยกัน 4 ประเภท ดังนี้

  • Collagen Type I

คอลลาเจนชนิดที่หนึ่ง เป็นคอลลาเจนที่พบได้มากที่สุดในร่างกาย คิดเป็น 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย โดยจะพบมากในบริเวณผิวหนัง กระดูก ผนังหลอดเลือด และกล้ามเนื้อ ซึ่งคอลลาเจนชนิดที่หนึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มความยืดหยุ่น ป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อฉีกขาด ช่วยสมานแผล และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับ ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส ไร้ริ้วรอย



  • Collagen Type II
คอลลาเจนชนิดที่สอง จะถูกพบมากในกระดูกอ่อน อย่าง ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง ซึ่งคอลลาเจนชนิดที่สองจะทำหน้าที่แตกต่างจากคอลลาเจนชนิดที่หนึ่งโดยสิ้นเชิง โดยคอลลาเจนชนิดที่สองจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์ของเซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ

  • Collagen Type III
คอลลาเจนชนิดที่สาม จะพบร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่หนึ่ง คือพบในผิว กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด รวมไปถึงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย โดยคอลลาเจนชนิดที่สามจะช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และลดการบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย ช่วยในการสังเคราะห์เกล็ดเลือด ทำให้คอลลาเจนประเภทนี้มีความสำคัญต่อกระบวนการแข็งตัวของเลือดมากที่สุด



  • Collagen Type V
คอลลาเจนชนิดที่ 5 จะพบได้ในเยื่อบุเซลล์ต่าง ๆ และเส้นผม รวมไปถึงพบได้ในบริเวณเดียวกับคอลลาเจนชนิดที่หนึ่ง ซึ่งคอลลาเจนชนิดนี้จะช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของเส้นใยภายในชั้นผิว และจัดระเบียบเซลล์ผิวให้เป็นระเบียบ ทำให้ผิวแข็งแรง ลดอาการผมขาดหลุดร่วง และไม่ให้เล็บฉีกขาด

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม glory collagen , glory
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://gloryofficialth.com/
https://aova.co.th/

10


สำหรับคนที่คิดอยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง คงกำลังกลุ้มใจกันอยู่ใช่ไหมว่าจะเลือก แบบบ้านสำเร็จรูป หรือแบบบ้านใหม่ที่ออกแบบด้วยสปานิกดี? เพราะการสร้างบ้านสักหนึ่งต้องอาศัยความละเอียดอ่อนสูงตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุ

วันนี้เราเลยจะมาเปรียบเทียบให้ชัด! ระหว่างเลือก แบบบ้านสำเร็จรูป และการออกแบบใหม่ จะมีความแตกต่างอย่างไรบ้าง มาดูกัน

ทำความรู้จัก แบบบ้านสำเร็จรูป และ ออกแบบบ้านใหม่ 
แบบบ้านสำเร็จรูป คือ บ้านที่ถูกออกแบบด้วยสถาปนิก และสามารถเข้าอยู่ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาออกแบบใหม่ หรือเสียเวลาในการก่อสร้าง ส่วนการออกแบบบ้านใหม่ คือ จะมีความคล้ายคลึงกับแบบบ้านสำเร็จรูปตรงที่ให้สถาปนิกเป็นผู้ออกแบบให้

แต่การออกแบบบ้านใหม่จะมีความแตกต่างกันตรงที่ คุณเป็นคนแจ้งรายละเอียด และความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน ดีไซน์ หรือขนาดของบ้าน ให้สถาปนิกออกแบบบ้านใหม่ตามสไตล์ที่คุณต้องการ



แล้ว แบบบ้านสำเร็จรูป หรือ ออกแบบบ้านใหม่ อย่างไหนดีกว่ากัน?
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่าความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นบางคนอาจจะชื่นชอบแบบบ้านสำเร็จรูปมากกว่า เพราะแบบบ้านสำเร็จรูป ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาให้สถาปนิกออกแบบให้ แค่มีแบบบ้านมาให้สำเร็จรูปก็สามารถเข้าอยู่ได้ทันที

แต่บางคนอาจจะไม่ชอบแบบบ้านสำเร็จรูป เพราะบ้านสำเร็จรูปส่วนใหญ่จะมีโครงสร้าง และดีไซน์ที่มีความคล้ายคลึงกัน ทำให้ไม่มีความโดดเด่น และมีความซ้ำเกินไป ทำให้หลายคนชื่นชอบ และมองว่าการออกแบบบ้านใหม่ดีกว่า

อย่างที่บอกไปในข้างต้นว่าการออกแบบบ้านใหม่ สามารถออกแบบได้ตามที่คุณต้องการ ทั้งในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งาน ดีไซน์สไตล์ของบ้าน ขนาด จำนวนชั้น จำนวนห้อง หรือโทนสี เป็นต้น ซึ่งคุณสามารถเลือกตามที่ต้องการให้ตอบโจทย์ และเป็นตัวเองมากที่สุดได้เลย

แต่ถ้าให้ตัดสินจริง ๆ การออกแบบบ้านเองคุ้มค่า และดีกว่าแน่นอน เพราะบ้านเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่เราจะต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ไปอีกนาน ซึ่งจะดีกว่าไหมถ้าเราได้มีส่วนร่วมในการออกแบบในบ้างหลังนั้นให้มีดีไซน์ และฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราจริง ๆ 



ดังนั้น คุณสามารถเลือกรูปแบบบ้านที่ต้องการได้ ใครที่เน้นความสะดวกสบาย และมีงบประมาณที่จำกัด แบบบ้านสำเร็จรูป ก็ถือว่าเป็นแบบบ้านที่ตอบโจทย์ แต่ถ้าใครมีงบประมาณในการสร้างบ้านเยอะ และอยากได้บ้านที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์มากที่สุด การออกแบบบ้านใหม่ เป็นอะไรที่ตอบโจทย์มากกว่า

แต่ทั้งนี้การจะสร้างบ้านสักหลัง ก็อย่าลืมเลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่มีฝีมือ และมีประสบการณ์ในการก่อสร้าง เพื่อให้คุณได้บ้านที่มีคุณภาพ และใช้ชีวิตกับครอบครัวได้อย่างมีความสุขมากที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.royalhouse.co.th/
https://www.ddproperty.com/



11


ในความหมายของคำว่า “เซน” คือการตกแต่งที่เรียบง่าย ใช้เส้นสายไม่ซับซ้อน และสร้างบรรยากาศให้ดูอบอุ่นในรูปแบบโมเดิร์น โดยมีการออกแบบที่มากด้วยฟังก์ชันให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ และครอบครัวได้ดี หากใครที่กำลังอยากแต่งบ้านสไตล์นี้ เราได้รวบรวมจุดเด่นของการแต่ง บ้านแฝด 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์นเซน มาฝากกันค่ะ

1. เปิดประตูรับแสงธรรมชาติ
แสงจากธรรมชาติ ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับบ้านได้ดี ซึ่งการถูกปลุกให้ตื่นด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีของใครหลาย ๆ คน โดยคุณสามารถออกแบบหน้าต่าง และประตูบานสูง เพื่อให้เปิดรับแสงได้เต็มที่ เพียงเท่านี้ก็ทำให้แสงธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้านของคุณได้

2. สีสันโทนธรรมชาติ
กลุ่มสีแนวเอิร์ธโทน หรือสีที่เกิดจากธรรมชาติแท้ ๆ อย่าง สีน้ำตาลอ่อน ขาว หรือเทา จะช่วยสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย และสบายตาให้กับบ้านได้เป็นอย่างดี หากเลือกนำมาใช้กับองค์ประกอบหลักในบ้าน เช่น ผนัง ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์ ก็ทำให้บ้านดูสงบ และสบาย

3. เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่เรียบง่าย
เฟอร์นิเจอร์สไตล์เซน มีความเรียบง่าย และไม่ซับซ้อน โดยเน้นงานที่วัสดุทำจากไม้ที่สวยงามเพิ่มเสน่ห์ให้เฟอร์นิเจอร์ยิ่งมีคุณค่า ที่สำคัญไม้สีอ่อนมองแล้วสบายตา อย่าง ไม้สน หรือไม้บีช ก็สามารถเข้ากับองค์ประกอบอื่น ๆ ในบ้านได้ง่าย และดูสวยงามเสมอ



4. ของตกแต่งน้อยชิ้น
องค์ประกอบเล็ก ๆ ที่มาจากของใช้ และของตกแต่งแบบเรียบง่าย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สไตล์นี้ดูชัดเจน ด้วยลวดลายของไม้ที่เกิดจากธรรมชาติ จะช่วยสร้างบรรยากาศให้เหมือนได้อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา ทั้งยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้า และทำให้รู้สึกสงบใจทุกครั้งเมื่อได้กลับมาบ้าน

5. สวนสีเขียวช่วยสร้างสมาธิและความสงบ
หากคุณมีสวนสีเขียวอยู่ใกล้ตัว ปล่อยให้ตาของคุณได้สัมผัสกับต้นไม้ และใบไม้ ซึ่งการได้ซึมซับความงามของธรรมชาติ ถือเป็นการสร้างสมาธิอย่างหนึ่ง เสียงลมพัด และใบไม้ที่ปลิวไสว ก็ช่วยสร้างความผ่อนคลายในใจได้ดี แต่ถ้าหากวันไหนคุณต้องการใช้พื้นที่ในการสังสรรค์ สวนนี้ก็สามารถเปลี่ยนเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้เช่นกัน

6. การซ่อนพื้นที่เอกลักษณ์ของสไตล์เซน

ไอเดียการซ่อนพื้นที่ในสไตล์โมเดิร์นเซนเป็นเอกลักษณ์เสมอ ไม่ต้องแปลกใจไปหากคุณได้เห็นผนังที่กลายเป็นประตู เพราะไอเดียนี้ช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวได้ในยามที่คุณต้องการ และรายละเอียดเหล่านี้ทำให้บ้านมีลูกเล่น ทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนตามการใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย



ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.lifeandliving.co.th/

12


หลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็น กระเป๋าคาดเอวหนัง ที่มาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะตามอินเทอร์เน็ต หรือร้านกระเป๋าชั้นนำทั่วไป แต่ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะว่าดีไซน์ไม่หลากหลาย หรือบรรจุของได้ไม่เยอะ อาจไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน ที่สำคัญยิ่งเป็นกระเป๋าที่ผลิตมาจากหนังก็ยิ่งมีราคาแพง ทำให้เสี่ยงต่อการลงทุน

แต่บทความนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคุณว่าการลงทุนซื้อ กระเป๋าคาดเอวหนัง สักใบเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และเป็นอาวุธลับที่ทุกคนควรมีติดตู้เอาไว้
4 กลุ่มบุคคลที่ควรมีกระเป๋าหนังคาดเอว

1. พ่อค้า/แม่ค้า
เรามักจะเห็นกระเป๋าคาดเอวเป็นที่นิยมได้ในกลุ่มคนที่ทำธุรกิจค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นการขายของชำ หรือขายของจิปาถะอะไรก็ตาม กระเป๋ารูปแบบนี้เป็นกระเป๋าที่ช่วยสร้างความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น เนื่องจากความคล่องตัว หยิบจับอะไรก็ง่าย ไม่ต้องสะพายเอาไว้ จะหยิบเงินทอนก็รวดเร็ว ตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย อีกทั้งวัสดุหนังยังเป็นวัสดุที่มีควาทนทาน สามารถใช้ได้ยาวนานไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย และช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

2. นักกีฬา/บุคคลที่ชอบออกกำลังกายเป็นงานอดิเรก
เนื่องจากการเล่นกีฬาเป็นกิจกรรมที่ต้องการการขยับตัว และการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่อยู่บนร่างกายต้องส่งเสริมความคล่องแคล่ว และคล่องตัว ซึ่งกระเป๋าคาดเอวเป็นกระเป๋าที่ตอบโจทย์กิจกรรมการเคลื่อนไหวได้ดี ที่สำคัญกระเป๋าคาดเอวมักมีส่วนเสริมที่ช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับนักกีฬา เช่น ช่องเก็บขวดน้ำ ห่วงเก็บอาหารเสริมสำหรับการออกกำลังกาย เป็นต้น นอกจากนี้หากเป็นวัสดุที่ทำมาจากหนังจะยิ่งช่วยเพิ่มความทนทานในการใช้งาน พร้อมรับมือทุกความสมบุกสมบันของกิจกรรม



3. กลุ่มคนที่ชอบเดินทางไกล/ผจญภัย
กลุ่มคนประเภทนี้จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมที่มีความ Adventure เดินทางไกลเพื่อชมธรรมชาติ หรือศึกษาระบบนิเวศของธรรมชาติ ดังนั้นกระเป๋าคาดเอวจึงเป็นไอเท็มที่ค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะกระเป๋าที่กลุ่มคนประเภทนี้ต้องการต้องเป็นกระเป๋าที่สะดวกสบาย ที่เหมาะสำหรับการเดินทางไกลในป่าที่มีความรก และต้องใช้ความคล่องตัวตลอดเวลา ทำให้ต้องการกระเป๋าที่มีความทนทาน พร้อมสำหรับการใช้งานในระยะยาวสำหรับการเดินป่า

ซึ่งวัสดุที่ตอบโจทย์จะเป็นวัสดุประเภทหนัง และที่สำคัญกลุ่มคนประเภทนี้จะพกพาเฉพาะของที่สำคัญจำเป็นซึ่งขนาดของกระเป๋าคาดเอวค่อนข้างเหมาะสม

4. กลุ่มคนที่มีสัตว์เลี้ยง
สัตว์เลี้ยงก็เปรียบเสมือนลูกรักของคนที่เลี้ยงสัตว์ ดังนั้นเวลาที่ออกไปข้างนอกมือสองข้างของคนกลุ่มนี้จะมุ่งไปที่การถือสายจูง การอุ้ม และการเก็บสิ่งปฏิกูล ดังนั้นการะเป๋าที่มีสายคาดเอว หรือคาดอก จึงเป็นกระเป๋าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนที่เลี้ยงสัตว์



อ่านเพิ่มเติม โรงงานผลิตกระเป๋า , กระเป๋าหนังแท้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://suvinocorp.com/




13


กันสาด เป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญต่อบ้าน เนื่องจากกันสาดสามารถปกป้องบ้านของคุณจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศ หรือแสงแดดที่ร้อนจัด และยังสามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านลงได้อีกด้วย เหมาะอย่างกับประเทศโซนร้อนอย่างบ้านเรา

แต่กันสาดก็ไม่ได้มีเพียงแค่รูปแบบเดียวเท่านั้น โดยกันสาดถูกแบ่งออกเป็น กันสาดรูปแบบต่าง ๆ ตามวัสดุ และรูปแบบการออกแบบ ดังนั้นคุณควรทำความรู้จักกับกันสาดที่หลากหลาย เพื่อที่จะเลือกชนิดของ กันสาดแบบต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์รูปแบบบ้านของคุณได้มากที่สุด



รวมชนิดของ กันสาดแบบต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมสูง
กันสาดจะมีความแตกต่างทั้งชนิดของวัสดุที่ใช้  และรูปแบบที่ตอบโจทย์จุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • กันสาดแบบใส หรือกันสาดโปร่งแสง
กันสาดโปร่งแสง เป็นกันสาดแบบใสที่มีแสงส่องผ่านได้ โดยปริมาณของแสงที่ส่องผ่านจะขึ้นอยู่กับชนิด และสีของแผ่นกันสาด ซึ่งกันสาดโปร่งแสงจะมีข้อดีตรงที่ได้แสงสว่างจากธรรมชาติ ไม่ทำให้พื้นที่ใต้กันสาดมืดทึบ โดยสามารถเลือกใช้งานกับพื้นที่ที่คุณต้องการแสงสว่าง อย่าง ลานซักล้าง โรงจอดรถ หรือพื้นที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการแสงสว่าง เป็นต้น
 
  • กันสาดแบบทึบแสง
กันสาดทึบแสง เป็นกันสาดที่แสงไม่สามารถส่องผ่านได้ เหมาะกับพื้นที่ที่ไม่ต้องการแสงสว่าง อย่าง ครัวไทย กันสาดระเบียง หรือโรงจอดรถ เป็นต้น
ซึ่งกันสาดทึบแสง มีให้เลือกหลากหลายวัสดุ ทั้งโลหะ และพลาสติกทึบแสง ทำให้บ้านเย็นสบาย



ชนิดของวัสดุ กันสาดแบบต่าง ๆ  มีอะไรบ้าง?

1. กันสาดดีไลท์
เป็นวัสดุที่ทำมาจากไฟเบอร์กลาส เหมาะสำหรับคนที่อยากติดตั้งกันสาด หน้าบ้านแบบโปร่งแสง เพื่อให้มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องผ่าน หรือแบบทึบแสงที่ทำให้บ้านของคุณร่มเย็นมากขึ้น ซึ่งคุณสามารถเลือกกันสาดดีไลท์แต่ละรุ่นได้ตามความต้องการใช้งาน มีคุณสมบัติสะท้อนรังสียูวีได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์

2. กันสาดไวนิล
กันสาดหน้าบ้านไวนิล ผลิตจาก uPVC (Unplasticised Poly Vinyl Chloride) เป็นพลาสติกชนิดหนึ่ง มีความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ให้ความทึบแสง และดีไซน์ที่ทันสมัย สามารถกันความร้อนได้ดี มีหลายรูปแบบ เช่น ลอนเดี่ยว ลอนคู่ ลอนสาม และลอนเรียบ ซึ่งการติดตั้งกันสาดไวนิลทำได้ง่าย และรวดเร็ว สามารถยึดติดกับโครงสร้างด้วยสกรูแทบทุกประเภท

3. กันสาดอะลูมิเนียม
อะลูมิเนียม เป็นวัสดุที่พบเห็นได้บ่อยตามกันสาดอาคารพาณิชย์ เพราะมีน้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทานต่อแสงแดด และฝน โดยปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น

4. กันสาดเมทัลชีท
เมทัลชีท (Metal Sheet) คือ แผ่นเหล็กเคลือบโลหะผสมอะลูมิเนียม และสังกะสี มีความทนทานสูง ทนต่อการกัดกร่อน และการเกิดสนิม มีทั้งชนิดที่เป็นสีโลหะ และชนิดเคลือบสีเพื่อความสวยงาม

บางรุ่นมีการบุฉนวนกันความร้อนมาพร้อมกับแผ่นเมทัลชีท ติดตั้งง่าย รวดเร็ว ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานช่างได้ ซึ่งกันสาดเมทัลชีทสามารถติดตั้งได้ทั้งบนพื้นระนาบ และพื้นที่โค้ง โดยจะติดในแนวนอน หรือแนวตั้งก็ได้เช่นกัน

5. กันสาดผ้าใบ
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เลือกติดตั้งกันสาดผ้าใบ จะเลือกแบบที่สามารถพับเก็บได้ เมื่อต้องการใช้งานก็แค่กางออกถือว่าสะดวก ใช้งานง่าย และช่วยทำให้บ้านดูสวยงามมากขึ้น

6. กันสาดโพลีชีทตัน
โพลีชีทตัน คือ แผ่นโพลีคาร์บอเนต แผ่นใสตัน (Solid Sheet) ที่ทำจากผง หรือเม็ดของพลาสติกใส แล้วนำไปขึ้นรูปกับแม่พิมพ์เป็นแผ่นโปร่งแสง แต่ไม่ใสเท่ากระจก มีความแข็งแรงกว่ากระจกหลายเท่า มีให้เลือกทั้งแบบสีใส สีชา สีใสลายเรียบ และผิวส้ม เป็นต้น

7. กันสาดชินโคไลท์
ชินโคไลท์ หรือกันสาดอะคริลิค ซึ่งชินโคไลท์เป็นแผ่นกันสาดโปร่งแสงที่คล้ายกระจก สามารถป้องกันรังสียูวีได้ 90 เปอร์เซ็นต์ และดูดซับเสียงได้ดี

ขอขอบข้อมูลจาก https://www.kansadcenter.com/



14


หากคุณเป็นคนเรียบง่าย สบายๆ เหมาะกับบ้านสไตล์โมเดิร์นจริงหรือเปล่า ? หลายคนคงมีคำถามแนวนี้ว่าหากต้องเลือกซื้อบ้านสักหลัง แบบ สร้างบ้าน สวย ๆ รูปแบบไหน ถึงจะเหมาะกับรสนิยมของตัวเองกันแน่
โดยคุณอาจเปรียบได้ว่าบ้านเสมือนสิ่งที่คอยแสดงภาพลักษณ์ของเจ้าของบ้านออกมา ทำให้บางทีคนนอกสามารถคาดเดาความชอบของเจ้าของบ้านผ่านตัวบ้านได้เลยทีเดียว
บทความในวันนี้เราได้รวบรวม แบบสร้างบ้าน ที่มีทั้งความสวยงาม และตอบโจทย์รสนิยมของคุณได้อย่างแน่นอน โดยมี 6 รูปแบบ ดังนี้



1. บ้านสไตล์โมเดิร์น (Modern Style)
บ้านสไตล์โมเดิร์น เป็นบ้านที่เน้นการใช้รูปทรงเรขาคณิตเข้ามาเป็นจุดเด่นของบ้าน และลดการใช้รายละเอียดที่ไม่จำเป็นออก เพื่อเน้นการสร้างพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ในส่วนของโทนสีให้คุมไปในทิศทางของความเรียบง่าย ดูแล้วสบายตา เช่น สีครีม สีขาว หรือสีน้ำตาลอ่อน เป็นต้น นอกจากนี้บ้านสไตล์โมเดิร์นยังเหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์ชอบความมินิมอลเรียบง่าย และต้องการเน้นฟังก์ชันการใช้งานเป็นหลัก

2. บ้านสไตล์คลาสสิก (Classic Style)
บ้านประเภทนี้เป็นบ้านที่เน้นความหรูหราของการออกแบบ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมตะวันตก โดยแบบบ้านจะมีความหรูหรา อลังการ และมีความประณีตสูง ทำให้บ้านสไตล์นี้ตอบโจทย์เป็นอย่างมากสำหรับคนที่หลงใหลในความคลาสสิก

3. บ้านสไตล์คอนเทมโพรารี่ (Contemporary Style)
สามารถให้คำนิยามของบ้านสไตล์คอนเทมโพรารี่ได้ว่า เป็นบ้านที่มีความร่วมสมัยในการออกแบบ โดยการประยุกต์ใช้ของเก่า และของใหม่เข้าด้วยกัน รวมไปถึงมีฟังก์ชันการใช้งาน และลูกเล่นเฉพาะตัว ทำให้บรรยากาศของบ้านมีความรู้สึกที่อบอุ่น ค่อนข้างเหมาะกับคนที่ชอบการผสมผสานของยุคสมัย และยังเหมาะกับบ้านที่มีจำนวนสมาชิกหลายวัยอีกด้วย

4. บ้านสไตล์โคโลเนียล (Colonial Style)
บ้านรูปแบบนี้เกิดจากการตกแต่ง ที่มีอิทธิพลจากตะวันตกในยุคล่าอาณานิคมตามชื่อของแนวบ้าน ดังนั้นการออกแบบจะมีการลดความหรูหรา  และความฟุ่มเฟือยลง ด้วยการเพิ่มความมีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่เข้าไป
อย่างไรก็ตามบ้านประเภทนี้ เป็นรูปแบบบ้านที่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ ทำให้เกิดความท้าทายในการสร้างสำหรับบริษัทรับสร้างบ้านได้



5. บ้านสไตล์ทรอปิคอล (Tropical Style)
บ้านสไตล์นี้ เป็นดีไซน์ที่เกิดจากการออกแบบบ้าน ให้ตอบรับกับสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูง โดยทำให้ตัวบ้านให้มีคุณสมบัติที่สามารถรับมือกับอากาศร้อนได้ดี
นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นบ้านรูปแบบนี้ได้มากตามบ้านพักตากอากาศ ที่สร้างความสบายให้ผู้อยู่อาศัย และมีการนำวัสดุท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับแบบบ้าน

6. บ้านสไตล์ทัสคานี (Tuscany Style)
บ้านรูปแบบนี้ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ และหลงใหลในงานศิลปะเป็นอย่างมาก เนื่องจากบ้านสไตล์ทัสคานี เกิดจากการผสมผสานของการออกแบบ และศิลปะสไตล์ Renaissance เข้าด้วยกัน ทำให้บ้านมีบรรยากาศแบบชนบทสไตล์อิตาลี และมีเอกลักษณ์ที่หลังคาทรงปั้นหยา โดยส่วนมากมักมีการใช้หิน หรืออิฐ เพื่อเป็นส่วนประกอบในการออกแบบ และช่วยเพิ่มกลิ่นอายของความวินเทจให้กับบ้าน
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.royalhouse.co.th/


15


ในยุคปัจจุบันการดูแลรักษาสุขภาพ และการควบคุมมวลร่างกาย เป็นหนึ่งในกระแสที่คนกำลังกลับมาให้ความนิยมกันมากขึ้น ซึ่งส่วนมากนั้นการดูแลร่างกาย หรือการลดน้ำหนัก หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แต่แท้จริงแล้วการออกกำลังกายเป็นเพียง 30 % จาก 100 % เท่านั้น อีก 70 % นั้นเกี่ยวข้องกับการกินอาหาร โดยการกำหนดประเภทอาหาร และควบคุมปริมาณของอาหาร จะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้รูปร่าง และสุขภาพโดยรวมนั้นเปลี่ยนไป ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่ได้รับความนิยมสูงนั่นก็คือการทานคีโต

การทานคีโต คือ การทานอาหารที่มีไขมันสูง โปรตีนสูง แต่คาร์โบไฮเดรตต่ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และนอกจากนี้การกินคีโตยังสามารถเผาผลาญไขมัน ให้เป็นพลังงานแทนกลูโคสจากคาร์โบไฮเดรตได้ ซึ่งวัตถุดิบที่ง่ายต่อการนำมาประกอบอาหารลดน้ำหนัก รักษารูปร่างอย่างการกินคีโตก็คือ เนื้อหมู เพราะเพียงแค่ เนื้อหมู 100 กรัม ก็สามารถนำไปทำอะไรได้มากมาย



เนื้อหมู 100 กรัม มีสารอาหารอะไรบ้าง? 
เนื้อหมูในปริมาณ 100 กรัม เป็นปริมาณที่เหมาะแก่การนำไปใช้ประกอบอาหารแต่ละมื้อ โดยภายในปริมาณ 100 กรัม มีสารอาหารดังนี้
  • เนื้อหมู 100 กรัม ให้พลังงานทั้งหมด 84 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 21 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต (ใยอาหารและน้ำตาล) 0 กรัม
  • ไขมันทั้งหมด (ไขมันอิ่มตัว, ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน, ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และไขมันทรานส์) 0 กรัม
  • คอเรสเตอรอล 0 มิลลิกรัม
  • โซเดียม 0 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 0 มิลลิกรัม



การเลือกชิ้นส่วนเนื้อหมูให้ตอบโจทย์การลดน้ำหนัก

  • สามชั้น
สามชั้น เป็นชิ้นส่วนที่เหมาะกับการนำไปใช้ประกอบอาหารประเภทคีโต เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนของหมู ที่มีไขมันอยู่เป็นจำนวนมาก โดยสามชั้น 100 กรัม ให้พลังงาน 384 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้สามชั้นยังเป็นส่วนที่มีหนังติดมาด้วย ช่วยเพิ่มรสสัมผัสเมื่อนำไปประกอบอาหาร

  • สันคอ
สันคอหมู เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่เหมาะสำหรับการนำไปประกอบอาหารประเภทคีโต เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่มีไขมันแทรกอยู่พอประมาณ มีสัมผัสที่นุ่ม และชุ่มฉ่ำ ซึ่งสันคอปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 220 กิโลแคอลรี่

  • สันใน
สันใน เป็นชิ้นส่วนของเนื้อหมูที่ไม่มีไขมันแทรกอยู่เลย จึงทำให้เหมาะสำหรับการนำไปใช้ประกอบอาหารในการลดน้ำหนัก โดยเป็นวิธีดั้งเดิมที่เรารู้จักกันอย่างดีซึ่งนั่นก็คือจากควบคุมปริมาณแคลอรี่ โดยเนื้อหมูสันในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานเพียง 143 กิโลแคลอรี่เท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.pitchameat.com/


16


คอลลาเจน เป็นกุญแจสำคัญของการมีพื้นฐานผิวที่แข็งแรง ไม่ว่าคุณจะต้องการผิวที่เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ไม่เป็นหลุมสิว หรือผิวที่สมดุลไม่แห้งกร้าน คอลลาเจน ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผิวกลับมาสดใส สุขภาพดี

แต่ถ้าหากคุณมีอายุเกิน 25 ไปแล้วล่ะก็ กระบวนการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายของเราก็จะยิ่งลดลง และไม่สามารถผลิตคอลลาเจนได้เหมือนเดิม จึงนำไปสู่การเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ผม เล็บ และกระดูก

ดังนั้นการเติมคอลลาเจนอย่างเป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งคอลลาเจนนั้นสามารถพบได้ในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้ออาหาร ซึ่งมีอาหารหลายชนิดที่เรียกได้ว่าเป็น อาหารที่มีคอลลาเจนสูง และควรค่าแก่การกิน แต่อาหารเหล่านี้จะสามารถทดแทนคอลลาเจนภายในร่างกายได้หรือไม่? ตามไปดูกัน



อาหารที่มีคอลลาเจนสูง เลือกทานให้ดี ผิวใสไม่รู้ตัว

1. น้ำซุปกระดูก
น้ำซุปกระดูก เป็นอาหารยอดนิยมที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน โดยผ่านการเคี่ยวน้ำซุปจากกระดูกสัตว์ เช่น กระดูกไก่ กระดูกหมู หรือกระดูกวัว เป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำให้คอลลาเจนออกจากกระดูกได้ในจำนวนมาก ส่งผลให้น้ำซุปมีรสชาติหอม หวาน และมีคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นไปด้วยคอลลาเจน

2. ปลา
ปลา เป็นสัตว์ที่ให้สารอาหารประเภทคอลลาเจนสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปลาทะเล อย่าง แซลมอน ปลาทูน่า และปลาทิลาเพีย เป็นต้น นอกจากนี้ปลาเหล่านี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ อย่าง โอเมก้า 3 ที่สามารถช่วยลดการอักเสบ และเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบผิวหนัง



3. ไข่ขาว
ไข่ขาว เป็นอาหารที่มีโพรลีนสูง ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจนภายในร่างกาย ดังนั้นการรับประทานไข่ขาวเป็นประจำ จึงสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฟื้นฟู ผิว ผม และเล็บให้กลับมาดูสุขภาพดีอีกครั้งได้

4. ผลไม้ตระกูลซิตรัส
ผลไม้จำพวกส้ม มะนาว หรือเลมอน เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินซีเป็นส่วนช่วยสำคัญในการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจน นอกจากนี้ยังเป็นกุญแจสำหรับการไขประตูสู่ผิวขาวกระจ่างใส และสุขภาพดีอีกด้วย

5. ถั่วเหลือง
อาหารที่มาจากถั่วเหลืองทุกชนิด ถือเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิว เนื่องจากถั่วเหลืองมีสาร Genistein (ฮอร์โมนพืชที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และช่วยบล็อกเอนไซม์ MMPs ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัยได้เป็นอย่างดี

แต่การทานแต่อาหารเพียงอย่างเดียว อาจได้รับคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพไม่มากพอ ดังนั้นจึงควรหาอาหารเสริมคอลลาเจนที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว และเป็นคอลลาเจนสายพันธุ์เดียวกับผิว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงมากขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://gloryofficialth.com/


17


ห้องน้ำเป็นหนึ่งในห้องที่ควรได้รับการใส่ใจในการทำความสะอาดเป็นพิเศษ เนื่องด้วยเป็นห้องที่มีความชื้นสะสมอยู่ตลอดเวลา หากไม่ดูแลให้เหมาะสมก็อาจจะก่อให้เกิดการสะสมของเชื้อราได้ ดังนั้นควรใส่ใจตั้งแต่การเลือกวัสดุสำหรับของใช้ภายในห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็น ชั้นวางของ พื้นปูนที่ใช้ก่อสร้าง รวมไปถึง ถังขยะในห้องน้ำ ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะมองว่าเพียงแค่ถังขยะ หนึ่งใบต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนขนาดนั้นเลยหรือ บทความนี้มีคำตอบให้กับคุณ

6 วิธีทำอย่างไร ให้ ถังขยะในห้องน้ำ อยู่กับคุณไปได้อย่างยาวนาน

  • เลือกวัสดุถังขยะ
การเลือกประเภทวัสดุสำหรับถังขยะ ภายในห้องน้ำเป็นปัจจัยที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องด้วยวัสดุบางชนิดอาจไม่เหมาะสม สำหรับการตั้งในห้องน้ำ เช่น วัสดุประเภทโลหะ และไม้ เพราะหากเป็นวัสดุประเภทโลหะก็มีโอกาสที่จะเกิดสนิม และวัสดุประเภทไม้ก็เสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราที่มาจากความชื้นได้



ทำให้วัสดุประเภทพลาสติกมีความเหมาะสมมากที่สุดสำหรับการนำมาทำเป็นวัสดุสำหรับถังขยะที่ใช้งานภายในห้องน้ำ เนื่องด้วยพลาสติกเป็นวัสดุที่มีความทนทาน ราคาเป็นมิตร และสามารถทำความสะอาดได้ง่ายหากมีการเปรอะเปื้อน เพราะเพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบเหล่านั้นก็จะไม่หลงเหลือ หรือทิ้งรอยด่างเอาไว้บนถังขยะพลาสติกได้

  • เลือกถุงขยะให้เหมาะสม
ถุงขยะสำหรับถังขยะภายในห้องน้ำก็มีความสำคัญ ควรเลือกถุงขยะที่ไม่บางมากจนเกินไป มีความหนา และความยืดหยุ่นพอประมาณ และอาจเลือกถุงขยะที่มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องน้ำได้อีกด้วย

  • ทำความสะอาดเป็นประจำ
ถังขยะภายในห้องน้ำนั้นควรได้รับการทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ เนื่องจากการตั้งอยู่ในห้องน้ำนั้นเสี่ยงต่อการที่น้ำจากการอาบน้ำของคุณ จะเข้าไปขังอยู่ในถังขยะจนเกิดเป็นการหมักหมมของเชื้อโรค หรือกลายเป็นพื้นที่วางไข่สำหรับยุงลายที่จะมาสร้างปัญหากวนใจให้แก่คุณ

  • ระมัดระวังเรื่องกลิ่น
ถังขยะภายในห้องน้ำสามารถก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ง่ายกว่าถังขยะที่ตั้งอยู่จุดอื่น ๆ ด้วยปัจจัยจากความชื้น และกลิ่นที่มาจากการขับถ่ายของเสีย ดังนั้นควรมีอุปกรณ์กำจัดกลิ่นเตรียมรับมือเอาไว้ หรือใช้ของที่มีอยู่ในบ้านอย่างเบกกิ้งโซดามาโรยไว้ในถังขยะ ช่วยลดปัญหากลิ่นอับกวนใจ

  • ระมัดระวังการรั่วไหล
ควรตรวจเช็กถังขยะสำหรับห้องน้ำอยู่เป็นประจำ เพื่อป้องกันปัญหาถุงขยะรั่ว หรือร้ายแรงไปกว่านั้นตัวถังขยะมีรอยแตก ซึ่งอาจทำให้ขยะที่อยู่ภายในถังนั้นรั่วไหลออกมาสร้างความสกปรกให้แก่ห้องน้ำของคุณ

  • ตำแหน่งในการวางถังขยะ
ตำแหน่งในการนำถังขยะไปวางในห้องน้ำก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยคุณรักษาความสะอาด โดยควรวางให้ไกลจากจุดที่คุณใช้อาบน้ำ หรือจุดที่น้ำอาจจะกระเด็นไปถึง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการสะสมของเชื้อราที่อาจเกิดจากความชื้นนั่นเอง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://dkwthailand.com/


18


เมืองพัทยา กำลังจะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ทำให้คนจำนวนมากเกิดความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในพัทยามากมาย ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ทำให้ทำเลพัทยาเป็นทำเลที่ต้องจับตามอง

ไม่เพียงแต่การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ทางด้านการท่องเที่ยวก็มีความน่าสนใจ ทั้งทำเลที่อยู่ติดธรรมชาติ รายล้อมไปด้วยภูเขา ตัดกับชายหาดสีทอง และสีฟ้าครามของน้ำทะเล ทำให้ได้รับบรรยากาศของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ หรือจะเป็นทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองพัทยา ที่สามารถเดินทางได้สะดวกสบาย ใกล้สถานที่สำคัญต่าง ๆ อย่าง แหล่งช้อปปิ้ง โรงพยาบาล สถานที่ท่องเที่ยวมากมาย



ถ้าเลือกซื้อบ้าน ทำไมต้อง บ้านพัทยาเหนือ?

1. เป็นแหล่งชุมชน
พัทยาเหนือ เป็นแหล่งชุมชนที่มีการเจริญเติบโตต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต ทำให้บรรยากาศโดยรอบถูกรักษาความสงบ และร่มรื่นเอาไว้ได้ ทั้งยังตอบโจทย์การพักอาศัยได้เป็นอย่างดี

2. แหล่งประมง
พัทยาเหนือ เป็นโซนที่ชาวบ้านมุ่งเน้นสำหรับการใช้ทำนาเกลือ และการประมง ทำให้บริเวณพัทยาเหนืออาหารทะเลจะมีความสด เด้ง และหวานเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีชนิดของอาหารทะเลให้เลือกหลากหลาย

3. ธรรมชาติสวยงาม
พัทยา ขึ้นชื่อเรื่องสภาพแวดล้อมของธรรมชาติที่สวยงามอยู่เป็นทุนเดิม แต่ช่วงโซนพัทยาเหนือนั้น สภาพความสวยงามของธรรมชาติจะยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก เนื่องจากเป็นพื้นที่ชุมชนทำให้ไม่ค่อยได้รับการรบกวนจากนักท่องเที่ยว และมีชาวบ้านคอยช่วยดูแล

4. สถานที่ท่องเที่ยว
พัทยาเหนือ ยังมีสถานที่โดดเด่นที่คอยรองรับนักท่องเที่ยว และผู้คนที่มีความคิดจะซื้อ บ้านพัทยาเหนือ เพื่อให้สามารถตอบสนองการอยู่อาศัยระยะยาวได้ เช่น

- เขาพระตำหนัก วัดชื่อดังพร้อมสถาปัตยกรรมสวยงาม มีจุดชมวิวบรรยากาศดีของอ่าวบาลีฮาย
- ถนนคนเดินพัทยา สถานที่ที่เป็นดั่งศูนย์รวมความบันเทิงของพัทยา เต็มไปด้วยสถานบันเทิงอย่าง ผับ บาร์ คาเฟ่ คอยรองรับนักท่องเที่ยว
- แหลมบาลีฮาย จุดถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนพัทยา รายล้อมไปด้วยบรรยากาศความสดใสของทะเล และสายลมอ่อนๆ



ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.lifeandliving.co.th/




19


ไม่ว่าบ้านจะมีดีไซน์ หรือการตกแต่งสไตล์ไหน จะมีหนึ่งสิ่งที่เจ้าของบ้านไม่ควรมองข้ามไปโดยเด็ดขาด นั่นก็คือการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ตามหลักฮวงจุ้ย ศาสตร์ที่จะช่วยทำให้การใช้ชีวิตดีขึ้น เงินทองไหลมาเทมา ไม่เจ็บป่วย ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญ

ซึ่งในวันนี้เราเลยมีทริคการจัด โต๊ะ กลาง กลม ให้ถูกหลักฮวงจุ้ย และเปลี่ยนบ้านให้ดูมีชีวิตชีวา มาฝากทุกคนได้ลองไปจัด จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย



จัด โต๊ะกลาง กลม ให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

1. ตำแหน่งการวางโต๊ะกลาง กลม
ตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการจัดวาง โต๊ะกลาง กลม คือวางที่มุมใกล้ห้องครัวมากที่สุด จะวางไว้ที่มุมข้างซ้าย หรือวางที่มุมข้างขวาก็ได้ เนื่องจากตำแหน่งทั้งสองจะช่วยเสริมความสัมพันธ์ของคนในบ้านให้มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น

อีกทั้งตามหลักฮวงจุ้ยยังเชื่อว่าการวางโต๊ะไว้ที่มุมใดมุมหนึ่ง จะช่วยลดปัญหาด้านการเงินได้อีกด้วย ส่วนตำแหน่งที่ไม่ควรวาง โต๊ะกลาง กลม โดยเด็ดขาดก็คือ การวางไว้ใกล้ห้องน้ำ หรือวางไว้ใกล้ทางเดินเข้าออกที่มีประตูขวางทาง เพราะหากวางไว้บริเวณนี้จะส่งผลให้มีปัญหาด้านสุขภาพ  หรือทำมาค้าขายไม่เจริญรุ่งเรือง

2. ขนาดของ โต๊ะกลาง กลม
การเลือกโต๊ะกลางกลมให้เหมาะสม และถูกหลักฮวงจุ้ย จะต้องเลือกโต๊ะที่มีขนาดปานกลาง ไม่เล็ก หรือไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะถ้าหากเลือกโต๊ะที่มีขนาดใหญ่มากเกินจำนวนคนในบ้าน จะทำให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวห่างกันมากขึ้น ดังนั้นการเลือกขนาดโต๊ะที่พอดีกับการใช้งาน และจำนวนสมาชิกภายในบ้าน จะส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ และสุขภาพร่างกายของคนในบ้านด้วย

3. วัสดุของ โต๊ะกลาง กลม
การเลือกวัสดุของโต๊ะกลางกลม เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของหลักฮวงจุ้ย เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้ชีวิตราบรื่น มีความสุข และมีเงินทองไหลมาเทมา แนะนำให้เลือกวัสดุที่ทำมาจากไม้ หรือหินอ่อน และควรหลีกเลี่ยงวัสดุที่มีความมันวาว อย่าง กระจก เนื่องจากกระจกเป็นวัสดุที่มีความเปราะบาง และแตกหักง่าย ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวแตกหัก หรือมีปัญหากันได้ง่าย



อีกทั้งยังทำให้สมาชิกในบ้านมีความอ่อนแอ และทำมาค้าขายไม่รุ่งเรืองอีกด้วย นอกจากนี้หากใครที่ซื้อ โต๊ะกลาง กลม ที่มีความมันวาวมาแล้ว แนะนำให้หาผ้ามาคลุมบนท็อปด้านบน เพื่อให้พลังงานชั่วร้าย หรือสิ่งไม่ดีสะท้อนออกไป และมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาในชีวิตของคนในครอบครัว

ขอบคุณข้อมูลจาก
https://philoscopenhagen.com/
https://www.kapook.com/



20

    ปัจจุบันหลายคนเริ่มที่จะหันมาทำธุรกิจของตัวเองมากขึ้น เนื่องจากการเข้าถึงสื่อโซเชียลมีเดียที่ง่ายมากขึ้น และมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยปัจจัยเหล่านี้ก็มีอัตราการแข่งขันที่สูงเช่นเดียวกัน ทำให้ถ้าหากไม่มีเคล็ดลับ หรือตัวช่วยดี ๆ ก็อาจจะถูกคู่แข่งแย่งพื้นที่ทางการตลาดไปได้ แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป หากคุณได้รู้จักกับบทความ
SEO ตัวช่วยทางการตลอด ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณโตไวขึ้น

ซึ่งสำหรับมือใหม่ในวงการการตลาดก็อาจจะมีความสงสัยได้ว่า บทความ SEO คือ อะไร หากลงทุนทำแล้ว จะช่วยสร้างผลประกอบการ และการเติบโตของธุรกิจได้มากแค่ไหน บทความนี้มีคำตอบ



บทความ SEO คือ ตัวแปรสำคัญของการทำธุรกิจออนไลน์ได้อย่างไร

  • เพิ่มการมองเห็น และยอดการเสิร์ช
บทความ SEO เป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ เนื่องด้วย การทำ SEO มักมีการกำหนดกลุ่มคำเป้าหมาย ที่ผู้คนจะพิมพ์ลงในช่องการค้นหาของเครื่องมือค้นหา ทำให้มีการเข้าถึงของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และเมื่อมีคนเห็นสินค้า หรือธุรกิจของคุณ อัตราการเติบโตก็จะยิ่งสูงขึ้นนั่นเอง

  • ดึงดูดผู้เข้าชม
บทความ SEO สามารถดึงดูดผู้คนที่มีแนวโน้มจะสนใจในสินค้าของคุณให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ ซึ่งผู้เยี่ยมชมกลุ่มนี้ เป็นผู้ที่ไม่ได้ถูกดึงดูดเข้ามาด้วย SEM หรือการกระตุ้นการเข้าถึงด้วยการจ่ายเงิน ดังนั้นแนวโน้มของผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมสินค้า ก็มีโอกาสที่จะอุดหนุนธุรกิจของคุณสูง

  • เพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์
บทความ SEO ที่ถูกผลิตออกมาอย่างดี ไม่เพียงแต่จะช่วยกระตุ้นการเข้าถึงจากกลุ่มเป้าหมายเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยมอบประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ที่แปลกใหม่ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า หรือบริการที่ขายอยู่ การให้ความรู้ในเรื่องจิปาถะที่อาจจะเกี่ยวกับสินค้าของคุณ ทำให้ผู้คนเยี่ยมชมเว็บไซต์เป็นเวลานานมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการจัดอันดับเว็บไซต์บนเครื่องมือการค้นหา อย่างเช่น Google


  • เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
บทความ SEO จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ เนื่องจากการเขียนบทความจะต้องอาศัยหลักการเขียนที่ Google กำหนดไว้ว่า โดยจะต้องเขียนเนื้อหาที่มีความสดใหม่ มีความเกี่ยวข้องกับผู้ค้นหา และเว็บไซต์ ทั้งยังต้องมีเนื้อหาที่มีประโยชน์ ไม่คัดลอก หรือ Copy ของใครมา Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์คุณมีคุณภาพ และมีความน่าเชื่อถือนั่นเอง

  • ได้รับการจัดอันดับที่ Organic

SEO จะได้เปรียบการตลาดแบบ SEM ตรงที่ถ้าหากคุณหยุดชำระค่าใช้จ่าย ผลการจัดอันดับบนหน้าเครื่องมือการค้นหา อย่าง Google ก็จะลดลงทันที ต่างกับ SEO ถ้าหากเว็บไซต์มีจำนวน Organic สูง ก็จะได้รับการเยี่ยมชมจากผู้ใช้งานบนโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะยิ่งเพิ่มอันดับการค้นหาให้อยู่อันดับต้น ๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.iamcommonground.com/
[/list]

21


หลายคนอยากจะมีบ้านสวย ๆ เป็นของตัวเองสักหลัง แต่การซื้อบ้านสักหลังนั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่าย เพราะการซื้อบ้านมาพร้อมกับภาระค่าใช้จ่ายอันหนักอึ้งที่จะต้องแบกรับภาระเหล่านี้ทุก ๆ เดือน นานเป็นปี ทำให้หลายคนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลังเลือกที่จะกู้ซื้อบ้าน แต่รู้หรือไม่? ว่าการกู้ซื้อบ้านในช่วง 3 ปีแรก อาจมีดอกเบี้ยที่ถูก แต่พอผ่านไปนาน ๆ ดอกเบี้ยเงินกู้เหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินได้

เหตุนี้ทำให้หลายคนเลือกที่จะยื่นขอ รีไฟแนนซ์ บ้าน เพื่อเป็นการลดดอกเบี้ยในการผ่อนชำระ และเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของคุณ แต่เชื่อว่ามีหลายคนที่กู้ซื้อบ้าน แต่ไม่รู้ว่าการขอ รีไฟแนนซ์ บ้าน นั้นคืออะไร แล้วมีขั้นตอนการยื่นขอรีไฟแนนซ์อย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้ก็ตามมารับชมกันได้เลย


ทำความรู้จัก “รีไฟแนนซ์ บ้าน” คืออะไร
การรีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance) คือ การขอเงินกู้จากธนาคารใหม่ เพื่อลดภาระเงินกู้จากธนาคารเก่า ผ่านการเปรียบเทียบสถาบันการเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม โดยการรีไฟแนนซ์บ้านจะช่วยทำให้ลดภาระหนี้ และยังช่วยลดรายจ่ายในแต่ละเดือน รวมทั้งยังช่วยทำให้ผ่อนบ้านหมดไวขึ้นอีกด้วย

ซึ่งข้อดีของการรีไฟแนนซ์บ้าน คือ การช่วยลดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนที่คุณจะต้องจ่ายกับทางธนาคาร ช่วยลดภาระหนี้สิน ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน และช่วยลดระยะเวลาผ่อนให้ลดลง

ขั้นตอนการขอ รีไฟแนนซ์ บ้าน
หลานคนมักเข้าใจผิด ว่าการขอรีไฟแนนซ์บ้านนั้นใช้เวลานาน และมีความยุ่งยาก ซึ่งในความเป็นจริงการขอรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่ได้มีความยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด เพราะหากคุณเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน และทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ การขอรีไฟแนนซ์ก็จะเป็นเรื่องง่าย และได้รับอนุมัติเร็ว ซึ่งขั้นตอนการขอรีไฟแนนซ์มีดังนี้

1. ตรวจสอบสัญญากู้เดิม
หากใครที่ตัดสินใจจะรีไฟแนนซ์บ้าน สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกเลยก็คือ การตรวจสอบสัญญาว่ามีกำหนดให้สามารถยื่นรีไฟแนนซ์ได้เมื่อไหร่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะสามารถยื่นรีไฟแนนซ์ได้ก็ต่อเมื่อมีการผ่อนชำระครบ 3 ปี ขึ้นไป
 
2. ตรวจสอบข้อมูลยอดหนี้คงเหลือกับธนาคารเดิม
ต่อมาคือการตรวจสอบข้อมูลยอดหนี้ที่ยังคงเหลือกับธนาคารเดิม โดยสามารถติดต่อกับสถาบันการเงินที่ทำเรื่องกู้ไป เพื่อสรุปยอดหนี้สินในการผ่อนชำระ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยทำให้เลือกธนาคารใหม่ที่มีข้อเสนอตามที่ต้องการได้
 
3. มองหาธนาคารที่เหมาะสมในการรีไฟแนนซ์บ้าน
เมื่อรวบรวมข้อมูลหนี้สินเรียบร้อยแล้ว ต่อมาคือการมองหาธนาคารใหม่ที่เหมาะแก่การรีไฟแนนซ์บ้าน โดยจะต้องเลือกจากธนาคารที่มีข้อเสนอพิเศษ ทั้งเรื่องของดอกเบี้ย และระยะเวลาในการชำระหนี้ ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะมีข้อเสนอที่แตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรก็ควรศึกษาข้อเสนอให้ดีก่อนตัดสินใจ

4. เตรียมเอกสารในการขอยื่นรีไฟแนนซ์ให้พร้อม
สำหรับการยื่นขอรีไฟแนนซ์ จะต้องเอกสารให้ครบถ้วน ซึ่งเอกสารก็ประกอบไปด้วยหลายส่วนด้วยกัน คือ

- เอกสารข้อมูลส่วนบุคคล อาทิ บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาทะเบียนสมรส เป็นต้น
- เอกสารแสดงรายได้ อาทิ สลิปเงินเดือน หรือรายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือนขึ้นไป
- เอกสารหลักประกัน อาทิ โฉนดที่ดิน และสัญญาเงินกู้จากธนาคารเดิม



5. ยื่นขอสินเชื่อสำหรับรีไฟแนนซ์
ให้เดินทางเข้าไปขอสินเชื่อกับทางธนาคารใหม่ได้ทันที จากนั้นเมื่อธนาคารรับเรื่องแล้ว จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปประเมินราคาหลักประกัน เพื่อประกอบการอนุมัติ และเมื่อได้รับการอนุมัติจากทางธนาคารแล้ว เจ้าหน้าที่จากธนาคารใหม่จะติดต่อกับธนาคารเดิมเพื่อสอบถามหนี้คงเหลือ และนัดวันไถ่ถอนต่อไป

6. เตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
เมื่อธนาคารแห่งใหม่อนุมัติสินเชื่อแล้ว ต่อมาให้ผู้ขอสินเชื่อเตรียมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์จะน้อยกว่าการซื้อบ้านแบบปกติ โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียม มีดังนี้
- ค่าประเมินราคา ประมาณ 2 - 3 พัน ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของธนาคาร
- ค่าจดจำนอง จ่ายให้กรมที่ดิน 1% ของวงเงินกู้
- ค่าประกันอัคคีภัย
- ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงิน (ไม่เกิน 10,000 บาท)
- ค่าธรรมเนียมของธนาคาร

7. ทำสัญญาและจดจำนองที่กรมที่ดิน
การทำสัญญากับทางธนาคาร จะมีเจ้าหน้าที่ถือสัญญาไปให้เซ็นที่กรมที่ดิน พร้อมกับการทำสัญญาจดจำนองในวันเดียวกัน หลังทำสัญญาและจดจำนองเรียบร้อยแล้ว ก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นสำหรับกระบวนการรีไฟแนนซ์บ้าน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
ขอบคุณข้อมูลจาก บ้านเดี่ยวพัทยา
https://www.krungsri.com/th/personal
https://www.ddproperty.com/

22
    หลายคนที่ทำเว็บไซต์ธุรกิจออนไลน์ ย่อมอยากทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก  และติดอันดับการค้นหาบน Google เพราะ Google เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานเข้ามาค้นหาข้อมูลมากที่สุด แต่การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google นั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เนื่องจากในตอนนี้มีวิธีที่สามารถทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักของกลุ่มเป้าหมายได้ 2 วิธี นั่นก็คือ การทำโฆษณา (Google Ads) และการทำ SEO

    ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์ส่วนใหญ่มักจะเลือก
ทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ เพราะหนึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ สองคือเว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาในระยะยาว สามคือมีจำนวน Organic Traffic ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งต่างจากการทำโฆษณาที่ต้องเสียเงินยิงแอด เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเว็บไซต์ และยิงแอดเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่หนึ่งของการค้นหา แต่การทำ SEO ใช่ว่าทำแล้วเว็บไซต์จะติดอันดับทันที เพราะต้องใช้เวลา อาศัยปัจจัย และกระบวนการหลายอย่าง ซึ่งถ้าอยากรู้ว่า SEO ทำอย่างไร ให้ติดอันดับการค้นหา งั้นมาติดตามรับชมกันได้เลย



SEO ทำอย่างไร ให้ติดอันดับง่าย ๆ ด้วย 5 ขั้นตอน

1.Keyword Research
ทุกครั้งที่เริ่มต้นทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ จะต้องทำการวิเคราะห์หาคำ หรือทำ Keyword Research เพื่อดูว่าคำหรือคีย์เวิร์ดไหน ที่เป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้น ควรเลือกคำที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย เกี่ยวข้องกับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ และจะต้องเป็นคีย์เวิร์ด ที่มียอดค้นหาในจำนวนที่สูง แต่ไม่ควรที่จะเลือกคีย์เวิร์ด ที่มีการค้นหาที่สูงมากจนเกินไป และไม่ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาที่ต่ำจนเกินไป เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำ SEO ให้ติดอันดับการค้นหา

2.ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้แสดงผลเร็วขึ้น
ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการทำ SEO เพราะเมื่อใดที่เว็บไซต์มีการโหลดช้า หรือไม่เสถียรต่อผู้เข้าชม ก็จะทำให้ผู้เข้าชมกดออกจากเว็บไซต์ทันที และจะทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ไม่มีคุณภาพ และไม่เหมาะที่จะถูกจัดอันดับให้อยู่หน้าแรกของการค้นหา ดังนั้นหากอยากทำ SEO ให้ติดอันดับ การปรับปรุงโครงสร้างของเว็บไซต์ และปรับความเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง



3.ทำ Content ให้มีคุณภาพ ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
การจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาได้ ภายในเว็บไซต์จะต้องมีการสร้างสรรค์ Content ออกมา เพื่อให้ Google ทำการจัดอันดับบนหน้าค้นหา โดยจะต้องเลือกทำ Content ที่มีความน่าสนใจ แปลกใหม่ และทันกระแส แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า Content ชิ้นนั้นจะต้องเป็น Content ที่มีคุณภาพ มีเนื้อหาที่มีประโยชน์ และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ก็จะทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่ดี และมีความน่าเชื่อถือ เหมาะแก่การจัดอันดับให้ผู้ค้นหาเข้ามาเยี่ยมชมภายในเว็บไซต์

4.ทำ On - Page ให้ถูกต้องตามหลัก SEO
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าการทำ SEO นั้นมีปัจจัย และกระบวนการทำที่หลากหลายที่ต้องคำนึง อาทิ การทำ On - Page และ Off - Page ซึ่ง On - Page เป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้เลยว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพตรงตามหลัก SEO หรือไม่ ? โดยการทำ On - Page ให้ถูกหลัก SEO มีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้
  • การใส่ Keyword
  • Meta Description
  • ALT Text
  • URL Slug
  • Internal Link
  • External Link
  • Heading
  • SubHeading

5.ทำ Off - Page ให้มีคุณภาพ
เมื่อมีการทำ On - Page ให้ถูกหลัก SEO แล้ว ต้องไม่ลืมทำ Off - Page SEO ให้มีคุณภาพเช่นเดียวกัน โดยการทำ Off - Page คือ การปรับแต่งเว็บไซต์จากภายนอก หรือที่หลายคนเรียกกันว่าการทำ Backlink เป็นการเชื่อมลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอก กลับมายังเว็บไซต์ของเรา ยิ่งมี Backlink เยอะก็จะยิ่งส่งผลดีต่อเว็บไซต์

เพราะจะทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพ เป็นเว็บไซต์ที่เป็นที่นิยมของกลุ่มเป้าหมาย แต่การทำ Backlink นั้นก็ต้องไม่ลืมเลือก Backlink ที่มีคุณภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้ Google มองว่าเป็นการทำสแปมให้กับเว็บไซต์ และลดอันดับเว็บไซต์ลงนั่นเอง

ทั้งนี้การทำ SEO ยังมีอีกหลายขั้นตอน ที่ช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหา แต่ขั้นตอนการทำในข้างต้น เป็นขั้นตอนพื้นฐานสำหรับมือใหม่ ที่ทำแล้วมั่นใจได้เลยว่าเว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาบน Google ได้อย่างแน่นอน

สำหรับใครที่ยังคงมีข้อสงสัยว่า SEO ทำอย่างไร ถึงจะดี และทำแบบไหนถึงจะส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ ก็สามารถศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ เพื่อเป็นแนวทางในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพกันได้



ขอบคุณข้อมูลจาก
https://plaradise.com/
https://www.iamcommonground.com/


[/list][/left]

23


คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมการ รับสร้างบ้านชั้นเดียว ให้เย็นสบาย ถึงต้องอาศัยประสบการณ์ และความชำนาญ เพราะการจะทำให้บ้านเย็นสบาย ไม่ได้อาศัยแค่หลักการออกแบบเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาวัสดุที่เลือกใช้ และการวางผังบ้านที่ดี รวมถึงการใช้ธรรมชาติต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย

1.วางผังบ้านให้เหมาะกับแดด
การวางผังห้องต่างๆ ภายในบ้านให้สอดรับกับทิศทางของแดด นับเป็นสิ่งที่ต้องให้ความใส่ใจไม่แพ้รายละเอียดการตกแต่งต่าง ๆ เพราะห้องแต่ละห้องมีการใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น ห้องน้ำเป็นห้องที่มีความชื้นสูง จึงควรอยู่ในทิศทางที่โดนแดด เพื่อลดความอับชื้น หรือห้องนั่งเล่นเป็นห้องที่ใช้สำหรับพักผ่อน และต้องให้ความเย็นสบายกับผู้อยู่อาศัย จึงควรอยู่ในทิศทางที่ไม่โดนแดด หรือโดนแดดน้อยที่สุด เป็นต้น

2.หน้าต่างรับลมเย็นและระบายอากาศ
หากถามว่าส่วนใดของบ้านที่รับแสงแดดมากที่สุด แน่นอนว่าคำตอบก็คือ “หลังคาบ้าน” ซึ่งเป็นบริเวณที่รับแสงแดดตลอดทั้งวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ไอความร้อนบางส่วน สามารถแทรกเข้ามาภายในบ้านได้ โดยผ่านบริเวณนี้ ซึ่งการติดตั้งหน้าต่าง หรือช่องระบายอากาศ เพื่อระบายความร้อนจากหลังคา จะช่วยลดความร้อนภายในบ้านได้มากพอสมควร



3.หลังคาทรงสูง ช่วยลดไอร้อนที่เข้ามาในบ้าน
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าหลังคา เป็นส่วนที่ได้รับความร้อนจากแสงแดดมากที่สุด การสร้างหลังคาที่มีรูปทรงสูงโปร่ง พร้อมโถงหลังคา ที่มีช่องระบายอากาศ เช่น หลังคาจั่ว หลังคามะนิลา หรือหลังคาปั้นหยา เป็นต้น จะช่วยเพิ่มการถ่ายเท และหมุนเวียนอากาศ ที่สะสมอยู่ภายในบ้านได้ดีขึ้น

4.เลือกวัสดุกันความร้อน ลดการกักเก็บความร้อนไว้ในบ้าน
นอกจากการออกแบบ รับสร้างบ้านชั้นเดียว ให้สอดรับกับทิศทางของแสงแดด และลมแล้ว การเลือกวัสดุที่มีฉนวนกันความร้อน ก็สามารถช่วยให้บ้านเย็นขึ้นได้เช่นกัน โดยในส่วนของพื้นที่รอบบ้าน หรือบริเวณสนามหญ้า ควรจะเลือกวัสดุที่มีช่องระบายอากาศ และควรหลีกเลี่ยงการปูพื้นด้วยซีเมนต์
เนื่องจากพื้นซีเมนต์มีคุณสมบัติเก็บความร้อน ซึ่งจะสะสมความร้อนไว้ในช่วงกลางวัน และปล่อยไอความร้อนออกมาในช่วงเย็น หรือกลางคืน ทำให้รู้สึกอบอ้าวได้

5.ใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์
หากบ้านของคุณอยู่ในทำเล ที่ไม่สามารถกำหนดทิศให้เหมาะสมกับทิศทางของแดด และลมได้ การปลูกต้นไม้ยืนต้นก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่แพ้การใช้ระแนง หรือบล็อกช่องลม เพราะนอกจากจะช่วยบดบังแสงแดดได้ดีแล้ว ยังทำให้ลมสามารถพัดผ่านเข้ามาในตัวบ้านได้ง่ายกว่าวัสดุอื่นๆ อีกด้วย รวมถึงยังช่วยกรองฝุ่นละอองที่เข้ามาภายในบ้าน และทำให้บ้านมีความร่มรื่นมากยิ่งขึ้น
แต่ทั้งนี้ ก่อนที่จะเลือกใช้ต้นไม้มาบังแดด คุณควรจะศึกษาต้นไม้ที่เลือกมาให้ดีเสียก่อนว่า รากของต้นไม้จะไม่เติบโตจนทำลายโครงสร้างบ้าน หรือเหมาะกับการปลูกบริเวณบ้านหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่อโครงสร้างบ้านในอนาคต



ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.royalhouse.co.th/


24
โต๊ะคอนโซล วินเทจ โต๊ะคอนโซล วินเทจ เป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องด้วยภาพลักษณ์ความวินเทจ และความอเนกประสงค์ของโต๊ะคอนโซล ทำให้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้มีความโดดเด่นขึ้นมามากกว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่น ๆ แต่การจะซื้อ โต๊ะคอนโซล วินเทจ สักหนึ่งชิ้น ก็ต้องเข้าใจให้ดีก่อนว่า สไตล์วินเทจเป็นแบบไหน และโต๊ะคอนโซลที่ซื้อมาสามารถนำไปตั้งไว้ส่วนไหนของบ้านจึงจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด



สไตล์วินเทจคืออะไร ทำไมถึงได้รับความสนใจ
สไตล์วินเทจ คือ คำอธิบายของสิ่งของที่ให้อารมณ์ดูเก่า ดูไม่เข้าสมัย แต่มีสไตล์ที่โดดเด่น และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากเป็นสิ่งของที่มีอายุ 20 - 30 ปีขึ้นไป จะยิ่งมีความเป็นวินเทจมากขึ้น เปรียบเสมือนแนวคิดที่อ้างอิงมาจากการบ่มหมักไวน์ คือยิ่งปล่อยไว้นานให้มีอายุมากเท่าไร ยิ่งสร้างมูลค่าได้มากขึ้นเท่านั้น

ซึ่งจะเห็นไดว่าของสไตล์วินเทจบางชิ้น ที่มีราคาสูงส่วนมากมักเป็นสิ่งของที่มีความเก่าแก่ ทำให้แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้กับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์มากขึ้น อย่าง โต๊ะคอนโซลที่มีสไตล์แบบวินเทจ เน้นการใช้ไม้เปลือยที่มีสีโทนดำ น้ำตาล และขาว ซึ่งเป็นสีที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ยิ่งปล่อยเอาไว้นาน ยิ่งให้ความรู้สึกวินเทจได้มากขึ้น



4 จุดวาง โต๊ะคอนโซลวินเทจ ที่จะช่วยยกระดับให้บ้านของคุณ
การวางเฟอร์นิเจอร์สักชิ้นภายในบ้าน อาจเป็นเรื่องที่ฟังดูง่าย แต่ก็สามารถสร้างความปวดหัวให้กับคุณได้เช่นกัน เนื่องจากบางทีคุณก็อาจไม่รู้ว่าจะนำโต๊ะคอนโซลนี้ไปวางจุดไหนภายในบ้านดี ที่จะสามารถช่วยให้บ้านของคุณดูสวยงามขึ้น และเกิดประโยชน์สูงสุด

  • สำหรับทางเข้าบ้าน
สามารถนำ โต๊ะคอนโซล วินเทจ ตั้งไว้ตรงจุดที่เป็นทางเข้าบ้าน หรือจุดที่สามารถเปิดประตูบ้านมาแล้วมองเห็นได้ทันที เนื่องจากจะช่วยสร้างความประทับใจที่อบอุ่นให้กับผู้มาเยี่ยมเยือนได้ โดยหากใช้แจกันดอกไม้วางตกแต่งเอาไว้ จะยิ่งช่วยให้มีบรรยากาศโดยรวมของบ้านที่อบอุ่นมากขึ้น

  • สำหรับห้องนั่งเล่น
โต๊ะคอนโซล วินเทจ สามารถนำไปตั้งไว้กลางห้องนั่งเล่น ไว้สำหรับวางคอลเลคชันหนังสือ หรือประติมากรรมขนาดเล็ก เพื่อเสริมสร้างทัศนียภาพที่ดีให้กับห้องนั่งเล่นของคุณ

  • สำหรับห้องทานอาหาร
โต๊ะคอนโซล วินเทจ สามารถสร้างบรรยากาศที่หรูหรา และช่วยยกระดับให้กับห้องอาหารของคุณ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการรับประทานอาหารกันภายในครอบครัว หากนำดอกไม้ที่ช่วยส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ มาวางไว้บนโต๊ะคอนโซล จะยิ่งเพิ่มสุนทรียภาพให้มื้ออาหารของคุณ

  • สำหรับห้องทำงาน
โต๊ะคอนโซล วินเทจ สามารถช่วยสร้างห้องทำงานกลายเป็นโฮมออฟฟิศขนาดย่อมได้ ความโดดเด่นของสไตล์วินเทจจะช่วยสร้างความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับห้องทำงาน และบรรยากาศที่ดีจึงมาพร้อมกับแรงบันดาลใจที่ช่วยให้งานของคุณไหลลื่น


ขอบคุณข้อมูลจาก https://philoscopenhagen.com/


25
ตะกร้าผ้า คือ อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับพ่อบ้าน และแม่บ้าน เพราะตะกร้าผ้าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องของการจัดเก็บเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ให้วางไว้เป็นที่เป็นทาง หรือกองอยู่รวมกัน เพื่อนำไปซักได้อย่างสะดวก ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่าตะกร้าผ้าสามารถเลือกใช้แบบไหนก็ได้ เพราะมีคุณสมบัติที่เหมือนกัน

แต่อันที่จริงแล้วตะกร้าผ้าแต่ละชนิด แต่ละประเภท นั้นมีคุณสมบัติการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งวันนี้เราได้ทำการรวบรวม 5 ประเภทของ ตะกร้าผ้า พร้อมกับเราจะมาแนะนำวิธีการเลือกซื้อ ตะกร้าผ้า ให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย รับรองเลยว่าการเก็บผ้าไปซักจะต้องมีความสะดวกสบาย และง่ายขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วมาดูกัน


3 ประเภทของ ตะกร้าผ้า ที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้งาน
1.ตะกร้าผ้าที่ทำจากหวาย
สำหรับตะกร้าผ้าที่ทำจากหวาย จะมีลักษณะเป็นไม้หวาย ที่นำเอามาสานต่อกัน ทำให้มีรูปร่าง และดีไซน์ที่ดูมินิมอล ซึ่งตะกร้าหวายจะมีความแข็ง ทนทานต่อการใช้งาน และสามารถนำไปวางตกแต่งบ้านได้อีกด้วย

2.ตะกร้าผ้าพลาสติก
ตะกร้าผ้าพลาสติก เป็นประเภทของตะกร้าที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้งาน เพราะตะกร้าพลาสติกนั้นมีความแข็งแรง และทนทานต่อการใช้งานทุกรูปแบบ ไม่แตกหักง่าย เนื่องจากตะกร้าผ้าพลาสติกในปัจจุบันผลิตจากพลาสติกคุณภาพดี พลาสติกมีความหนา จึงทำให้รองรับน้ำหนักของผ้าได้ในปริมาณมาก ๆ ทั้งตะกร้าพลาสติกในปัจจุบันยังมีดีไซน์ที่เรียบหรู มีความทันสมัยเป็นอย่างมาก

3.ตะกร้าผ้าลินิน และตะกร้าผ้าฝ้าย
สำหรับตะกร้าชนิดนี้เป็นตะกร้าที่ผลิตจากผ้า ทำให้ตะกร้าผ้ามีน้ำหนักเบา พับเก็บได้ไม่เปลืองเนื้อที่ภายในบ้าน แต่ความแข็งแรงทนทานอาจจะสู้ตะกร้าพลาสติก และตะกร้าหวายไม่ได้ แต่ดีไซน์ และความสวยงามนั้นกินขาด


วิธีการเลือกซื้อ ตะกร้าผ้า ให้เหมาะกับการใช้งาน
1.เลือกประเภทของตะกร้าผ้าที่สามารถพับได้
ตะกร้าผ้าส่วนใหญ่ มักจะมีรูปทรงกลม หรือทรงเหลี่ยมที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่  ดังนั้นควรเลือกตะกร้าผ้าที่สามารถพับเก็บได้ เพราะจะช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กับห้อง อีกทั้งยังสามารถพับตะกร้าเก็บไว้ตามซอก เพื่อซ่อนไม่ให้คนมองเห็น

2.เลือกตะกร้าผ้าที่พกพาได้สะดวก
หลายคนอาจต้องนำพาออกไปซักข้างนอก ทำให้ต้องแบกตะกร้าผ้าออกไปด้วย ซึ่งถ้าให้แบกตะกร้าใบใหญ่ ๆ ออกไปก็คงเกะกะ และเป็นภาระอย่างมากเลยทีเดียว ดังนั้นควรเลือกใช้ตะกร้าผ้าที่มีหูหิ้ว หรือมีหูจับ เพื่อความสะดวกสบายต่อการนำผ้าไปซักนอกบ้าน

3.เลือกวัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน และมีความยืดหยุ่น
ปัจจุบันตะกร้าผ้าถูกผลิตด้วยวัสดุหลายเกรด ที่มีคุณภาพแตกต่างกันออกไป ตะกร้าผ้าบางวัสดุใช้งานเพียงไม่กี่ครั้ง ก็แตกหัก หรือชำรุดได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกจากวัสดุที่ทำมาจากพลาสติกที่มีคุณภาพดี มีความแข็งแรง ทนทาน มีความยืดหยุ่น เพื่อยืดอายุการใช้งานที่นานขึ้น

4.เลือกตะกร้าผ้าที่สามารถปิดได้อย่างมิดชิด
เลือกตะกร้าผ้าที่มีฝาปิด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าล้นออกมาจากตะกร้าผ้า ช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าโดนฝุ่น หรือไม่ให้เชื้อโรคจากเสื้อผ้ากระจายไปทั่วห้อง ทั้งยังช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับคุณ เวลาที่มีแขกมาเยี่ยมเยียนหรือนำผ้าออกไปซักข้างนอกอีกด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก
https://dkwthailand.com/
https://my-best.in.th/40689


หน้า: [1]