ครั้งนี้เรามาดูกันว่าแพทย์มีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้ผู้ป่วย โดยดูจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ
cd4 ทำนอง cd4
[youtube]youtube.com/watch?v=[/youtube]
ยาต้านไวรัสเอดส์ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบอุปสรรคของการใช้ยาบางชนิด ได้แก่ ปัญหาจากผลข้างเคียงของยา อุปสรรคการต้านท
การเสื่อมอย่างยิ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นสัญญาณของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์ การรักษาร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจสอบวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างเป็นประจำ เนื่องมาจากระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการรักษาพยาบาล หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้ป่วยเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางพวก เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลปกป้องรักษาโรคปอดอักเสบ เป็นต้น
ค่าปกติธรรมดาเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางคนสูง บางคนต่ำ ค่าโดยทั่วไปแล้วของ % Lymp อยู่ในช่วงประมาณ 19-48% ฉะนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
ในยุคปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยความเจ็บไข้ต่างๆ สามารถทำได้อย่างทันที และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือพิกลพิการของผู้ป่วยได้เยอะแยะ
แต่ถ้าพูดถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอบรรยายง่ายๆ ครับผมว่า cd4 บางโอกาสถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีจุดสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี อีกด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปจู่โจมทำลาย
โดยปกติร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี อาจแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขจำนวนที่เหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจนจนน่าตื่นเต้นตกใจเลยใช่มั้ยขอรับ
ช่วงปัจจุบันเราใช้จำนวนเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค เช่น ผู้ที่มีผลรวมเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และโรคแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของคนป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์ผลรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
เพราะฉะนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นมาตรฐานการรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 มา ก็ไปพบคุณหมอเพื่อขอรับประทานยาต้านไวรัสได้เลย แม้กระนั้นถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งรับประทานยาต้าน ให้เยียวยารักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนครับ ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
ศัพท์แสงทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
แม้ว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของหญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีประจำเดือน ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells ลดน้อยลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายพักเหนื่อย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% ฯลฯ
เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวดูแลระบบภูมิต้านทานทั้งมวล พอเซลล์นี้ถูกทำลายไประบบภูมิต้านทานก็ทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคแตกต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ในที่สุด การตรวจหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือไม่ และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิต้านทานแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์หลักที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในเบื้องต้น
โดยระดับเป็นปกติของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 – 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของผู้หญิงที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีแนวโน้มที่สูงกว่านิดหน่อย คือ 500 – 1600.
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวน้อยลงอย่างฉับพลันในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถรักษาระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้อยู่กับที่ได้ มีแนวโน้มที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติขอรับ เมื่อใดที่การตรวจสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นแสดงว่าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ถูกทำร้ายแล้ว
ในประจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์ปริมาณมาก ออกฤทธิ์ยับยั้งการแพร่พันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์เบาลงได้ และช่วยดูแลไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell