
ในฐานะที่ปรึกษาสินเชื่อธุรกิจ ผมเจอเคสแบบ “ยอดขายดีแต่กู้ไม่ผ่าน” บ่อยกว่าที่หลายคนคิด โดยเฉพาะกลุ่มที่มองหา สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือหวังจะได้
สินเชื่อSMEไม่มีหลักทรัพย์2568 จากธนาคาร/สถาบันการเงิน เพื่อใช้ขยายกิจการหรือเสริมสภาพคล่อง แต่สุดท้ายกลับได้รับคำตอบว่า “ไม่ผ่านเกณฑ์เครดิต”
เคสที่อยากเล่าในวันนี้ เป็นเจ้าของแบรนด์คาเฟ่และเบเกอรีรายหนึ่ง (ขอสมมติชื่อว่า “คุณเมย์”) ยอดขายหน้าร้านรวมเดลิเวอรีเฉลี่ยเดือนละเกือบ 700,000 บาท รีวิวดี ลูกค้าประจำแน่น หน้าร้านดูแข็งแรงมาก เธอตั้งใจจะขอ
สินเชื่อsmeวงเงิน 1.5 ล้านบาทแบบ สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อต่อเติมครัว เพิ่มที่นั่ง และซื้อเครื่องอบรุ่นใหม่
บนกระดาษ ทุกอย่างเหมือนจะ “สวย”
แต่ผลอนุมัติออกมาคือ “ไม่ผ่าน” ด้วยเหตุผลเดียวที่ธนาคารวงไว้สั้น ๆ ว่า
“เครดิตและวินัยการเงินไม่ผ่านเกณฑ์สถาบันการเงิน”
ทั้งที่คุณเมย์เชื่อมาตลอดว่า ธุรกิจเดินดี ใช้แหล่งเงินทุนแบบไม่ฟุ่มเฟือย และจ่ายหนี้ทุกเดือน แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เมื่อเครดิตส่วนตัว “ลากคะแนน” ธุรกิจให้ตกเกณฑ์
หลังจากนัดคุยนอกรอบและขออนุญาตดูเอกสารจริง ปรากฏว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ยอดขายหรือกำไร แต่ซ่อนอยู่ใน “พฤติกรรมทางการเงิน” ของเจ้าของกิจการเอง
1. บัตรเครดิตบุคคล 4 ใบ ใช้เกือบเต็มวงเงินทุกใบ
แม้จะจ่ายตรงทุกเดือน แต่ส่วนใหญ่จ่าย “ขั้นต่ำ” มาตลอด ทำให้ยอดคงค้างสูง วงเงินเหลือน้อย ระบบเครดิตมองว่า “มีความตึงตัวด้านสภาพคล่อง”
2. สินเชื่อส่วนบุคคลและผ่อนของใช้ส่วนตัวปนกับภาระธุรกิจ
ที่สำคัญ ภาระผ่อนเหล่านี้ไม่ได้แยกระหว่าง “ส่วนตัว” กับ “ธุรกิจ” ในสายตาเครดิตบูโร ภาระทั้งหมดถูกมองเป็น “หนี้ของคนคนเดียว”
3. บัญชีเงินเข้า–ออกธุรกิจไม่สม่ำเสมอ
รายได้บางส่วนรับเป็นเงินสดและไม่ได้เดินเข้าบัญชีอย่างเป็นระบบ ธนาคารจึงไม่เห็นภาพแท้จริงของกระแสเงินสด ทั้งที่ยอดขายจริงสูงกว่าที่ Statement สะท้อน
4. เคยจ่ายค่างวดล่าช้าเกิน 30 วัน 2–3 ครั้งในช่วงโควิด
แม้จะเคลียร์หมดแล้ว แต่ “รอยแผลในประวัติการชำระ” ยังอยู่ในระบบ และกลายเป็นสัญญาณเตือนของเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า หากปล่อยกู้แบบไม่มีหลักประกัน ความเสี่ยงจะสูงกว่าปกติ
ทั้งหมดนี้ทำให้คำว่า “วินัยการเงินไม่ผ่านเกณฑ์” ไม่ใช่ประโยคกลาง ๆ แต่เป็นสัญญาณชัดเจนว่า ถ้าธนาคารปล่อย
แหล่งเงินทุนไม่ใช้หลักประกันให้รายนี้ ความเสี่ยงด้านการชำระคืนอาจสูงกว่ากลุ่มลูกค้าที่มีเครดิตแข็งแรงกว่า
ทำไมปี 2568 ธนาคาร “ซีเรียส” เรื่องเครดิตและวินัยการเงินเป็นพิเศษ
ถ้ามองภาพใหญ่ จะเห็นว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะคุณเมย์คนเดียว แต่สะท้อนบริบทของเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ
• ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ยังต้องจับตาความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูง โดย NPL ยังมีแนวโน้มขยับขึ้น แม้ระบบสถาบันการเงินโดยรวมยังแข็งแรงอยู่ก็ตาม Bot
• สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ยังอยู่ในระดับสูงมาก และหนี้ประเภทบัตรเครดิต ลีสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคลเติบโตเร็วในรอบหลายปี ทำให้ความเปราะบางด้านวินัยการเงินถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
เมื่อภาพใหญ่เป็นแบบนี้ ธนาคารยิ่งต้องระมัดระวังในการปล่อย สินเชื่อsme โดยเฉพาะประเภท สินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม “แหล่งเงินทุนไม่มีหลักประกัน” ทั้งจากธนาคารพาณิชย์และโครงการพิเศษที่รัฐสนับสนุน
จะสังเกตว่า แม้ภาครัฐออกแพ็กเกจช่วยเหลืออย่างโครงการค้ำประกันสินเชื่อ “SMEs Quick Big Win” ผ่าน บสย. วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อและลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ แต่เงื่อนไขด้านเครดิตและวินัยการเงิน “ก็ยังอยู่” เพราะธนาคารและ บสย. ต้องบริหารความเสี่ยงไม่ให้กลายเป็นหนี้เสียในระบบ
พูดให้ชัดคือ ในปี 2568 ต่อให้คุณเจอแคมเปญที่ดูเหมือน “สินเชื่ออนุมัติง่ายไม่เช็คภาระหนี้” จากโฆษณาออนไลน์ ถ้าเป็นสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับจริง ๆ เขายังคงต้องดูเครดิตบูโร ดูภาระหนี้รวม และวินัยการเงินย้อนหลังอยู่ดี
พฤติกรรมแบบไหน ที่ทำให้ “ดีลสินเชื่อ SME” สะดุดมากที่สุด
จากประสบการณ์คุยกับทั้งฝั่งผู้ประกอบการและฝั่งอนุมัติสินเชื่อ พฤติกรรมต่อไปนี้คือ “ตัวแดง” ที่มักทำให้การขอ สินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ 2568 สะดุด
1. จ่ายขั้นต่ำและรูดเต็มวงเงินเป็นนิสัย
บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้เกือบเต็มวงเงิน แถมจ่ายขั้นต่ำเป็นประจำ ทำให้ระบบมองว่าคุณ “บริหารสภาพคล่องด้วยหนี้ระยะสั้น” ไม่ใช่ด้วยกระแสเงินสดจากธุรกิจ
2. ผสมบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ
รับโอนเข้าบัญชีเดียวกัน ใช้จ่ายทั้งค่าใช้จ่ายบ้านและค่าใช้จ่ายร้านในที่เดียว ทำให้ธนาคารไม่เห็นโครงสร้างรายได้–ค่าใช้จ่ายของธุรกิจอย่างแท้จริง
3. มีหนี้หลายเจ้า แต่ไม่มีภาพรวม
ไม่มีตารางสรุปภาระหนี้รวมต่อเดือน (DSR) เจ้าหน้าที่ต้องไล่ดูทีละแฟ้ม ทีละสัญญา ยิ่งดูยาก ยิ่งเสี่ยงที่จะประเมินว่า “ภาระหนี้แน่น”
4. เคยผิดนัดชำระ มากกว่า 30 หรือ 90 วัน โดยไม่มีคำอธิบาย
รอยผิดนัดในเครดิตบูโรไม่ใช่จุดจบเสมอไป แต่ถ้าไม่มีคำอธิบายและแผนจัดการชัดเจน ธนาคารยากจะให้วงเงินแบบไม่มีหลักประกัน
5. ตอบคำถามเรื่องแผนใช้เงิน–แผนคืนเงินแบบคลุมเครือ
เวลาเจ้าหน้าที่ถามว่า “กู้ไปทำอะไร คืนอย่างไร ถ้าขายไม่ถึงเป้าจะทำอย่างไร” แล้วตอบได้แค่ “ขอเอาไปหมุนก่อน เดี๋ยวก็ขายได้” แบบนี้ทำให้ดีลสินเชื่อ SME ดูเสี่ยงโดยไม่จำเป็น
จาก “ไม่ผ่าน” สู่ “พร้อมยื่นใหม่” ใน 6–12 เดือน: แผนพลิกเกมเครดิต
ย้อนกลับไปที่เคสของคุณเมย์ เราวางแผนให้เธอ “ถอยหนึ่งก้าว เพื่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคงกว่าเดิม” แทนที่จะมองหา แหล่งเงินทุนไม่มีหลักประกน แบบดอกเบี้ยสูงและเสี่ยง เราเริ่มจากการปรับวินัยการเงินอย่างจริงจัง
Step 1: รวบรวมภาพรวมภาระหนี้ทั้งหมด
ทำตารางหนี้รวม แยกประเภทหนี้ ดอกเบี้ย ค่างวด และเหลือสัญญากี่เดือน เพื่อให้เห็น DSR จริงของตัวเอง
Step 2: รีไฟแนนซ์และเคลียร์หนี้ดอกเบี้ยสูงบางส่วน
เจรจากับธนาคารเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้ดอกเบี้ยต่ำลง และทยอยปิดบัตรเครดิตบางใบที่ไม่จำเป็น ลดสัดส่วนการใช้วงเงินให้อยู่ในกรอบที่ดูสุขภาพดีขึ้น
Step 3: แยกบัญชีธุรกิจ–ส่วนตัวให้ชัดเจน
เปิดบัญชีใหม่สำหรับธุรกิจ นำรายได้จากทุกแพลตฟอร์มเข้าบัญชีนี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถใช้เป็นหลักฐานกระแสเงินสดในการขอสินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันในรอบถัดไป
Step 4: สร้าง track record ใหม่อย่างตั้งใจ
วางเป้าหมาย 6–12 เดือน ในการจ่ายหนี้ทุกก้อนตรงเวลา 100% ไม่จ่ายขั้นต่ำ และไม่สร้างหนี้เพิ่มโดยไม่จำเป็น
Step 5: เตรียม Credit Story ใหม่ ก่อนยื่นอีกครั้ง
เมื่อครบระยะเวลาปรับพอร์ตหนี้ เรารวบรวมเอกสารทั้งหมด พร้อมเขียนสรุป “จากอดีตสู่ปัจจุบัน” ว่าได้ปรับอะไรไปแล้วบ้าง ทำไมความเสี่ยงลดลง และวางแผนใช้เงินกู้ครั้งใหม่อย่างไรให้สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ
แผนนี้ไม่ได้การันตี 100% ว่าสถาบันการเงินจะอนุมัติแน่นอน แต่จากประสบการณ์ โอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อยื่นไปยังธนาคารหรือโครงการที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุน SME โดยตรง เช่น ธนาคารรัฐ โครงการ Soft Loan หรือสินเชื่อที่มี บสย. ค้ำประกันควบคู่ไปกับสินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักประกัน
เช็กลิสต์สำหรับเจ้าของธุรกิจ: ก่อนจะกดส่งคำขอสินเชื่อ SME รอบใหม่
ก่อนจะยื่นขอ สินเชื่อsme หรือมองหา แหล่งเงินทุนไม่มีหลักทรัพย์ รอบถัดไป ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้
1. ถ้าธนาคารดูเครดิตบูโรวันนี้ เขาจะเห็นรอยค้างชำระอะไรบ้างใน 24 เดือนที่ผ่านมา?
2. DSR (ค่างวดหนี้รวม ÷ รายได้ต่อเดือน) ของคุณอยู่ในระดับที่ธนาคาร “สบายใจ” หรือยัง?
3. บัญชีธุรกิจของคุณสะท้อนยอดขายจริงหรือไม่? เงินสดที่รับ “หล่นหาย” จากระบบไปเท่าไรต่อเดือน?
4. คุณมีแผนใช้เงินและแผนคืนเงินที่ตอบได้ใน 3–5 ประโยคแบบมืออาชีพหรือยัง?
5. ถ้าวันนี้ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเลย สิ่งที่คุณมีมากพอจะชดเชยความเสี่ยงของธนาคารแล้วหรือยัง – ยอดขายที่นิ่งขึ้น วินัยการเงินที่ดีขึ้น เอกสารที่โปร่งใสขึ้น?
ถ้าตอบ “ยังไม่แน่ใจ” มากกว่าครึ่ง นั่นแปลว่ายังมีพื้นที่ให้ปรับตัว ก่อนจะกลับไปเคาะประตูธนาคารอีกครั้งเพื่อขอ สินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ 2568
อยากรู้ว่าอีก 4 เหตุผลยอดฮิตมีอะไรบ้าง?
เรื่องเครดิตและวินัยการเงินเป็นเพียง “เหตุผลยอดฮิตข้อที่ 2” เท่านั้น ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เจ้าของกิจการจำนวนมากขอสินเชื่อไม่ผ่าน ทั้งที่ธุรกิจดูไปได้สวยในสายตาตัวเอง
หากคุณอยากเห็นภาพรวมครบทั้ง 5 ข้อ ว่าอะไรคือ “ตัวการจริง” ที่ทำให้ดีลสินเชื่อธุรกิจสะดุด และอยากเข้าใจเช็กลิสต์เชิงลึกสำหรับปี 2568 แนะนำให้อ่านต่อในบทความหลัก:
“
5สาเหตุที่ทำให้เจ้าของกิจการขอสินเชื่อเงินด่วนไม่ผ่านที่เว็บไซต์ EasyCashFlows (หมวด Knowledge)
บทความนี้จะช่วยให้คุณมองกระบวนการขอสินเชื่อธุรกิจ SME ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันแบบครบมุม ทั้งมุมเจ้าของกิจการและมุมสถาบันการเงิน และใช้ข้อมูลเหล่านั้นเป็นเข็มทิศวางกลยุทธ์ด้านการเงินให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในปี 2568