ThaiFranchiseCenter Webboard

ThaiFranchiseCenter Webboard - Info Center

* สมัครสมาชิกเว็บบอร์ด ไทยแฟรนไชส์เซ็นเตอร์ ฟรี! *
หน้าแรก | เปิดร้านค้าฟรี! | โปรโมชั่นแฟรนไชส์ | ร้านหนังสือออนไลน์ | สนใจลงโฆษณา

ทางเว็บไซต์ ThaiFranchiseCenter.com ไม่มีส่วนรับผิดชอบกับข้อความต่างๆในเว็บบอร์ดแต่อย่างใด
    ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขาย-เช่า-เซ้ง หรือ อื่นๆ (ผู้ซื้อ หรือ ผู้ขาย กรุณาใช้วิจารณญาณในการติดต่อทางธุรกิจ)


ไม่มีบ้าน/ที่ดินค้ำ ไม่ใช่ทางตัน: ทางออก สินเชื่อไม่ใช้หลักทรัพย์ ปี2568


เจ้าของแบรนด์แฟรนไชส์เครื่องดื่มรายย่อย มีแผนเปิดสาขาแฟรนไชส์เพิ่ม 6 จุดภายใน 90 วัน ต้องวางอุปกรณ์ วัตถุดิบ และทีมเทรนนิ่งล่วงหน้า แต่เงินจากแฟรนไชซีจะทยอยเข้าตามงวด จังหวะเงินสดจึง “ตึง” อยู่ช่วงก่อนเปิดจริง เขาถามสั้น ๆ ว่า
“ถ้าไม่มีบ้านหรือที่ดินค้ำ จะขอสินเชื่อเพื่อธุรกิจSMEให้ทันเวลาได้อย่างไร—และทำอย่างไรให้ไม่กดดันกระแสเงินสด?”
ในฐานะผู้ให้คำปรึกษาผมชวนเขากลับไปตั้งหลักด้วย “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” ซึ่งเป็นแกนคิดง่าย ๆ ก่อนเลือกใช้ เงินกู้ไม่ใช้หลักประกัน หรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตามในปีนี้ วิธีนี้ไม่ได้พาไปหาวงเงินสูงที่สุด แต่พาไปหา “วงเงินที่พอดีกับงาน” และเพิ่มโอกาสให้แฟ้มคำขอเดินได้จริง

ขั้นที่ 1: เห็น “ปัญหาเงินสดจริง” ก่อนพูดคำว่า “วงเงิน”
เราเริ่มด้วยกระดาษขนาด A4 แผ่นเดียว วาดเส้นเวลา 90 วัน แล้วเขียนเพียงสามบรรทัด
    1. จะใช้เงินเรื่องอะไรและเมื่อไร – เช่น มัดจำอุปกรณ์ ค่าวัตถุดิบ ค่าอบรมทีม
    2. เงินจะเข้าจากไหนและเมื่อไร – อ้างอิงงวดชำระของแฟรนไชซีหรือสัญญาที่มีอยู่
    3. ตั้งวันคืนเงิน – กำหนดให้ “หลังวันรับเงิน 3–7 วัน” เพื่อกันการคลาดเคลื่อน
แผน 1 ย่อหน้านี้คือ “เรื่องเล่าทางการเงิน” ที่คนพิจารณาอยากเห็น เขาไม่ได้อยู่หน้างานของเรา จึงต้องตัดสินใจจากข้อมูลที่ตรวจสอบได้ หากแผนใช้–เข้า–คืนชัดเจนตั้งแต่หน้าแรก คำถามที่ไม่จำเป็นจะลดลง และการพิจารณาจะเดินต่อได้เร็ว
จากนั้นเราแยกภาพรายจ่ายออกเป็นสองกลุ่มให้ชัด
    • รายจ่ายถี่/หมุนเร็ว (เช่น วัตถุดิบ ค่าแรงระยะเตรียมเปิด)
    • รายจ่ายยาว (เช่น เครื่องชง ตู้เย็น เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานหลายปี)
การแยกนี้สำคัญ เพราะจุดที่กิจการสะดุดบ่อยคือ “ใช้เงินสั้นไปแก้ของยาว” หรือ “กู้ก้อนเดียวให้ครอบจักรวาล” สุดท้ายเงินสดถูกบีบและต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่อย ๆ
มุมมองเชิงกลยุทธ์
    • ถ้าอยากเพิ่มโอกาสได้ สินเชื่อSMEวงเงินสูงปี2568 สิ่งที่โน้มน้าวได้ไม่ใช่คำอธิบายกว้าง ๆ แต่คือ หลักฐานจริง ที่เล่าเรื่องเดียวกัน ทั้งแผนหนึ่งย่อหน้า เอกสารการค้า (ใบสั่งซื้อ/ใบเสนอราคา/สัญญา/ใบแจ้งหนี้) และรายการเดินบัญชีที่ผ่านมา
    • ยิ่งตัวเลขเงินเข้า–ออกสม่ำเสมอ และสอดคล้องกับเอกสารมากเท่าไร คนพิจารณายิ่งมั่นใจว่า “เงินเข้า = วันคืน” ได้ตามแผน

ขั้นที่ 2: จับคู่ “ประเภทสินเชื่อ” ให้ตรงหน้าที่ของเงิน
พอเห็นปัญหาเงินสดจริง เราไม่เริ่มที่การกู้ก้อนเดียว แต่เลือกเครื่องมือให้ตรงกับ “หน้าที่ของเงิน” ดังนี้
    • ค่าใช้จ่ายถี่/หมุนเร็ว → ใช้ วงเงินหมุนเวียน (Overdraft หรือวงเงินเบิกเกินบัญชี) เพื่อ “ดึง–ใช้–คืน” ตามรอบขาย/รับเงิน
    • ลงทุนใช้นาน → ใช้ เงินก้อนเพื่อการลงทุน หรือ เช่าซื้อ (ผ่อนเครื่องจักร/อุปกรณ์ตามอายุใช้งาน) เพื่อไม่ลากเงินสั้นไปอุดเรื่องยาว
    • วางบิล/เครดิตเทอมนาน → ใช้ แฟคตอริ่ง (ขายหรือโอนสิทธิรับเงินจากใบแจ้งหนี้) ให้เงินเข้าเร็วขึ้นและไม่กดดันเงินสด
    • มีงานส่งออก → ใช้สินเชื่อ Pre-Export / Post-Export (ก่อน/หลังส่งออก) ที่ผูกกับเอกสารการค้าซึ่งตรวจสอบได้
อธิบายศัพท์เทคนิคครั้งเดียว:
• แฟคตอริ่ง (Factoring) คือการเปลี่ยนบิลให้เป็นเงินสดล่วงหน้า
• เช่าซื้อ (Hire Purchase) คือการผ่อนชำระค่าสินทรัพย์ตามสัญญา โดยใช้ทรัพย์นั้นทำงานสร้างรายได้
การจับคู่เช่นนี้ทำให้แฟ้มดูเป็นมืออาชีพ คนพิจารณาเชื่อได้ว่า “เงินประเภทไหนใช้แก้ปัญหาแบบใด” จึงประเมินความเสี่ยงและตั้งเงื่อนไขได้ง่ายกว่า การขอแบบกว้าง ๆ ที่ยังไม่ชี้หน้าที่ของเงิน
วิเคราะห์เชิงลึก
    • ปี 2568 ผู้ให้กู้ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น (แนวคิด “ปล่อยกู้อย่างรับผิดชอบ”) การตั้งโครงวงเงินที่สัมพันธ์กับรอบเงินจริง และอธิบายเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้คำขออยู่ใน “กรอบที่ยอมรับได้” โดยไม่ต้องพยายามฝืนไปที่วงเงินสูงเกินความจำเป็น
    • สำหรับผู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำ การมีประวัติเดินบัญชีที่สะอาด เอกสารการค้าที่ครบ และลูกค้าหลักที่ซื้อซ้ำ เป็น “ทรัพย์สินด้านความน่าเชื่อถือ” ที่สำคัญไม่แพ้ทรัพย์ประกัน
เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์ถูกหน้าที่แล้ว เราจึงคำนวณ “วงเงินพอดีกับงาน + สำรอง 10–15%” เพื่อกันคลาดเคลื่อน และไม่ทำให้ภาระชำระหนี้เกินกำลัง
นอกจากนี้ ลองประเมินสองตัวชี้วัดเบื้องต้นแบบง่าย ๆ (นิยามครั้งเดียว)
    • DSCR (Debt Service Coverage Ratio) = รายรับเพื่อชำระหนี้ ÷ ภาระชำระหนี้ต่อเดือน — ยิ่งมากกว่า 1 เท่า ยิ่งมีพื้นที่หายใจ
    • DSR (Debt Service Ratio) = ภาระชำระหนี้ต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือน — ยิ่งต่ำ ยิ่งผ่อนคลาย
เราไม่ได้ไล่ตัวเลขให้เป๊ะในที่นี้ แต่ใช้เป็น “เข็มทิศ” ว่าโครงวงเงินที่ตั้งอยู่ในระดับที่ธุรกิจรับไหวหรือไม่

ขั้นที่ 3: “หนึ่งแฟ้ม” ที่ตอบคำถามก่อนถูกถาม
สิ่งที่ทำให้คำขอขยับเร็วขึ้นอย่างชัดเจนคือ แฟ้มเอกสารหนึ่งชุด ที่ใช้ยื่นกับทุกผู้ให้บริการ โดยจัดรูปแบบและชื่อไฟล์ให้ค้นง่าย เช่น 2025Q4_PO-Outlet01.pdf โครงแฟ้มมีเพียงหกส่วน
    1. แผนเงินสด 6–12 เดือน (หนึ่งย่อหน้า) – บอก “ใช้–เข้า–คืน” ให้ชัด
    2. ใบสั่งซื้อ/ใบเสนอราคา/สัญญาที่จะใช้เงิน – ระบุยอดและกำหนดเวลา
    3. ใบแจ้งหนี้ล่าสุด + เดินบัญชี 6–12 เดือน – ลดการถอนเงินสดก้อนใหญ่เพื่อลดความคลุมเครือ
    4. สรุปลูกหนี้การค้า (aging) – ชี้แผนลดบิลเกินกำหนด 60–90 วัน
    5. ภาพกิจการ/ทรัพย์สินที่จะซื้อ – เพิ่มบริบทให้เห็นของจริง
    6. สรุป DSCR/DSR แบบอ่านง่าย – 2–3 บรรทัดพอให้เข้าใจกรอบ
จากนั้น “พรีสกรีน” 2–3 รายด้วยแฟ้มเดียวกัน บันทึกคำถามที่เจอ แล้วปรับแฟ้มให้ตอบล่วงหน้าในรอบถัดไป วิธีนี้ประหยัดเวลา และได้ข้อเสนอที่เทียบกันได้บนข้อมูลเดียวกัน

เรื่องเล่าจากเคสจริง: แฟรนไชส์เครื่องดื่มที่ “วางโครงถูก” จึงเดินไว
หลังทำครบ 3 ขั้น เราวางโครงดังนี้
    • วงเงินหมุนเวียน ขนาดพอดีสำหรับค่าใช้จ่ายถี่ช่วงเตรียมเปิด
    • เช่าซื้ออุปกรณ์ อายุผ่อนสอดคล้องอายุใช้งาน 36–48 เดือน
    • แฟคตอริ่ง สำหรับบิลงวดแฟรนไชซี 2 รายที่เครดิตเทอมนาน
ผลลัพธ์คือได้ “อนุมัติหลักการ” จาก 2 แห่ง โดยข้อเสนอที่เลือกมี “วันตัดชำระ 5 วันหลังเงินเข้า” และวงเงินรวมเท่าที่ต้องใช้จริงบวกสำรองเล็กน้อย ภาระชำระต่อเดือนจึงไม่ตึง และ DSCR อยู่ในระดับปลอดภัย สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเอกสารทุกใบ “พูดเรื่องเดียวกัน” กับบัญชี ไม่ใช่เพราะโชค
บทเรียนสำคัญ
    • เริ่มที่เรื่องจริง: แผนหนึ่งย่อหน้า + เอกสารดีลที่จะใช้เงิน
    • เลือกให้ตรงงาน: เงินสั้นแก้เรื่องสั้น เงินยาวแก้เรื่องยาว
    • รวมเป็นแฟ้มเดียว: มาตรฐานเดียวกันทุกหน้า ลดการย้อนถาม

ทำไมกรอบคิดนี้จึงเหมาะกับปี 2568
    1. สภาพตลาดเงินยังระมัดระวัง
แม้ทิศทางดอกเบี้ยเอื้อต่อการลงทุนมากกว่าช่วงก่อน แต่ผู้ให้กู้ยังเน้น “ข้อมูลจริง” มากกว่าคำอธิบายทั่วไป กิจการที่แสดงกระแสเงินสดชัดเจนและใช้เอกสารที่ตรวจสอบได้ จะได้รับการพิจารณาเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด
    2. แนวคิด “ปล่อยกู้อย่างรับผิดชอบ” ชัดขึ้น
ผู้ให้กู้ต้องทวนสอบความสามารถชำระหนี้อย่างละเอียด กระบวนการจึงให้คะแนนกับแฟ้มที่วาง “วันคืนหลังวันรับเงิน” และอธิบายเหตุผลของวงเงินอย่างเป็นระบบ
    3. มีตัวช่วย แต่ไม่ใช่ใบเบิกทาง
โครงการค้ำประกันสินเชื่อของหน่วยงานรัฐยังเป็นคันโยกช่วยบางกลุ่มได้ แต่การพิจารณายังเป็นรายกรณีและอยู่บนเงื่อนไขชัดเจน แฟ้มที่สะอาดและสอดคล้องจึงยังเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด

เช็กลิสต์ลงมือทำ (สรุปสำหรับผู้อ่าน ThaiFranchiseCenter)
    • เขียน แผนเงินสดหนึ่งย่อหน้า ให้เห็นภาพ “ใช้–เข้า–คืน” จริง
    • รวมเอกสารดีลที่จะใช้เงินใน 90 วัน (ใบสั่งซื้อ/ใบเสนอราคา/สัญญา/ใบแจ้งหนี้)
    • ดึง เดินบัญชี 6–12 เดือน และลดการถอนเงินสดก้อนใหญ่ถี่ ๆ
    • ทำ สรุปลูกหนี้การค้า (aging) พร้อมแผนลดบิลเกินกำหนด
    • คิด วงเงินพอดีกับงาน + สำรอง 10–15% และทดสอบผลต่อภาระชำระ
    • จับคู่ผลิตภัณฑ์ให้ตรงงาน: วงเงินหมุนเวียน (รายจ่ายถี่) / เงินก้อนเพื่อการลงทุนหรือเช่าซื้อ (ของใช้นาน) / แฟคตอริ่ง (รอเงินนาน) / สินเชื่อส่งออก (มีเอกสารการค้า)
    • รวมเป็น แฟ้มเดียวมาตรฐาน แล้วพรีสกรีน 2–3 รายด้วยข้อมูลชุดเดียวกัน
ทำครบ 7 ข้อนี้ แม้ไม่มีทรัพย์ค้ำ ก็ยังมีโอกาสเข้าถึง สินเชื่อธุรกิจไม่ใช้หลักประกัน ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และหากธุรกิจต้องการ สินเชื่อวงเงินสูง เท่าที่จำเป็น โครงคิดนี้จะช่วยให้ตัวเลขอยู่ในกรอบที่ “เดินได้จริง” มากกว่าการคาดหวังทั่วไป

ชวนอ่านต่อ
บทความนี้ตั้งใจสรุป “ภาคปฏิบัติ” สำหรับเจ้าของกิจการที่อยากขอ สินเชื่อเพื่อธุรกิจSME ในปีนี้อย่างเป็นระบบ หากต้องการภาพรวมว่า “ปี 2568 เข้มงวดขึ้นอย่างไร กลุ่มธุรกิจไหนมีโอกาสมากขึ้น และควรโฟกัสอะไรเป็นลำดับแรก” แนะนำให้อ่านบทความวิเคราะห์ฉบับเต็มด้านล่าง ซึ่งใช้ “ตัวช่วยตัดสินใจ 3 ขั้น” เป็นแกนเดียวกัน แต่ลงรายละเอียดเชิงนโยบายและแนวโน้มมากกว่า
อ่านได้ที่ สมัครสินเชื่อSMEไม่มีหลักทรัพย์ลือกแบบไหนให้ตรงแผนธุรกิจ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 11, 2025, 05:22:09 AM โดย กฤษณะ หลักดี »