ยกระดับคลังสินค้าไทยด้วย Smart Warehouse ปรับตัวทันยุคโลจิสติกส์ 5.0

[กมลชนก]

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็ว การบริหารจัดการคลังสินค้าแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนเริ่มหันมาลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบ Smart Warehouse ที่มีการผสาน IoT, AI และ Big Data เข้าไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด จุดเด่นของระบบนี้ไม่ใช่เพียงแค่ความแม่นยำ แต่ยังช่วยลดต้นทุนด้านแรงงานและเพิ่มศักยภาพการตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าได้แบบเรียลไทม์

การจัดเก็บแบบ Dynamic Slotting ช่วยให้พื้นที่ไม่สูญเปล่า
หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของคลังสินค้าอัจฉริยะคือการจัดวางสินค้าแบบไดนามิก ซึ่งระบบสามารถเรียนรู้และปรับเปลี่ยนตำแหน่งจัดเก็บให้เหมาะสมกับปริมาณการเคลื่อนไหวของสินค้า โดยที่ผู้ดูแลไม่ต้องคำนวณด้วยตนเอง การใช้พื้นที่แนวตั้งและพื้นที่เข้าถึงยากให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยังช่วยขจัดปัญหาสินค้าค้างสต๊อกหรือล้นคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่นในระบบนี้เหมาะกับคลังสินค้าที่ต้องรับมือกับรายการสินค้าจำนวนมากและหลากหลาย SKU ซึ่งเป็นสิ่งที่คลังแบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเต็มที่

ระบบ Pick-to-Light ลดความผิดพลาดในการจัดส่ง
การหยิบสินค้า (Picking) เป็นจุดเสี่ยงที่มักก่อให้เกิดความผิดพลาดสูง โดยเฉพาะเมื่อพนักงานต้องทำงานแข่งกับเวลา ระบบ Pick-to-Light ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานใน Smart Warehouse จึงเข้ามาช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานในจุดนี้โดยตรง โดยใช้แสงเป็นตัวนำทางให้พนักงานหยิบสินค้าตามตำแหน่งที่ระบบระบุไว้ ลดการใช้เอกสารหรือการค้นหาด้วยมือแบบเดิมๆ ไม่เพียงช่วยลดเวลาการหยิบสินค้า แต่ยังช่วยเพิ่มอัตราความแม่นยำให้ใกล้เคียง 100% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสบการณ์ลูกค้าในโลกอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันกันด้วยเวลาและความแม่นยำ